แต่งงานเพื่อผลประโยชน์แต่หัวใจกลับทรยศ ระหว่างนางงามผู้มีข่าวฉาว และชายหนุ่มผู้ไม่เชื่อในความรัก วิวาห์ครั้งนี้...จะลวงรัก หรือฝากรักไว้ในหัวใจของเธอและเขา
รัก,ดราม่า,ชาย-หญิง,ไทย,ครอบครัว,อ่านฟรี,นางงาม,นางเอกสวยมาก,พระเอกเย็นชา,พระเอกขี้หึง,นางเอกสู้ชีวิต,ไม่นอกกายนอกใจ,จบดี ,สัญญา,แต่งงาน,ลูกแฝด,เด็กแฝด,มีลูก,นิยายรักชายหญิง,นิยายรัก,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ฝากรักวิวาห์ลวง [อ่านฟรีจนจบ]แต่งงานเพื่อผลประโยชน์แต่หัวใจกลับทรยศ ระหว่างนางงามผู้มีข่าวฉาว และชายหนุ่มผู้ไม่เชื่อในความรัก วิวาห์ครั้งนี้...จะลวงรัก หรือฝากรักไว้ในหัวใจของเธอและเขา
ฝากรักวิวาห์ลวง
ตอนที่ 27 เส้นทางการจากลา
เส้นคั่นลาง ขีดกั้นกลาง วางความคิด
ทางถูกผิด จิตสั่นไหว ใครตัดสิน
จากคำขู่ สู่คำลา พาโบยบิน
ลาหลบผิน สู่ถิ่นหลง พะวงใจ
เป็นอีกคืนของคฤหาสน์ลัวร์ ที่ถูกห่มคลุมด้วยความเงียบงัน จนแม้แต่เข็มนาฬิกาที่เดินแผ่วเบา ก็อาจส่งเสียง จนรับรู้การหมุนของเวลาอย่างชัดเจน
ภายในห้องนอนเด็ก เต็มไปด้วยแสงไฟสลัวจากโคมดาวดวงน้อยกลางเพดาน เมณิชานั่งเงียบ ๆ บนพื้นพรมข้างเตียงเล็ก
ดวงตากลมโตทอดมองน้องพีร์กับน้องพราว ที่นอนหลับพริ้มอย่างฝันดี ใบหน้าทั้งสองน่ารักไร้เดียงสา และไม่รู้เลยว่าพรุ่งนี้จะมีอะไรเปลี่ยนไป
มือเรียวเปิดดูหน้าจอมือถืออย่างเงียบ ๆ เธอเริ่มไล่ชื่อโรงเรียนในต่างจังหวัดที่ห่างไกลความวุ่นวายทั้งหมด
< โรงเรียนบ้านป่าหลวงวิทยา อำเภอสบเมย แม่ฮ่องสอน >
หน้าเว็บไซต์เรียบง่าย คงการจัดวางแบบล้าสมัย ไร้สีสันฉูดฉาด ไม่มีกลิ่นอายความหรูหรา ...แต่นั่นคือสิ่งที่เธอต้องการ
ความปลอดภัย สำคัญกว่าทุกอย่าง
เธอสลับเปิดเข้าแอปข้อความ เพื่อส่งไปหาคนที่เธอเชื่อใจมากที่สุดในตอนนี้
...ณัฐกฤษ
> “ณัฐ…ฉันต้องการความช่วยเหลือ”
ไม่นาน ข้อความตอบกลับก็ปรากฏ
>> “เกิดอะไรขึ้นเหรอพิมพ์?”
> “ช่วยหาที่อยู่ปลอดภัยให้ฉันกับลูก แถวโลเคชั่นที่ฉันส่งไปได้ไหม”
ช่องข้อความเงียบอยู่นาน กว่าจะมีสัญญาณว่าอีกฝ่ายกำลังพิมพ์ตอบ แล้วก็มีคำตอบกลับมาสั้น ๆ
>> “ภวินรู้เรื่องนี้ไหม?”
เธอจึงพิมพ์ตอบทันทีโดยไม่ลังเล
> “อย่าให้เขารู้ ฉันไม่อยากให้เขาเดือดร้อนเพราะฉัน”
>> "คิดให้ดี ๆ ก่อนไหมพิมพ์ เธอควรบอกเขา ...มันอาจจะไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เธอคิด"
> "ทางนี้ ง่ายที่สุดแล้ว ...ตกลงจะช่วยฉันได้ไหม"
>> “...ฉันไม่ได้อยากผิดใจกับเขา แต่ถ้าเธอขอ ...ฉันก็จะช่วย”
เมณิชาหายใจช้า ๆ พลางลุกขึ้นเงียบ ๆ เปิดลิ้นชักข้างเตียง หยิบกล่องกระดาษเปล่า ที่เหลือจากตอนย้ายมาจากเรือนรับรองแขกออกมา ค่อย ๆ เริ่มแยกของเล่นและของใช้ลูกทีละชิ้น
เสื้อผ้าเล็ก ๆ ที่เธอพับเก็บอย่างเรียบร้อย ของเล่นที่ลูกทั้งสองชอบที่สุด และรูปถ่ายที่ถ่ายร่วมกับภวินเมื่อครั้งแรก ๆ ที่อยู่ด้วยกัน ถูกวางแยกไว้ แต่สุดท้าย... เธอก็ไม่ได้ใส่มันลงกล่อง
เธอหยิบปึกกระดาษโน้ตจากหัวเตียง แล้วเขียนด้วยลายมือเรียบร้อย
“ภวิน… ขอโทษที่ผิดสัญญา
และมาได้แค่ครึ่งทางเท่านั้น
โลกของคุณกว้างใหญ่เกินไป
ฉันขอกลับไปในที่ของฉัน...
แล้วจะหาเงินมาชดใช้ให้คุณ
โปรดอย่าตามหา...
...อย่าเสียเวลากับคนอย่างฉัน”
เธอวางจดหมายนั้นลงในกล่องของเล่นของน้องพีร์ ...กล่องที่ภวินเคยซื้อมอบให้ลูกด้วยตัวเอง
แม้จะบอกให้เขาอย่าตามหา แต่ส่วนลึกในใจ...เธอก็ยังเลือกซ่อนมันไว้ในที่ที่เขาจะต้องหาเจอ
เช้าวันรุ่งขึ้น
ความเงียบของเช้าวันเสาร์แผ่กระจายโดยทั่วคฤหาสน์ ราวหมอกสีเทาจางที่มองไม่เห็น
เมณิชาปฏิเสธคำชวนของภวินที่จะไปงานกาล่าดินเนอร์ครบรอบการก่อตั้งบริษัท เธออ้างว่ายังไม่พร้อมจะพบผู้คน และอยากอยู่ดูแลลูก
ภวินเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าว่าเข้าใจ แม้ไม่ค่อยเห็นด้วยกับเธอนัก
“ถ้าเปลี่ยนใจก็บอกนะ ผมจะให้คนมารับ”
“ค่ะ” คำตอบของเธอสั้นและสุภาพจนน่าใจหาย
คุณหญิงไอษดามองหญิงสาวด้วยสายตาประหลาดใจ
ปกติเมณิชาเป็นคนเด็ดเดี่ยว กล้าเผชิญหน้า แต่วันนี้ เธอกลับดูราวกับคนที่กำลัง เตรียมการอะไรบางอย่าง
แปลก...
แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นต้องสงสัย...
เมื่อรถของคุณหญิงกับภวินขับออกจากหน้าคฤหาสน์ในเวลาสี่โมงเย็น เมณิชาก็เริ่มเคลื่อนไหว
เธอพาลูก ๆ ออกจากบ้าน พร้อมกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ โดยให้เหตุผลสั้น ๆ กับแม่บ้านว่า
“ญาติที่น่านป่วยหนัก ต้องรีบไปเยี่ยม อาจจะหลายวันหน่อยค่ะ”
“ให้รถที่บ้านไปส่งมั้ยคะ?”
“ค่ะ เดี๋ยวให้คุณลุงคนขับส่งพวกเมย์ที่ขนส่ง แล้วเดี๋ยวถ้าเมย์กลับมา จะรีบโทรบอกให้ไปรับนะคะ”
ทุกอย่างดูเหมือนการเดินทางทั่วไปของครอบครัวเล็ก ๆ ที่จะไปเยี่ยมญาติ ไม่มีพิรุธ
แต่ไม่มีใครรู้เลย…ว่าหลังจากคืนนี้ เธอจะไม่กลับมาที่นี่อีก
งานกาล่าดินเนอร์
แสงไฟระยิบระยับภายในห้องบอลรูมของโรงแรมหรูใจกลางเมือง ตกกระทบกับเครื่องแก้วและผ้าไหมเนื้อดี เสียงเพลงแจ๊สบรรเลงเคล้าคลอกับเสียงพูดคุยเบา ๆ ของเหล่าแขกผู้มีเกียรติ สายตาทุกคู่ในงานจับจ้องไปที่กลุ่มผู้บริหารระดับสูงของลัวร์กรุ๊ป ซึ่งเป็นเจ้าภาพในค่ำคืนนี้
คุณหญิงไอษดาในชุดราตรีผ้าไหมสีมุกงาช้าง ดูภูมิฐานและสง่างามเคียงข้างลูกชาย ภวิน ในสูทตัดพอดีตัวสีกรมท่าดูภูมิฐาน สายตาของเขายังคงกวาดมองไปรอบงานเป็นระยะ… เหมือนอยากหาเงาร่างของใครบางคน
...เผื่อเธอจะเปลี่ยนใจ
แต่สุดท้าย เธอก็ไม่ได้มา...
เขายังจำสีหน้าเรียบเฉยของเธอ ก่อนเขาออกจากบ้านได้ดี ราวกับว่าเธอวางเขาไว้ที่ปลายสายตาส่วนที่เริ่มไกลออกไปทุกที
“ภวิน”
เสียงเรียกหวานลึก ดังขึ้นด้านหลัง ทั้งภวินและคุณหญิงหันกลับไปพร้อมกัน
หญิงสาวในชุดเดรสสีแดงเบอร์กันดีแนบตัว สะกดทุกสายตาที่มองมา ปรากฏตัวพร้อมรอยยิ้มที่ทั้งหวาน ทั้งอันตราย
“แพทริเซีย…” คุณหญิงเอ่ยเสียงแผ่วเรียบเย็น
“ไม่คิดเลยนะคะ ว่าจะยังได้รับเชิญให้มางานนี้อีก”
แพทริเซียกล่าวพลางยกแก้วแชมเปญขึ้น ริมฝีปากทาลิปสติกแดงเข้มยกยิ้มบาง ๆ
“ในฐานะผู้ถือหุ้นคนใหม่…ก็ต้องแสดงตัวบ้าง”
เธอเน้นคำว่า 'ผู้ถือหุ้น' อย่างจงใจ รอยยิ้มที่ประดับใบหน้าช่างดูมีชัยอย่างไม่น่าไว้ใจ
ภวินไม่ได้พูดอะไรในตอนแรก แค่พยักหน้าเบา ๆ แบบไม่ใส่อารมณ์
“ไม่ได้เจอกันนาน คุณหญิงสบายดีนะคะ?”
เธอหันไปทักผู้สูงวัยด้วยน้ำเสียงประดิษฐ์ประดอย
คุณหญิงไอษดาเพียงแค่ยิ้มบาง และไม่แม้แต่จะมองเต็มตา
“สบายดีค่ะ…แต่คงไม่เท่าคุณ ที่เพิ่งขึ้นแท่นเป็นผู้ถือหุ้น ได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้”
เสียงของคุณหญิงราบเรียบเยือกเย็นเจือนัยยะ
แพทริเซียยังคงยิ้ม...
“บังเอิญ…คนเราก็ต้องฉลาดเลือกเวลาและเป้าหมายใช่ไหมคะ”
“ถ้าอย่างนั้น…ขอตัวก่อนนะคะ”
คุณหญิงกล่าวสั้น ๆ ก่อนจะหมุนตัวอย่างนุ่มนวลและเดินออกไปอย่างสง่างาม ทิ้งภวินไว้เพียงลำพังกับเงาของอดีตที่เขาไม่เคยอยากเจอ
“คุณภวินดูเครียดนะคะคืนนี้ ภรรยาของคุณไม่มาด้วยเหรอคะ”
แพทริเซียถามเสียงเบา ราวกับเป็นแค่คำถามจากคนรู้จักทั่วไป แต่แววตาเธอกลับเปล่งประกายล้ำลึกยิ่งกว่านั้น
ภวินปรายตามองเธอ ก่อนจะตอบเสียงราบ
“เธอไม่ค่อยสบายครับ เลยไม่สะดวกมางาน”
“อ๋อ…” เสียงตอบรับนั้นยืดยาว คล้ายคนที่แกล้งแปลกใจ แต่จริง ๆ แล้วรอคำตอบนี้มาตลอด
แพทริเซียยกแก้วขึ้นจิบอีกครั้ง ก่อนจะโน้มตัวเข้ามาใกล้ภวินเล็กน้อย พอให้คำพูดถัดไปนั้นได้ยินกันแค่สองคน
“ระวังให้ดีนะคะ บางทีสิ่งที่คุณคิดว่าปลอดภัยที่สุด...อาจจะกลายเป็นมีดที่แทงคุณลึกที่สุดก็ได้”
ภวินเลิกคิ้วเล็กน้อย
“คุณหมายถึง?”
แพทริเซียยิ้ม
“ผู้หญิง...เวลาเงียบเกินไป นั่นแหละ...อันตรายที่สุด”
ก่อนที่ภวินจะได้พูดอะไรตอบ เธอก็ผละออก หันหลังไปพร้อมแชมเปญในมือที่ว่างเปล่า
เสียงส้นสูงของเธอกระทบพื้นหินอ่อนจังหวะสม่ำเสมอ ทิ้งเขาไว้กับประโยคกำกวม ที่เหมือนคำเตือน...หรือคำขู่
ภวินยืนนิ่ง พลางนึกถึงใบหน้าเรียบนิ่งของเมณิชาก่อนเขาออกจากบ้าน
แล้วนึกถึงอีกหลายสิ่งที่เธอไม่พูด...ไม่ถาม...ไม่แม้แต่จะบอกกล่าว
ใจเขาเริ่มร้อนรุ่มอย่างไม่มีเหตุผล
เหมือนว่าทุกอย่าง...มันกำลังจะสายเกินไป
กลางดึกหลังจบงานเลี้ยง
ภวินเปิดประตูเข้าห้องอย่างเงียบ ๆ หลังงานเลี้ยงยาวนาน สีหน้าของเขาอ่อนล้าแต่แฝงความคาดหวังอยู่ในแววตา
เขาเงียบไปนานเมื่อไม่เห็นเมณิชาลงมารับ อย่างที่เคยทำทุกครั้ง
“เมย์” เขาเอ่ยเรียก พลางเดินเข้าไปในห้องโถง ...แต่ไม่มีเสียงตอบ
เขาตรงไปที่ห้องของลูก …ก็ว่างเปล่า
ห้องที่เมณิชาเคยพัก...ก็ไฟปิดเงียบ
“หายไปไหนกันหมด…”
ภวินเริ่มรู้สึกตะหงิดบางอย่าง เขาเดินไปยังตู้เสื้อผ้าของเมณิชา
เสื้อผ้าของแบรนด์ดังที่เขาซื้อให้ ยังอยู่ครบ แต่เสื้อผ้าธรรมดาที่เธอใส่ประจำหายไป ของใช้เล็ก ๆ ของเด็กก็หายไปด้วย
หัวใจเขาเต้นแรงขึ้นโดยไม่รู้ตัว
เขาเหลือบไปเห็นกล่องของเล่นของน้องพีร์ ที่วางอยู่กลางห้อง
มันปิดไม่สนิท เหมือนเพิ่งถูกเปิดใช้
ภวินย่อตัวลงช้า ๆ และเริ่มเปิดกล่อง
บนชิ้นส่วนของเล่น...มีจดหมายฉบับหนึ่ง
เขาหยิบขึ้นมา คลี่มันออก…มือใหญ่สั่นเล็กน้อยเมื่ออ่านบรรทัดแรก
“ภวิน… ขอโทษที่ผิดสัญญา
ฉันมาได้แค่ครึ่งทางเท่านั้น…”
เมื่ออ่านจบคำว่า “ลูกของเรา” ไม่ปรากฏ
ไม่มีคำว่า “รัก”
ไม่มีคำอธิบายว่าทำไม
…มีแค่ “ขอโทษ” และ “อย่าตามหา”
ดวงตาของภวินแดงจัดในทันที มือเขากำจดหมายแน่น จนกระดาษยับยู่ยี่
เธอไปแล้ว...
เธอหนีเขาไป...
เธอกับเด็ก ๆ ที่ทำให้เขาหลงรัก...จากเขาไปแล้ว
ก่อนหน้านี้
ที่สถานีขนส่ง เมณิชากำลังยืนหันหลังให้แสงตะวันสุดท้ายของวัน กับเด็กแฝดสองคนที่จับมือกันแน่นข้างกาย
เธอไม่ได้ร้องไห้ ...ไม่ได้มือสั่น
แต่ภายในใจ ...เหมือนถูกฉีกซ้ำ ทุกครั้งที่คิดถึงเขาคนนั้น
ใกล้ถึงเวลาที่เธอนัดแนะกับเพื่อนเก่า
เธอก้มลงผูกเชือกรองเท้าให้น้องพราว ขณะสายตาวาวเล็ก ๆ มองเธออย่างไร้เดียงสา
“แม่...เราจะไปไกลมั้ยคะ”
“ไกลนิดนึงค่ะ แต่ไม่เป็นไร เราจะอยู่ด้วยกันนะคะ”
น้องพีร์กระซิบเบา ๆ เหมือนรู้ทัน
“แม่ไม่ได้บอกลุงวินใช่มั้ย...”
เมณิชาชะงัก หัวใจแทบหยุดเต้น
เธอไม่ได้ตอบอะไร แค่โอบหัวทั้งคู่แนบอกไว้แน่น แล้วหลุบตาลง
ไม่มีคำอธิบายใดถูกพูดออกมา...
เธอพาเด็ก ๆ ขึ้นรถตู้คันหนึ่งที่ณัฐกฤษนั่งมาด้วยในนั้น
ไม่มีใครโทรมา เพราะเธอปิดการติดต่อ
ไม่มีเสียงเรียกชื่อเธอดังลั่นที่ชานชาลา เพราะเธอไม่ได้บอกเขา
มีแค่ความเงียบ ...และคำลาที่ทิ้งไว้ในกระดาษ
*****