แต่งงานเพื่อผลประโยชน์แต่หัวใจกลับทรยศ ระหว่างนางงามผู้มีข่าวฉาว และชายหนุ่มผู้ไม่เชื่อในความรัก วิวาห์ครั้งนี้...จะลวงรัก หรือฝากรักไว้ในหัวใจของเธอและเขา
รัก,ดราม่า,ชาย-หญิง,ไทย,ครอบครัว,อ่านฟรี,นางงาม,นางเอกสวยมาก,พระเอกเย็นชา,พระเอกขี้หึง,นางเอกสู้ชีวิต,ไม่นอกกายนอกใจ,จบดี ,สัญญา,แต่งงาน,ลูกแฝด,เด็กแฝด,มีลูก,นิยายรักชายหญิง,นิยายรัก,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ฝากรักวิวาห์ลวง [อ่านฟรีจนจบ]แต่งงานเพื่อผลประโยชน์แต่หัวใจกลับทรยศ ระหว่างนางงามผู้มีข่าวฉาว และชายหนุ่มผู้ไม่เชื่อในความรัก วิวาห์ครั้งนี้...จะลวงรัก หรือฝากรักไว้ในหัวใจของเธอและเขา
ฝากรักวิวาห์ลวง
ตอนที่ 16 เงาจากอดีต
เงาลางเลือน สะเทือนซ่อน ย้อนอดีต
สะบัดมีด สะกิดลง ตรงรอยแผล
หวังก้าวผ่าน ห้วงคืนนั้น วันอ่อนแอ
ผันผู้แพ้ ให้ฟันฝ่า กล้าหยัดยืน
บ่ายวันนั้น ท้องฟ้าเหนือกรุงเทพยังคงแผดแสงอย่างแผ่วเบา เสมือนรู้ว่าข่าวลือกำลังร้อนแรงกว่าทุกอุณหภูมิบนถนนเสียอีก
เมณิชานั่งอยู่กลางสวนกุหลาบ ที่เธอปลูกเองกับมือหลังคฤหาสน์ลัวร์ พู่กันในมือชุ่มด้วยสีน้ำอ่อนจาง รูปที่เธอกำลังลงสีนั้นยังไม่ชัดเจน ว่าเป็นภาพทิวทัศน์หรือลายเส้นนามธรรม บางทีอาจเป็นเพราะความคิดของเธอกำลังสับสน จนมือก็วาดอะไรที่ไม่ได้ตั้งใจ
เธอไม่ได้วาดเพื่ออวดใคร เพียงแค่อยากจมหายไปในความนิ่งเงียบของสี รอยปัด และผืนผ้าใบ เพื่อไม่ต้องรับรู้ข่าวลือที่แผ่ซ่านอยู่ทั่วโลกโซเชียล
‘แม่ที่หลอกคนทั้งประเทศ’
‘หล่อนมีลูกมาก่อน ยังกล้าประกวดอีกเหรอ’
‘ตกถังข้าวสาร ก็แค่ผู้หญิงหน้าใสแต่ใจคด’
เธอไม่ตอบโต้อะไรเลยสักอย่าง เพราะในส่วนหนึ่งของเรื่องราว... มันคือความจริง ความจริงที่เธอไม่สามารถเปลี่ยนได้
และในจังหวะที่เธอกำลังจะจุ่มพู่กันลงแก้วน้ำ เสียงเบา ๆ จากแม่บ้านก็ดังขึ้นจากด้านหลัง
“คุณเมย์คะ คุณหญิงให้ดิฉันเอาการ์ดเชิญมาส่งค่ะ”
เธอหันกลับมา รับการ์ดสีงาช้างขลิบทองในมือ พลิกดูข้อความบนหน้ากระดาษเนื้อดีอย่างเงียบงัน
"งานนิทรรศการศิลปะร่วมสมัย – ค่ำคืนแห่งแสงเงา ณ ห้องจัดแสดง La Galleria Bangkok"
ด้านล่างเป็นลายเซ็นของคุณหญิงไอษดา พร้อมบันทึกถ้อยคำสั้น ๆ
“เธอควรไป งานนี้สำคัญต่อภาพลักษณ์ของครอบครัว”
เมณิชายิ้มบางอย่างเข้าใจดี ความเงียบไม่ใช่เกราะกำบังตลอดไป และดูเหมือนว่าแม่สามีของเธอ...จะอยากรู้ว่าเธอจะออกจากกรอบข่าวลือด้วยศักดิ์ศรีหรือแค่เอาตัวรอด
เย็นวันนั้น เธอจึงเดินไปหาภวินที่ห้องทำงาน
“คุณว่างไหมคะคืนนี้?”
ภวินเงยหน้าขึ้นจากเอกสารด้วยสีหน้าฉงนเล็กน้อย เมณิชายื่นการ์ดเชิญให้
“งานศิลปะค่ะ คุณหญิงให้ไปร่วมงาน... แล้วก็บอกว่าให้ฉันชวนคุณไปด้วย”
ภวินยืดตัวขึ้น นั่งพิงเก้าอี้อย่างครุ่นคิด
“เธอพร้อมแล้วเหรอ...กับการเผชิญหน้าผู้คน”
หญิงสาวพยักหน้า ดวงตาสงบกว่าทุกครั้ง
“ฉันหนีความจริงไม่ได้หรอกค่ะ แต่ฉันเลือกได้ว่าจะเดินผ่านมันยังไง”
งานนิทรรศการจัดขึ้นในห้องจัดแสดงส่วนตัวในโครงการสุดหรูย่านชิดลม
แขกเหรื่อที่มาร่วมงานต่างแต่งกายอย่างประณีต กลิ่นน้ำหอมระดับไฮคลาสลอยละลานไปทั่วห้องแกลเลอรี่ แสงไฟสีทองอบอุ่นสาดกระทบภาพวาด และประติมากรรมล้ำค่าในบรรยากาศแบบร่วมสมัยที่ผสานคลาสสิกกับแนวทดลองอย่างลงตัว
ผนังห้องถูกจัดวางให้เป็นโค้งเว้ารับกับจุดจัดแสดงภาพ สลับกับรูปปั้นขนาดกลาง-ใหญ่ตั้งตามจุด เน้นให้เกิดมิติของความเคลื่อนไหวในความนิ่ง
เสียงดนตรีคลาสสิกบรรเลงจากเครื่องสายค่อย ๆ แทรกตัวในอากาศ เหล่าไฮโซ เซเลบ และนักสะสมงานศิลป์เดินสวมบทผู้วิจารณ์อย่างสง่างาม
เมณิชาในเดรสสีเทากลีบบัวตัดกับผิวขาวเนียนราวกระเบื้องเคลือบ ผมถูกรวบครึ่งศีรษะเปิดใบหน้าอ่อนหวานแต่สงบนิ่ง
เธอก้าวข้างภวินที่สวมสูทดำเรียบไร้รอยยับราวกับหลุดมาจากภาพถ่ายนิตยสารระดับโลก
สายตาหลายคู่จับจ้องเธอ ไม่ใช่เพราะความสวย แต่เพราะเสียงลือที่วิ่งเร็วยิ่งกว่าคลื่นโทรศัพท์
แต่เมณิชากลับไม่หวั่นไหว เธอยิ้มรับทักทายทุกคำชม ทุกสายตา แม้จะมีคำซุบซิบที่พูดแทรกเบา ๆ จากมุมใดมุมหนึ่งว่า ...นั่นใช่คนในข่าวไหม?
“คุณภวิน! ในที่สุดก็มาถึง”
เสียงแหบห้าวแต่ทรงอิทธิพลดังขึ้นจากอีกมุมหนึ่งของงาน เสี่ยมงคลเดินยิ้มแย้มเข้ามา พร้อมด้วยชายหนุ่มคนหนึ่งที่ภวินไม่รู้จักดีนัก
“นี่ลูกชายบุญธรรมผมเองครับ ชื่อณัฐกฤษ เพิ่งกลับจากอังกฤษ สนใจศิลปะเหมือนผม”
เมื่อสายตาของณัฐกฤษจับจ้องมาทางเมณิชา รอยยิ้มที่มุมปากของเขาแข็งไปชั่วขณะ ดวงตาเบิกเพียงนิดคล้ายกำลังตื่นเต้น ก่อนจะกลับมาเรียบนิ่ง
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ คุณเมณิชา”
“เช่นกันค่ะ” เธอเอ่ยพร้อมรอยยิ้มบางๆ
ไม่มีคำใดเอ่ยถึงอดีต ไม่มีการทักชื่อเก่า ไม่มีความตื่นตระหนก แต่แววตานั้น...ชัดเจน ว่าทั้งสองเคยรู้จักกันอยู่แล้ว
...และชัดเจนยิ่งกว่าคือ ณัฐกฤษไม่เคยลืมเธอเลย
หลังจากคำกล่าวทักทายของทุกฝ่ายจบลง ภวินกับเสี่ยมงคล ก็เริ่มพูดคุยถึงความคืบหน้าของงานโปรเจค
“ฉันขอไปห้องน้ำสักครู่นะคะ”
เมณิชาเอ่ยเบา ๆ กับภวิน เขาพยักหน้าโดยไม่พูดอะไร
หญิงสาวเดินเข้าไปในห้องน้ำหรูของหอศิลป์ แสงสีขาวนวลสาดบนกระจกเงาบานใหญ่ เธอมองภาพสะท้อนตัวเองตรงหน้า
ดวงตาคู่นั้น...ยังคงมีแววเศร้าแม้จะยิ้ม
ในเงาสะท้อนนั้น เธอเห็นเงาของอดีตอีกครั้ง ภาพในคืนนั้น ที่ผับหรู ห้องวีไอพี กลิ่นน้ำหอมและแสงไฟหมุนวน เธอจำได้ลาง ๆ ว่าเห็นนัทเดินเข้ามา...วางผ้าห่มบนตัวเธอ...แล้วเดินออกไป
ทำไมเขาไม่ช่วยเธอ...
ทำไมเขาถึงทิ้งเธอไว้แบบนั้น...
...ถ้าเขาพาเธอออกไปจากตรงนั้น หรืออยู่กับเธอ เรื่องทุกอย่างก็จะไม่เกิด
เสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้นนอกห้องน้ำ เธอไม่ทันสังเกตจึงเปิดออก เมื่อก้าวออกไปก็พบร่างสูงที่ยืนปักหลัก ราวกับดักรอเธออยู่
“พิมพ์...เธอสวยขึ้นเยอะเลยนะ”
เสียงทุ้มคุ้นเคยเอ่ยขึ้นเบื้องหลัง เมณิชาหันขวับ ดวงตาแข็งกร้าวแม้สีหน้าเรียบเฉย
“ขอโทษค่ะ คุณคงจำคนผิด ฉันชื่อเมณิชา”
เธอก้าวจะเดินผ่าน แต่มือหนึ่งคว้าแขนเธอเอาไว้
“พิมพ์...อย่าทำแบบนี้ เธอไม่รู้หรอกว่าฉันเป็นห่วงเธอแค่ไหน หลังจากคืนนั้น ฉันตามหาเธอทุกทาง พอรู้ว่าเธอหายไปจากมหาลัย ฉัน...”
“คุณไม่มีสิทธิ์มาอ้างความห่วงใย” เธอสวนกลับทันที
“ตอนนั้น...ฉันแค่กลัวใจตัวเอง พิมพ์ ฉันชอบเธอมาก มากเกินกว่าจะปล่อยให้ตัวเอง...ทำอะไรที่มันเกินเลย ฉันไม่อยากเป็นอีกคน ที่ทำร้ายเธอ”
“แต่นัท...” เธอเสียงสั่น
“เธอรู้ไหม...ฉันต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะยกโทษให้ตัวเองได้ ...กับเรื่องที่ฉันทำในคืนนั้น”
นัทพูดพร้อมดึงมือเธอมากุมไว้แน่น
“ฉันไม่ต้องการให้เธอยกโทษให้ฉันหรอกพิมพ์ ขอแค่...ได้รู้ว่าเธอสบายดี ฉันก็พอใจแล้ว”
เธอกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก่อนที่คำใดจะหลุดออกมา เสียงฝีเท้าหนักแน่นก็ดังขึ้น
มือปริศนาเข้ามาคว้าแขนของเธอออกจากการจับของนัท แล้วดึงร่างเธอเข้าหาอ้อมแขนแกร่ง
“พอแล้ว”
เสียงทุ้มต่ำกว่าปกติของภวินเอ่ยขึ้น ดวงตาคมปลาบราวเหล็กกล้า ประกายวาวใต้แสงไฟราวกับนักล่าที่เจอศัตรู ...และในแววตานั้นกำลังสั่นด้วยบางอย่างที่ซ่อนลึก
เมณิชาถูกดึงเข้าหาอ้อมแขนของเขา โดยที่เธอเองยังไม่ทันได้พูดอะไร แต่สิ่งที่เขาได้ยินก่อนหน้านี้ยังวนเวียนไม่ออกจากหัว
'เธอรู้ไหม...ฉันต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะยกโทษให้ตัวเองได้ ...กับเรื่องที่ฉันทำในคืนนั้น'
ประโยคนั้นยังคงลอยชัด...ราวกับคลื่นซัดซ้ำไม่หยุด เขามองหน้าผู้ชายตรงหน้าเพียงครู่ ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบแต่แข็ง
“คุณน่าจะรู้ว่าควรเก็บอดีตไว้ในที่ของมัน ไม่ใช่มาดึงคนของผมกลับไปอยู่ในนั้นอีก”
นัทมองตาภวินนิ่ง ๆ ไม่พูดโต้ตอบอะไร
“เมณิชาเป็นภรรยาของผม... และผมไม่คิดจะแบ่งให้ใครทั้งนั้น”
เสียงที่ดังขึ้นครั้งนี้แผ่วลง แต่กลับกรีดลึกกว่าคำขู่ใด ๆ
เขาหันหลังให้ ณัฐกฤษ พาเมณิชาเดินกลับเข้างานโดยไม่หันกลับไปมอง แต่มือของเขาที่จับข้อมือเธอกลับแน่นขึ้นเรื่อย ๆ จนเธออดไม่ได้ที่จะหลุบตาลง
เมื่อเดินพ้นสายตาผู้คน เขาหยุดแล้วค่อย ๆ ปล่อยมือเธอ ...แต่กลับยังมองเธออยู่นิ่ง ๆ
“เรื่องคืนนั้น...เขาหมายถึงอะไร?”
คำถามนั้นมาในน้ำเสียงนิ่งเหมือนไม่รู้สึก แต่ในดวงตานั้นกลับสั่นไหว หยั่งลึกเหมือนมีไฟซ่อนอยู่
'หรือว่าณัฐกฤษจะเป็นผู้ชายคนนั้น ...คนที่เมณิชาเคยบอกว่าตายจากชีวิตไปแล้ว'
ความคิดประหนึ่งกุญแจที่กำลังคลายล็อก แวบเข้ามาในห้วงความคิด
เมณิชากำลังจะตอบ แต่เขายกมือขึ้นเหมือนจะห้ามคำแก้ตัวนั้นไว้
“ไม่ต้องรีบตอบ...ก็ได้”
ใจหนึ่งก็กลัวว่า เธอจะตอบออกมาตรงกับความคิด
เขาขยับเข้าใกล้อีกนิด เงาสูงของเขากลบแสงไฟตรงมุมผนัง ดวงตาคมยังคงจ้องเธออย่างไม่กระพริบ
“แต่ถ้ามีอะไรที่ผมควรรู้...อย่าปล่อยให้ผมคิดไปเอง”
และเขาก็พูดประโยคสุดท้าย ราวกับคำเตือน หรือนี่จะเป็นคำสารภาพที่เขาอาจไม่รู้ตัว
“เพราะผมไม่ชอบแชร์ของของผม...กับใคร!”
แม้เขาจะไม่แตะต้องเธอในฐานะสามี แต่ประโยคนี้กลับฝังลงในใจเธอลึกกว่าการสัมผัสไหน
เขาคือคนที่เธอหวังจะอยู่ห่าง...แต่เขากำลังเข้ามาใกล้ และไฟที่ลุกขึ้นในดวงตาเขาวันนี้...มันไม่ใช่แค่ความหวง
แต่มันคือ ความอยากเป็นเจ้าของ...
เมณิชายังยืนอยู่ตรงนั้นไม่ไปไหน หลังจากที่ภวินเดินผละออกไป เธอจ้องมองเข้าไปในความหมายของภาพบนผืนผ้าใบตรงหน้า
เป็นภาพหญิงสาวในชุดสวยงามสดใส กำลังเดินเล่นเฉิดฉายท่ามกลางผู้คนที่ยิ้มแย้มชื่นชม …แต่เงาดำมืดขนาดใหญ่ ที่ทอดยาวด้านหลังกลับกอดอกแน่น และสั่นไหวคล้ายกำลัง...ร้องไห้
บางที...ภาพนี้อาจจะหมายถึงเธอ
'อดีต' ก็คงเปรียบเสมือน 'เงา' ที่ไม่อาจลบออก และติดตามเธอไปทุกที่
เธอมองภาพนั้นเนิ่นนาน
จนแม้เสียงพูดคุยข้างนอกจะเริ่มดังขึ้นอีกครั้ง
…เธอก็ยังยืนอยู่ตรงนั้น
เหมือนเงาในภาพ…กำลังยืนอยู่ข้างเธอจริง ๆ
*****