โชคชะตาพาปลายฟ้าผู้หวาดกลัวเรื่องบนเตียงให้มารับงานเขียนนิยายอิโรติกตามใบสั่งของแฟนเก่า แต่ฟ้าก็ใจดีส่งชายหนุ่มผู้มากประสบการณ์เซกส์มาให้ โดยที่ดันลืมเตือนว่าเขาเป็นผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกรรมคนรักตัวเอง
ดราม่า,ชาย-หญิง,ไทย,รัก,ผู้ใหญ่,อิโรติก,สืบสวน ,ดราม่า,โรมานซ์,โรมานซ์สืบสวน,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
พระเอกนิยายสุดปลายฟ้าโชคชะตาพาปลายฟ้าผู้หวาดกลัวเรื่องบนเตียงให้มารับงานเขียนนิยายอิโรติกตามใบสั่งของแฟนเก่า แต่ฟ้าก็ใจดีส่งชายหนุ่มผู้มากประสบการณ์เซกส์มาให้ โดยที่ดันลืมเตือนว่าเขาเป็นผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกรรมคนรักตัวเอง
เมื่อนิตยสารสารคดีที่ ปลายฟ้า เป็นนักเขียนประจำปิดตัว ทำให้ปลายผ้าต้องหันเหจากการเขียนแนววิชาการ ไปต้องเลี่ยนแนวไปเป็นนักเขียนนิยาย เพื่อหาเงินเลี้ยงดู แม่และน้องสาว โดยเฉพาะแม่ของเธอต้องรับการผ่าตัดตาในสิ้นปี ปลายฟ้าจึงเขียนนิยายรัก แล้วนำไปให้ กรินทร์ คนรักเก่าที่เป็นซีอีโอของสำหนักพิมพ์อักษรารัญจวนช่วยพิจารณา แต่กรินทร์ไม่ให้ผ่านเพราะแนวเรื่องไม่ตรงกันแนวของอักษรารัญจวนที่เน้นขายแนวนิยายอิโรติก
แต่เพราะกรินทร์ยังมีใจให้ปลายฟ้า ด้วยความรักที่หลงเหลือ จึงให้ปลายฟ้าเขียนนิยายอิโรติกโดยที่มีเขาเป็นพระเอก และเธอเป็นนางเอก แลกกับเงินค่าจ้างที่เขาจะจ่ายให้เธอเป็นรายเดือนแต่ปลายฟ้ามีปมกับเรื่องเซกส์เพราะเคยถูก เปลว พ่อเลี้ยงล่วงละเมิดในวัยเด็กและมักมีอาการทางประสาทกำเริบหากถูกกระตุ้น ทว่าด้วยเงินที่กรินทร์เสนอให้ จึงทำให้ปลายฟ้าตอบรับงาน แต่เพราะกลัวว่าจะเขียนให้ถึงตอนจบไม่ได้ ปลายฟ้าจึงตั้งใจหางานเสริม และเธอก็ได้งานแม่บ้านรีสอร์ตที่มีชื่อว่า Beyond The Horizon โดยบังเอิญจากแม่บ้านคนเก่าที่ลาออกกระทันหัน
ที่รีสอร์ตนี้ ปลายฟ้าต้องทำงานเป็นแม่บ้านประจำโซนวิลล่าการ์เด้น โดยมี แหวว หัวหน้าแม่บ้านเป็นคนคุมงาน เธอมีหน้าที่ดูแลทำความสะอาดและอำนวยความสะดวกให้แขกประจำโซน ซึ่งหนึ่งในแขกที่เธอต้องดูและคือ เข้ เจ้าของห้องหมายเลข 222 ที่เขาแอบเลี้ยงแมวโดยมีแค่เธอและเขาเท่านั้นที่รู้ นอกจากแหววแล้ว ปลายฟ้าได้เจอ ชิด บาร์เทนเดอร์ที่คอยสอนงานในห้องอาหารให้เธอ
ด้วยงานแม่บ้านนี้เองที่ปลายฟ้าจะยึดไว้เป็นอาชีพเสริมจนกว่าเธอจะเขียนนิยายอิโรติกให้กรินทร์จบ แต่มีเหตุเกิดขึ้นกับปลายฟ้าคือเธอเหยียบหางแมวที่คุณเข้เลี้ยงไว้ที่ริมสระน้ำ จนทำให้เธอตกสระ แต่เข้ก็ช่วยเธอไว้ได้ทัน ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้เข้รู้ว่าเธอต้องรับงานเขียนนิยายอิโรติกให้กรินทร์ แต่เธอไม่มีประสบการณ์เรื่องบนเตียง(แบบคู่รัก) เข้เลยเสนอว่าถ้าปลายฟ้ามาเป็นเพื่อนคุยให้เขา เขาจะเล่าประสบการณ์บนเตียงให้ฟัง ข้อตกลงแรกระหว่างปลายฟ้าและเข้จึงเริ่มขึ้น
แต่ปลายฟ้าไม่คาดคิดเลยว่าเธอจะกลายเป็นผู้เล่นคนหนึ่งในเกมล่าหาคำตอบของปริศนาฆาตกรรมในรีสอร์ทแห่งนี้
ด้านหน้าสถานีตำรวจในบ่ายที่ฝนพรำแปลกไปจากเดิมจนเขตต์รู้สึกได้ อาจเป็นเพราะคนแปลกหน้าสองสามคนที่เดินเตร่ไปมาราวกับเฝ้ารออะไรสักอย่าง หนึ่งในนั้นมีกล้องบันทึกภาพ ส่วนคนที่เหลือก็แต่งตัวคล้ายพวกนักข่าว
"พวกนั้นมาเฝ้าหน้าสถานีตำรวจสักพักแล้ว เห็นว่ามาดักสัมภาษณ์เสี่ยปองกัน” วีรชัยบอกเขตต์เมื่อเขาดับเครื่องยนต์
“เรื่องเลือกตั้งน่ะหรือ”
“ไม่แน่ใจครับ แต่ถ้าเป็นเรื่องเลือกตั้ง ก็ไม่จำเป็นต้องมาดักรอหน้าสถานีตำรวจ”
เขตต์ก็เห็นด้วยตามนั้น เทศกาลเลือกตั้งใกล้เข้ามาทุกที วันขึ้นศาลก็เช่นกัน พนักงานสอบสวนเลยเรียกเขามาสอบในฐานะพยาน แม้จะถูกฝ่ายตรงข้ามกล่าวหาว่าเป็นฆาตกร แต่หลักฐานไม่หนาแน่นพอให้ลงความเห็นได้ อีกทั้งหลักฐานล่าสุดที่พบในตึกก่อสร้างร้านขนมของน้ำตาลและการตายของแม่บ้านคนเก่าก่อให้เกิดปริศนาตัวครั้งใหม่ที่สร้างความปวดหัวให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ
“เรื่องการตายของพี่บังอร มีความคืบหน้าอะไรบ้างไหมครับ” เขตต์ขอถามถึงคดีฆาตกรรมแม่บ้านคนเก่าก่อนลงจากรถ
วีรชัยส่ายหน้า “ยังคลุมเครือ ได้ยินว่าคู่กรณีเป็นนักเลงในพื้นที่ มีปากเสียงกันก่อนเกิดเหตุ แต่จะเกี่ยวโยงกับการฆ่าล้างหนี้หรือเปล่า ทางตำรวจกำลังตามดมกลิ่นหลักฐานและพยานแวดล้อมอื่น ๆ อยู่ครับ”
เขตต์ฟังแล้วระบายลมหายใจ ดูเหมือนว่าเส้นทางสู่อิสรภาพของเขาไม่ได้ราบรื่น แต่การสอบพยานวันนี้ เขาจะวางหมากอีกตัวให้เจ้าหน้าที่นำไปแก้กลเกม
ทั้งคู่ลงจากรถทันทีที่เห็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบคดีเดินเข้าไปในสถานีตำรวจ โดยไม่ส่งสายตามองพวกนักข่าวที่ยืนส่งเสียงคุยกันว่าวันนี้เสี่ยก็กำลังเดินทางมาสอบปากคำ
เมื่อเขตต์ถูกนำตัวเข้าไปในห้องสอบสวน พนักงานก็ไม่รอช้า เตรียมแฟ้มเอกสารต่าง ๆ มาวางเรียงจากนั้นก็แจ้งสิทธิ์ให้เขา
“คุณมีสิทธิ์จะให้การหรือไม่ให้การก็ได้ คำพูดของคุณอาจถูกใช้เป็นพยานหลักฐาน และอนุญาตให้ทนายความของคุณเข้าร่วมฟังการสอบปากคำในฐานะผู้สังเกตการณ์ โดยต้องไม่ซักถามหรือชี้นำพยาน หากผู้ถูกสอบประสงค์ปรึกษาทนายเป็นการส่วนตัวให้ขอพักการสอบก่อน และจะบันทึกข้อทักท้วงวงเล็บถ้ามีแนบสำนวน”
เมื่อสิ้นเสียงการแจ้งสิทธิ การสอบในฐานะพยานของเขตต์จึงเริ่มต้น
“เนื่องจากมีการค้นพบหลักฐานใหม่รวมไปถึงการเสียชีวิตของคุณบังอร แม่บ้านที่เคยทำงานในรีสอร์ต และรับผิดชอบห้องพักของคุณเขตต์ เราจึงต้องเรียกสอบพยานที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ทุกคน”
“ครับ” เขตต์ตอบกลับเสียงราบเรียบ
“ก่อนอื่นผมขอให้คุณเขตต์ทบทวนเหตุการณ์ในวันเกิดเหตุให้ผมอีกครั้ง วันนั้นคุณเขตต์พบใครและเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
พนักงานสอบสวนตั้งคำถาม ผู้ต้องสงสัยหนุ่มก็เริ่มเรียบเรียงความทรงจำ
“วันนั้น...”
สนามหญ้าในลานจอดรถหน้าล็อบบี้ฉ่ำชื้นเพราะฝนที่ตกต่อเนื่อง เขตต์ดับเครื่องยนต์แล้วหยิบแฟ้มเอกสารที่อัดแน่นไปด้วยข้อมูลของพันธุ์สับปะรด เขาต้องรีบสรุปให้เสร็จแล้วส่งให้ลียงอ่านต่อก่อนประชุมกับตัวแทนชาวสวนสับปะรดที่กำลังจะเริ่มในอาทิตย์หน้า
ชายหนุ่มลงจากรถแล้วก้าวขาเดินเร็วเพื่อมุ่งหน้าสู่ล็อบบี้ ทว่าคล้ายมีความรู้สึกบางอย่างบอกให้เขาแหงนมองขึ้นไปยังชั้นสองของอาคาร
และที่ปลายสายตานั้น มีผู้ร่วมหุ้นสาว อดีตรักที่ตอนนี้เหลือเพียงแค่ความชังให้กัน ยืนนิ่งเฉยเหมือนหุ่นขี้ผึ้งมองเขาจากหน้าต่างของห้องทำงาน
แพรวพลอย...
และในความนิ่งเฉยนั้น เขาสัมผัสได้ถึงอารมณ์เย้ยหยันที่แผ่ออกมาจากแววตาของหล่อน แววตาที่ก่อความร้อนรุ่มปะทุขึ้นในอกอัดแน่นจนเขาอยากระเบิดออกมา ทว่าเขตต์รีบละสายตาจากใบหน้าปูนปั้นที่แสนสมบูรณ์แบบเกินจริง แล้วมุ่งหน้าตรงเข้าสู่ล็อบบี้ แต่ในทันทีที่ก้าวขาเข้าไป มวลความผิดปกติรุนแรงก็ถูกส่งมาจากพนักงานทุกคนที่มองเขาเป็นตาเดียว
“รายงานของอาทิตย์ที่แล้วค่ะคุณเขตต์”
แม้แต่แววตาของผู้ช่วยสาวที่นำรายงานมามอบให้ตามหน้าที่ ก็ฟ้องว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นแน่นอน พบเหลือบมองไปที่เคาน์เตอร์ต้อนรับ คนที่อยู่แถวนั้นก็ขยับวูบหลบตาพร้อมเพรียงกันโดยไม่ได้นัดหมาย
“คุณแหววอยู่ไหมครับ ผมอยากคุยเรื่องการจัดห้องพักต้อนรับตัวแทนชาวไร้สับปะรด”
“วันนี้คุณแหววลากิจค่ะ เห็นว่ามีธุระด่วน”
เขตต์ลอบถอนหายใจพลางพยักหน้ารับทราบ แล้วเดินออกจากตรงนั้นด้วยรู้ว่าเขายังเป็นเป้าหมายการจ้องมอง
แต่เขาอาจคิดมากเกินไป และวิตกมากเกินไปเองก็เป็นได้ ทว่าความทรงจำอยากดึงมันออกจากหัวก็ผุดย้อนมาในความคิด
มันเป็นเช้าวันที่เขาตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการมึนหัว ดวงตาพร่าแต่พบว่าตัวเองนอนเปล่าเปลือยบนโซฟาของห้องพักที่ไหนสักแห่งโดยใต้ร่างของเขานั้น มีแพรวพลอยที่ไร้เสื้อผ้าอาภรณ์กำลังนอนส่งยิ้มมาให้
‘ถึงเธอจะจำไม่ได้เลยว่าคืนที่ผ่านมา เธอทำต่ำทรามอะไรกับฉัน แต่ร่องรอยที่เธอฝากไว้บนเนื้อตัวฉัน มันก็เป็นหลักฐานได้แล้ว’
หล่อนพูดถึงรอยช้ำเป็นจ้ำ ๆ ตามผิวเกิดจากความป่าเถื่อนของเขา
‘ขอร้องฉันสิ ขอร้องฉันไม่ให้บอกน้ำตาล’
แล้วยังพูดทำนองว่าถือไพ่เหนือกว่า ทั้ง ๆ ที่เพิ่งบอกว่าเขาใช้กำลังปลุกปล้ำหล่อนทั้งคืน แต่ถึงเขาจะทำแบบนั้นจริงเพราะผีเข้า แต่ทำไมเขาถึงเพลียเหมือนคนไร้พละกำลังแบบนี้ ในขณะที่ใบหน้าของคนถูกกระทำกลับไม่มีความโศกเศร้า หรือรอยหมองคล้ำใด ๆ
‘หรือไม่ก็... แลกเป็นโอนหุ้นของรีสอร์ตทั้งหมดให้ฉัน แล้วฉันจะปิดเป็นความลับ’
‘ไม่!’ เขาลั่นคำตอบใส่แล้วพาตัวเองลุกจากโซฟา ‘ฉันไม่มีวันให้เธอฮุบรีสอร์ตเด็ดขาด!’
‘งั้นก็แย่หน่อยนะ ถ้าน้ำตาลจะแหกอกเธอเมื่อรู้ว่าเธอทำอะไรกับฉันทั้งคืน’
‘ฉันแทบไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น หรือต่อให้รู้ตัวฉันก็ไม่มีทางทำแบบนั้นเด็ดขาด!’
แพรวพลอยกระตุกยิ้ม ลุกจากโซฟาเดินนวยนาดเข้ามาใกล้ แล้วทำเหมือนจะยื่นมามือแตะหน้าอกขวา ทว่าเขตต์ปัดมือเธอออก
‘อะไรทำให้เธอรังเกียจฉันนักหนา ทั้ง ๆ ที่เราก็เคยรักกันมากมาก่อน’
‘มันเป็นอดีตไปแล้วแพรวพลอย ฉันเทความรักของเธอทิ้งไปตั้งแต่รู้ว่ารักของเธอมันปลอมมาตลอด!’
‘แต่เธอก็รู้แล้วไม่ใช่หรือว่าฉันถูกพ่อแม่บังคับให้แต่งงาน ฉันไม่เคยเต็มใจแต่งกับเสี่ยเลย!’
‘นั่นเป็นเหตุผลที่เธอเลือกแต่งกับคนที่ไม่รัก แล้วหันหลังให้ฉันในวันที่ฉันหมดสิ้นทุกอย่าง พ่อแม่ฉันตายไปกับเหตุเพลิงไหม้ ร้านอาหารกิจการครอบครัวก็วินาศดับสูญ เธอหันหลังให้ฉันในวันที่ฉันต้องการเธอมากที่สุด จำไม่ได้หรือไง!’
‘แต่เธอก็กลับมาได้ไม่ใช่หรือเขตต์ กลับมาอีกครั้งก็มีเงินซื้อที่ดินติดหาด สร้างรีสอร์ตได้ใหญ่ขนาดนั้น’ หล่อนหยุดพูดไปชั่วขณะก่อนแค่นหัวเราะ ‘จริง ๆ เธอน่าจะขอบคุณฉันด้วยซ้ำที่ขอร้องให้เสี่ยยอมขายที่ดินผืนที่เธออยากได้นักหนาให้’
‘แต่นั่นก็ต้องแลกกับการให้เธอกับเสี่ยได้ถือครองหุ้นคนละยี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์โดยมีสิทธิ์ออกเสียงไม่ใช่หรือไง’
มุมปากของหล่อนกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มร้าย ‘แล้วถ้าฉันบอกว่าเอายี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์ของฉันไปบวกกับยี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์ของเธอ เราสองคนก็จะกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ล่ะ’
คิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน ‘เธอพูดเรื่องอะไร’
‘ก็ถ้าเราแต่งงานกัน หุ้นทางฝั่งเราก็จะมีมากกว่า ทีนี้เสียงของเธอก็ดังกว่าทุกคนเวลาประชุมผู้ถือหุ้น’
‘ฉันจะรับเอาความคิดนี้ไปถ่วงลงทะเลก็แล้วกัน!’ เขาพูดแล้วคว้าเสื้อผ้าแต่ละชิ้นขั้นสวม ‘คนที่ฉันคิดจะแต่งงานคือน้ำตาล ไม่ใช่เธอ!’
‘น้ำตาลไม่เหมาะกับเธอหรอกเขตต์ ผู้หญิงเปราะบางเหมือนแก้วที่มีแต่รอยร้าวแบบนั้น รังแต่จะเป็นโซ่ถ่วงชีวิตเธอ แล้วตอนนี้น้ำตาลก็ไม่ใช่ผู้หญิงที่เธอจะแต่งงานด้วยได้แล้วไม่ใช่หรือไง หรือเธอจะยอมเป็นพ่อของเด็กในท้องที่ไม่ได้เกิดจากน้ำเชื้อของเธอ’
เขาสูดลมหายใจแห่งความแค้นเคียงเข้าให้ลึกสุดปอด เพ่งดวงตาสีนิลที่เริ่มจับภาพชัดเจนมากขึ้นไปยังใบหน้าของหญิงสาวตรงหน้า
‘ฉันอาจยอมเป็นอะไรก็ได้ แต่จะไม่ยอมเป็นคนโง่ที่หลงเชื่อคำพูดของเธอ!’ บอกแล้วผลักประตูเดินออกจากห้องทันที
“คุณเขตต์ครับ”
เสียงเรียกนั้นดึงเขาออกจากภวังค์ เป็นเสียงของลุงยามที่มองเขาด้วยแววตากังวลจากกลางถนนห่างจากห่องพักของเขาไปไม่กี่ก้าว
“สวัสดีครับลุง กำลังเดินตรวจตราอยู่หรือครับ แต่เวลานี้น่าจะเป็นเวรของยามอีกคนหรือเปล่า”
“คือว่า... บาร์เทนเดอร์คนใหม่กับบริกรหลายคนถูกไล่ออก ผมก็อาสาไปช่วยชิดยกลังเบียร์เพื่อเตรียมไว้สำหรับแขกกรุปทัวร์พรุ่งนี้ครับ ก็เลยไปเห็นว่าคุณน้ำตาลเขา..” น้ำเสียงของผู้พูดเบาจนเหมือนกระซิบ
ทั้งท่าทาง ทั้งสีหน้า ทั้งน้ำเสียงสื่อว่ากังวลอะไรสักอย่าง เขตต์เห็นแล้วก็ไม่สบายใจขึ้นมา ยิ่งได้ยินชื่อของหญิงสาว หัวใจของเขาก็เจ็บแปลบเหมือนถูกมีดแทง
“น้ำตาลทำไมหรือครับ”
“เขาร้องไห้ครับ ทำขนมไปร้องไห้ไป ผมเป็นห่วงจัง ห่วงทั้งตัวคุณน้ำตาล ห่วงทั้งขนมที่จะขายให้แขก ร้องไห้หนักขนาดนั้น จะมีกะจิตกะใจทำขนมให้อร่อยได้หรือครับ แล้วก็ดูหลักลอยชอบกลเหมือน... เหมือนคนไม่มีสติ”
“ผมจะไปดูเดี๋ยวนี้” สิ้นคำ เขตต์ก็ผันความตั้งใจที่จะกลับห้องพัก มุ่งหน้าไปยังห้องอาหารริมทะเลด้วยใจกังวล
ตั้งแต่เมื่อไรกันนะที่เธอเริ่มร้องไห้ฟูมฟายเพราะเขา เขตต์เริ่มจำรอยยิ้มของไม่ได้แล้ว ราวกับช่วงเวลาที่ได้ยินเสียงหัวเราะของน้ำตาลนั้นมันจางหายจนเหมือนไม่เคยเกิดขึ้นเลย... ไม่เคยเกิดเลยตั้งแต่ความรักที่เขามีให้เธอมันเริ่มชัดเจนแจ่มแจ้งจนเขาตัดสินใจอัปเปหิตัวเองจากวงการเพลย์บอย
ห้องอาหารริมทะเลเย็นนี้ มีผู้คนบางตา ความเป็นจริงสอดคล้องกับรายงานผู้เข้าพัก สงครามและความผันผวนทางเศรษฐกิจของยุโรปที่ผลให้ยอดจองห้องพักช่วงปลายฝนต้นหนาวลดลง นักท่องเที่ยวชาวไทยเองก็ไม่นิยมเที่ยวทะเลในฤดูพายุหลาก แต่นั่นก็ไม่ได้มีแค่ผลร้ายเสียทีเดียว
แม้รายได้จะลดลง แต่รีสอร์ตก็เอาช่วงจังหวะนี้ปรับปรุงฟื้นฟูและแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เขาและลียงเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการทำงานเพียงสองคน
ส่วนผู้ถือหุ้นอีกสองคนนั่น...
เขตต์ยกยิ้มเหยียดทันทีที่นึกถึงใบหน้าทั้งสองยามถามถึงปันผลในทุกที่มีประชุมผู้ถือหุ้น
ถ้าที่ดินผืนนี้ไม่สวยขนาดที่เขาตกหลุมรักครั้งแรกที่เห็นละก็ ต่อให้ราคาถูกแค่ไหน เขาก็ไม่คิดจะซื้อ ยิ่งตอนรู้ครั้งแรกจากนายหน้าขายที่ว่าที่ดินผืนนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของเสี่ยปอง ผู้มีอิทธิพลใหญ่ที่แพรวพลอยเลือกแต่งงานด้วย ถึงจะพูดว่าถูกพ่อแม่บังคับก็เถอะ เขาก็มั่นใจว่าตัวเองมีดีพอที่จะสู้กับเสี่ย แต่ความจริงที่เกิดขึ้นเจ็บปวด เพราะแพรวพลอยไม่แม้แต่จะแลตาให้หลังจากรู้ว่าเขาอาจสิ้นเนื้อประดาตัวหลังสูญสิ้นทุกอย่างในกองเพลิง
เพล้ง!
มีเสียงของบางสิ่งแตกดังมาจากในครัว เขตต์จึงเปลี่ยนจากการเดินเร็วเป็นพรวดวิ่งเข้าไป และเมื่อเห็นถ้วยกระเบื้องมากมายหลายถ้วยแตกกระจายบนพื้นครัว รอบๆ นั้นก็มีคราบช็อคโกแลตมูสเปรอะเปื้อนเป็นวงกว้าง โดยมีหญิงสาวก้มมองพวกมันด้วยแววตาเหม่อลอยท่ามกลางครัวที่ไร้เงาผู้คน
น่าประหลาดที่ไม่มีใครเลยสักคนในนี้ ทั้งเชฟ ผู้ช่วย บริกร พวกเขาหายไปไหนกันหมด เหตุใดจึงเหลือแค่น้ำตาลคนเพียงเดียว
“น้ำตาล...”
เขาลองส่งเสียงเรียกเธอ แต่เสียงของเขาส่งไปไม่ถึงเธอหรืออย่างไร เจ้าของใบหน้าหวานแสนเศร้านั้นถึงยังยืนตัวสั่นเทามองพื้นราวกับอยู่คนละโลก ริมฝีปากแห้งไร้สีสันก็ขยับพึมพำคำพูดอะไรสักอย่างที่เขาฟังไม่ออก
เหมือนคนไม่มีสติ...
คำพูดของลุงยามย้อนกลับเข้าหัว เขตต์วางแฟ้มเอกสารไว้บนโต๊ะใกล้ตัว ค่อยๆ ก้าวขาเข้าไปใกล้ เห็นมูสช็อคโกแลตที่ยังเหลืออยู่ในโถผสม จึงคว้าช้อนตักขึ้นชิม
รสชาติไม่มีอะไรผิดปกติแต่ก็ไม่วายกังวล เขากวาดตามองถุงโกโก้ โถน้ำตาล เปลือกไข่ และกล่องครีมสดที่วางตรงนั้น ทุกอย่างที่ใช้ปรุงขนมก็ถูกต้อง แต่ขวดเหล้ารัมที่วางไม่ห่างกันกลับสะกิดใจ เพราะคำที่เขาชิมไปไม่มีกลิ่นของรัมเลย จึงจะเอื้อมมือไปหยิบ
“คุณไม่รักฉัน...”
แต่เสียงรำพึงนั้นทำให้เขาหันไปมอง เห็นพึมพำขณะที่ยังจับจ้องบางอย่างตรงปลายเท้าตัวเอง บางอย่างที่คล้ายเม็ดยาสีฟ้าอ่อน...
“ไม่จริง...คุณรักฉัน... ยังรักอยู่...”
ทว่าในตอนที่ร่างของหญิงสาวเริ่มขยับเหมือนกำลังก้มตัวลงเก็บยาเม็ดนั้น เขตต์ก็รับเข้าไปคว้ามันมาไว้ในมือ
“ยาอะไร”
แต่ก็ไร้เสียงตอบ
“น้ำตาล” เขาเรียกเธอด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้นแต่ระวังไม่ให้ฟังคล้ายตำหนิ แต่ก็ไม่มีคำตอบให้นอกจากการจ้องมองมาด้วยแววตาแดงก่ำ
“นั่นเป็นครั้งแรกที่คุณเขตต์เห็นไดอะซีแพมใช่ไหมครับ” พนักงานสอบสวนแทรกคำถาม
“ใช่ครับ ครั้งแรก”
“ตอนนั้น คุณเขตต์ไม่ทราบเลยหรือครับว่านั่นเป็นยาอะไร”
“ไม่ทราบเลยครับ”
“คุณน้ำตาลมีแต่เม็ดยา แต่ไม่มีซองยาหรือแผงยาติดตัวตอนนั้นใช่ไหมครับ”
“ตอนนั้นผมไม่เห็นอะไรที่เป็นแผงยาหรือซองใส่ยาครับ”
“แล้วอะไรทำให้คุณเขตต์ค้นหาข้อมูลยาไดอะซีแพม”
“ผมถ่ายภาพแล้วเอาไปหาข้อมูลทางกูเกิล”
“คุณเขตต์ไม่รู้จักไดอะซีแพมมาก่อนจริงใช่ไหม”
“ยืนยันอีกครั้งว่าไม่รู้จักครับ”
“แล้วหลังจากที่คุณเขตต์หาข้อมูลแล้ว เกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้นครับ”
ผู้ถูกถามสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วหลับตาเรียบเรียงความทรงจำในวันนั้น วันที่ชีวิตพลิกผัน วันที่เขาสูญเสียคนรักไปจากชีวิตครั้งที่สอง
เขาไล่ดูภาพเม็ดยามากมายที่ปรากฏบนหน้าจอกระทั่งพบภาพที่ตรงกันกับเม็ดยา จากนั้นก็ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับเพิ่มเติม
“ไดอะซีแพม...”
ชายหนุ่มเอ่ยชื่อตัวนั้นออกมาพลางขมวดคิ้วมุ่น เมื่อยิ่งอ่านข้อมูลที่ลึกขึ้น ความกังวลก็มีมากขึ้นตาม แต่ในตอนนั้นเอง ลียงส่งข้อความเข้ามาหา ใจความเตือนว่ายังไม่ได้ข้อมูลเกี่ยวกับพันธุ์สับปะรด
เขตต์สบถในใจ ลืมเรื่องงานไปเสียสนิท แต่ก็ยังอยากหาข้อมูลเกี่ยวกับเจ้ายาตัวนี้ต่อ จึงบันทึกเป็นประวัติการค้นไว้เพื่อกลับมาอ่านต่อ จากนั้นก็หันไปให้ความสนใจกับงานก่อน เขาเปิดแฟ้มที่ได้จากตัวแทนชาวไร่สับปะรดแล้วอ่านรายละเอียดแต่ละพันธุ์เพื่อกรองเอาแต่พันธุ์ที่เหมาะสมที่สุดในการทำเบียร์
กริ๊ง!
เสียงกริ่งห้องดังแทรกสมาธิในการทำงาน และเมื่อเขาเงยหน้าจากเอกสาร ถึงได้รู้ว่าฟ้าภายนอกเริ่มครึ้ม เมฆเทาปกคลุมไปทั่ว กิ่งตะแบกก็ไหวโยกแรงจนเหมือนจะหักโค่นลงมาเพราะแรงลม
แกรก ๆ
เมี้ยว ๆ
ทว่าในขณะที่เขากำลังลุกจากเก้าอี้เพื่อไปเปิดประตูห้อง ก็มีเสียงตะกุยพร้อมกับเสียงร้องของแมวน้อยจากประตูกระจกของระเบียง ชายหนุ่มจึงหันทิศไปเลื่อนบานกระจกเพื่อให้เจ้าแมวน้อยลายชุดทักซิโดได้พุ่งพรวดเข้ามาหลบเสียงลมและเสียงฟ้าร้องที่คำรามดังมาจากปลายฟ้า
“ไปถึงไหนมาล่ะ” เขาคลี่ยิ้มขบขันเหมือนเห็นเจ้าขนปุยวิ่งเข้าไปหลบใต้โซฟาในตอนที่ฟ้าคำรามครืนคราง
กริ๊ง! กริ๊ง! กริ๊ง!
เสียงกริ่งห้องดังเหมือนมีเร่งร้อนจนรอไม่ได้ ชายหนุ่มจึงเดินไปมองผ่านช่องตาแมว แต่เมื่อเห็นว่าเป็นน้ำตาล เขาก็รีบเปิดรับทันที
“คีย์การ์ด”
เขตต์ย่นคิ้ว “คีย์การ์ด?”
“จากการสอบครั้งก่อน คุณน้ำตาลขอคีย์การ์ดที่สามารถเปิดตู้เก็บเหล้าของคุณเขตต์ได้จากนั้นก็กลับมาพร้อมเหล้าสองขวด ขวดหนึ่งมีป้ายชื่อว่า ‘น้ำตาล’ และอีกขวดมีป้ายชื่อว่า ‘เขตต์’ ใช่ไหมครับ” พนักงานสอบสวนขอคำยืนยัน
“ใช่ครับ ป้ายชื่อทั้งสองขวดเขียนด้วยลายมือของผมเอง”
“คุณเขตต์เคยให้ปากคำว่าไม่รู้เลยว่าเหล้า ‘เขตต์’ มีไดอะซีแพม ส่วนเหล้าน้ำตาลไม่มีไดอะซีแพม ยังยืนยันเหมือนเดิมหรือไม่ครับ”
“ยืนยันเหมือนเดิมครับ” พนักงานสอบสวนมองหน้าเขานิ่ง เขาเองก็สบตาโดยไม่หันหนี “ถ้าผมรู้ ผมคงไม่กินเหล้า ‘เขตต์’ แล้วก็ไม่ให้น้ำตาลกินด้วยเหมือนกัน”
“คนที่เชี่ยวชาญรสชาติเหล้าเช่นคุณชิมกินแล้วก็ยังแยกไม่ออกว่ามีสิ่งแปลกปลอมผสมอยู่หรือครับ”
เขตต์ส่ายหน้า “แยกไม่ออกครับ”
พนักงานสอบสวนระบายลมหายใจบาง “ผมขอแทรกหนึ่งคำถามก่อนให้คุณเขตต์เล่าเหตุการณ์วันนั้นต่อ ในวันนั้นคุณบังอรอยู่ที่ไหนหรือครับ เท่าที่อ่านคำให้การครั้งก่อน ระบุว่ามีแค่แม่บ้านของคุณเขตต์เท่านั้นที่จะถือคีย์การ์ดใบนั้นไปเปิดเอาเหล้าในตู้เก็บเหล้าของคุณเขตต์ได้”
“ผมไม่ทราบครับ พี่บังอรอาจลางาน และการลางานของแม่บ้านอยู่นอกเหนืออำนาจของผมครับ”
“แล้วหลังจากเหตุการณ์ คุณบังอรมาทำงานตามปกติหรือไม่ครับ” น้ำเสียงถามของอีกฝ่ายยังคงรักษาระดับในเรียบนิ่ง
“มาครับ หลังจากเจ้าหน้าที่มาเก็บหลักฐานเศษแก้วกับคราบเลือดในห้องของผม และผมได้รับอนุญาตให้ใช้ห้องตามปกติ พี่บังอรก็เข้าไปทำงานดูแลความเรียบร้อยของห้องตามเดิม”
“คุณบังอรไม่รู้พาสเวิร์ดคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คของคุณเขตต์แน่นอนใช่ไหมครับ”
“ไม่รู้แน่นอน”
ครั้งนี้ เขาได้ยินเสียงถอนหายใจหนักขึ้นจากอีกฝ่าย แล้วบอกให้เขาเล่าเหตุการณ์ต่อจากที่ค้างไว้
“น้ำตาลยืนกรานทั้งน้ำตาว่าแม้จะไม่ได้จัดงานแต่งงานกันแล้ว เธอก็ขอดื่มเหล้าทั้งสองขวดกับผม ผมพยายามปฏิเสธเพราะเห็นเธออาการไม่ดีแล้วก็ท้องอยู่ แต่พอเธองัดฝาเหล้า ‘น้ำตาล’ แล้วกรอกปาก ผมเลยต้องคว้ามา ตอนนั้นคิดแค่ว่าถ้าไม่ดื่มเองจนหมด น้ำตาลก็คงพยายามฉวยไปดื่มแน่นอน แต่พอผมดื่มเหล้า ‘น้ำตาล’ ไปจิบเดียว น้ำตาลก็งัดฝาเหล้า ‘เขตต์’ ดื่มไม่ยั้ง ผมก็เลยต้องรีบคว้าเหล้า ‘เขตต์’ มาดื่มจนหมดก่อน”
พนักงานสอบสวนพลิกหน้ากระดาษไปมา พลางพึมพำคำพูดว่า “เลยเป็นเหตุให้เหล้า ‘น้ำตาล’ ที่ไม่มีไดอะซีแพมไม่ถูกดื่ม...”
จากนั้นก็เงยหน้ามองเขา “แล้วหลังจากดื่มเหล้า ‘เขตต์’ ตอนนั้นอาการมึนเมาหรือสะลึมสะลือเกิดขึ้นทันทีหรือเปล่าครับ”
เขตต์รำลึกความจำ ช่วงเวลาก่อนที่น้ำตาลคลุ้มคลั่งปาโทรศัพท์ของเธอที่มีคลิปน่าอัปยศระหว่างเขากับแพรวพลอยใส่หน้า
“ยังครับ แม้ผมจะมึนเพราะรับแอลกอฮอล์ปริมาณมากในคราวเดียว แต่ก็ยังพอมีสติ...” เขาหยุดพูดขณะก่อนหันไปมองวีรชัยที่นั่งให้กำลังใจผ่านกระจกหน้าต่างด้านนอก แล้วหันมาดวงตาสีนิลสบประสานกับพนักงานแน่วนิ่ง “ชั่วแวบก่อนที่ผมกับน้ำตาลจะทะเลาะกันรุนแรง ผมมีความสงสัยบางอย่างเกี่ยวกับเหล้า ‘น้ำตาล’ ”
คิ้วของคนฟังขมวดเข้าหากัน “สงสัยบางอย่าง...” จากนั้นก็รีบพลิกหน้ากระดาษไปมาราวกับหาข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
“ผมยังไม่เคยพูดเรื่องนี้มาก่อน เพราะไม่แน่ใจว่าใช่หรือเปล่า แต่ตอนนี้ผมมั่นใจแล้วครับว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นโดยฝีมือใครบางคน”
มือที่กำลังพลิกกระดาษหยุดชะงัก “คุณเขตต์สงสัยเรื่องอะไร”
“ถึงผมจะจับรสชาติไดอะซีแพมในเหล้าไม่ได้ แต่ผมรู้ว่ารสชาติของเหล้าที่ผ่านการบ่มในขวดแก้วกับบ่มในภาชนะบ่มต่างกันยังไง แม้จะเริ่มบ่มพร้อมกันก็ตาม”
“บ่มในขวดแก้วกับบ่มในภาชนะ?” พนักงานสอบสวนทวนคำด้วยแววตาสงสัย
ฉับพลันวินาทีนั้น มีเสียงเอะอะโวยวายดังมาจากด้านนอกห้องสอบสวน ฟังคล้ายคนมีเรื่องชกต่อยกัน และในวินาทีถัดมา ก็มีเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบสองสามนายวิ่งออกมาเหมือนมีเหตุด่วน หนึ่งในนั้นหยุดเคาะประตูแล้วเปิดเข้ามารายงานว่า
“ลูกน้องของเสี่ยปองวิวาทกับนักข่าวนอกโรงพักครับ ตอนนี้กำลังเข้าไประงับเหตุการณ์ แต่ไม่รู้ว่ามีอาวุธหรือไม่ครับ!”
เปรี้ยง!
สิ้นสุดการรายงานไม่ทันไรเสียงลั่นกระสุนก็ดังทันที การสอบสวนจึงยุติเดี๋ยวนั้น