อบิเกล เด็กที่มีชีวิตที่ไม่เหมือนใคร เธอต้องตะลุยไปตามสถานที่ต่างๆ กับอาของเธอจนกระทั่งวันหนึ่งที่กับมาบ้านแล้วเธอก็ได้พบกับจดหมายที่เธอไม่คาดคิด จดหมายนี่จะเปลี่ยนชีวิตของเธอที่เธอไม่รู้จักอีกมากมาย
แฟนตาซี,ชาย-หญิง,รั้วโรงเรียน,ตะวันตก,อื่นๆ,แฟนฟิค,แฟนฟิคแฮร์รี่พอตเตอร์,เวทมนตร์,ฮอกวอตส์,รุ่นลูก,คาถา,แฮร์รี่พอตเตอร์,เด็กหญิงผู้รอดชีวิต,YukiCoCo,แฟนตาซีน,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
[Fanfiction Harry Potter รุ่นลูก] เด็กหญิงผู้รอดชีวิตอบิเกล เด็กที่มีชีวิตที่ไม่เหมือนใคร เธอต้องตะลุยไปตามสถานที่ต่างๆ กับอาของเธอจนกระทั่งวันหนึ่งที่กับมาบ้านแล้วเธอก็ได้พบกับจดหมายที่เธอไม่คาดคิด จดหมายนี่จะเปลี่ยนชีวิตของเธอที่เธอไม่รู้จักอีกมากมาย
++คำอธิบายจากนักเขียน++
สวัสดีทุกคนนะคะ ขอต้อนรับสู่อีกเรื่องที่เป็นแนวนิยายฟิครุ่นลูกอีกเรื่อง
เรื่องนี้ทุกคนก็น่าจะรู้จักก็คือเรื่อง แฮร์รี่ พอตเตอร์ ผู้เขียน เจ.เค.โรว์ลิง
เนื้อเรื่องนิยายครั้งนี้ก็เหมือนเคยไรท์อยากสนองฮีทของตัวเองเลย
สร้างเรื่องนี้ขึ้นแต่งรุ่นลูกของแฮร์รี่ขึ้น อันนี้จะแตกแขนงจากละครเวทีอย่างเรื่องเด็กต้องสาป
มาอีกทีเหมือนโลกคู่ขนามอีกโลกหนึ่ง เนื้อเรื่องอาจจะมีปวดตับมั้งหรือเปล่านะ
แต่ถ้าใครไม่ชอบก็ขอประทานอภัยกับเนื้อเรื่องที่ทางไรท์ต้องการนะคะ
บทนำของเรื่อง
อบิเกล เด็กสาวที่มีชีวิตที่ไม่เหมือนใคร เธอนั้นได้เดินทางไปกับอาของเธอโดยไม่รู้ว่าต้องออกเดินทางเพราะไร จนพวกเขาตั้งหลักได้แล้วก็กลับมายังลอนดอนอีกครั้งและใช้ชีวติจนเวลาผ่านไปนานจนอบิเกลได้อายุ 11 ปี พวกเขากลับมาจากทำงานแล้วกลับมาบ้าน แต่แล้วอบิเกลต้องดีใจที่เธได้ จดหมายจากโรงเรียนเวทมนตร์ ฮอกวอตส์ แต่เธอไม่รู้ว่าชีวิตของเธอกำลังจะเปลี่ยนไป เมื่อเข้าสู้โรงเรียนแห่งนั้น
เรื่องนี้เชื่อมโยงกับโลกเทพปกรณัมกรีกในนิยายแฟนฟิคของเรา
อย่างเรื่อง สายเลือดแห่งโพไซดอนที่หายสาบสูญ นะคะ
ไปติดตามกันได้นะ
ปล. เรื่องนี้เป็นนิยายฟรี ไม่อาจะคาดเดาในวันที่จะลงได้
ตอนที่ 4 อดีตของสก็อต
อบิเกลรีบหนีขึ้นมายังชั้นสองเพื่อปล่อยให้คู่ข้าวใหม่ปลามันที่กำลังจะแต่งงานจู้จี้กันเสียหน่อย เธอรู้สึกมีความสุขที่อาของเธอกำลังจะได้มีความสุขกับเขามั้งไม่ใช่ยึดติดอยู่กับเธอไปตลอด ส่วนเธอนั้นอีกไม่ช้าก็กำลังจะเป็นเด็กนักเรียนในรั่วโรงเรียนพ่อมดแม่มดในไม่ช้า ในใจของอบิเกลรู้สึกมีความสุขจนเธอนั้นกระโดดโลดเต้นไปตามทางที่ไปยังห้องของเธอจนเธอหยุดที่ห้องห้องหนึ่งที่มีประตูบานใหญ่ที่ถูกสร้างสรรค์ด้วยลวดลายภาพทะเลที่มีท้องฟ้าสีครามที่กำลังเคลื่อนไหวไปมา อบิเกลจ้องมองภาพทะเลบนประตูกี่ครั้งก็ทำให้เธออยากไปทะเลแล้วสัมผัสมัน แต่เธอมีข้อห้ามกับอาสก็อตไว้ห้ามไปทะเลเป็นอันขาด เพราะว่าเธอไปทะเลทีไรก็เหมือนทะเลกำลังเรียกเธอนั้นทำให้เธออยู่ใกล้ทะเลทีไรก็จะเดินตรงดิ่งไปยังทะเลจนอาสก็อตต้องเข้ามาช่วยทันที นั้นทำให้เธอต้องอยู่ห่างจากทะเลจนไม่เคยไปทะเลสักที แต่ก็เคยพาเธอไปที่อื่นที่มีสัตว์ทะเลให้เห็นอย่างพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ ตลอดทางเข้าไปนั้นก็มีแต่สัตว์ที่มองมาทางเธอหรือว่าที่เธอมาอยู่ใกล้ ๆ ตู้ก็มีสัตว์น้ำมากมายมาก่อตัวกันตรงที่เธออยู่นั้นทำให้ผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ต่างมองกันอย่างตกตะลึงที่มีปลามาก่อตัวกัน สก็อตเห็นแบบนั้นเขาก็ยิ่งกังวลจนเขาไม่อยากให้เธอไปที่ไหนเกี่ยวกับน้ำ เวลาอาบน้ำยังโดนจนเธอต้องไล่อีกฝ่ายออกไปตลอด พอนึกถึงทะเลสักครั้งที่เธอตั้งความหวังไว้ว่าสักวันต้องไปให้ได้
“สักวันฉันต้องไปทะเลให้ได้!!”
อบิเกลให้คำมั่นกับตัวเองว่าจะต้องไปยังทะเลให้ได้ถึงจะโดนห้ามยังไงเธอก็ต้องไปให้ได้จนกระทั่งเธอขยับมือไปบิดลูกบิดอย่างช้า ๆ แล้วเปิดประตูเข้าไปด้วยสีหน้าอันสดใดเมื่อก้าวสู่โลกของเธอ
“กลับมาแล้ว! ทุกคน”
เมื่อเดินเข้าไปเธอก็พบกับห้องนอนของเธอที่ครึ่งหนึ่งเป็นโซนพื้นที่ของเธอ แต่กำแพงห้องของเธอเป็นโซนที่แตกต่างออกไปมันเป็นโซนพื้นป่ากว้างมีต้นไม้ใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางและมีพื้นหญ้าให้วิ่งเล่นและสายน้ำรอบต้นไม้ อบิเกลกำลังเดินเข้าไปในโซนป่าก็มีสิ่งบางอย่างพุ่งตรงมาหา เธอหันไปมองก็ต้องหน้าซีดที่เห็นพวกสัตว์ตัวน้อยกระโจนเข้าเธอทันที
“อ๊าย!!” อบิเกลกรี๊ดอย่างตกใจก่อนที่เธอจะโดนพวกเด็ก ๆ ตัวน้อยคลอเคลียกันอย่างคิดถึง “รู้แล้ว ๆ ว่าคิดถึงกันนะ มันจั๊กจี้นะ”
พวกสัตว์ตัวน้อยทั้งหลายต่างจับจ้องมองเธอที่กลับมา เพราะปกติเราจะมีคนค่อยให้ข้าวพวกมันเลยไม่ต้องห่วงอะไร แต่เธอก็คิดถึงพวกมันพอ ๆ กับที่พวกมันคิดถึงเธอ เธอลูบหัวพวกสัตว์ทีละตัวอย่างอ่อนโยน
“ขอโทษที่หายเป็นอาทิตย์นะ ทุกคน แต่ว่า...ในอีกไม่ช้าฉันก็ต้องไปเรียนหนังสือ คงไม่ได้กลับมาเป็นอาทิตย์เลยล่ะนะ”
“ฟี้!”
“ฮูก...”
“ก๊ากกก!!”
พวกสัตว์ตัวน้อยต่างส่งเสียงกันอย่างไม่ชอบใจที่เจ้านายของพวกมันกำลังจะหายไปอีก อบิเกลได้แต่ยิ้มอ่อน ๆ เธอก็อยากพาทุกคนไปด้วย แต่กฏห้ามมีสัตว์เลี้ยงไปเกินกว่าหนึ่งตัว ทุกคนต่างคลอเคลียด้วยความรู้สึกคิดถึง อบิเกลก็หอมและจุ๊บทุกตัวอย่างรักใคร่ ก่อนที่เธอจะพาเดมัวส์ออกมาจากกระเป๋าด้านข้างของเธอ
“ฟี้~” เดมัวส์โผล่หน้าออกมาก็เห็นว่าทุกตัวกำลังคลอเคลียเจ้านายของมัน “ฟี้!!!”
เดมัวส์ไม่พอใจที่ทุกตัวเข้าไปคลอเคลียเจ้านายก่อนที่มันจะรีบวิ่งออกมาหาเจ้านายแล้วซุก อบิเกลเห็นก็ขำหน่อย ๆ ที่สัตว์เลี้ยงของเธอแต่ละตัวช่างขี้อ้อนจริง ๆ
“คิก ๆ พวกนายเป็นสิ่งที่ฉันรักที่สุดนะ ไม่ต้องห่วงนะ เดียววันคริสต์มาสฉันก็กลับมาเยี่ยมนะ”
เสียงครวญครางของสัตว์แต่ละคนทำให้คนเป็นเจ้านายอย่างอบิเกลรู้สึกรักไปหมดหัวใจ ก่อนที่จะถึงเวลาที่เธอจะให้อาหารพวกสัตว์ตัวน้อย เธอคงต้องให้เยอะเพราะดูเหมือนพวกมันน่าจะหิวน่าดู
“เอาล่ะ ถึงเวลาเตรียมตัวทานอาหารกันล่ะ!!”
พอได้ยินคำว่าอาหารทุกคนต่างส่งเสียงร้องกันอย่างตื่นเต้นที่จะได้ทานอาหารกัน อบิเกลเดินเข้าไปในเขตป่าตรงไปยังบ้านไม้หลังหนึ่งที่ถูกสร้างมาเป็นแนวยุโรปคล้ายบ้านพักตากอากาศทั่วไป แต่เธอก็ชอบบ้านหลังนี้มาก ๆ เธอเปิดประตูเข้าไปข้างในเป็นพื้นที่สี่เหลี่ยมที่มีวัตถุดิบมากมายภายในนั้นและมีพื้นที่สำหรับปรุงยาและทำอาหาร ไม่นานนักเธอก็เตรียมวัตถุดิบทุกอย่างเพื่อทำอาหารให้แก่สัตว์แต่ละตัวระหว่างที่กำลังทำอะไรอยู่นั้นเจ้านกฮูกสีขาวบินมาเกาะหน้าต่างตรงที่อบิเกลอยู่ เธอเห็นเจ้าตัวเล็กก็ยิ้มอย่างก่อนจะยื่นมือไปลูบหัวนกฮูกเบา ๆ
“ไง เฮ็ดวิก ไม่ไปที่รังแกเหรอ?”
“ฮูก!”
“คิก ๆ ยังไม่อยากทานข้าวหรือไง”
“ฮูก ๆ ๆ” เฮ็ดวิกกระโดดสองสามครั้งอย่างกังวลที่เจ้านายพูด ตัวมันเองก็อยากทานเช่นกัน
“ฮ่า ๆ ล้อเล่น ๆ” อบิเกลหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะพูดกับเฮ็ดวิก ”นี่ เฮ็ดวิก ตอนที่ฉันไปโรงเรียน แกต้องไปกับฉันนะ”
“ฮูก ๆ” เฮ็ดวิกส่งเสียงอย่างดีใจที่จะได้ไปกับเจ้านาย
สัตว์ทุกตัวที่ได้ยินเสียงของเฮ็ดวิกส่งเสียงอย่างดีใจแต่ในภาษาของสัตว์พวกมันได้ยินสิ่งที่เฮ็ดวิกกำลังดีใจจนพวกมันรีบวิ่งกันมาพร้อมกับส่งเสียงเจี๊ยวจ้าวกันอย่างไม่พอใจ อบิเกลใช้ที่อุดหูมาอุดหูของตนอย่างรวดเร็ว พวกสัตว์ต่างพากันส่งเสียงโวยวายอย่างน่ารำคาญใจ แต่อบิเกลก็มีวิธีรับมือกับสัตว์ที่เธอดูแลเสมอ ระหว่างนั้นก็หันไปเตรียมอาหารอยู่นั้นโคมไฟที่อยู่ภายในบ้านก็ติดขึ้นมาเพื่อบ่งบอกว่ามีคนกำลังเข้ามาภายในห้องนอนของเธอ อบิเกลมองออกมานอกหน้าต่างก็เห็นอาสก็อตกำลังเปิดประตูเข้ามาอย่างช้า ๆ ด้วยท่าทางเหงาหงอย เธอเห็นแบบนั้นก็รู้ว่าอีกฝ่ายมาด้วยเรื่องอะไร ก่อนที่เธอจะเดินออกมาพร้อมกับใช้ไม้กายสิทธิ์ร่ายคาถาให้ถังต่าง ๆ ลอยขึ้นมาแล้วนำไปส่งให้บ้านของสัตว์ต่าง ๆ
“ทุกคนทานอาหารได้แล้ว!”
พวกสัตว์ต่างได้ยินก็รีบวิ่งออกมาจากบ้านแล้วกลับไปยังที่พักของตนเอง อบิเกลยิ้มอย่างพอใจก่อนจะหันไปมองอาสก็อตที่กำลังจ้องมองเธอด้วยท่าทางที่เธอไม่ค่อยอยากเห็นจริง
“อาสก็อต...”
“แอ็บบี้...” สก็อตมองหลานสาวที่เรียกเขาด้วยน้ำเสียงอันเรียบเฉยนั้นทำให้เขายิ่งรู้สึกลำบากใจ
อบิเกลมองอีกฝ่ายก่อนจะหายใจเข้าลึก ๆ เธอเดินตรงไปหาอาสก็อตที่อยู่ฝั่งห้องนอนของเธอ
“ไม่ไปอยู่กับเดลล่าล่ะคะ?” อบิเกลพูดพร้อมถอดถุงมือของเธอลงบนโต๊ะ
“อ๊ะ...ก็เดียวไปอยู่นะ...แต่ว่า...” สก็อตพูดพร้อมกับทำสีหน้าที่ดูลำบากใจอยู่เล็กน้อย
อบิเกลเห็นท่าทางอีกฝ่ายก็รู้เลยว่าเขามีอะไรที่อยากจะบอกเธอ แต่เธอไม่ชอบอะไรที่มันซับซ้อนเท่าไหร่จนเธอนั่นมานั่งที่เตียงของตนเอง
“ถ้าคุณอาอยากจะคุยกับหนู...เรื่องที่เกิดขึ้นในร้านไม้กายสิทธิ์ใช่ไหมคะ?”
“แอ็บบี้...อา...” สก็อตค่อย ๆ เดินมาอยู่ใกล้ ๆ หลานสาวมากขึ้น “คือว่า...อา...”
“ถ้าลำบากหรือต้องการระยะเวลาในการพูด หนูรอวันอื่นได้นะคะ”
“ไม่ ๆ แอ็บบี้ อาอยากจะพูดเรื่องพวกนี้ให้หลานฟัง...แต่ว่า...มัน...”
“มันยาก...ที่จะพูดสินะคะ...”
“ใช่...เพราะมันเกี่ยวพันกับชายคนหนึ่งที่ตายจากไหนนานแสนนาน...”
“แฮร์รี่...พอตเตอร์...” อบิเกลจ้องมองหน้าของอาของเธอ “หนังสือพิมพ์เคยเขียนเรื่องเขานี้ค่ะ...ว่าเป็นบุคคลสำคัญที่ตายพร้อมครอบครัวของเขาเมื่อ 7 ปีก่อน…”
“ใช่...”
“เขาเกี่ยวอะไรกับอากัน?”
“คือว่า...” สก็อตจ้องมองหลานสาวอย่างเศร้า ๆ ก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ หลานสาว “แฮร์รี่...แฮร์รี่เขา...เป็นพี่ชายอานะ...”
“เอ๊ะ!!” อบิเกลหันขวับไปหาอาสก็อตด้วยสายตาประหลาดใจกับคำพูดอีกฝ่าย “อาค่ะ...อา...นามสกุล...”
“เมอร์รัล...เป็นนามสกุลเก่าก่อนที่อาจะเปลี่ยน...หลังจาก...แฮร์รี่รับเลี้ยงอา...”
“แปลว่าอากับคุณพอตเตอร์...”
“ไม่ใช่พี่น้องตามสายเลือด...แต่เป็นพี่น้องโดยชอบทำ...ที่แฮร์รี่รับเลี้ยงอา อาจะเล่าให้ฟัง...”
สก็อตได้เล่าเรื่องสมัยเด็กของเขาให้แก่หลานสาวฟัง ว่าตัวเขานั้นเคยเป็นนักเรียนปีที่สี่ของฮอกวอตส์ที่อยู่บ้านฮัฟเฟิลพัฟ ช่วงเวลาของเขามันก็สนุกตลอดเวลา แต่ก็มีบางอย่างที่ไม่ชอบใจเท่าไรอย่างเช่นการถูกเรียกว่าแฮร์รี่แห่งฮัฟเฟิลพัฟ เนื่องจากใบหน้าของเขานั้นช่างคล้ายคลึงกับแฮร์รี่มาก ๆ ทำให้บางทีก็โดนแกล้งจากบ้านสลิธีรินพอควร ฉายานั้นของเขาทำให้เขาเกลียดเป็นอย่างมาก แต่แล้ววันหนึ่งฉายานั้นก็ทำให้เขาภูมิใจเมื่อวันหนึ่งมีเรียนวิชาป้องกันตัวจากศาสตรามืด เขาก็ได้เจอกับชายที่เป็นต้นตอของฉายาของเขา แฮร์รี่ พอตเตอร์ เขามาสอนวิชานี้ให้แทนจนกว่าจะหาอาจารย์ที่เหมาะสมกับวิชานี้ แต่ว่าสก็อตไม่ชอบวิชานี้ เพราะเขาไม่เก่งการใช้คาถาจนคนล้อเลียนเวลาทำอะไรผิดพลาด จนกระทั่งแฮร์รี่เห็นเหตุการณ์ก็เข้ามาแทรกแซงแล้วพูดตอบกลับเด็ก ๆ ที่ล้อเลียนคนอื่นแทนสก็อต นั้นเป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกประทับใจที่มีคนปกป้องเขา และนั้นทำให้เขาพอใจกับฉายาของตนเองและชอบวิชาที่แฮร์รี่สอนมากขึ้น เวลาผ่านไปจนกระทั่งถึงวันจบการศึกษาของพวกรุ่นพี่ปีเจ็ดก็มีงานสังสรรค์กัน ปีสี่อย่างสก็อตก็ได้แต่อวยพรรุ่นพี่ที่รู้จัก แล้วเขาก็ออกมาจากงานก่อนเพื่อมาเดินเล่นยามเย็นที่อากาศแสนสบาย ก็มีเสียงคุ้นเคยดังขึ้นจากด้านหลัง
“ไง สก็อต”
“!!” สก็อตได้ยินเสียงนั้นก็หันไปมองต้นเสียงก็พบกับแฮร์รี่ที่กำลังเดินมาทางเขา “คุณ...คุณพอตเตอร์!”
“ยังไม่กลับเข้าบ้านพักหรือ?” แฮร์รี่เดินจนเข้ามาใกล้เด็กชาย
“ผมอยากมาสูดอากาศก่อนไปทำธุระนะครับ”
“งั้นเหรอ...”
“เอ่อ...คุณพอตเตอร์ยังไม่กลับบ้านเหรอครับ? เป็นแค่ตัวแทนอาจารย์ก็น่าจะกลับบ้านนี้ครับ?”
“ฮ่า ๆ มาร่วมงานจบของรุ่นน้องนะ” แฮร์รี่ยิ้มแย้มอย่างพึงพอใจ
“อ๋อ...แบบนี้เอง...” สก็อตเกือบลืมไปว่าอีกฝ่ายเป็นรุ่นพี่เขาแถมเป็นอาจารย์ก็ต้องมาแสดงความยินดีกับนักเรียนมั้งล่ะนะ
แฮร์รี่จ้องมองอีกฝ่ายอยู่สักระยะ สายตาค่อย ๆ หันตามใบหน้าที่หันไปทางทะเลสาบที่ตอนนี้ดำมืดจนมองไม่เห็นนอกจากแสงจันทร์ที่สะท้อนกับผิวน้ำ แฮร์รี่มองก่อนจะเอ่ยถามอะไรเรื่อยเปื่อย
“นายเจอเหตุการณ์ผู้เสกความตายบุกฮอกวอตส์ตอนไหนนะ?”
“เอ่อ...ตอนนั้นผมอยู่ปี2ครับ”
“อืม...ลำบากแย่เลยสิ”
“นิดหน่อยครับ...”
“ทำไมคนอื่น ๆ ถึงชอบล้อเลียนเธอหรือหยอกล้อเธอ...”
“คงเพราะ...ผมอยู่ฮัฟเฟิลพัฟ...บ้านของเด็กที่อ่อนแอที่สุดในสี่บ้าน...แล้วก็...ผมหน้าตาคล้ายคุณ...”
แฮร์รี่ได้ยินแบบนั้นก็หันไปมองเด็กชายที่แตกต่างจากเขาแค่เด็กชายไม่ได้สวมแว่นตา
“ก็จริงนะ...พ่อแม่นายคงลำบากแย่เลยสินะ”
“พวกท่าน...เสียไปตั้งแต่ผมเกิดแล้วครับ...”
“อ๊ะ...!” แฮร์รี่ถึงกับอึ้งไปชั่วขณะ “ฉันเสียใจด้วย”
“ไม่หรอกครับ ผมต้องขอบคุณ คุณพอตเตอร์...”
“ฉัน?”
“พ่อแม่ผมเสียช่วงที่ออกตามล่าพวกผู้เสกความตาย...พวกท่านโดนสังหารระหว่างออกปฏิบัติหน้าที่...”
“แล้ว...เกี่ยวอะไรกับฉัน?”
“ก็คุณช่วยกำราบพวกผู้เสกความตายไปหมดแล้วไงครับ ก็ถือว่าทำให้ความมืดนั้นหายไป ถึงตอนนี้ผมจะอยู่บ้านเด็กกำพร้า...จนใกล้จะต้องออกจากที่นั่นเพื่อหาเลี้ยงตัวเองต่อนั้นล่ะครับ...”
“บ้านเด็กกำพร้าเหรอ?” แฮร์รี่ยกมือเท้าคางอย่างครุ่นคิด ก่อนที่มุมปากของเขาจะยิ้มออกมา “ฉันว่าฉันมีเรื่องต้องทำ งั้นไว้เจอกันอีกนะ สก็อต”
แฮร์รี่พูดจบก็เดินออกจากตรงนั้นปล่อยให้สก็อตอยู่ตรงนั้นอย่างอึ้ง ๆ
“อ๊ะ...ครับ ขอให้โชคดีครับ…”
ตอนนั้นสก็อตไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายนั้นมีธุระเร่งด่วนหรือเปล่าถึงได้รีบออกไปจากตรงนั้น แต่เขาไม่ใส่ใจอะไรแล้วเดินกลับบ้านพักเพื่อไปนอน เพราะพรุ่งนี้กำลังจะกลับบ้านแล้วกลับไปยังบ้านเด็กกำพร้าที่เขาอยู่ ตอนเช้าเป็นเรื่องปกติที่จะบอกลาเพื่อน ๆ หลังจากลงจากรถไฟ เพื่อนบางคนเอาแต่พูดด้วยน้ำเสียงเศร้า ๆ ว่าจะไม่ได้เจอเป็นเดือน สก็อตถึงกับส่ายหน้าว่ายังไงก็ต้องเจอในไม่กี่เดือนข้างหน้าอยู่ดี พอบอกลาจบสก็อตก็เดินทางไปที่จุดนัดหมายที่คนจากบ้านเด็กกำพร้าจะมารับเขา แต่พอมาถึงเขาก็พบเจ้าหน้าที่ของบ้านเด็กกำพร้ากับคนข้าง ๆ ที่เขารู้จัก
“คุณพอตเตอร์?”
“มาถึงแล้วสินะ สก็อต” แฮร์รี่ยิ้มแย้มอย่างดีใจที่ได้เจออีกฝ่ายอีกครั้ง
“คุณมาทำอะไรที่นี่ครับ? แล้วมากับ...” สก็อตหันไปมองเจ้าหน้าที่ที่อยู่ข้าง ๆ อีกฝ่าย
“เมอร์รัล ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปชายคนนี้จะเป็นผู้ปกครองของเธอ”
“ผู้...ผู้ปกครอง!!”
สก็อตเบิกตากว้างอย่างตกใจ เขาหันไปมองชายที่อยู่ข้าง ๆ การที่เจ้าหน้าที่พูดแบบนั้น แปลว่าอีกฝ่ายจะรับเลี้ยงเขา ทำเอางุนงงเลยว่าอีกฝ่ายคิดอะไรถึงมารับเลี้ยงเขา หลังจากวันนั้นเขาก็กลายเป็นสมาชิกของครอบครัวพอตเตอร์และได้ตำแหน่งน้องชายของแฮร์รี่ พอตเตอร์ เขาไม่เคยคิดว่าจะได้มีครอบครัว แฮร์รี่ส่งเสียเลี้ยงเขาทุกอย่างจนจบการศึกษาแล้วเขาก็ได้พบเจอหลาน ๆ ที่เป็นลูกของแฮร์รี่ตอนนั้นเขาตกหลุมรักหลานแต่ละคนมาก ๆ ช่วงเวลาหลายปีมันช่างมีความสุขจนกระทั่งคืนหนึ่งผู้เสกความตายก็โผล่มาที่บ้านแฮร์รี่ แล้วได้พรากครอบครัวที่เขารักไป อบิเกลที่ฟังรู้สึกอ้ำอึ้งเลยที่อาของเธอต้องเสียครอบครัวที่รักไป
“แล้วตอนนั้นอาไปอยู่ไหนนะคะ?” อบิเกลเอ่ยถามอย่างสงสัย
“อาไปทำธุระต่างประเทศนะ...จนเจอหลานนะ...”
สก็อตได้เล่าต่อว่าหลังจากที่เขาได้เจออบิเกลเขาก็ดูแลเธอจนกลับมาที่อังกฤษหลังจากนั้นสองปี แต่แล้วเขาก็โดนเจ้าหน้าที่สอบสวนของกระทรวงจับตัวมาสอบสวนเรื่องที่เกิดขึ้นกับครอบครัวพอตเตอร์ สก็อตได้ยินตอนนั้นก็อึ้งไปเลยแล้วเขาโดนสอบสวน เพราะคำร้องของบ้านวิสลีย์ที่ไม่ไว้ใจเขาที่หายไปเกือบสองปี เขาโดนสอบสวนไปเยอะพอตัวแต่ก็หลุดพ้นจากทุกข้อกล่าวหาที่บ้านวิสลีย์คิดว่าเขาก่อขึ้นเองหรือเปล่า เพราะมรดกของแฮร์รี่ถูกส่งต่อให้เขาหมด หลังจากตอนนั้นเขาก็โดนพ่อมดแม่มดหลายคนไม่ชอบขี้หน้าอีกเลย ถึงเขาจะได้ทำงานในกระทรวงต่อไป เพราะท่านรัฐมนตรีต้องการจับตาดูเขา อบิเกลฟังทุกอย่างก็เคืองใจเป็นอย่างมาก
“นี่มันแย่ที่สุด...อาแค่หายตัวไปแค่สองปี พวกเขาก็ไม่ไว้ใจอาแล้วเนี่ยนะ?”
“ทำไงได้...อาไม่พูดอะไรออกไปเอง...เพราะแฮร์รี่ขอไว้...”
“ไม่ให้พูดอะไรกันค่ะ?”
“ว่าเขาไม่ต้องการให้ใครรู้ว่าตัวเองต้องตายที่นั่น”
อบิเกลได้ยินถึงกับขมวดคิ้วอย่างสงสัย “เขารู้ว่าตัวเองกับครอบครัวจะตาย...ทำไมเขาไม่ทำอะไร?”
“ทำไม่ได้ต่างหาก แอ็บบี้...ทำไม่ได้…”
อบิเกลขมวดคิ้วอย่างสงสัย เธออยากจะเอ่ยปากถามอาสก็อตอีกครั้ง แต่แล้วประตูห้องก็เปิดออกก็เผยให้เห็นเดลล่าให้ชุดผ้ากันเปื้อนตัวโปรดของเธอกำลังจะเดินเข้ามาข้างในห้องแต่ก็ยืนอยู่แค่ที่ประตู
“อยู่นี่กันเอง ฉันพึ่งไปยกข้าวของของตัวเองมาไว้นะ แล้วพอดีเห็นว่าเย็นแล้วพวกเธอยังไม่ได้ทานอาหาร ก็เลยทำอาหารให้ทาน แล้วตอนนี้อาหารก็เสร็จแล้ว!!”
“ดีเลย หิวจนไส้กริ้วแล้ว” สก็อตเปลี่ยนสีหน้าของตนเองเป็นยิ้มแย้มทันที
อบิเกลรู้สึกเคารพอาของเธอที่เปลี่ยนสีหน้าได้ไว้แบบนั้น แต่เธอก็มีความคิดที่สับสนอยู่จนเธอเอ่ยถามออกไป
“การที่เขาไม่สามารถช่วยครอบครัวได้...แล้วเขาทำยังไงคะ?”
สก็อตหยุดนิ่งไปชั่วขณะ สายตาของเดลล่าจ้องมองสองอาหลานอย่างสงสัยว่าพูดเรื่องอะไรกัน
“ยอมรับชะตากรรมนั้น...โดยไม่หวังให้ใครมาช่วย...” สก็อตเอ่ยพูดขึ้นพร้อมกับเดินออกจากห้องอบิเกลไป
“คุณบอกเธอเหรอ?” เดลล่าถามอย่างสงสัย
“แค่...พูดเรื่องของฉัน...แล้วก็...ไม่พูดถึงเรื่องที่เด็กคนนั้น...ก็เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เช่นกัน...” สก็อตกล่าวจบก็เดินออกจากตรงนั้น
อบิเกลมองทั้งสองออกไปเธอรู้สึกสั่นไปทั้งร่างกาย การตายไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ การตายคือสิ่งที่พรากทุกอย่างไปได้อย่างง่ายดายเหมือนกับเธอที่เสียครอบครัวไป อบิเกลหายใจเข้าออกช้า ๆ เมื่อหัวใจที่เต้นอย่างแรงค่อย ๆ สงบลง เธอค่อย ๆ ลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องเพื่อตามลงไปทานอาหารกับพวกอาสก็อตอย่างปกติโดยไม่สนใจว่าเรื่องที่อาสก็อตเล่าให้ฟัง แต่เธอก็ยังมีข้อสงสัยอีกเยอะที่ต้องสืบหาด้วยตนเองอีกตามเคย
เวลาล่วงเลยผ่านไปจนกระทั่งถึงเดือนกันยายนวันที่หนึ่งของเดือน ภายในสถานีอันลึกลับที่อยู่ภายในสถานีรถไฟคิงครอส เหล่าเด็ก ๆ ที่มากับครอบครัวกำลังพูดคุยกันอย่างดีใจที่กำลังจะได้ไปยังโรงเรียนเวทมนตร์ แต่มีก็มีเด็กหญิงที่กำลังตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูกที่ตนเองกำลังจะได้ไปยังสถานที่ที่ทุกคนเคยบอกว่าเป็นสถานที่ดีมาก ๆ ระหว่างที่อบิเกลกำลังประหม่าอยู่นั้น เดลล่าก็เอ่ยเรียกเด็กน้อย
“แอ็บบี้! แอ็บบี้!”
“คะ...ค่ะ!” อบิเกลตวัดหน้าหันไปหาผู้ใหญ่ที่อยู่ข้าง ๆ “มีอะไรเหรอคะ...เดล- อ๊ะ...คุณแม่”
เดลล่ายิ้มอย่างพอใจที่เด็กน้อยที่แสนน่ารักเรียกเธอว่าแม่ ก่อนที่เธอจะลูบหัวของเด็กน้อย
“หนูประหม่าเหรอจ๊ะ?”
“ทำไงได้ล่ะค่ะ...เป็นครั้งแรกที่หนูจะต้องไปเรียนในที่ที่ห่างไกลจากบ้านและไม่ได้ทำงานกับคุณแม่และก็อา- อ๊ะ...คุณพ่อ...”
“คิก ๆ ไม่ต้องฝืนเรียกก็ได้นะ แอ็บบี้ หนูยังมีเวลาอยู่กับพวกเราอีกนาน ๆ เลยนะ” เดลล่าย่อตัวลงนั่งอยู่ตรงหน้าของเด็กน้อย
“ค่ะ...” อบิเกลอายหน่อย ๆ ที่ตนเองนั้นยังไม่ชินที่ต้องเรียกอีกฝ่ายว่าแม่
ทั้งสองมองหน้ากันก่อนจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้ว่าพวกเขาขาดใครบางคนไป ก่อนที่เดลล่าจะหันไปมองซ้ายมองขวาหาใครบางคน
“แล้วพ่อลูกไปไหนกัน?”
“ไม่รู้สิคะ...”
อบิเกลก็คิดเหมือนกันว่าอาสก็อตยังไม่มาอีกเหรอตอนแรกขอแยกตัวแล้วเดียวจะตามมาแต่ตอนนี้ยังไม่มานี่เหรอสามีของคนข้าง ๆ เธอที่หายตัวไปไหนยังไม่มาเลย ระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังบ่นถึงชายคนดังกล่าวที่กำลังก้าวฝีเท้ามาอย่างรวดเร็ว ผ่านผู้คนมากมายที่เดินผ่านเข้าไป ไม่นานสก็อตก็เดินจนมาอยู่ด้านหลังของทั้งสองคน
“แฮ่ก แฮ่ก ขอโทษที่มาช้า”
“มาช้าจังเลยนะ! สก็อต/อาสก็อต” ทั้งสองคนหันไปพูดกับอีกฝ่ายที่มาช้ามาก ๆ
“ขอโทษที ๆ ใช้เวลาทำเอกสารนานไปนิดนะ” สก็อตกล่าวขอโทษอย่างรวดเร็ว
“ไหนบอกว่าจะรีบกลับมาไง?” เดลล่าเดินเข้าไปหาคนเป็นสามีของเธอ
“ก็มาเร็วแล้วไง เดลล่า ขอโทษทีนะ” สก็อตเข้าหาภรรยาของเขาแล้วหอมแก้มเล็กน้อย
อบิเกลเงยหน้าจ้องมองคนเป็นอาทั้งสองคนกำลังจู๋จี๋ในที่สาธารณะ ทำเอาเธอเขินเล็กน้อยก่อนจะแซวออกมา
“จะจู๋จี๋กัน...ช่วยกลับไปทำที่บ้านนะคะ”
“!!”
ทั้งสองต่างสะดุ้งกับคำพูดของเด็กน้อย ทำเอาคนเป็นอาหันไปมองหลานสาวด้วยสายตาจิกกัด
“แอ็บบี้!!”
“ก็มันจริงนี่นา” อบิเกลยิ้มเยาะอย่างขบขัน ก่อนที่เธอจะมีคำถามกับคนเป็นอา “แล้วคุณพ่อไปไหนมาเหรอคะ?”
“อ๋อ ไปเอาของสำคัญมานะ” สก็อตหยิบถุงกระดาษที่ใส่บางอย่างอยู่
“ของสำคัญ?” อบิเกลจ้องมองถุงกระดาษที่อากำลังถืออยู่ ทำให้เธอสงสัยว่ามันคืออะไร
“ใช่ มันเป็นของสำคัญที่พ่อของหลานจะได้รับรุ่นสู่รุ่น แล้วตอนนี้อาว่าหลานควรจะได้เป็นเจ้าของคนต่อไป” สก็อตยืนถุงให้หลานสาวในทันที
“หนูเหรอ...?” อบิเกลมองถุงที่อายื่นให้ ก่อนจะรับถุงนั้นมา “ขอบคุณค่ะ คุณพ่อ”
“อืม...” สก็อตได้ยินหลานสาวเรียกพ่อแล้วรู้สึกจั๊กจี้ยังไงชอบกล ”ยังไม่ชินนะที่หลานเรียกอาว่าพ่อนะ”
“น่า ๆ ทั้งอาทั้งหลาน สักวันเดียวก็ชินนะคะ” เดลล่าเข้ามาแตะไหล่ทั้งสองคน
ไม่นานนักเสียงรถไฟก็ดังขึ้นมา ทุกคนได้ยินต่างรีบกันเพื่อจะขึ้นไปข้างในรถไฟ อบิเกลได้ยินแบบนั้นก็หันไปมองคนเป็นพ่อแม่คนใหม่ของเธอ
“ถึงเวลาหนูต้องไปแล้วสิ...”
“ใช่แล้วล่ะ เอาล่ะ แอ็บบี้ฟังพ่อนะ ถ้าเกิดอะไรขึ้นแล้วต้องการความช่วยเหลือ ไปขอความช่วยเหลือจากแฮกริด”
“แฮกริด...ใครคะ?” อบิเกลถามอย่างสงสัย
“เขาเป็นผู้รักษากุญแจและแผ่นดินฮอกวอตส์จ๊ะ อบิเกล เขาเป็นเพื่อนของพวกเราเหล่านักเรียนฮอกวอตส์” เดลล่าเอ่ยพูดขึ้น ”แต่ถ้ามีเรื่องเลวร้ายกว่านั้น แม่ว่าขอความช่วยเหลือจากอาจารย์ใหญ่ดีที่สุดนะ”
“อาจารย์ใหญ่?”
“ใช่ เธอน่าจะช่วยลูกได้นะ เอาล่ะ ถึงเวลาขึ้นรถไฟแล้ว”
“ค่ะ!”
อบิเกลเข้าไปกอดลาทั้งสองคนก่อนจะเตรียมตัวขึ้นรถไฟ พอยืนอยู่ตรงประตูรถไฟ เธอก็ยกมือขึ้นมาโบกมือลาทั้งสองคนก่อนจะเดินเข้าไปข้างใน รถไฟส่งเสียงอีกครั้ง เจ้าหน้าที่ก็พากันที่จะปิดประตูเพื่อทำการออกรถ เมื่อทุกอย่างพร้อมรถไฟกำลังจะออกตัวในไม่ช้า สก็อตจ้องมองรถไฟที่กำลังออกไป เขานึกถึงหลานสาวของเขาพร้อมกับคิดบางอย่าง
‘ขออย่าให้มีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นกับอบิเกล ตอนอยู่ในฮอกวอตส์เลยนะ...’ สก็อตคิด
จบตอนที่ 4 โปรดติดตามตอนที่ 5 ต่อไป