อบิเกล เด็กที่มีชีวิตที่ไม่เหมือนใคร เธอต้องตะลุยไปตามสถานที่ต่างๆ กับอาของเธอจนกระทั่งวันหนึ่งที่กับมาบ้านแล้วเธอก็ได้พบกับจดหมายที่เธอไม่คาดคิด จดหมายนี่จะเปลี่ยนชีวิตของเธอที่เธอไม่รู้จักอีกมากมาย
แฟนตาซี,ชาย-หญิง,รั้วโรงเรียน,ตะวันตก,อื่นๆ,แฟนฟิค,แฟนฟิคแฮร์รี่พอตเตอร์,เวทมนตร์,ฮอกวอตส์,รุ่นลูก,คาถา,แฮร์รี่พอตเตอร์,เด็กหญิงผู้รอดชีวิต,YukiCoCo,แฟนตาซีน,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
[Fanfiction Harry Potter รุ่นลูก] เด็กหญิงผู้รอดชีวิตอบิเกล เด็กที่มีชีวิตที่ไม่เหมือนใคร เธอต้องตะลุยไปตามสถานที่ต่างๆ กับอาของเธอจนกระทั่งวันหนึ่งที่กับมาบ้านแล้วเธอก็ได้พบกับจดหมายที่เธอไม่คาดคิด จดหมายนี่จะเปลี่ยนชีวิตของเธอที่เธอไม่รู้จักอีกมากมาย
++คำอธิบายจากนักเขียน++
สวัสดีทุกคนนะคะ ขอต้อนรับสู่อีกเรื่องที่เป็นแนวนิยายฟิครุ่นลูกอีกเรื่อง
เรื่องนี้ทุกคนก็น่าจะรู้จักก็คือเรื่อง แฮร์รี่ พอตเตอร์ ผู้เขียน เจ.เค.โรว์ลิง
เนื้อเรื่องนิยายครั้งนี้ก็เหมือนเคยไรท์อยากสนองฮีทของตัวเองเลย
สร้างเรื่องนี้ขึ้นแต่งรุ่นลูกของแฮร์รี่ขึ้น อันนี้จะแตกแขนงจากละครเวทีอย่างเรื่องเด็กต้องสาป
มาอีกทีเหมือนโลกคู่ขนามอีกโลกหนึ่ง เนื้อเรื่องอาจจะมีปวดตับมั้งหรือเปล่านะ
แต่ถ้าใครไม่ชอบก็ขอประทานอภัยกับเนื้อเรื่องที่ทางไรท์ต้องการนะคะ
บทนำของเรื่อง
อบิเกล เด็กสาวที่มีชีวิตที่ไม่เหมือนใคร เธอนั้นได้เดินทางไปกับอาของเธอโดยไม่รู้ว่าต้องออกเดินทางเพราะไร จนพวกเขาตั้งหลักได้แล้วก็กลับมายังลอนดอนอีกครั้งและใช้ชีวติจนเวลาผ่านไปนานจนอบิเกลได้อายุ 11 ปี พวกเขากลับมาจากทำงานแล้วกลับมาบ้าน แต่แล้วอบิเกลต้องดีใจที่เธได้ จดหมายจากโรงเรียนเวทมนตร์ ฮอกวอตส์ แต่เธอไม่รู้ว่าชีวิตของเธอกำลังจะเปลี่ยนไป เมื่อเข้าสู้โรงเรียนแห่งนั้น
เรื่องนี้เชื่อมโยงกับโลกเทพปกรณัมกรีกในนิยายแฟนฟิคของเรา
อย่างเรื่อง สายเลือดแห่งโพไซดอนที่หายสาบสูญ นะคะ
ไปติดตามกันได้นะ
ปล. เรื่องนี้เป็นนิยายฟรี ไม่อาจะคาดเดาในวันที่จะลงได้
ตอนที่ 6 เวลาคัดสรร
ร่างสูงของชายชรากำลังเดินนำทางเหล่านักเรียนใหม่ไปยังจุดหมายปลายทางที่พวกเขากำลังจะไปก่อนจะไปโรงเรียน ตามเส้นทางที่กำลังเดินไปนั้นพวกเขามาหยุดจุดหนึ่งที่พวกรุ่นพี่กำลังเตรียมตัวจะขึ้นรถเลื่อนที่ไม่มีหลังคา แต่มีสิ่งบางอย่างสะกิดต่อมความอยากรู้ของอบิเกลขึ้นเมื่อเห็นสิ่งมีชีวิตสี่ขาที่มีร่างกายผอมแห้งติดกระดูก ร่างกายของมันคล้ายม้า ผิวกายสีดำคล้ายขี้เถ้า มีปากคล้ายนก และมีปีกที่ดูไม่ค่อยมีผิวหนังให้เป็นตัวการในบิน แต่สิ่งมีชีวิตตัวนี้เธอไม่เคยเห็นมาก่อนเลยสักครั้ง แต่เหมือนเคยเห็นผ่าน ๆ หนังสือสักเล่มแต่เธอจำไม่ได้แล้ว ก่อนจะเอาความสงสัยนี้หันไปถามอาจารย์แฮกริด
"คุณแฮกริด ตัวที่คล้ายม้าที่กำลังลากรถเลื่อนที่พวกรุ่นพี่กำลังนั่งกันคือตัวอะไรนะคะ?"
ทุกคนต่างหันไปมองตามทางที่อบิเกลเอ่ย แต่พวกเขาไม่เห็นอะไรนอกจากรถเลื่อนที่ลากตัวมันเองไป แต่แฮกริดตาโตอย่างตกตะลึงที่เด็กน้อยตัวเองเพียงนี้จะเห็นสิ่งมีชีวิตสีดำนั้นได้ ทำให้เขาคิดเลยว่าเด็กน้อยต้องเคยผ่านโศกนาฏกรรมอันน่าเศร้ามาแน่ ๆ
"เด็กน้อย เธอเคยเห็นคนตายด้วยหรือ?"
“หมายความว่าไงคะ?” อบิเกลเอ่ยถามอย่างสงสัย
"..." แฮกริดรู้ว่าเด็กน้อยคงยังไม่เข้าใจสิ่งที่เขาถามก่อนที่เขาจะอธิบายให้เด็กน้อยฟัง "มันคือเธสตรอล เป็นม้า…ที่ผู้คนจะบอกว่ามันเป็นม้าแห่งความโชคร้าย"
"ความโชคร้าย?"
"แค่ความเชื่อนะ ส่วนใหญ่คนเราจะไม่เห็นมันนอกจาก…"
"นอกจาก…?"
"นอกจากคนที่เห็นความตายเท่านั้นที่จะเห็นมัน ผู้คนถึงบอกว่ามันเป็นสัตว์โชคร้าย"
รูม่านตาหดลงอย่างรวดเร็วกับคำพูดของผู้ใหญ่ที่กล่าวบอกว่าสิ่งมีชีวิตตรงหน้าของเธอเป็นสัตว์โชคร้ายที่บ่งบอกว่าคนที่เห็นนั้นเคยพบเจอกับความตายมาก่อนแต่นั่นก็ทำให้เธอนึกว่าตลอดหลายปีที่อยู่กับลุงก็ต้องเห็นคนรอบข้างตายไปแล้วหลายคนร่วมถึงพวกที่จ้องจะเล่นงานพวกเธออีก ได้ยินแบบนั้นก็คิดว่าคงเป็นเรื่องปกติที่มีคนเห็นสิ่งนั้น สกอร์เปียสเดินตรงมาหาอีกฝ่ายพร้อมกับกระซิบเบา ๆ
“เธอเห็นตัวที่เรียกว่า เธสตรอล ด้วยเหรอ?”
“ใช่...”
“ฉันอยากเห็นมั้งจัง!!”
“อย่าดีกว่า...ความตาย...ไม่ใช่เรื่องสนุกนะ สกอร์เปียส”
“อ๊ะ...ขอโทษนะ...”
“ไม่ต้องขอโทษหรอกนะ...เรื่องพวกนี้รอเวลาเถอะ...สักวันนายอาจจะเจอเหมือนกัน...”
อบิเกลกล่าวได้เพียงเท่านั้นความตายนั้นมาได้หลายรูปแบบจนไม่สามารถกำหนดได้ แต่พอพูดถึงความตายข้างในหน้าอกของเธอกับรู้สึกเจ็บแปร๊ด ๆ เหมือนมีอะไรกำลังทิ่มแทงหัวใจของเธอ
‘ความรู้สึกนี้มัน...อะไรกัน...ทำไม...ถึงรู้สึก...เสียใจยังไงชอบกล...’ อบิเกลคิด
เวลาผ่านไปอาจารย์แฮกริดก็นำทางไปตามทางเดินที่ดูเป็นเนินเล็กน้อยทุกคนกำลังลงอย่างช้า ๆ อบิเกลก็เช่นกันตรงข้างหน้ามีท่าเรือเล็ก ๆ อยู่ทุกคนก็เตรียมตัวที่จะเดินลงเรือกัน ทุกคนเบ่งกันเป็นสามถึงสี่คนเพื่อนั่งเรือขนาดเล็ก อบิเกลกำลังมองว่าจะไปนั่งคันไหนจนสกอร์เปียสจูงมือเธอไปยังเรือลำหนึ่ง สกอร์เปียสเดินลงไปก่อนที่อบิเกลจะเดินตามแต่เธอก็ต้องหยุดชะงักกับสิ่งตรงหน้าน้ำทะเลสาบที่คล้ายเป็นสีดำ เพราะความมืดมิด เธอจ้องมองมันอยู่สักระยะ ข้างในของเธอที่ถูกมันดึงดูดก็รู้สึกว่าร่างกายจะจมลงไป แต่ลึก ๆ กับบอกว่าให้ระวังน้ำตรงหน้าจนเธอนั้นรู้สึกกลัวหน่อย ๆ สกอร์เปียสมองอีกฝ่ายที่ยังไม่ลงมาสักทีเขาก็เอ่ยถามขึ้น
“กลัวน้ำเหรอ?”
“อ๊ะ...เปล่านะ...แค่รู้สึกไม่ดีนะ...”
“เหรอ...งั้นให้ฉัน-” สกอร์เปียสกำลังจะช่วยอีกฝ่ายก็มีคนขีดเสียก่อน
“รีบ ๆ ขึ้นสิเว้ย!!”
เสียงเด็กชายตะโกนขึ้นจนทั้งสองคนที่อยู่ตรงนั้นตกใจ แต่ก็ไม่หยุดแค่เสียงอีกฝ่ายชนกับอบิเกลเต็ม ๆ จนสกอร์เปียสช่วยพยุงโดยที่เขานั้นก็อยู่บนเรือจนเขาเกือบเซล้ม อบิเกลที่โดนชนก็รู้สึกไม่พอใจสุด ๆ
"นี่นาย!! มาชนคนอื่นแล้วไม่ขอโทษอีก!! แล้วนี่อะไรที่อื่นก็มีให้นั่ง!!"
"แล้วทำไมฉันจะนั่งลำนี้ ผิดหรือไง!?"
"เจ้าบ้านี่!!" อบิเกลกำหมัดขึ้นมาจนทำเอาฝ่ามือเป็นรอยเล็บแล้ว
“นี่ ฮิวโก! ไปแย่งคนอื่นเขานั่งได้ไงกัน!?” เด็กหญิงคนหนึ่งเดินมาด้วยร้อนใจที่ญาติอีกฝ่ายมาแย่งคนอื่นนั่ง
“ฉันจะนั่งตรงนี้มันผิดหรือไง!?”
“เจ้าหมอนี้!!”
"ช่างเถอะ เราไปนั่งลำอื่นก็ได้” สกอร์เปียสเอ่ยกับเด็กหญิงผมแดง แล้วเขาก็เดินลงมาหาอบิเกล "ใจเย็น ๆ นะ เมอร์รัล ไปอารมณ์เสียกับพวกบ้าก็ไม่ได้อะไรหรอกนะ"
"นายว่าใครบ้ากัน! มัลฟอย!!" เด็กชายผมแดงตะโกนขึ้นมาอีก
"ก็ว่าไอ้หนูหัวแดงแถวนี้นะสิ!"
"ว่าไงนะ!!" เด็กชายผมแดงลุกขึ้นในทันใดจนเรือโคลงเคลงขึ้นมา
"นี่พวกเธอ!" แฮกริดตะโกนขึ้น
ทั้งสี่คนตรงนั้นต่างตกใจกับน้ำเสียงของชายชราที่กำลังเดินตรงมาทางนี้ จนกระทั่งอีกฝ่ายมายืนตรงหน้าของพวกเธอ ใบหน้าที่ดูเป็นมิตรกลับกลายเป็นใบหน้าอันโกรธเคืองต่อเด็กตรงนั้น
เด็กชายผมแดงจ้องมองอีกฝ่ายด้วยท่าทางที่หวาดกลัว ก่อนจะเอ่ยเรียกอีกฝ่าย "ปู่แฮกริด…"
"พวกเธอ ไปนั่งลำเดียวกับฉันดีกว่านะ!"
“พวกเธอ? คงไม่ได้หมายถึงหนูด้วยใช่ไหมคะ?” เด็กหญิงผมแดงที่อยู่ตรงนั้นก็เอ่ยถามขึ้น
“เธอด้วยแม่หนูวีสลีย์!!”
“ห๊า!?”
“แต่ว่า…!” อบิเกลกำลังจะปฏิเสธ
“ไม่มีแต่ เอาล่ะ ออกมาจากเรือลำนั้นแล้วตามฉันมาทั้งสี่คน!!”
“งื้อออ!!”
อบิเกลได้ยินแบบนั้นก็ไม่พอใจสุด ๆ จนเธอหันไปมองเด็กชายด้วยสายตาอาฆาตกว่าเดิมที่อีกฝ่ายมาวุ่นวายกับเธอตลอดแบบนี้ เด็กชายก็จ้องมองเธออย่างไม่ชอบใจเช่นกัน แต่ผู้ใหญ่ก็มองทั้งสองคนอย่างไม่ชอบใจก่อนที่พวกเธอจะเลิกแล้วตามอีกฝ่ายไปยังเรืออีกลำที่ดูใหญ่กว่าลำอื่น ตอนนี้พวกเขาทั้งสี่นั่งอยู่ในลำเดียวกันกับชายชรา พวกเขาจ้องมองกันด้วยสายตาไม่พอใจจนหันไปทางด้านทิ้งหัวเรือ ระหว่างนั้นเรือกำลังแล่นไปตามทางอันมืดมิดที่มีแต่แสงจันทร์ส่องลงมาและแล้วแสงสว่างบางอย่างก็สว่างไสวกระทบใบหน้าอันตกตะลึงของเหล่าเด็ก ๆ ที่เห็นภาพตรงหน้า ปราสาทอันมโหฬารตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าช่างเป็นโรงเรียนที่อลังการสุด ๆ อบิเกลมองทอดยาวตรงไปสถานที่แห่งนั้นจนไม่คาดคิดเลยว่าสถาปัตย์กรรมอันงดงามนี้กำลังจะเป็นบ้านหลังที่สองให้เธอได้พักพิง
"สวยจังเลยนะ…" สกอร์เปียสเอ่ยพูดขึ้น
"ใช่…ทั้งสวยและงดงามมาก สมกับเป็นปราสาทล่ะนะ" อบิเกลเห็นด้วยกับอีกฝ่าย แต่ก็มีมารมาพูดเสียดสีซะงั้น
"มีเด็กบ้านนอกอยู่แถวนี้ด้วยล่ะนะ!" เด็กชายผมแดงพูดขึ้น
“!!”
อบิเกลได้ยินประโยคนั้นก็กำหมัดแน่นจนตอนนี้เธออยากชกหน้าเจ้าผมแดงนี้สักรอบสองรอบ แต่สกอร์เปียสช่วยกล่อมให้เธอใจเย็นลงดีที่ยังมีสกอร์เปียสอยู่ข้าง ๆ ไม่งั้นเธอเล่นงานอีกฝ่ายไปแล้วแน่ ๆ อบิเกลหันไปพูดคุยกับสกอร์เปียสแทนโดยไม่สนใจอีกฝ่าย แต่ดูเหมือนคนที่เรียกร้องความสนใจให้อีกฝ่ายโมโหกับไม่พอใจที่เด็กสาวไม่สนใจเขายิ่งทำให้โกรธเคืองยิ่งกว่าเดิม แต่ก็มีสายตาของผู้ใหญ่มองพวกเขาตลอดทำให้ทั้งสองคนต้องนั่งสงบเสงี่ยมตลอดเวลา การมีตัวกวนอยู่ข้าง ๆ ยิ่งน่ารำคาญกว่าเดิมจนอบิเกลอยากหนีจากตรงนี้จริง ๆ แต่สายตาของเธอก็มองโรงเรียนตรงหน้าพร้อมกับคิดบางอย่างว่าตลอดหลายปีเธอคิดมาตลอดว่าถ้าได้เข้าที่นี่จะได้เรียนอะไรมั้ง คาถา ปรุงยา ประวัติศาสตร์ พยากรณ์หรือวิชาอะไรก็ตามที่เธอยังไม่เคยเรียน เธอกำลังจะได้สัมผัสคำว่ารั้วโรงเรียนเสียที
ถึงมันจะเป็นคำสั่งของกระทรวงแต่เธอก็ประสงค์ที่จะมาเองโดยไม่ต้องมีคนปรับบังคับถึงจะห่างจากอาสก็อตหลายเดือน แต่เธอก็จะพยายามติดต่อผ่านจดหมายหาอาทุก ๆ เดือน เรือกำลังแล่นผ่านใต้ปราสาทจนถึงจุดจอดเรือ ลำที่มาก่อนหน้ากำลังจอดเทียบท่าทุกคนกำลังขึ้นฝั่งอย่างรวดเร็วมาถึงลำที่พวกเธอนั่งเจ้าเด็กผมแดงก็เบียดขอขึ้นก่อนเสียงั้นทำเอาอบิเกลถึงกับกำหมัดยิ่งกว่า ผู้ใหญ่อย่างแฮกริดก็ได้แต่ส่ายหน้าเบา ๆ อย่างสงสัยว่าทำไมลูกบ้านวีสลีย์ไม่ชอบเด็กหญิงคนนี้ก่อนที่เขาจะให้เด็ก ๆ ขึ้นฝั่งก่อนที่เขาจะตามขึ้นไป เขาเดินไปหาเด็ก ๆ พร้อมกับพามารวมตัวกัน ระหว่างที่อบิเกลยืนอยู่กับสกอร์เปียสว่าจะไปอยู่จุดไหนดี เธอกำลังเดินก็พบกับเพื่อนที่เจอกันที่ร้านเสื้อผ้าก่อนหน้า
“อ๊ะ! ลูน่า!”
“หือ?” ลูน่าเงยหน้าก็เห็นเพื่อนใหม่ของเธอจนพอเห็นอีกฝ่ายน้ำตาเธอก็เริ่มไหล “แงงงง อบิเกลลลลล!!”
ลูน่ารีบพุ่งเข้ามากอดอบิเกลพร้อมกับพูดซ้ำไปซ้ำมาว่าตนเองกลัวที่มืดตลอดทางเธอเกร็งและกลัวมาก ๆ อบิเกลได้ยินแบบนั้นก็ได้แต่มีสีหน้าเจื่อน ๆ เธอยกมือขึ้นมาลูบหลังอีกฝ่ายเบา ๆ
“งื้ออออ น่ากลัวอ่ะ...”
“ไม่ต้องกลัวนะ มันผ่านไปแล้วนะ งั้นไปด้วยกันนะ”
“อืมมมมมม”
ลูน่ากอดอบิเกลอย่างหวาดกลัวกับสภาพโรงเรียน เธอไม่นึกว่าสภาพตอนกลางคืนจะเหมือนกับบ้านผีสิงแบบนี้ สกอร์เปียสที่อยู่ข้าง ๆ ก็มองคนใหม่ที่เข้ามากอดอบิเกลอย่างสงสัยว่าเป็นใครกัน แล้วมาสนิทกับอบิเกลได้ไง
“ไปรู้จักกันตอนไหนนะ?”
“อ๊ะ!” ลูน่าสะดุ้งตกใจเสียงคนแปลกหน้า เธอก็เงยหน้าก็เห็นคนที่เธอไม่คาดคิดจะเจอก่อนจะแอบทันที “อบิเกล...ทำไม...คนบ้านมัลฟอยถึงอยู่กับเธอนะ...”
“เรารู้จักกันตอนอยู่ที่รถไฟนะ แล้วก็เป็นเพื่อนชายคนแรกของฉันนะ” อบิเกลแนะนำสกอร์เปียสให้ลูน่ารู้จัก
สกอร์เปียสได้ยินว่าตัวเองเป็นเพื่อนชายคนแรกของอีกฝ่ายก็ทำให้เขาหน้าแดงขึ้นมานิดหน่อย
“เพื่อนชายอะไร...เราแค่เพื่อนกันนะ...” สกอร์เปียสแก้คำว่าเพื่อนของอีกฝ่ายทันที
“เอ๋ เพื่อนชายกับเพื่อนก็เหมือนกันนี่?”
“ไม่เหมือนสักนิด...แล้วคำนั้นเธอรู้ไหมว่าคนรอบข้างจะมองแปลก ๆ นะ”
“แปลกยังไง?” อบิเกลมองอย่างสงสัยว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร
สกอร์เปียสได้แต่มองอีกฝ่ายที่ไม่เข้าใจคำพูดของตนเองเลยสักนิดทำให้เขาได้แต่มองความใสซื่อทางสังคมของอีกฝ่ายจริง ๆ แต่สกอร์เปียสไม่รู้เลยว่าการมองของเขามีคนหนึ่งข้าง ๆ อบิเกลกำลังมองอย่างประหลาดใจที่เด็กชายที่อยู่ในครอบครัวที่มีประวัติอันชั่วร้ายจะมีมุมที่เธอไม่คาดคิดสุด ๆ ทำให้เธอต้องคิดใหม่เกี่ยวกับเพื่อนใหม่
“เอ่อ...ฉัน ลูน่า ลองบัตท่อม...ยินดีที่ได้รู้จักนะ” ลูน่าแนะนำตัวให้อีกฝ่าย แต่เธอก็แอบเขินหน่อย ๆ
“ฉัน สกอร์เปียส มัลฟอย ยินดีที่ได้รู้จักนะ คุณลองบัตท่อม”
“ค่ะ...” ลูน่าแอบหลังของอบิเกล เพราะเธอเป็นคนขี้อายพอตัว
อบิเกลเห็นอีกฝ่ายแอบหลังเธอก็แอบหัวเราะคิกคักหน่อย ๆ “คิก ๆ”
ระหว่างที่ทั้งสามคุยกันก็มีสายตาไม่พอใจที่เด็กหญิงผมดำดูมีความสุขมากกว่าอะไรโดยไม่สนใจเลยว่าชายที่อีกฝ่ายเรียกพ่อนั้นเคยทำอะไรไว้กับครอบครัวของเขามันยิ่งทำให้เด็กชายผมแดงยิ่งไม่พอใจเด็กหญิงมากกว่าเดิม แฮกริดเริ่มตะโกนเสียงดังให้เด็ก ๆ ตามเขาไปยังสถานที่แห่งหนึ่งทุกคนต่างเดินตามกันไปตามทางก็มีภาพวาดที่ติดกำแพงแต่ไม่ใช่ภาพวาดธรรมดามันเป็นภาพที่สามารถเคลื่อนไหวได้และแต่ละภาพก็มีบุคคลมากหน้าหลายตาอยู่ภายในภาพพวกนั้น ทุกคนต่างมองกันอย่างไม่แปลกใจ เหล่าภาพวาดต่างแสดงความยินดีและต้อนรับเด็กใหม่ทุกคน พวกเขาเดินจนมาถึงประตูบานใหญ่บานหนึ่ง แฮกริดให้เด็ก ๆ ยืนอยู่บริเวณนั้นสักครู่ ก่อนที่เขาจะเคาะไปที่ประตูบานใหญ่สองสามครั้งก่อนที่มันจะเปิดออกอย่างช้า ๆ แล้วแฮกริดก็หมุนตัวมาหาเหล่าเด็กทั้งหลาย
“เหล่าปี 1 ทั้งหลาย ยินดีต้อนรับสู่ฮอกวอตส์!”
แฮกริดพูดจบประตูตรงหน้าก็เปิดกว้างขึ้น เด็ก ๆ ต่างพากันตาโตอย่างตกตะลึงกับภาพตรงหน้าที่มีเพดานที่มีท้องเมฆและเทียนลอยอยู่กลางอากาศ อบิเกลเคยอ่านว่าโรงเรียนนี้มีเพดานเวทมนตร์ด้วย แต่เธอไม่นึกว่าจะอลังการแบบนี้จนเธอเอ่ยในใจว่าสวย สวย สวย และก็สวยอย่างเดียวภายในความคิด ทุกคนต่างเดินเข้าไปข้างในพร้อมกับเห็นมีโต๊ะยาวสี่แถวตั้งอยู่และตามโต๊ะนั้นมีเหล่านักเรียนที่ดูจะเป็นรุ่นพี่พวกเธอ ทุกคนสวมชุดนักเรียนที่มีสีต่าง ๆ สำหรับอบิเกลที่เคยอ่านและได้ยินจากอาของเธอว่าฮอกวอตส์นั้นมีทั้งหมดสี่บ้านตั้งแต่เรเวนคลอสีน้ำเงิน กริฟฟินดอร์สีแดง ฮัฟเฟิลพัฟสีเหลือง และบ้านสุดท้ายสลิธีรินสีเขียว อบิเกลมองไปยังบ้านสีเขียวก็เห็นแต่มีบุคคลที่ดูมืดมนไปหมด สมกับที่เป็นบ้านที่มีแต่คนเคยเป็นพ่อมดแม่มดดำอยู่บ้านนั้น
‘น่าสงสารบ้านเขียวชอบกล...’ อบิเกลคิด
เหล่านักเรียนใหม่ต่างพากันเดินจนมาถึงลานกว้างสี่เหลี่ยมผืนผ้า แต่ตรงกลางมีโต๊ะสูงเหมือนเคาน์เตอร์ให้ผู้คนมากล่าวปราศรัย แต่ด้านหลังนั้นมีโต๊ะยาวที่มีเหล่าที่ดูแล้วน่าจะเป็นคณาจารย์นั่งกันเรียงยาวอยู่ แต่ละคนดูแล้วมีความหลากหลายในรูปร่างลักษณะสุด ๆ เธอมองไปเรื่อย ๆ นั้นก็เห็นลูน่ากำลังยกมือยิ้มให้ใครสักคนก็เห็นชายที่ดูตัวสูงโปร่งกำลังแอบโบกมือให้ลูน่า เธอมองชายคนนั้นดูร่างใบหน้าที่คล้ายคลึงกับลูน่าก็เดาได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
“คุณพ่อเหรอ?”
“อ๊ะ...อืม...”
“ไม่นึกว่าพ่อของเธอจะเป็นอาจารย์ด้วยนะ”
“อืม ครั้งที่แล้วฉันไม่ได้บอกนะ อย่างเข็มกลัดนี้นะ พ่อฉันให้ก่อนที่จะเข้าเรียนนะ”
“ถึงได้รักมากสินะ ตอนนั้นถึงพยายามจะหยิบให้ได้นะ”
“ใช่แล้วล่ะ” ลูน่ายิ้มอย่างชอบใจ ก่อนจะกอดแขนของอบิเกลอย่างสนิทสนม
คนเป็นพ่อมองลูกสาวที่กำลังกอดแขนกับเพื่อนใหม่ เขาก็ยิ้มอย่างดีใจที่ลูกสาวนั้นได้เพื่อนใหม่เร็วแบบนี้ ก่อนที่หญิงชราคนหนึ่งจะลุกขึ้น เด็ก ๆ ทุกคนต่างพากันมองหญิงชราที่ใส่ชุดเดรสยาวสีดำและทรงผมต่ำมัดเป็นซาลาเปาแถวต้นคอ เธอเดินมาที่โต๊ะสูงก่อนจะกล่าวบางอย่าง
“สวัสดีเหล่านักเรียนใหม่ ทุกคน ฉันเป็นศาสตราจารย์ใหญ่ของโรงเรียนฮอกวอตส์ มิเนอร์ว่า มักกอนนากัล”
‘คนนี้เหรอ? ศาสตราจารย์ใหญ่...ดูเป็นหญิงชราที่ดูสง่างามจัง...’ อบิเกลคิด
สายตาของเธอจับจ้องศาสตราจารย์ใหญ่มิเนอร์ว่าอย่างหลงใหลในความสง่างามของอีกฝ่าย ทำเอาคนที่โดนจ้องเลื่อนสายตามองเด็กน้อยที่มองเธอด้วยสายตาที่ทำให้เธอเขินเล็กน้อย แต่ไม่แสดงออกก่อนจะยิ้มอ่อน ๆ ให้เด็กน้อย อบิเกลเห็นแบบนั้นก็หันหน้าหนีอีกฝ่ายทันที
‘ศาสตราจารย์ใหญ่มองมาที่เราด้วย...เขินจัง...’
“ยินดีต้อนรับพวกเธอทุกคนที่มาสู่รั่วโรงเรียนแห่งนี้ กฎของโรงเรียนจงทำตาม ข้อห้ามก็มีหลายอย่าง แต่ที่เน้น ๆ ก็คือห้ามเข้าไปในป่าต้องห้ามเด็ดขาด ขอให้เข้าใจกันด้วยนะ เด็ก ๆ”
“ครับ/ค่ะ”
“เอาล่ะ งั้นรองศาสตราจารย์บลัดเวิร์ทช่วยดำเนินต่อด้วย”
“ครับ ศาสตราจารย์ใหญ่” ชายที่ถูกเรียกว่ารองศาสตราจารย์มีใบหน้าอันหล่อเหลาทรงผมเรียบ ทำเอาเด็ก ๆ ที่เห็นถึงกับหลงใหล ก่อนที่เขาจะเอ่ยพูดขึ้น "นำสิ่งนั้นเข้ามา”
สิ้นเสียงก็มีคนกำลังถือเบาะที่มีบางอย่างวางอยู่นั้นมันคือ หมวกทรงสูงยับยู่ยี่สีน้ำตาล อบิเกลสิ่งที่ถูกยกมาก็มีความสนใจว่าสิ่งนี้คือสิ่งที่อาสก็อตเคยบอกเธอแน่ ๆ หมวกคัดสรร ที่สามารถตรวจสอบได้ว่าเด็กคนไหนเหมาะที่จะอยู่บ้านหลังไหน เมื่อหมวกคัดสรรถูกวางลงกับเก้าอี้ตัวหนึ่งแล้วนั้น รองศาสตราจารย์ก็เริ่มกล่าวต่อ
“สวัสดีเด็ก ๆ ฉันบาสเตียน บลัดเวิร์ทเป็นรองศาสตราจารย์ของที่นี่ ฉันจะเรียกชื่อคนใดคนหนึ่งออกมา แล้วเราจะให้หมวกคัดสรรเลือกบ้านให้พวกเธอ ใครถูกเรียกก็มานั่งที่เก้าอี้ตรงนี้เลยนะ” บาสเตียนยิ้มให้เด็ก ๆ พร้อมกับกางม้วนกระดาษออกมาเพื่ออ่าน “เอาล่ะงั้นขอเริ่มเลยนะ”
เด็กปีหนึ่งต่างพากันตื่นเต้นกับการคัดเลือกนี้ว่าตัวเองจะอยู่บ้านไหนกัน แต่อบิเกลไม่รู้สึกแบบนั้น เธอกังวลมากกว่าว่าถ้ามีคนรู้นามสกุลของเธอจะมีคนเกลียดเธอแค่ไหนกัน เสียงของรองศาสตราจารย์ดังอย่างต่อเนื่องพร้อมกับเสียงของหมวกคัดสรรที่ตอนแรกอบิเกลไม่นึกว่ามันจะขยับได้และพูดได้ด้วย ทำเอาอบิเกลมองอย่างสงสัยว่ามันทำงานด้วยเวทมนตร์ชนิดไหนจนถึงชื่อของลูน่า ทำเอาเธอสะดุ้งจนตัวสั่นไปหมด
“ตา...ตาฉัน...แล้ว...” น้ำเสียงของลูน่าสั่นกลัวยิ่งกว่าอะไร
อบิเกลหันไปมองอีกฝ่ายที่ดูตื่นเต้นยิ่งกว่าอะไรจนเธอลูบหลังอีกฝ่ายเบา ๆ “ไม่ต้องกังวลหรอก รีบไปจะได้เสร็จ ๆ นะ”
“อืม...” ลูน่าพยักหน้าพร้อมกับเดินแซงออกมาจากเด็ก ๆ ทุกคนที่อยู่ตรงหน้า “ขอทางหน่อยนะ...”
“เด็กคนนั้นจะรอดไหมนะ?” สกอร์เปียสมองอีกฝ่ายที่กำลังเดินออกไป
“น่า ๆ แค่หมวกคัดสรรเอง...เอาอะไรมาไม่รอดกัน มัลฟอย” อบิเกลขอแค่ให้อีกฝ่ายอยู่บ้านที่เหมาะกับตัวอีกฝ่ายก็พอ
ลูน่าเดินจนผ่านพ้นเหล่าเพื่อน ๆ เธอก็กำลังจะก้าวเดินแต่เธอไม่เห็นขั้นบันไดจนเท้าหน้าของเธอสะดุ้งกับขั้นบันไดเข้า
“กรี๊ดดดด!!”
ตึง!!
เสียงล้มดังก้องไปทั้งห้องโถงใหญ่นั้น ทำเอาทุกคนต่างอึ้งกับสิ่งที่เกิด แต่ก็มีบางคนแอบขำอย่างสนุก แต่ก็มีบางคนไม่ชอบใจกับการหัวเราะแบบนั้น เช่นอบิเกลที่เห็นเพื่อนของเธอล้มไปแบบนั้น
“ลูน่า!!” อบิเกลรีบออกจากตรงนั้นแล้วไปหาเพื่อนทันที
“สาวน้อยไม่เป็นไรนะ!” บลัดเวิร์ทถามเด็กน้อยอย่างเป็นห่วง
“ลูน่า!!” คนเป็นพ่อรีบออกจากโต๊ะพร้อมกับวิ่งไปหาลูกสาว “ลูกไม่เป็นอะไรนะ!?”
ทุกคนได้ยินแบบนั้นก็ต่างพากันซุบซิบว่าอาจารย์ตรงหน้าเป็นพ่อของเด็กสาวที่ล้มงั้นเหรอ ลูน่าได้ยินเสียงพ่อก็ค่อย ๆ พยุงตัวขึ้นอย่างช้า ๆ
“เจ็บ อ๊า~” ลูน่าพูดพร้อมน้ำตาไหลไปด้วย
“ลูน่าไม่ได้เป็นอะไรนะ?”
“ไม่รู้สินะ...แต่...แสบ ๆ ที่หน้าผากนะ...” ลูน่าเงยหน้ามามองอบิเกลนั้น
อบิเกลกับพ่ออีกฝ่ายเห็นภาพตรงหน้าก็ตกใจทันทีว่าหน้าผากอีกฝ่ายนั้นมีเลือดซึมออกมา
“ลูน่า ลูก...มีเลือดไหล!!”
“เลือด?” ลูน่าได้ยินแบบนั้นก็ค่อย ๆ เอามือยกขึ้นสัมผัสหน้าผากของตนเอง แล้วยกลงมาดูก็เห็นเลือดที่เลอะมือของเธอ “ละ...เลือด...”
“เดียวพ่อรักษาให้นะ!!” ลองบัตท่อมกำลังจะหยิบไม้กายสิทธิ์แต่เขาลืมไปว่าวางไว้ที่โต๊ะ
อบิเกลรีบหยิบไม้กายสิทธิ์ของเธอออกมา “รองศาสตราจารย์บลัดเวิร์ทค่ะ หนูขอรักษาเพื่อนหนูก่อนนะคะ”
“เอ๊ะ...!” บลัดเวิร์ทมองอย่างสงสัยว่าเด็กน้อยพูดอะไรนะ
อบิเกลไม่ฟังคำอนุญาตก็ร่ายคาถาออกมา “เอพิสกี้ (Episkey)”
เวทมนตร์เริ่มทำงานแผลบนหน้าผากของลูน่าก็ค่อย ๆ สมานอย่างช้า ๆ ทำเอาทุกคนที่อยู่ตรงนั้นทั้งหมดต่างพากันตกใจจนอุทานออกมา
“เอออออออออ๋!?”
อบิเกลมองด้วยสายตาสงสัยว่าจะอุทานอะไรกันเสียงดัง มันก็แค่คาถารักษา แต่สำหรับเด็กที่พึ่งเข้ามาอาจจะต้องอุทานว่าเด็กอย่างเธอใช้เวทมนตร์เป็นก่อนจะเรียนรู้ คุณลองบัตท่อมก็มองอย่างตกตะลึงว่าเด็กหญิงคนนี้ทำไมถึงใช้คาถาได้อย่างคล่องแคล่วแบบนี้ จนรองศาสตราจารย์ที่อยู่ตรงนั้นถึงกับเอ่ยถามขึ้น
“นี่เธอ...ร่ายคาถานั้นได้ไงกัน?”
“เอ๋?” อบิเกลเงยหน้ามองอีกฝ่ายอย่างสงสัย “ก็...เวทพื้นฐานไม่ใช่เหรอคะ?”
“เด็กน้อย...ใครบอกเธอว่าเป็นเวทพื้นฐานกัน?”
“เอ๋?”
“เพราะเวทที่เธอใช้นั้น ต้องฝึกตั้งแต่อยู่ปี 4 ขึ้นไปนะ สาวน้อย...”
“เอ๋!?” อบิเกลถึงกับอ้ำอึ้งยิ่งกว่าอะไร “เออออออออออ๋!?”
“ไว้ค่อยคุยกันดีกว่านะ” มักกอนนากัลเอ่ยขึ้น เธอจ้องมองมาทางเด็กน้อยก่อนจะหันไปทางทุกคน “ตอนนี้ยังมีเด็กต้องได้รับการคัดเลือกอีกนะ เชิญต่อ”
“อ๊ะ...ครับ...งั้นหนูลองบัตท่อมยืนไหวไหม?”
“ไหวค่ะ...”
"งั้นขึ้นมานั่งได้เลย” บลัดเวิร์ทให้เด็กน้อยมานั่งตรงจุดที่ต้องนั่ง
“คะ...ค่ะ...” ลูกน่าพยายามกำลังลุกขึ้น เธอรู้สึกไม่เจ็บที่หน้าผากแล้ว
“ลูกไม่เป็นอะไรแน่นะ?”
“ค่ะ...หนูดีขึ้นแล้ว พ่อไปนั่งที่เหมือนเดิมเถอะค่ะ...”
“งั้นก็ได้…” ลองบัตท่อมมองหน้าลูกสาวอย่างเป็นห่วง เขาลุกขึ้นแล้วหันไปหาเด็กหญิงที่ช่วยลูกเขา “ขอบคุณเธอนะที่ช่วยลูน่า”
“แค่นี้เองค่ะ หนูช่วยเท่าที่ช่วยได้ค่ะ”
“แต่ก็ขอบคุณจริง ๆ”
ลูน่าเห็นพ่อกับขอบคุณเพื่อนของเธอ ทำให้ดีใจมาก ๆ ก่อนที่เธอนั่งจะนั่งตรงเก้าอี้แล้วพูดด้วยเสียงแผ่วเบา
“ขอบคุณนะ...”
อบิเกลยกยิ้มแล้วยกนิ้วขึ้นมาเป็นวงกลม “เล็กน้อยนะ”
ลูน่าฉีกยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับเตรียมตัวที่หมวกลงหัวของเธอ อบิเกลกลับมาที่เดิมสกอร์เปียสยังยืนอยู่ เขายังสงสัยว่าอีกฝ่ายออกไปเร็วมาก ๆ ทุกคนต่างมองมาที่อบิเกลก็มีเสียงซุบซิบเล็กน้อยก่อนที่สกอร์เปียสจะแซวเธอ
“เธอดังแน่ ๆ”
“เงียบไปเลย...มัลฟอย”
อบิเกลกล่าวแบบนั้นก่อนจะตั้งใจฟังหมวกคัดสรรกำลังพูดบางอย่างเกี่ยวกับตัวลูน่าจนกระทั่งมันตะโกนออกมา
“คัดไปอยู่สลิธีริน!!”
“โอ้!!!”
เสียงฮือฮาดังก้องไปทั้งห้องอาหารไม่คาดคิดว่าเด็กหญิงซุ่มซ่ามคนนี้จะต้องมาอยู่บ้านที่น่ากลัวอย่างบ้านสลิธีริน อบิเกลได้ยินก็สงสารอีกฝ่ายจริง ๆ
“เอ๋!!” ลูน่าได้ยินถึงกับอึ้งกับคำตอบนั้น “มันต้องผิดแน่ ๆ ฉัน...ฉันอ่อนแอจะตายไป!! ฉันไม่ได้เหมาะกับบ้านสลิธีรินเลยนะ!”
“โทษทีสาวน้อย การคัดเลือกของฉันเป็นธรรมที่สุด ขอให้โชคดีกับการอยู่บ้านสลิธีริน!”
ลูน่าหันไปหาคนเป็นพ่อที่อยู่ด้านหลัง เขามองด้วยสีหน้าที่ขมวดคิ้วอย่างสงสัยว่าลูกของตนเองทำไมไปอยู่บ้านสลิธีรินได้ ลูน่าเห็นสีหน้าของพ่อก็ทำเอาเธอหน้าซีดอย่างบอกไม่ถูกว่าพ่อเธอเหมือนไม่พอใจที่เธอได้อยู่บ้านสลิธีริน เธอค่อย ๆ ลุกขึ้นไปทั้งหน้าตาหงอย ๆ ไปยังบ้านสลิธีริน อบิเกลมองอีกฝ่ายที่หงอย ๆ ไปเลยเป็นใครไม่หงอยการอยู่บ้านนั้นจะโดนอะไรมั้งก็ไม่รู้ เธอสงสารอีกฝ่ายจริง ๆ ระหว่างที่กำลังสงสารอีกฝ่ายอยู่นั้นชื่อที่เธอไม่อยากได้ยินก็ดังขึ้นมา
“ฮิวโก้ วีสลีย์!”
“หึ ๆ ไม่ต้องเดาเลย ฉันได้อยู่บ้านกริฟฟินดอร์แน่ ๆ”
ฮิวโก้เอ่ยพูดพร้อมกับเดินออกมาจากกลุ่มเพื่อน ๆ พร้อมกับเอาไหล่ชนพวกอบิเกล ทำเอาเธอมองตาขวางใส่อีกฝ่าย
“ไอ้หมอนี้!!”
ฮิวโก้เดินตรงไปข้างหน้าแล้วนั่งลงอย่างชอบใจ บลัดเวิร์ทวางหมวกบนหัวของฮิวโก้ หมวกคัดสรรครุ่นคิดไม่นานก็ประกาศออกมาทันใด
“กริฟฟินดอร์!!”
เสียงตบมือของบ้านกริฟฟินดอร์ดังอย่างชอบใจพร้อมกับมีพี่น้องผมแดงอยู่บ้านหลังนั้นเช่นกัน อบิเกลหันไปมองก็ไม่ชอบใจท่าทางที่ดูหมั่นหน้าแบบนั้นของอีกฝ่าย ไม่นานนักชื่อต่อไปก็เป็นชื่อของคนข้าง ๆ
“สกอร์เปียส มัลฟอย!”
ทุกคนต่างพากันนิ่งเงียบเมื่อได้ยินนามสกุลนั้น ทุกคนต่างจ้องมองด้วยสายตาไม่ชอบใจกับคนนามสกุลนี้ สกอร์เปียสได้ยินชื่อของเขา ก็ได้แต่ถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะเดินออกไปช้า ๆ ก็มีคนซุบซิบว่ามองยังไงลักษณะของสกอร์เปียสก็คือคนบ้านมัลฟอย เพราะสีผมที่เป็นจุดเด่นของบ้านมัลฟอย อบิเกลได้ยินแบบนั้นก็สงสัยเลยว่าครอบครัวอีกฝ่ายมีคนสีผมอ่อนแบบนั้นกี่คน สกอร์เปียสนั่งลงไม่นานพอรองศาสตราจารย์บลัดเวิร์ทวางหมวกลงหมวกคัดสรรก็ตะโกนอย่างรวดเร็ว
“สลิธีริน!!”
“โห!!!”
ทุกคนถึงกับตะลึงว่าวางหมวกไม่ถึงนาที หมวกคัดสรรก็ประกาศอย่างรวดเร็ว อบิเกลถึงกับอึ้งเลยที่เพื่อนเธอสองคนไปอยู่บ้านหลังนั้นไปแล้ว ทำเอาเธออยากไปอยู่บ้านหลังนั้นมั้งเลย คนก็ค่อย ๆ หายไปทีละคนสองคนจนกระทั่งถึงเธอเป็นคนสุดท้ายซะงั้น ทำเอาเธอเกร็งไปหมดที่ทุกคนต่างมองด้วยความสนใจที่เด็กสาวที่มีความสามารถในเวทมนตร์คาถาจะไปอยู่บ้านไหน รองศาสตราจารย์บลัดเวิร์ทเห็นชื่ออีกฝ่ายก็ยิ้มอย่างชอบใจ ก่อนจะเอ่ยพูดขึ้น
“คนสุดท้าย อบิเกล เมอร์รัล!”
จบตอนที่ 6 โปรดติดตามตอนที่ 7 ต่อไป