อบิเกล เด็กที่มีชีวิตที่ไม่เหมือนใคร เธอต้องตะลุยไปตามสถานที่ต่างๆ กับอาของเธอจนกระทั่งวันหนึ่งที่กับมาบ้านแล้วเธอก็ได้พบกับจดหมายที่เธอไม่คาดคิด จดหมายนี่จะเปลี่ยนชีวิตของเธอที่เธอไม่รู้จักอีกมากมาย
แฟนตาซี,ชาย-หญิง,รั้วโรงเรียน,ตะวันตก,อื่นๆ,แฟนฟิค,แฟนฟิคแฮร์รี่พอตเตอร์,เวทมนตร์,ฮอกวอตส์,รุ่นลูก,คาถา,แฮร์รี่พอตเตอร์,เด็กหญิงผู้รอดชีวิต,YukiCoCo,แฟนตาซีน,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
[Fanfiction Harry Potter รุ่นลูก] เด็กหญิงผู้รอดชีวิตอบิเกล เด็กที่มีชีวิตที่ไม่เหมือนใคร เธอต้องตะลุยไปตามสถานที่ต่างๆ กับอาของเธอจนกระทั่งวันหนึ่งที่กับมาบ้านแล้วเธอก็ได้พบกับจดหมายที่เธอไม่คาดคิด จดหมายนี่จะเปลี่ยนชีวิตของเธอที่เธอไม่รู้จักอีกมากมาย
++คำอธิบายจากนักเขียน++
สวัสดีทุกคนนะคะ ขอต้อนรับสู่อีกเรื่องที่เป็นแนวนิยายฟิครุ่นลูกอีกเรื่อง
เรื่องนี้ทุกคนก็น่าจะรู้จักก็คือเรื่อง แฮร์รี่ พอตเตอร์ ผู้เขียน เจ.เค.โรว์ลิง
เนื้อเรื่องนิยายครั้งนี้ก็เหมือนเคยไรท์อยากสนองฮีทของตัวเองเลย
สร้างเรื่องนี้ขึ้นแต่งรุ่นลูกของแฮร์รี่ขึ้น อันนี้จะแตกแขนงจากละครเวทีอย่างเรื่องเด็กต้องสาป
มาอีกทีเหมือนโลกคู่ขนามอีกโลกหนึ่ง เนื้อเรื่องอาจจะมีปวดตับมั้งหรือเปล่านะ
แต่ถ้าใครไม่ชอบก็ขอประทานอภัยกับเนื้อเรื่องที่ทางไรท์ต้องการนะคะ
บทนำของเรื่อง
อบิเกล เด็กสาวที่มีชีวิตที่ไม่เหมือนใคร เธอนั้นได้เดินทางไปกับอาของเธอโดยไม่รู้ว่าต้องออกเดินทางเพราะไร จนพวกเขาตั้งหลักได้แล้วก็กลับมายังลอนดอนอีกครั้งและใช้ชีวติจนเวลาผ่านไปนานจนอบิเกลได้อายุ 11 ปี พวกเขากลับมาจากทำงานแล้วกลับมาบ้าน แต่แล้วอบิเกลต้องดีใจที่เธได้ จดหมายจากโรงเรียนเวทมนตร์ ฮอกวอตส์ แต่เธอไม่รู้ว่าชีวิตของเธอกำลังจะเปลี่ยนไป เมื่อเข้าสู้โรงเรียนแห่งนั้น
เรื่องนี้เชื่อมโยงกับโลกเทพปกรณัมกรีกในนิยายแฟนฟิคของเรา
อย่างเรื่อง สายเลือดแห่งโพไซดอนที่หายสาบสูญ นะคะ
ไปติดตามกันได้นะ
ปล. เรื่องนี้เป็นนิยายฟรี ไม่อาจะคาดเดาในวันที่จะลงได้
ตอนที่ 15 ส่งข่าวเล็กน้อย
อาทิตย์หนึ่งผ่านไปไวอย่างโกหก อบิเกลกำลังเผชิญกับบทเรียนที่เธอเคยร่ำเรียนจากเหล่าผู้ใหญ่ที่เธอรู้จัก ถึงมีบางอย่างต้องเรียนรู้และจดเพื่อทดสอบบทเรียนนั้น แต่ก็เป็นอะไรที่เธอนั้นอยากข้ามขั้นจากปีหนึ่งไปอยู่ปีต่าง ๆ เสียมากกว่าจะได้ออกไปผจญภัยข้างนอกเร็วขึ้น แต่ระหว่างหนึ่งอาทิตย์ที่เธออยู่ก็มีทั้งเรื่องสนุกและเรื่องน่ารำคาญจากบางกลุ่มที่จะเข้ามาวุ่นวายกับเธอตลอด แต่หารู้ไหมว่าเธอก็ดักทุกทางที่ตรงเข้ามาหาเธอ เช่น สลับหม้อปรุงยา ร่ายคำสาปไม้กวาดของเธอ แอบวางยาใส่ในแก้วน้ำตอนทานอาหาร และการรังแกอะไรอีกมากมายที่เธอเจอ แต่เธอก็ดักทางได้ตลอด แต่เธอต้องการช่วงเวลาผ่อนคล้ายมั้งนี่สิ
และแล้ววันหนึ่งเธอได้รับจดหมายจากอาสก็อตที่ห้องทานอาหาร ข้อความของอาสก็อตมีเพียงถามความสุขสบายว่าเป็นไงมั้ง นั้นทำให้เธอรู้สึกดีที่อีกฝ่ายยังไม่ลืมเธอยังถามไถ่และเล่าสิ่งต่าง ๆ เกี่ยวกับสารเหลวดำมืดนั้นว่าส่วนประกอบมันมีพวกสมุนไพรเวทมนตร์แต่ก็ยังมีสิ่งที่ไม่ใช่เวทมนตร์ผสมอยู่นั้นทำให้อธิบายไม่เข้าใจว่ามันจะเป็นอะไรอีกหรือว่าผสมเวทมนตร์เข้าไปด้วยเหรอนั้นทำให้เธอต้องเขียนจดหมายตอบกลับไปว่าอะไรกันแน่ที่อยู่ในส่วนผสมนั้น ครั้งนี้อุตส่าห์มีทดลองที่เยอะกว่าทุกที แต่สิ่งที่ได้ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นเลยจริง ๆ อบิเกลได้โอกาสหาที่ผ่อนคลายเธอเดินไปตามทางตรงดิ่งไปยังหอคอยนกฮูก เพื่อนำจดหมายไปส่งให้อาสก็อต เธอเดินจนมาถึงหอคอยที่เหล่านกฮูกกำลังพักผ่อนกันอยู่ข้างใน เธอเดินจนมาถึงชั้นบนสุดก็เห็นเฮดวิกกำลังกางบินดีใจที่เห็นเธอ
“ไง...ขอโทษที่ต้องให้มารอในอากาศแบบนี้นะ” อบิเกลเข้าไปลูบตัวมันเบา ๆ และจูบมันที่ศีรษะ “อีกไม่กี่เดือนจะหนาวแล้วนะ แกก็อยู่ในห้องนอนสบาย ๆ นะ”
“ฮูก~”
“เอาล่ะ ฉันฝากจดหมายให้อาสก็อตหน่อยนะ”
“ฮูก~” เฮดวิกงับจดหมายจากมือของอีกฝ่ายก่อนจะเตรียมตัวบินออกไปจากตรงนั้น
อบิเกลจ้องมองภาพนกน้อยของเธอกำลังบินออกไป เธอนึกถึงอาสก็อตว่าตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่ทานข้าวหรือยัง
“คุณอากำลังทำอะไรอยู่นะ?”
เสียงพึมพำของอบิเกลหยุดลงเมื่อมีเสียงหนึ่งกำลังเดินตรงมาพร้อมกับสายตาสีฟ้าอ่อนกำลังจ้องมองมาทางเธอ เสียงเข้าประสาทหูของเธอนั้นทำให้รับรู้ว่าการเดินนั้นเป็นของใครก่อนจะเอ่ยพูดขึ้น
“มาตามฉันเหรอ? สกอร์เปียส”
“อ๊ะ...” สกอร์เปียสที่กำลังเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายที่กำลังก้มมองเขาด้วยรอยยิ้มอันสดใสก็ทำเอาเขางงว่าอีกฝ่ายรู้ได้ไงว่าเขากำลังเดินมา ”รู้ได้ไงว่าเป็นฉัน?”
“เสียงฝีเท้านาย...นายชอบเดินด้วยปลายเท้าเสมอ”
“ว้าว...สมกับเป็นเจ้าหน้าที่ของกระทรวงสุด ๆ”
“คิก ๆ ไม่ใช่แค่เป็นเจ้าหน้าที่จะมีความสามารถแบบนั้น นายฝึกก็เป็นได้เช่นเดียวกัน”
“จริงเหรอ?”
“ใช่” อบิเกลค่อย ๆ เดินลงมาจากหอคอยช้า ๆ แต่ระหว่างนั้นก็ถามอีกฝ่าย “แล้วนายมาทำอะไรแถวนี้นะ?”
“อ๋อ...ฉันกำลังคิดว่าเธอหายไปไหนหลังจากได้จดหมายเธอดูเคร่งเครียดมาก...งานเหรอ?”
“ไม่เชิงนะ...”
“หรือว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้”
“นายนี่จะเดาจนกว่าฉันจะบอกเหรอ?”
“เราเป็นเพื่อนกันนี่น่า...เรามีปัญหาอะไรต้องพูดคุยกันดีที่สุด”
อบิเกลได้ยินแบบนั้นก็ได้แต่ยิ้ม ก่อนที่เธอจะเดินลงมาถึงพื้นแล้วเดินไปหาอีกฝ่าย “ก็...มีส่วนที่เกี่ยวกับเรื่องเมื่อไม่นานมานี้...แต่...มันยากที่เด็กแบบนายจะเข้าใจ”
“ทำอย่างกับเธอเข้าใจ?”
“ฉันเข้าใจว่ามันอะไรแต่ว่ายังหาทางแก้ไม่ได้...”
“มันร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอ?” สกอร์เปียสขมวดคิ้วอย่างสงสัย
“ใช่...นายคงไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น แต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นเคยพรากชีวิตของหลายคนมาเยอะตั้งแต่พ่อมดแม่มดจนไปถึงพวกมักเกิ้ล”
“แย่มากเลยนะ...”
“ใช่...แล้วฉันเกือบเสียสมาชิกในกลุ่มไป...พวกเขาเหมือนครอบครัวที่ฉันอยู่มาด้วยตลอด...ถึงแม้บางคนฉันจะจำไม่ค่อยได้ เพราะคนในหน่วยเยอะไปก็ตามที”
“หน่วยเธอคนเยอะเหรอ?”
“อืม...ส่วนใหญ่จะมาอยู่หน่วยเราเยอะน่านะ บางคนยังขอย้ายจากหน่วยอื่นมาหน่วยเราเลยนะ”
“ขนาดนั้นเชียว...” สกอร์เปียสแอบแปลกใจที่มีคนอยากไปอยู่หน่วยสัตว์วิเศษมากกว่าหน่วยมือปราบมารก่อนที่เขาจะคิดบางอย่างได้ “จริงสิ...กลับโรงเรียนดีกว่านะ...พวกเอวากำลังตามหาเธออยู่นะ”
อบิเกลได้ยินชื่อของเพื่อนสาวก็ทำหน้าเซ็ง ๆ ว่าถ้าเข้าไปในโรงเรียนมีหวังโดนรวบตัวไม่ให้เดินไปไหนแน่ ๆ พวกสาว ๆ ต่างเป็นห่วงเป็นใยเธอเกินไปจนน่ารำคาญมาก ๆ สกอร์เปียสเห็นสีหน้าอีกฝ่ายก็หัวเราะออกมาหน่อย ๆ
“ฮ่า ๆ กำลังหนีจากพวกเอวาสินะ...พวกเธอดูปกป้องเวลามีคนเข้าใกล้เธอสุด ๆ”
“เหอะ ๆ ฉันอยากขอบใจพวกเธอนะที่ห่วงใยฉัน แต่ว่าฉันดูแลตัวเองได้นะ”
“น่า เธอเป็นที่รักของทุกคนนะ”
“ไม่ใช่ทุกคนเสมอไป สกอร์เปียส กลับกันเถอะ” อบิเกลเตรียมตัวเดินไปข้างหน้าทันที
“สักวันเธอจะเป็นที่รักของทุกคน ฉันเชื่อแบบนั้นเธอเป็นแสงสว่างให้ผู้คนได้นะ”
“แสงสว่าง?” อบิเกลได้ยินคำนั้นก็มองอย่างสงสัยว่าจะเป็นแสงสว่างให้ใครได้กัน
สกอร์เปียสยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ที่อีกฝ่ายนั้นงุนงงกับคำพูดของเขา แต่เขาเชื่อว่าอีกฝ่ายจะเป็นแสงสว่างให้ทุกคนเช่นเดียวกับเขาที่เคยมีเวลาที่มืดมนแต่อีกฝ่ายก็เข้ามาและเป็นแสงสว่างให้เขาเช่นเดียวกัน อบิเกลมองอีกฝ่ายที่ยิ้มอย่างมีความสุขโดยที่เธอไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีความสุขอะไร ทั้งสองเดินไปตามทางเรื่อย ๆ เธอก็กำลังนึกบางอย่างก็ลองใช้นิ้วนับบางอย่างก่อนจะเอ่ยพูดขึ้นมา
“แต่ว่านะ...”
“อะไรเหรอ?”
“เร็วดีเนอะ...อาทิตย์เดียวเองที่เราอยู่ฮอกวอตส์”
“ใช่...มันไวมากกกก...จนฉันก็ประหลาดใจ...”
“แล้ว...พ่อแม่นายส่งข้อความอะไรมาให้ไหม?”
“ส่งสิ…ถามไถ่ว่าเป็นไง...มีใครแกล้งไหม? ได้เพื่อนใหม่ไหม? ฉันก็ตอบไปตามตรง แต่ไม่รู้ว่าท่านจะคิดยังไง...ถึงพ่อจะใจดีบ้างเป็นบางครั้งนะ”
“พ่อนาย...คนที่...”
“ใช่...เขาเคยเป็นผู้เสกความตาย...แต่...เขากลับตัวทัน...แต่การมีร่องรอยของพวกนั้น...ก็ทำให้ท่านอยู่ในวงสังคมลำบาก แต่ท่านก็ยังยึดมั่นในศักดิ์ศรีของเขาและต่อสู้จนถึงทุกวันนี้ได้...พ่อฉันมีแม่อยู่ข้าง ๆ เสมอ...ถึงแม้ท่านจะป่วยก็ตามที”
“หือ? แม่นายป่วยเหรอ?”
“อืม ป่วยมานานแล้ว...รักษาเท่าไหร่ก็ไม่หาย...แต่เราก็เฝ้าระวังสุขภาพของท่านกำเริบเสมอ”
“แย่ขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“ก็...” สกอร์เปียสไม่รู้จะตอบยังไง
“ขอให้มีทางรักษาท่านได้นะ สกอร์เปียส”
“ขอบคุณนะ”
ทั้งสองกำลังพูดคุยกันระหว่างเดินอยู่นั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาแซงการสนทนาของทั้งสองคน
“แหม ๆ ดูสิว่าใคร~”
อบิเกลกับสกอร์เปียสหันไปมองต้นเสียงก็เห็นเด็กชายที่พวกเธอไม่อยากเจอเท่าไหร่ ก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดต่อ
“ลูกฆาตกรกับ...ลูกของอาชญากร”
อบิเกลกลอกตาไปด้านข้างด้วยความไม่ชอบใจกับการกระทำอันโง่เหงาที่ชอบใช้ฝีปากมากกว่าอะไรจนเธออยากเก็บภาพอีกฝ่ายทุกฉากใส่กล่องไปถวายให้พ่อแม่อีกฝ่ายเห็นพฤติกรรมของลูกจริง ๆ ว่าเลี้ยงมาแบบไหน อบิเกลหาวสักหนึ่งรอบก่อนจะหันไปคุยกับสกอร์เปียส
“นี่ สกอร์เปียส”
“อะไรเหรอ?”
“เมื่อกี้...นายได้ยินเสียง...นก...เสียงกา...แถวนี้ไหม? น่ารำคาญชะมัด!!”
อบิเกลเน้นคำว่าเสียงนกเสียงกาต่อหน้าอีกฝ่าย ทำเอาสกอร์เปียสที่อยู่ข้าง ๆ ตอบไปไม่เป็นเลยว่าเพื่อนของเขากำลังยียวนประสาทฝ่ายตรงข้ามอยู่ ทำเอาฮิวโก้ที่ได้ยินคำพูดอีกฝ่ายก็รู้สึกใบหน้าของเขาแดงก่ำขึ้นมาในทันใดอย่างโกรธเคือง
“นี่เธอ! กล้าว่าใครเป็นนกเป็นกากัน!!”
“ฉันพูดไหมล่ะ? ว่าฉันพูดถึงชื่อนายเหรอ?” อบิเกลกล่าวถามอย่างสงสัย แต่สีหน้าของเธอก็กวนประสาทอีกฝ่ายมาก ๆ “ดูท่านายจะว่างมากนะ นายหัวแดง”
“หัวแดง!?”
“หรือว่าจะให้เรียกว่า...รังนกดีล่ะ? สีคล้ายดีนะ!”
“ว่าไงนะ!! ยัยบ้านี้!!”
ฮิวโก้จะพุ่งเข้าหาอีกฝ่าย อบิเกลเห็นก็อยากพุ่งใส่แต่เพื่อนทั้งสองฝ่ายต่างเข้ามาห้าม เพราะสองคนนี้ปะทะกันก็ต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะโดนหักคะแนน เพราะการทะเลาะนี้แน่ ๆ
“อบิเกลอย่าไปหาเรื่องคนบ้าสิ!!!” สกอร์เปียสเปรียบอีกฝ่ายเป็นคนสติไม่ดีคนหนึ่ง
“แกว่าไงนะ!? เจ้าผมขาว!! พ่อแกมันก็แค่คนขี้ขลาดที่ไปมุดอยู่ใต้ผ้าของศาสตรามืดคิดเหรอว่าพ่อแกจะไม่กลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมอีกนะ!!”
อบิเกลได้ยินแบบนั้นเธอยกไม้กายสิทธิ์ชี้หน้าอีกฝ่ายทันที “ถ้าแกยังพูดอย่างกับเพื่อนฉันและลามไปถึงพ่อแม่เขา ปากแกได้โดนเย็บจนพูดไม่ได้แน่!! วีสลีย์!!”
ฮิวโก้มองไม้ของอีกฝ่ายที่ชี้มาทางเขา เขาจ้องมองเธอที่จ้องมองเขาด้วยสายตาอาฆาต แต่สายตานั้นทำให้เขานึกถึงญาติของเขาที่เสียไป ดวงตาที่สดใสกำลังจ้องมองเขาด้วยสายตาอาฆาต
‘แอ๊บบี้...’ ฮิวโก้คิด
อบิเกลจ้องมองอีกฝ่ายสักพักก่อนที่จะจับตัวสกอร์เปียสแล้วพากันเดินออกจากตรงนั้นด้วยอารมณ์ที่ไม่พอใจ ใครมั้งที่จะรู้สึกดีที่มีคนพูดถึงพ่อแม่ของตนเองที่อุตส่าห์กลับตัวเป็นคนดีแล้ว แต่ยังมีคนตราหน้าบาปที่พวกเขาเคยก่อเรื่อง แต่นั่นอดีตไปแล้วเราไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ปัจจุบันต่างหากที่สามารถแก้ได้ทำให้อนาคตมันดีขึ้น อบิเกลเงยหน้ามองสกอร์เปียสที่มีสีหน้าซึมเธอก็เอ่ยถามเขา
“นายไม่เป็นไรนะ?”
“…” สกอร์เปียสไร้การตอบโต้นั้นทำให้อบิเกลเป็นห่วงก่อนที่จะหยุดเดินแล้วจับหน้าอีกฝ่าย
“สกอร์เปียส!!”
“อ๊ะ...! อบิเกล...”
“ไม่เป็นไรนะ?”
“ไม่เป็นไร...แค่...คำพูดนี้ยัง...น้อยกว่าปกติที่ได้ยิน...แต่มันก็...”
“รู้สึกจุกข้างในใช่ไหม?”
“อืม” สกอร์เปียสพยักหน้าเบา ๆ
อบิเกลเข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังเจอกับอะไร แต่เราหยุดปากพวกนั้นไม่ได้แต่ว่าสักวันจะหยุดมันได้ด้วยการกระทำของตนเอง เธอปลอบใจเขาก่อนจะพาเขากลับไปยังโรงเรียน ระหว่างนั้นเองที่พวกเธอกำลังเดินนั้นก็ต้องสะดุ้งที่เกือบชนบางคน แต่พอพวกเธอเงยหน้าก็ต้องเจอกับบุคคลที่พวกเธอไม่คาดคิดจะเจอ อบิเกลเห็นอีกฝ่ายก็จำได้ว่าเคยเจอเธอตอนอยู่ที่โรงอาหารหนึ่งในญาติผู้พี่ของฮิวโก้ โดมินิค วีสลีย์
“ขอโทษค่ะ รุ่นพี่วีสลีย์”
อบิเกลกล่าวขอโทษอีกฝ่ายที่เธอเกือบชนอีกฝ่าย สายตาอีกฝ่ายจ้องมองเธอด้วยสายตานิ่งเฉยนั้นก่อนที่อบิเกลเห็นว่าควรเดินต่อหน้าจะดีกว่า
“สวัสดียามบ่ายนะคะ แล้วก็ขอตัวค่ะ!”
อบิเกลผ่านอีกฝ่ายไปพร้อมกับสกอร์เปียส หญิงสาวจ้องมองทั้งสองคนเดินจากไป เธอยังคงจ้องมองเด็กหญิงที่กำลังเดินออกมาด้วยสายตามุ่งมั่น
“ทำไม...เหมือนเด็กคนนั้นจัง...”
โดมินิคจ้องมองอบิเกลที่เดินออกไปทางด้านอบิเกลก็เดินเข้ามายังโซนโรงเรียนเธอก็ถอนหายใจหลายครั้ง เธอไม่นึกว่าวันนี้จะมีปัญหากับตัวปัญหาแถมยังไม่จ๊ะเอ๋กับญาติผู้พี่อีกฝ่ายอีก ดีที่อีกฝ่ายไม่มาเห็นเหตุการณ์ก่อนหน้าว่าเธอนั้นไปโต้ตอบกับญาติอีกฝ่าย
“เมื่อกี้นึกว่าจะต้องมีปัญหาเสียแล้วสิ”
“พี่สาวคนนั้นก็น่ากลัวนะ จ้องพวกเราอย่างจะกินกันนะ”
“ก็แค่จ้องละนะยังไม่ได้ทำอะไร”
“แต่...”
“ช่างมันเถอะ เอาล่ะตอนนี้ใกล้จะเข้าเรียนวิชาต่อไปแล้ว...วิชาต่อไปคืออะไรนะ?”
“วิชาปรุงยา”
“อ๊ะ...”
อบิเกลได้ยินแบบนั้นก็ตาลุกวาว ว่าเธอเข้าหลังจากพวกปีห้าเรียนไหม เพราะว่ามีวันหนึ่งเมื่ออาทิตย์ก่อนพวกเธอเข้าเรียนวิชาปรุงยาแล้วพวกรุ่นพี่ที่เคยหาเรื่องเธอสร้างความวุ่นวายไว้หลังจากพวกเธอเรียนได้สิบนาที ดีที่แก้สถานการณ์ได้ไว ไม่งั้นคงไม่เรียนต่อ แล้วดีที่อาจารย์ที่สอนอย่างอาจารย์ซลักฮอร์นไม่โทษเด็กในห้อง เพราะเขาตรวจสอบได้ว่าใครเป็นคนก่อเรื่องขึ้น แล้วพวกที่ก่อเรื่องก็คงไม่คิดว่าพวกอาจารย์สามารถดูสถานการณ์ก่อนหน้าได้ว่าเกิดอะไรขึ้นครั้งนี้ขออย่ามีเรื่องแบบนั้นอีกละกัน
ทั้งสองคนก้าวขาเดินตรงไปข้างหน้าพอเลี้ยวหัวมุมก็ต้องหยุดชะงักกับเสียงฮือฮาตรงหน้าทำให้อบิเกลกับสกอร์เปียสมองหน้ากันอย่างสงสัยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นก่อนจะมีเสียงโวยวายอย่างเจ็บปวดออกมาจากห้องปรุงยา พวกนักเรียนปีหนึ่งทั้งสี่บ้านต่างให้ความสนใจกันมาก ๆ จนอบิเกลตรงขอเข้าไปดูเช่นกัน เพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เธอพยายามเปรียบเข้าไปในกลุ่มนักเรียน สกอร์เปียสก็เปรียบตามเข้าไปจนอบิเกลเปรียบไปเจอกับเพื่อนทั้งห้าคนของเธอ
“มันเกิดอะไรขึ้นนะ?”
เด็กหญิงทั้งห้าคนต่างหันมามองอบิเกลและสกอร์เปียสที่กำลังเดินเปรียบเข้ามา ลูน่าเอ่ยพูดขึ้นมาทันที
“รุ่นพี่ปีห้าที่มาเรียนก่อนเราได้รับบาดเจ็บนะ”
“ข้างในโคตรน่ากลัวเลยอ่ะ...” เอวากล่าว
อบิเกลได้ยินแบบนั้นก็รีบเปรียบตัวเข้าไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“อบิเกล!?”
“อบิเกลไม่ต้องเข้าไปหรอกน่า” สกอร์เปียสเตือนอีกฝ่าย
เสียงเตือนไม่ได้ผลกับเธออีกตามเคย การเป็นเจ้าหน้าที่กระทรวงทำให้เธอชอบไปเจอเรื่องมีปัญหาตลอดถึงเธอรู้ว่าบางอย่างจะไม่ใช่สิ่งที่เธอช่วยได้ก็ตามที พอเธอเดินมาถึงด้านหน้าก็ได้เห็นภาพสถานการณ์ตรงหน้าที่มีหญิงสาวบ้านเรเวนคลอคนหนึ่งกำลังจับแขนตัวเองและร้องไห้อย่างเจ็บปวดโดยมีเพื่อนบ้านเดียวกำลังปลอบโยนกับสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังเจอ อาจารย์ซลักฮอร์นกำลังใช้น้ำยาที่อยู่ตามชั้นมาเทบนมือเด็กหญิง แต่มันไม่ได้ผลแต่อย่างใด นั้นยิ่งทำให้เธอเจ็บปวดมากกว่าเดิม อบิเกลเห็นว่าบาดแผลของอีกฝ่ายนั้นมันน่าจะรุนแรงกว่าน้ำมันดิตทานี อบิเกลกำลังวิเคราะห์ว่าจะทำอะไร แต่หางตาของเธอหันไปมองพวกบ้านสลิธีรินคู่อริของเธอกำลังซุบซิบบางอย่างนั้นทำให้เธอสงสัยว่าเรื่องนี้อาจจะเป็นเพราะพวกนั้น เธอกำลังหยิบบางอย่างออกมาวางบนพื้น ก่อนจะวิ่งตรงไปทางผู้บาดเจ็บ
“อาจารย์ไม่สามารถรักษาได้ใช่ไหมคะ?” อบิเกลเอ่ยถามจนอาจารย์ซลักฮอร์นหันมามอง
“คุณเมอร์รัล! ใช่ ฉันสงสัยเหมือนกันว่าทำไม”
“ได้โปรด...มือฉัน...”
อบิเกลมองมือของรุ่นพี่แผลเหมือนการระเบิด แต่ว่ามันมีส่วนผสมอะไรมั้ง
“เมื่อกี้มันระเบิดเป็นสีอะไรนะคะ?”
“ฉันจำไม่ได้...”
“ฉันจำได้นะ!! มันเป็นสีชมพูนะ!!”
“สีชมพูสินะ...”
อบิเกลกำลังครุ่นคิดนอกจากขนนกของสัตว์วิเศษตัวหนึ่งแล้วยังมีทั้งดอกไม้และสมุนไพรหลายอย่างที่จะทำให้เกิดควันสีชมพูได้ อบิเกลครุ่นคิดไม่นานก็หยิบวัตถุดิบออกมาเตรียมผสมตรงนั้นอย่างรวดเร็ว แล้วใส่ในหลอดแก้วขนาดใหญ่อันหนึ่งจนเกิดยาสีชมพู ทุกคนต่างมองสงสัยว่าเด็กน้อยกำลังทำอะไร อบิเกลก็เอาน้ำยามาเทลงบนบาดแผลอีกฝ่ายไม่นานแผลก็สมานอย่างช้า ๆ แผลที่แหว่งก็กำลังสร้างตัวมันจนทำให้มือของอีกฝ่ายกำลังกลับเป็นปกติ
“มือฉัน...”
“วิเศษมาก!!” อาจารย์ซลักฮอร์นต่างตะลึงกับสิ่งที่เห็น
“เฮ้อ...บาดแผลบางอย่างมันใช้น้ำยาปกติหรือน้ำมันดิตทานีไม่ได้...เพราะเดียวนี้ชอบมีการผสมของที่ไม่ได้มาจากโลกของเราเยอะเลยนะคะ”
“พูดจริงสิ...ถ้าแบบนี้...เธอไม่รักษาให้ฉันละก็...”
“รุ่นพี่อาจจะต้องเสียมือข้างซ้ายนี้ไปเลยค่ะ”
“!!!”
พวกบ้านเรเวนคลอต่างอ้ำอึ้งถ้าไม่มีเด็กคนนี้อยู่ตรงนี้ เพื่อนร่วมบ้านของพวกเขาคงจะต้องสูญเสียมือไปข้างแน่ ๆ
“ขอบคุณนะ...ถ้าไม่ได้เธอฉันคง...”
“เรื่องเล็กน้อยค่ะ ยังไงเราก็เป็นนักเรียนฮอกวอตส์เหมือนกันก็ต้องช่วย ๆ กันนะคะ” อบิเกลยกยิ้มให้อีกฝ่าย
พวกบ้านเรเวนคลอต่างมองรอยยิ้มอีกฝ่ายทำให้คิดเลยว่าเด็กตรงหน้าไม่น่าอยู่บ้านสลิธีรินเลยสักนิด แต่ตอนนี้พวกเธอคงต้องปรับทัศนคติใหม่เกี่ยวกับเด็กบ้านสลิธีริน แต่เฉพาะบางคน ระหว่างที่อบิเกลกำลังช่วยรักษาห่างออกไปพวกแม็กนัสกำลังจ้องมองอบิเกลด้วยสีหน้าไม่พอใจที่อีกฝ่ายเข้ามาวุ่นวายกับเหตุการณ์ตรงหน้าจนพวกเขาเริ่มซุบซิบขึ้นมา
“ยัยเด็กนั้นเสือกไม่เข้าเรื่อง!! น่าจะปล่อยยัยบ้านเรเวนคลอแม่งมือเมื่อย!! ดันมายุ่งกับขวดยาฉันเอง!!” แม็กนัสจ้องมองไปทางด้านหลังของอบิเกลด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“ใจเย็น ๆ แม็กนัส” หญิงสาวในกลุ่มคนหนึ่งจับไหล่อีกฝ่ายด้วยสีหน้าใจเย็นและปลอบชายหนุ่มให้ใจเย็น ๆ “นายเองก็ผิดไปตั้งใกล้ ๆ หม้อปรุง แล้วเป็นไงล่ะ!?”
“ใครคิดว่าจะมีคนโง่แถวนี้ไปยุ่งกับมัน”
“จริงด้วยนะ พวกที่เสือกมาแถวฝั่งเราก็ชอบวุ่นวายกับของใช้คนอื่นตลอด”
“แต่ก็มีเรื่องทำให้สนุกชอบกล เห็นคนกรีกร้องก็สนุกดี แต่เสียดายที่เสียงกรีดร้องไม่ใช่ของยัยเด็กเมอร์รัลนั้น!!”
“ก็จริง! หึ ๆ”
เสียงคิกคักของพวกนั้นทำให้คนรอบข้างต่างมองกันอย่างรวดเร็วจนพวกนั้นละจากการสนทนาก็ต้องเห็นทุกสายตาจ้องมองมาทางพวกเขา รวมถึงพวกศาสตราจารย์ใหญ่ที่พึ่งโผล่มาได้ไม่นาน แม็กนัสจ้องมองอย่างสงสัยว่าทุกคนมองเขาด้วยสายตาที่เขานั้นไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่มันแฝงทั้งความโกรธ ผิดหวัง และสมเพช
“มองแบบนั้นมันหมายความว่าไงกัน!?”
แม็กนัสกล่าวออกมาเสียงดังก็มีเสียงดังซ้อนขึ้นมาทำให้เขารู้สึกว่ามีเสียงบางอย่างดังซ้อนกับเสียงของเขา นั้นทำให้เขามองหาต้นเสียงแต่เสียงมันอยู่ใต้เท้าก่อนจะเห็นสิ่งมีชีวิตตัวเล็กรีบวิ่งหนีไปหาใครบางคน อบิเกลที่ย่อตัวหันหลังให้นั้นยืนมือออกมาประคองสิ่งมีชีวิตตัวเล็ก ก่อนจะหันมาหาอีกฝ่ายจนเห็นสิ่งมีชีวิตที่วิ่งหนีมานั้นคือนิฟเฟลอร์ แล้วบนหลังของมันมีโทรโข่งติดอยู่ พวกแม็กนัสเห็นก็ตะลึงทันทีที่ข้างหลังมันคือโทรโข่งเวทมนตร์ จนหญิงสาวเรเวนคลอลุกขึ้นมาด้วยสีหน้าที่บึ้งตึงอย่างโกรธเคือง
“พวกแก!! เมื่อกึ้บอกว่าเป็นคนวางขวดยาไว้ข้างหมอปรุงยาของฉันงั้นเหรอ!?”
พวกแม็กนัสตาลุกวาวที่อีกฝ่ายรู้แล้วว่าพวกเขานั้นเป็นต้นเหตุให้อีกฝ่ายบาดเจ็บ หญิงสาวจ้องมองพวกนั้นก่อนจะมีสีหน้าโกรธเคืองมากกว่าเดิมก่อนจะพุ่งตรงเข้าหาพวกนั้น
“พวกแกตาย!!”
จบตอนที่ 15 โปรดติดตามตอนที่ 16 ต่อไป