แต่งงานเพื่อผลประโยชน์แต่หัวใจกลับทรยศ ระหว่างนางงามผู้มีข่าวฉาว และชายหนุ่มผู้ไม่เชื่อในความรัก วิวาห์ครั้งนี้...จะลวงรัก หรือฝากรักไว้ในหัวใจของเธอและเขา
รัก,ดราม่า,ชาย-หญิง,ไทย,ครอบครัว,อ่านฟรี,นางงาม,นางเอกสวยมาก,พระเอกเย็นชา,พระเอกขี้หึง,นางเอกสู้ชีวิต,ไม่นอกกายนอกใจ,จบดี ,สัญญา,แต่งงาน,ลูกแฝด,เด็กแฝด,มีลูก,นิยายรักชายหญิง,นิยายรัก,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ฝากรักวิวาห์ลวง [อ่านฟรีจนจบ]แต่งงานเพื่อผลประโยชน์แต่หัวใจกลับทรยศ ระหว่างนางงามผู้มีข่าวฉาว และชายหนุ่มผู้ไม่เชื่อในความรัก วิวาห์ครั้งนี้...จะลวงรัก หรือฝากรักไว้ในหัวใจของเธอและเขา
ฝากรักวิวาห์ลวง
ตอนที่ 24 กลซ่อนเล่ห์
กลรุกเร้า กรุ่นเผาใจ จนไหวสั่น
ซ่อนมหัน ตภัยร้าย ใต้จิตหลอน
เล่ห์จัดวาง อย่างบรรจง ลงทุกตอน
ลวงโอนอ่อน จนหลงทาง อย่างแนบเนียน
บรรยากาศภายในรถเก๋งเงียบงันจนได้ยินเสียงลมหายใจ เมณิชานั่งตัวแข็งที่เบาะข้างคนขับ สายตาไม่ละจากสุรวีร์แม้แต่วินาทีเดียว เธอยังจับปืนช็อตไฟฟ้าไว้ในกระเป๋าสะพายแน่น
...และระแวงในทุกลมหายใจ
“คือว่า...พิมพ์...อาต้องสารภาพก่อนว่า...เงินห้าแสน...มันไม่มีจริง...” เสียงแหบพร่าเริ่มเอ่ยขึ้น
“หมายความว่าไงคะ?”
ดวงตาของหญิงสาวเบิกขึ้นเล็กน้อย ขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ
สุรวีร์กลืนน้ำลายเสียงดังก่อนจะพูดต่อ
“อา...พูดเรื่องนั้นเพราะกลัวว่าเธอจะไม่ออกมาหา อาไม่มีทางอื่นแล้ว พิมพ์ต้องฟังอาก่อนนะ อาต้องเจอเธอให้ได้ ต้องบอกให้เธอรู้...”
“แล้วเรื่องชื่อคนที่คิดจะทำร้ายพิมพ์กับลูก...ก็โกหกเหมือนกันใช่ไหมคะ อาต้องการอะไรจากพิมพ์กันแน่” น้ำเสียงของเมณิชาเย็นชาและแข็งกร้าว
“ไม่ใช่แบบนั้น! อาจะบอกเธอจริง ๆ เพราะคน ๆ นั้นจะไม่หยุด ถ้าเธอยังอยู่กับภวิน” สุรวีย์รีบอธิบายเสียงสั่น
“ถ้าอาตั้งใจจะบอกจริง ๆ แค่ส่งข้อความมาก็ได้นี่คะ จะหลอกให้พิมพ์ออกมาเสี่ยงทำไม”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น สุรวีร์ก็เริ่มมีอาการคลุ้มคลั่ง ควบคุมตัวเองไม่อยู่ เขาหันมามองเธอ ดวงตาเบิกโพลง และเสียงที่เปล่งออกมาสั่นสะท้านยิ่งกว่าเก่า
“ไม่...ไม่ได้! ทำแบบนั้นไม่ได้ เขาจะรู้! มันจะมีหลักฐาน!”
“หลักฐานอะไรคะ?”
หัวใจเมณิชาเริ่มเต้นแรง ไม่ใช่เพราะกลัวอย่างเดียว...แต่เพราะรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่ลึกล้ำและดำมืดยิ่งกว่านั้น
สุรวีร์ก้มหน้าลงอย่างลนลาน ก่อนจะกระซิบชื่อหนึ่งออกมาเสียงแผ่ว...
“แพทริเซีย...กับ...”
เสียงหยุดไปก่อนจะเอ่ยคำสุดท้าย ร่างสั่นสะท้านหลังจากพูดจบ มือทั้งสองยกขึ้นมาตบปากตัวเองดังเพียะ ๆ พร้อมกับเสียงแหบพร่าที่พึมพำไม่หยุด
“ไม่พูด...ไม่ควรพูด...อย่าพูด...อย่าพูด...”
“อาวี! หยุดค่ะ! อย่าทำแบบนี้” เมณิชาคว้าแขนของอาเธอไว้แน่น พยายามหยุดการกระทำอันน่ากลัวนั้น
“อาเป็นอะไร! ทำไมต้องทำร้ายตัวเอง!”
“เพราะอา...ไม่อยากผิดกับเธออีก...ไม่อยากทำให้พิมพ์ต้องเจ็บอีก...”
หล่อนพูดเสียงหลง แต่ดวงตาแดงก่ำเต็มไปด้วยความสำนึกผิด
...หรืออาจเป็นเพราะความหวาดกลัวบางอย่าง
ทันใดนั้น เขาก็ผลักเธออย่างแรง จนชนกับประตูฝั่งคนขับ
“ไป! รีบไปพิมพ์! เธอต้องออกไปจากที่นี่ อยู่ให้ห่างจากภวิน อยู่ให้ห่างจากคน ๆ นั้น! หนีไป!”
เมณิชาตกใจจนแทบตั้งตัวไม่ติด แต่สัญชาตญาณสั่งให้เธอรีบคว้ากระเป๋า แล้วผลักประตูลงจากรถ
“รีบไป! เดี๋ยวมันจะมา! ไป!!”
หญิงสาวรีบวิ่งออกจากลานจอดรถด้วยหัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ เสียงตะโกนลนลานของสุรวีร์ยังสะท้อนในหู แต่วินาทีที่เธอเกือบพ้นโซน D ก็มีเสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มเข้ามา
รถตู้สีดำคันหนึ่งขับเข้ามาอย่างรวดเร็ว แล้วจอดลงเบื้องหน้า ชั่วอึดใจประตูรถก็เลื่อนเปิดออก มีชายสองคนก้าวลงจากรถ ทั้งคู่รูปร่างล่ำสัน คนหนึ่งในนั้นตรงเข้ามาคว้าแขนเธอจากด้านหลัง
“ว้าย! ปล่อยฉันนะ!”
เมณิชาตะโกนลั่น ก่อนจะคว้าปืนช็อตไฟฟ้าจากกระเป๋าสะพายอย่างรวดเร็ว แล้วกดมันลงไปที่ท้องของอีกฝ่าย เสียงแผดร้องดังลั่น ชายคนนั้นล้มลงกับพื้น มือกุมท้องกระตุก
แต่ทันใดนั้น ชายอีกคนก็ก้าวมาดักหน้าเธอ พร้อมเอ่ยเสียงต่ำ
“ยอมไปกับพวกเราซะดีๆ แม่สาวสวย...”
“พวกแกต้องการอะไร! ใครใช้ให้พวกแกมา!” เมณิชาตะคอกใส่พร้อม จับปืนช็อตไฟฟ้าด้วยสองมือ ตั้งขู่ไว้ระดับอก
“ยอมไปซะ ก่อนจะเจ็บตัวมากกว่านี้...” เสียงเจ็บปวดปนแค้นของชายอีกคนที่เพิ่งลุกขึ้นจากพื้นแทรกขึ้น
“แกคิดว่าปืนแค่นี้จะทำอะไรพวกฉันได้เหรอ...”
มันพูดเยาะเย้ยอย่างดูแคลนอาวุธเพียงอย่างเดียวในมือเล็ก
“แต่ปืนอันนี้ทำได้ใช่ไหม” เสียงทุ้มอีกเสียงหนึ่งดังแทรกขึ้น
ณัฐกฤษยืนอยู่เบื้องหลังคนที่ขู่เธอ ปืนสั้นในมือเขา จ่ออยู่ที่ศีรษะของชายคนนั้นในระยะประชิด
“ยกมือขึ้น แล้วเดินกลับไปที่รถอย่างช้า ๆ”
สีหน้าของชายทั้งสองซีดเผือด เมื่อเห็นปืนจริงกำลังเล็งใส่พวกเขา จึงยอมทำตามที่สั่ง
จากนั้นณัฐกฤษกวักมือเรียกเมณิชา
“มา ขยับมาทางฉัน”
เธอเดินเข้าไปใกล้เขาด้วยความตื่นตระหนก จนเข้าไปใกล้พอ เขาก็ดึงมือเธอมาจับไว้แน่น ก่อนจะดันร่างบางให้ไปยืนอยู่ข้างหลัง แล้วกระซิบบอกเธอเบา ๆ
“ถ้าฉันบอกว่า 'วิ่ง' เธอต้องวิ่งให้สุดชีวิตนะ รถจอดอยู่ใกล้ทางออก ดูท่าทางมันไม่ได้มีแค่สองคน เราน่าจะเสียเปรียบ”
“ค่ะ...” เมณิชาพยักหน้ารับทันที
แล้วก็จริง...
เสียงเปิดประตูฝั่งคนขับของรถตู้ดังขึ้นพร้อมร่างของชายอายุราวสี่สิบ ผมแสกกลาง ใบหน้าครึ่งหนึ่ง ถูกปกปิดด้วยแมสสีดำ มือข้างหนึ่งถือปืนพกก้าวลงมาจากรถ
“มึงคิดว่ามึงแน่อยู่คนเดียวเหรอวะ...”
เขาคือ 'วินัย' แต่คนทั้งคู่ไม่รู้จักเขา มีเพียงคนในรถคันสีแดงที่รู้ว่าเขาจะมาที่นี่ เพราะทุกอย่างถูกวางแผนจัดฉากมาทั้งหมด และสุรวีร์ก็ถูกเขาชักนำบงการเหมือนเช่นทุกครั้ง
วินัยยกปืนขึ้นเล็งมาที่ณัฐกฤษทันที แต่ณัฐกฤษกดไกยิงสวนออกไปก่อน เสียงปืนดังสนั่น กระสุนเจาะพื้นซีเมนต์ห่างจากปลายเท้าวินัยไปไม่ถึงฟุต ทำให้ทั้งสามคนสะดุ้ง แล้วรีบวิ่งหลบไปที่รถ
“วิ่ง!!” ณัฐกฤษตะโกนสั่ง
เมณิชาไม่ลังเล วิ่งสุดแรงเกิดมุ่งไปยังรถที่เขาจอดไว้ไม่ไกล เสียงกระสุนจากวินัยดังตามหลัง
เปรี้ยง!!
ทั้งสองก้มหัวหลบโดยอัตโนมัติ ก่อนที่ณัฐกฤษจะพุ่งขึ้นนั่งในรถก่อน และเมณิชารีบขึ้นตามมาอย่างปลอดภัย
“นั่งให้ดี ๆ นะ!!”
เขาเหยียบคันเร่งเต็มแรง รถพุ่งออกจากลานจอดรถราวกับกระสุนที่ถูกปล่อยจากลำกล้อง โดยมีรถตู้ของวินัยติดตามออกมาไม่ห่าง
เสียงเครื่องยนต์คำรามก้องขณะรถของณัฐกฤษพุ่งทะยานออกจากลานจอดรถ ความเร็วพุ่งทะลุขีดจำกัด เหงื่อซึมเต็มหน้าผากชายหนุ่ม เขาเหลือบมองกระจกมองข้างอีกครั้ง เพื่อแน่ใจว่ารถตู้สีดำนั่นยังไล่ตามมาอยู่หรือไม่
"คุณณัฐ...แขนคุณเลือดออก!"
เสียงของเมณิชาดังขึ้นอย่างตระหนก เมื่อเธอสังเกตเห็นหยดเลือดสีเข้มไหลจากต้นแขนของเขา หยดลงตรงกลางเบรกมือทีละหยดจนเป็นวง ณัฐกฤษกัดฟันแน่น มือที่จับพวงมาลัยกระชับขึ้น
“แค่โดนถาก ไม่ถึงกับร้ายแรง”
“ไม่ได้ค่ะ! เราต้องไปโรงพยาบาล!”
“ไม่ได้ เราต้องไปโรงพักก่อน เพื่อความปลอดภัยของเธอ”
น้ำเสียงของเขาหนักแน่นจนเมณิชานิ่งไป เธอรู้ว่าเขาไม่ได้คิดถึงตัวเองเลยแม้แต่น้อย เธอเม้มริมฝีปาก แล้วพยักหน้าเบา ๆ
"ก็ได้ค่ะ...งั้นไปโรงพักก่อน"
ไม่นาน รถยนต์สีดำก็แล่นเข้าจอดตรงหน้าสถานีตำรวจใกล้ ๆ ขณะนั้นเองที่รถตู้สีดำ ซึ่งตามมาไม่ทัน ได้หยุดอยู่ไกลออกไปตรงสามแยก ก่อนจะรีบวกกลับอย่างเร่งรีบ กลืนหายไปในถนนอีกสาย
ณัฐกฤษจอดรถด้วยแรงเบรกอันเฉียบคม เมณิชาเปิดประตูลงทันที แล้วรีบพยุงเขาออกจากฝั่งคนขับ แขนของเขาเริ่มชาเพราะเสียเลือด แม้เจ้าตัวจะยังฝืนยืน แต่เธอรู้ว่าเขาอดทนเป็นอย่างมาก
"คุณณัฐ...อย่าบอกเรื่องนี้กับใครนะคะ" เมณิชากำชับเสียงเคร่ง
"ห้ามให้เป็นข่าว...พิมพ์ไม่อยากให้คุณภวินรู้ แล้วก็ไม่อยากให้พ่อกับแม่เป็นห่วง"
ณัฐกฤษพยักหน้า
"ฉันเข้าใจ...เราจะแจ้งความกันเงียบ ๆ ไม่ออกสื่อ"
“ขอบคุณค่ะ...” เมณิชาขอบคุณเขาจากใจ ก่อนจะรีบประคองเขาเข้าไปในอาคาร
ทันทีที่เข้าไปในด้านในสถานีตำรวจ เธอไม่พูดไม่จา รีบเดินตรงไปที่โต๊ะเจ้าหน้าที่ ก่อนจะพูดอย่างเด็ดขาด
"ขอชุดปฐมพยาบาลค่ะ เขาบาดเจ็บ"
ตำรวจเวรประจำสถานีรีบลุกขึ้นหยิบชุดกล่องแดงมาให้ เธอคว้าไปทันทีแล้วพาณัฐกฤษไปนั่งที่มุมโซฟารับแขกมุมหนึ่งของสถานี
มือเรียวของเมณิชาสั่นเล็กน้อยขณะเปิดกล่องออก เธอหยิบแอลกอฮอล์สำลีออกมาเช็ดรอบแผลที่เลือดยังซึมไม่หยุด
“โชคดีนะคะที่มันแค่ถาก...ไม่อย่างนั้น...” เสียงของเธอสั่นลงเล็กน้อย
ณัฐกฤษยกมืออีกข้างแตะมือเธอเบา ๆ
“ฉันไม่เป็นไรหรอก ...พิมพ์ ไม่สิ คุณเมย์…คุณไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”
แววตาของเขาจริงจัง สะท้อนแสงบางอย่างที่มากกว่าแค่ความห่วงใย แต่ในนาทีนี้ เมณิชาเลือกจะไม่ตอบ เธอแค่เงยหน้าขึ้น แล้วกัดริมฝีปาก ก่อนจะบรรจงพันผ้าพันแผลให้เขาแน่นพอดี
"เสร็จแล้วค่ะ..."
เธอไม่รู้หรอกว่า เขาโผล่มาช่วยเธอได้ยังไง
...เธอรู้แค่ว่าเธอรอดมาได้เพราะ 'ณัฐกฤษ'
.....คนที่เธอเคยนึกสงสัยมาตลอดว่าเขาหวังดีกับเธอจริงไหม ทั้งเมื่อสี่ปีก่อนและตอนนี้...
*****