อบิเกล เด็กที่มีชีวิตที่ไม่เหมือนใคร เธอต้องตะลุยไปตามสถานที่ต่างๆ กับอาของเธอจนกระทั่งวันหนึ่งที่กับมาบ้านแล้วเธอก็ได้พบกับจดหมายที่เธอไม่คาดคิด จดหมายนี่จะเปลี่ยนชีวิตของเธอที่เธอไม่รู้จักอีกมากมาย
แฟนตาซี,ชาย-หญิง,รั้วโรงเรียน,ตะวันตก,อื่นๆ,แฟนฟิค,แฟนฟิคแฮร์รี่พอตเตอร์,เวทมนตร์,ฮอกวอตส์,รุ่นลูก,คาถา,แฮร์รี่พอตเตอร์,เด็กหญิงผู้รอดชีวิต,YukiCoCo,แฟนตาซีน,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
[Fanfiction Harry Potter รุ่นลูก] เด็กหญิงผู้รอดชีวิตอบิเกล เด็กที่มีชีวิตที่ไม่เหมือนใคร เธอต้องตะลุยไปตามสถานที่ต่างๆ กับอาของเธอจนกระทั่งวันหนึ่งที่กับมาบ้านแล้วเธอก็ได้พบกับจดหมายที่เธอไม่คาดคิด จดหมายนี่จะเปลี่ยนชีวิตของเธอที่เธอไม่รู้จักอีกมากมาย
++คำอธิบายจากนักเขียน++
สวัสดีทุกคนนะคะ ขอต้อนรับสู่อีกเรื่องที่เป็นแนวนิยายฟิครุ่นลูกอีกเรื่อง
เรื่องนี้ทุกคนก็น่าจะรู้จักก็คือเรื่อง แฮร์รี่ พอตเตอร์ ผู้เขียน เจ.เค.โรว์ลิง
เนื้อเรื่องนิยายครั้งนี้ก็เหมือนเคยไรท์อยากสนองฮีทของตัวเองเลย
สร้างเรื่องนี้ขึ้นแต่งรุ่นลูกของแฮร์รี่ขึ้น อันนี้จะแตกแขนงจากละครเวทีอย่างเรื่องเด็กต้องสาป
มาอีกทีเหมือนโลกคู่ขนามอีกโลกหนึ่ง เนื้อเรื่องอาจจะมีปวดตับมั้งหรือเปล่านะ
แต่ถ้าใครไม่ชอบก็ขอประทานอภัยกับเนื้อเรื่องที่ทางไรท์ต้องการนะคะ
บทนำของเรื่อง
อบิเกล เด็กสาวที่มีชีวิตที่ไม่เหมือนใคร เธอนั้นได้เดินทางไปกับอาของเธอโดยไม่รู้ว่าต้องออกเดินทางเพราะไร จนพวกเขาตั้งหลักได้แล้วก็กลับมายังลอนดอนอีกครั้งและใช้ชีวติจนเวลาผ่านไปนานจนอบิเกลได้อายุ 11 ปี พวกเขากลับมาจากทำงานแล้วกลับมาบ้าน แต่แล้วอบิเกลต้องดีใจที่เธได้ จดหมายจากโรงเรียนเวทมนตร์ ฮอกวอตส์ แต่เธอไม่รู้ว่าชีวิตของเธอกำลังจะเปลี่ยนไป เมื่อเข้าสู้โรงเรียนแห่งนั้น
เรื่องนี้เชื่อมโยงกับโลกเทพปกรณัมกรีกในนิยายแฟนฟิคของเรา
อย่างเรื่อง สายเลือดแห่งโพไซดอนที่หายสาบสูญ นะคะ
ไปติดตามกันได้นะ
ปล. เรื่องนี้เป็นนิยายฟรี ไม่อาจะคาดเดาในวันที่จะลงได้
ตอนที่ 8 บ้านใหม่ เพื่อนร่วมห้องใหม่
ผู้ใหญ่ทั้งสองมองเด็กหญิงที่เอ่ยแบบนั้นอย่างสงสัยว่าเด็กต้องการฟังว่าพวกนี้มาฟ้องอะไร จนพวกแม็กนัสไม่ชอบใจกับวาจาของเด็กตัวเล็กนี้จนพวกเขาอยากเข้าไปขัด แต่ว่าตอนนี้พวกเขาเกิดพูดอะไรออกมาคงเป็นภัยต่อพวกเขา พวกเขาก็ได้แต่สะอึกสะอื้นอย่างเสียใจที่รุ่นน้องทำร้ายพวกเขาอย่างที่ฟ้องอาจารย์ไป คามิวที่มองพวกนั้นก็รู้สึกไม่พอใจที่พวกนั้นคงจะฟ้องว่าเด็กตัวเล็กทำร้ายพวกตน เพราะแต่ละคนดูจะบาดเจ็บกันหมด แต่คนที่เจ็บมีแต่แม็กนัสเท่านั้น เธอคิดว่าต้องช่วยแก้ต่างให้น้องก่อนจะเอ่ยพูดออกมา
“ศาสตราจารย์ค่ะ...คือว่า...”
“ช่วยเงียบด้วย! คุณโฟลด์!”
คามิวหยุดชะงักเมื่อเสียงนั้นสั่งห้ามเธอจนเธอนั้นหันไปมองเจ้าของเสียงก็คืออาจารย์ประจำบ้าน อาจารย์บริตนีย์ มิลเกรด สั่งห้ามให้เธอหยุดเงียบไม่ให้แก้ตัวแทนเด็ก นั้นทำให้เธอไม่พอใจและรู้สึกแย่สุด ๆ ที่ตลอดมาหลายปีเธอโดนอาจารย์ท่านนี้กดขี่มาตลอดแถมยังให้ท้ายเจ้าแม็กนัสตลอดจนเธอไม่ชอบใจเลยจริง ๆ อบิเกลมองท่าทางของรุ่นพี่ก็รู้ทันทีว่าอาจารย์ท่านนี้ดูจะไม่เข้าข้างพวกรุ่นพี่แน่ ๆ เธอยื่นมือไปจับมืออีกฝ่ายอย่างเบามือ
“อ๊ะ...” คามิวก้มลงมองอีกฝ่ายที่จับมือของเธอ
“ไม่เป็นไรค่ะ รุ่นพี่ เดียวหนูจัดการเองนะคะ”
“เมอร์รัล...”
อบิเกลยิ้มให้อีกฝ่ายแล้วเดินมาตรงหน้าด้วยสีหน้าที่นิ่งเฉย ศาสตราจารย์ใหญ่มองแววตาของเด็กน้อยที่มุ่งมั่นยิ่งกว่าอะไร ทำให้คิดเลยว่าเด็กคนนี้ไม่สมกับมาอยู่บ้านสลิธีรินจริง ๆ
“เมื่อกี้เธอบอกว่าอยากฟังว่าอีกฝ่ายฟ้องอะไร?”
“ใช่ค่ะ”
“ยังจะถามอีกนะ!” อาจารย์มิลเกรดพูดขึ้นแล้วจ้องมองเด็กใหม่ตรงหน้าอย่างไม่ชอบใจ “ได้ยินนามสกุลก็รู้เลยว่าสันดานเป็นยังไง!!”
“โทษนะคะ ถึงหนูนามสกุลอะไรมันก็ขึ้นกับตัวหนู ไม่ได้อยู่ที่สันดานของครอบครัวหรอกนะ แล้วอีกอย่างมันไม่ได้เกี่ยวกับคุณสักนิด”
“แก!!”
เด็ก ๆ บางคนต่างหลุดขำออกมากับคำเถียงของอบิเกล ทำให้อาจารย์มิลเกรดจ้องมองอย่างไม่ชอบใจ
“พอได้แล้ว อาจารย์มิลเกรด คุณก็ผิดที่พูดแบบนั้นใส่เด็ก!”
“ค่ะ...ศาสตราจารย์...” อาจารย์มิลเกรดรู้สึกขายหน้าที่โดนตำหนิ
“เอาล่ะ คุณเมอร์รัล ได้ยินว่าหนูใช้ไม้กายสิทธิ์ของตนเองร่ายใส่ผู้อื่น ใช่หรือไหม?”
“ใช่ค่ะ!”
“เห็นไหมคะ?! เด็กนี้มันยอมรับแล้วว่าตนเองกระทำอะไรกับเด็กของฉันนะคะ ศาสตราจารย์มักกอนนากัล…”
“แต่หนูมีเหตุผลค่ะ!” อบิเกลพูดขึ้นมาทันที
พวกผู้ใหญ่และรุ่นพี่ต่างมองเด็กหญิงกล่าว ศาสตราจารย์ใหญ่ได้ยินก็ยิ้มอย่างชอบใจที่เด็กน้อยนั้นมีเหตุผลของตนเอง แต่ทว่าพวกแม็กสันกับลุกลี้ลุกลนจนสะกิดอาจารย์มิลเกรดให้ห้ามเด็กนั้นพูดอะไรออกมา ถึงเด็กพวกนั้นไม่บอกเธอก็จะห้าม เพราะเธอไม่ชอบเจ้าเด็กนี้เหมือนกัน ก่อนจะหันไปทางศาสตราจารย์ใหญ่
“ศาสตราจารย์ค่ะ...อย่าไปฟังเด็กมันดีกว่านะคะ พวกเด็กปีใหม่ ๆ -”
“เงียบซะ อาจารย์มิลเกรด!”
“ค่ะ...” บริตนีย์ก้มหน้าทันที
พวกพรีเฟ็คเห็นก็สะใจที่อาจารย์ที่ชอบข่มเด็ก ๆ กำลังโดนอาจารย์ใหญ่ข่มบ้าง ศาสตราจารย์มักกอนนากัลหันมามองเด็กน้อยตรงหน้า
“เหตุผลของเธอคืออะไร?”
“ระหว่างที่พวกหนูกำลังตามรุ่นพี่พรีเฟ็คมาที่หอพักนั้นก็มีกลุ่มรุ่นพี่กลุ่มหนึ่ง จู่ ๆ ก็โผล่มา ทำท่าทางไม่เชื่อฟังแล้วก็ข่มเหงพวกรุ่นพี่คามิว จริงไหมคะ? เอ่อ...พวกรุ่นพี่แม็กสัน”
พวกแม็กสันทำสีหน้าไม่พอใจที่อีกฝ่ายกำลังฟ้องเรื่องของพวกเขาก่อนที่เธอจะบอกความจริงเรื่องพวกนี้ต่อ
“แล้วรุ่นพี่แม็กสันก็ใช้พูดคำที่ไม่ดีออกมาอย่างเช่น พวกเลือดสีโคลนใส่รุ่นพี่พรีเฟ็คค่ะ”
“จริงเหรอ?” ศาสตราจารย์มักกอนนากัลเงยหน้ามองพรีเฟ็คผู้หญิงทั้งสามคนที่อยู่ตรงหน้า
“ใช่ค่ะ อาจารย์ใหญ่”
“พวกหนูเป็นพยานด้วยค่ะ!” ลูน่ายกมือขึ้นมาอย่างมุ่งมั่นทันที
“ศาสตราจารย์ใหญ่ครับ...คือว่า...”
“ศาสตราจารย์มักกอนนากัลค่ะ แต่คำให้ของเด็กพวกนี้อาจจะโกหกก็ได้นะคะ!!”
“คุณจะหาว่าเราโกหกหรือไงกันคะ!? อาจารย์มิลเกรด!!”
“ทำไมล่ะ!! พวกเธอจะหาว่าคุณโคลสันโกหกงั้นเหรอ?” มิลเกรดชี้หน้ามาทางคามิว
“ก็มันจริงนี้ค่ะ!! แล้วก็เป็นปกติด้วยที่คุณจะเข้าข้างเด็กของตนเองนะ แล้วโทษเด็กคนอื่นที่ไม่มีความผิดแต่อย่างใด!! อาจารย์มิลเกรด!!” คามิวชี้หน้าไปทางอาจารย์อย่างโกรธเคือง
“แก! ไอ้เด็ก...” มิลเกรดพยายามจะหยิบไม้กายสิทธิ์ออกมา
“หยุดเดี๋ยวนี้! อาจารย์มิลเกรด”
ศาสตราจารย์ใหญ่ตะโกนขึ้นมาทันที เด็ก ๆ ต่างนิ่งเงียบกัน ร่วมถึงอาจารย์มิลเกรดที่รู้สึกว่าวันนี้ตัวเองทำอะไรก็มีแต่ผิดไปหมดทุกอย่างจริง ๆ จนเธอนั้นตัวสั่นเทาไปหมดแล้วมองมาทางศาสตราจารย์ใหญ่
“ศาสตราจารย์ใหญ่...”
“พอแค่นี้ล่ะนะ ดูเหมือนเด็ก ๆ จะเป็นพยานที่ดีให้คุณเมอร์รัลได้ล่ะนะ”
“ไม่ใช่แค่เด็ก ๆ นะครับ”
เสียงของคูลูมัสดังขึ้นเขาเดินออกมาจากโซนหอนักเรียนชายกับพวกพรีเฟ็คปีหกและพรีเฟ็คปีห้า พวกเขาทั้งสามคนเดินตรงมาร่วมกับพวกคามิว
“ยังมีพวกผมกับนักเรียนชายปี 1 อีกหลายคนที่เป็นพยานให้ได้ เพราะตอนที่เกิดเรื่องนั้นหลังจากที่พวกผมโดนด่า เมอร์รัลก็ด่าแม็กสันคืน แต่อีกฝ่ายไม่ชอบใจจนกระชากคอเสื้อเมอร์รัลพร้อมกับถือไม้กายสิทธิ์จะสาปแช่งรุ่นน้องเป็นหนู ผม คามิวและน้องปีหนึ่งอีกคนเข้าไปห้ามแม็กสันก่อนที่จะโดนเขาถีบ เมอร์รัลเลยใช้ช่วงวินาทีหนึ่งหยิบไม้กายสิทธิ์ขึ้นมาโจมตีอีกฝ่ายกลับครับ ศาสตราจารย์มักกอนนากัล”
“อ๋อ...เรื่องเป็นแบบนี้เองสินะ”
ศาสตราจารย์มักกอนนากัลหันไปมองคนข้าง ๆ อาจารย์มิลเกรดกำมือของตนเองจนเล็บนั้นจิกลงเนื้อของเธอที่มีเด็กไม่ได้เข้าข้างเธอเลยสักคน ศาสตราจารย์มักกอนนากัลได้ยินแบบนั้นก็ถอนหายใจเบา ๆ
“ไหนไม่เห็นเป็นอย่างที่คุณโคลสันแจ้งเลยนะ?”
“เอ่อ...ศาสตราจารย์...พวกเรา...”
ศาสตราจารย์ใหญ่หันมามองพวกแม็กสันจนตอนนี้พวกเขานิ่งเงียบไปในทันใด ก่อนที่ศาสตราจารย์จะหันมาทางอบิเกล
“เอาล่ะ...ฉันคงกวนเวลาพวกเธอมากไปแล้วล่ะ ยินดีต้อนรับสู่ฮอกวอตส์อีกครั้งเด็ก ๆ”
“ค่ะ ศาสตราจารย์ใหญ่” เด็กทุกคนต่างขานตอบพร้อมกัน
ศาสตราจารย์ใหญ่โค้งเล็กน้อยให้เด็ก ๆ ก่อนจะหันกลับมามองพวกที่สร้างเรื่องให้แก่พวกเขาสุด ๆ “พวกคุณโคลสันกับอาจารย์มิลเกรดตามฉันไปยังห้องครูใหญ่”
“อ๊ะ!!!”
“ฉันด้วยเหรอคะ!?” อาจารย์มิลเกรดถามอย่างตกใจ
“แล้วฉันเรียกใครไหมทราบ!?”
“คะ...ค่ะ...”
อาจารย์มิลเกรดถึงกับคอตกไปเลยที่โดนเข้าห้องครูใหญ่มันไม่ใช่เรื่องดีแน่ ๆ พวกแม็กสันได้ยินก็กำหมัดอย่างไม่ชอบใจ จนสายตาของเขานั้นหันไปมองพวกเด็กปีหนึ่ง อบิเกลเห็นอีกฝ่ายหันมามองเธอก็แลบลิ้นใส่อีกฝ่ายเป็นการสมน้ำหน้าที่อยากมาหาเรื่องคนอื่นเข้าก่อน พวกเขาหมายหัวของอบิเกลไว้ในทันที แต่มีหรือว่าเธอจะสนใจ พอพวกเขาออกจากหอพักแล้ว พวกคามิวก็โล่งใจแล้วหันไปทางคูลูมัสที่กำลังเดินตรงมาทางพวกเธอ
“ขอบใจที่ช่วยนะ ฉันนึกว่าจะแย่แล้ว” คามิวหันไปขอบคุณอีกฝ่ายที่เข้ามาช่วย
“ฉันช่วยเท่าที่ช่วยได้นั้นล่ะนะ แต่ก็ดีที่อาจารย์นั้นโดนเข้าห้องครูใหญ่มั้ง คงโดนต่อว่าเยอะแน่ ๆ”
“แต่ฉันกลัวจะมาหาเรื่องพวกเราอีกนะสิ อีกแค่ 1 ปี เราก็จะจบแล้วแท้ ๆ”
“ทำไงได้ คนของยัยนั้นมาหาเรื่องเราก่อน”
“ก็จริงนะ เอ่อ...งั้นฉันพารุ่นน้องไปหอพักดีกว่า เดินทางมาเหนื่อยล่ะ เดียวพรุ่งนี้ก็เริ่มเรียนวันแรกแล้ว”
“ดีเลย ฉันไปพักมั้งดีกว่า โชคดีล่ะ”
“โอเค บาย” คามิวบอกลาอีกฝ่ายก่อนจะไปหาน้อง ๆ ทุกคน “ทุกคนตามพี่มาเร็ว ไปห้องพักของพวกเรากัน!”
“ค่า~”
เหล่านักเรียนหญิงปีหนึ่งต่างพากันตามรุ่นพี่กันไปยังโซนหอพักหญิง ทุกคนเดินตามไปยังทางเดินก็มาถึงห้องพักที่เคยเป็นของรุ่นพี่ปีก่อน ๆ ที่จบไปแล้วไม่นานมานี้ บางคนต่างสงสัยเลยว่าห้องแต่ละห้องมีใครใส่คาถากลั่นแกล้งไว้ไหมจนรู้สึกกลัวไม่กล้าเข้าห้องนอนเลย แต่ไม่ใช่แค่น้อง ๆ ที่ระแวงพวกพรีเฟ็คก็ควรหน่อย ๆ จนบางห้องที่เข้าไปก็เจอดีตั้งแต่เข้าเรียนจนมีเสียงกรีดร้อง อบิเกลก็ส่ายหัวเบา ๆ ที่พวกรุ่นพี่ที่จบไปนั้นสร้างเรื่องให้น้อง ๆ ได้จริง ๆ อบิเกลเดินดูตามห้องต่าง ๆ ที่มีกระดาษติดอยู่จนเธอเห็นชื่อของเธอ แต่ก็มีอีกชื่อที่คุ้นตานั้นก็คือชื่อของลูน่า แล้วพวกเธอสองคนได้มาอยู่ห้องสุดท้ายด้วยกันเสียงั้น
“เราได้อยู่ห้องเดียวกัน!” ทั้งสองคนต่างพูดพร้อมกันก่อนจะจับมือแล้วกระโดดโลดเต้นอย่างดีใจ “เย้!!”
ทั้งสองคนต่างดีใจที่ตนเองได้อยู่ห้องเดียวกับเพื่อนใหม่ ก่อนที่จะเข้าไปนั้นอบิเกลตรวจสอบก่อนเข้าห้องว่าไม่มีกลไกอะไรใช่ไหม แต่ก็อย่างที่คิดมันมีกลไกคาถาอยู่ อบิเกลถึงกับถอนหายใจอย่างรุนแรงก่อนจะคลายคาถานั้น แล้วเดินเข้าไปข้างในก่อนคนอื่น แต่สิ่งตรงหน้าทำให้เธอต้องตะลึงนั้นก็คือขนาดของห้องที่กว้างใหญ่กว่าที่เธอคิดจนลูน่าเห็นก็ตะลึงไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน แต่อบิเกลเคยเห็นมาหลายครั้งแล้วเหมือนในเต็นท์ของหน่วยเธอที่กว้างกว่าภาพลักษณ์ ภายในอันมโหฬารภายในที่เป็นโทนสีเขียวเข้ม ยิ่งพอมอง ๆ ภายในห้องนี้มีรูปทรงเป็นหกเหลี่ยม แต่ละมุมจะมีเตียงตั้งอยู่แถมปลายเท้ายังมีหีบให้ใช้ด้วย อบิเกลเห็นก็พอชอบใจสภาพห้องที่ถึงจะเป็นสีเขียวแต่เธอก็ไม่ค่อยรู้สึกอึดอัดเท่าไหร่เพราะเธอชอบสีเขียวอยู่แล้ว แต่เธอก็อยากให้มีสีสว่างมากกว่าสีหม่น ๆ ของสีเขียวกับดำ
“น่าหาสีอื่น ๆ มาตกแต่งห้องนี้มั้งเนอะ...”
“ใช่เลย...มืดมนแปลก ๆ นะ...”
ลูน่ามองรอบ ๆ ห้องที่มันดูน่ากลัวชอบกลจนเธอไม่รู้ว่าจะนอนได้ไหม อบิเกลเดินไปที่ตรงกลางห้องที่มีเตาไฟให้ใช้ คงเพราะใกล้หน้าหนาวเลยของแบบนี้ให้ใช้นั้นล่ะ ระหว่างที่กำลังคิดบางอย่างก็มีคนเริ่มเข้ามาอีกสามสี่คน ลูน่าหันไปเห็นกลุ่มคนที่เข้ามาเธอก็รีบวิ่งเข้าไปสามคนที่รู้จักพร้อมกับกอดอย่างดีใจ
“อ๊า!! ฉันไม่นึกว่าพวกเธอจะอยู่บ้านเดียวกันด้วยนะเนี่ย!!”
“นึกว่าลืมพวกเราแล้วซะอีก เห็นอยู่กับเพื่อนใหม่นะ!!”
“จริงด้วยนะ ลูน่าจะทิ้งเพื่อนเหรอ?”
“เค้าขอโทษนะ!!”
อบิเกลมองอีกฝ่ายที่กำลังพูดคุยกับคนมาใหม่ที่เธอยังไม่รู้จัก สายตาของเธอก็หันไปมองเด็กหญิงอีกคนที่ออกห่างจากสี่คนที่กำลังทักทายกัน เธอก็มองมาที่อบิเกลพร้อมกับยกยิ้มเล็กน้อย อบิเกลเห็นแบบนั้นก็ยิ้มตอบเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มทักทายเพื่อนใหม่
“ขอโทษทีนะ...อย่าเอาแต่อยู่แถวประตูดีกว่านะ เพราะว่ารู้สึกเหมือนอากาศจะเริ่มหนาวแล้วนะ...” อบิเกลเอ่ยพร้อมกับยกไม้กายสิทธิ์ขึ้นมาร่ายคาถาทำให้ไฟติดที่เตาไฟ
“อ๊ะ!! จริงด้วย!!” เด็กสาวผมสีน้ำตาลสั้นเอ่ยพูดขึ้นก่อนจะพากันเข้ามาข้างในพร้อมกับปิดประตู
“งั้น...สวัสดีทุกคน เอ่อ...ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป...เราต้องอยู่ด้วยกันไปอีก 7 ปี มาเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเนอะ”
“อืม!!” ลูน่าพยักหน้าอย่างแรง
“แน่อยู่แล้วล่ะ!!”
“ลงเรือลำเดียวกันแล้วนี่น่า!!”
“ฮ่า ๆ” อบิเกลหัวเราะเบา ๆ ก่อนที่เธอนั้นจะเอ่ยพูดต่อ “เอ่อ...ทุกคนคงรู้จักฉันจากเรื่องก่อนหน้าล่ะนะ แต่ก็ขอแนะนำตัวอีกครั้ง ฉัน อบิเกล เมอร์รัล ยินดีที่ได้รู้จักนะ”
“ยินดีที่ได้รู้จัก เมอร์รัล”
ทุกคนต่างขานทักทายตอบอีกฝ่าย ทำเอาอบิเกลไปไม่ถูกเลยจริง ๆ ว่าเธอควรทำยังไงต่อ แต่เธอก็โล่งใจที่เพื่อนใหม่ดูเป็นมิตรกัน ก่อนที่ลูน่าจะเดินพาเพื่อนใหม่สามคนที่อบิเกลไม่รู้จักมาทำความรู้จักด้วยทันที
“สามคนนี้เป็นเพื่อนฉันนะ อบิเกล พอดีพ่อเราทั้งสามคนรู้จักกันตั้งแต่เข้าโรงเรียนฮอกวอตส์นะ” ลูน่าเข้าไปกอดคอเพื่อนที่มีผิวสีกับผิวขาวอย่างว่องไว
“อ๋อ แบบนี้ก็สนิทกันมากเลยสิ” อบิเกลฟังก็พยักหน้า
“ใช่แล้วล่ะนะ แต่ว่านะ เมื่อกี้เธอช่างทำตัวเก้ ๆ กัง ๆ จนล้มไปแบบนั้นเลยนะ ลูน่า”
เด็กหญิงผมน้ำตาลสั้นเอ่ยขึ้นตอนนั้นเธอก็ตกใจที่เพื่อนสาวของเธอล้มลงไปกับพื้นแถมยังเลือดออกอีก อบิเกลมองอีกฝ่ายที่ถ้าไม่มองดี ๆ ก็นึกว่าเป็นผู้ชาย แล้วมองใบหน้าของเธอนั้นมีกระฝ้าบนแก้มซ้ายไปยังแก้มขวาและการแต่งกายที่ดูไม่เรียบร้อยเหมือนเด็กชายจริง ๆ ลูน่าฟังที่เพื่อนพูดก็อายสุด ๆ
“ทำไงได้อ่ะ...ฉันประมาทไปหมดนี่น่า พวกเธอน่าจะรู้ดี...ถ้าไม่ได้อบิเกลช่วยไว้ ป่านนี้ฉันคงอยู่ห้องพยาบาลไปแล้วล่ะนะ!!”
“ก็จริงนะ ตอนนั้นเลือดออกด้วย” เด็กหญิงผิวสีที่มีทรงผมหยิกมันข้างเอ่ยพูดขึ้น เธอยิ้มให้อบิเกลอย่างเป็นมิตร "แต่ถือว่าเก่งสมกับเป็นมืออาชีพเลยนะ”
“มืออาชีพ?” เด็กหญิงผมน้ำตาลสั้นยกคิ้วอย่างสงสัย
“เอวา ไม่ค่อยได้อ่านหนังสือพิมพ์ของกระทรวงสินะ”
“ก็พ่อไม่ค่อยชอบให้อ่านนี่น่า อ๊า ฉันลืมแนะนำตัว ฉัน เอวา ฟินนิกัน ยินดีที่ได้รู้จัก”
“เช่นกัน ฟินนิกัน” อบิเกลเอ่ยขึ้น
“อย่าพูดทางการเลย เรียกเอวาก็ได้ อบิเกล”
“อยากได้แบบนั้นก็ตามใจเลย”
“แล้วที่เธอพูดแบบนั้นหมายความว่าไงนะ? แพนซี่”
“ก็อบิเกลเป็นคนดังของกระทรวง ก็เพราะเธอคือเด็กอัจฉริยะที่สอบ ส.พ.บ.ส. ผ่านด้วยอายุน้อยที่สุดไงล่ะ”
“ว่าไงนะ!!”
ทุกคนต่างตกใจกับคำพูดของแพนซี่กันหมด เจ้าตัวที่โดนเอ่ยถึงก็ได้แต่เขิน ๆ เพราะตอนนั้นเธออายุเพียงเจ็ดขวบเองนี่น่า
“อย่าพูดถึงเรื่องนั้นเลย...มันก็แค่การสอบนะ”
“บ้าหรือไง!? อบิเกล!! เธอสอบส.พ.บ.ส หรือชื่อเต็มคือการสอบวัดระดับความรู้พ่อมดเบ็ดเสร็จสมบูรณ์ผ่านเชียวนะ!!” ลูน่าเอ่ยด้วยสีหน้าแตกตื่น
“จริงของลูน่า เธอสอบผ่านแบบนี้แล้วจะมาเรียนทำไมกัน!?”
“เอ่อ...ก็...ทางกระทรวงอยากให้ฉันเรียนให้จบ ถือเป็นข้อตกลงสำหรับการทำงานล่ะ แต่ถ้ามีเรื่องฉุกเฉินที่ต้องไปทำงานก็คงต้องขออาจารย์ แล้วค่อยมาตามงานที่หลัง แต่ฉันเชื่อได้ว่าอา...เอ่อ...พ่อฉันคงไม่ยอมให้ฉันขาดเรียนแน่ ๆ”
“แบบนี้เอง...แบบนี้เธอก็รู้ข้อสอบของส.พ.บ.ส. สิ”
“ก็นะ...แต่พวกเขาบอกว่าข้อสอบจะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ นะ”
“อ๊ากกกก งั้นตอนใกล้สอบช่วยเราติวด้วยสิ อบิเกล!!”
“นี้ ๆ เอวา เรายังไม่ขึ้นปี 7 เลยนะ อย่าพึ่งรีบสิ” เด็กหญิงที่มีผมยาวฟูและหน้าตาคล้ายเด็กที่มีชื่อว่าแพนซี่ เธอเดินเข้ามาแตะไหลของเอวาบ่อย ๆ
“อ๊ากกกก พอนึกถึงตอนปี 7 ก็เครียดแล้ว!!”
“ขอโทษแทนเพื่อนเราด้วยนะ ยัยนี้ชอบคิดอะไรไปก่อนเกิดเรื่องแล้วนะ บางครั้งก็บ้า ๆ บอ ๆ นะ”
“ฉันได้ยินนะ ฟาร่า” เอวาหันไปมองฟาร่าที่พูดแบบนั้น
“คิก ๆ ฉันยังไม่ได้แนะนำตัวเลยสินะ ฉัน ฟาร่า โทมัส ส่วนทางนั้นพี่สาวฝาแฝดฉัน แพนซี่ โทมัส”
“ไง” แพนซี่โบกมือให้อบิเกลทันที
“ยินดีที่ได้รู้จักนะ ฟาร่า แพนซี่”
สองแฝดต่างมองหน้ากันก่อนจะเดินตรงเข้ามาหาอบิเกลกันอย่างใกล้ชิดก่อนจะจับมืออบิเกลขึ้นมาคนละข้าง
“เอ๋?”
“พวกเราทั้งสองดีใจมากที่ได้เจอคนดังอย่างเธอนะ!!”
“เหอะ ๆ คนดังอะไรกัน...ฉันไม่ได้ดังขนาดนั้นนะ”
“ไม่ดังได้ไง! ที่เรารู้ว่าเธอคือเด็กอัจฉริยะของกระทรวงก็เพราะหนังสือพิมพ์เขียนเรื่องเธอเมื่อ 4 ปีก่อนเลยนะ!!”
“เอ๋!? มีออกหนังสือพิมพ์ด้วยเหรอ?” อบิเกลตะลึงกับคำพูดอีกฝ่ายว่าการสอบของเธอนั้นออกข่าวด้วยงั้นเหรอ ทำไมเธอถึงไม่รู้อะไรเลย
“ใช่ แต่ว่าตอนนั้นรู้สึกหนังสือพิมพ์จะโดนซื้อไปหมดของวันเลยล่ะ ทางเดลี่พรอเฟ็ตก็ต้องหยุดตีพิมพ์ของวันนั้นเลยล่ะนะ พ่อฉันได้มาแค่ฉบับเดียวเองตอนนั้น”
“พูดจริงสิ เหมือนโดนคนเหมาไปหมดเลยนะ”
“อืม ๆ”
“ไม่รู้สินะ” แพนซี่ยักไหล่อย่างไม่รู้อะไร
“สุดยอด...”
“หือ?”
ทุกคนได้ยินเสียงของใครคนใดคนหนึ่งก่อนจะหันไปเห็นเด็กหญิงผมน้ำตาลลอนกำลังกุมมือตัวเองด้วยสีหน้าประทับ
“เป็นทั้งเด็กอัจฉริยะ เป็นทั้งคนของหน่วยสัตว์วิเศษ เป็นทั้งเพื่อนร่วมบ้าน และเป็นทั้งเพื่อนร่วมห้อง ฉันช่างโชคดีที่ได้เจอคนสุดยอดอย่างเมอร์รัลที่สุดเลย!!”
อบิเกลได้ยินก็ตะลึงกับความรู้สึกของเพื่อนใหม่อีกคนที่เธอนยังไม่รู้จัก แต่ท่าทางอีกฝ่ายดูจะประทับใจในตัวเธอเยอะเกินไปกว่าสองคนแรกอีก
“เอ่อ...เธอคือ...”
“อ๊ะ...ขอโทษที...ฉันยังไม่ได้แนะนำตัวเลย!” เด็กหญิงผมลอนเอ่ยพูดขึ้น “ฉันชื่อ เจนน่า สคามันเดอร์ ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนนะ”
“หือ? สคามันเดอร์” อบิเกลได้ยินนามสกุลอีกฝ่ายก็รู้สึกคุ้น ๆ เหมือนได้ยินที่ไหนก่อนจะครุ่นคิดสักครู่
“ยินดีที่ได้รู้จัก เจนน่า แต่...เอ๋...ทำไมนามสกุลของเธอมันคุ้น ๆ หูชอบกล?” เอวาเอ่ยถามอย่างสงสัย
อบิเกลครุ่นคิดอยู่ไม่นานก็นึกถึงหนังสือที่เคยซื้อก่อนหน้าก็จำชื่อผู้แต่งได้ในทันที “อ๋อ! จะไม่คุ้นได้ไง? เอวา นามสกุลของเจนน่าอยู่ในหนังสือเรื่องสัตว์มหัศจรรย์และถิ่นที่อยู่ไงล่ะ!”
“โอ้! จริงด้วย!! ฉันชอบเล่มนั้นนะ ความรู้เยอะดี เธอเป็นอะไรกับคนแต่งนะ?”
“เขาเป็นปู่ฉันนะ...นิวตัน อาร์เตมิส ไฟโด สคามันเดอร์ หรือฉันจะเรียกท่านว่าปู่นิวท์นะ”
“ชื่อปู่เธอยาวสุด ๆ เลยนะ” เอวาบ่นออกมาอย่างรู้สึกไม่ชอบใจกับการต้องมาจำชื่อนี่ล่ะ
“ก็นะ...แต่ถ้าท่านได้ยินคำชมหนังสือท่าน ท่านคงมีความสุขน่าดูเลยล่ะนะ” เจนน่ายิ้มอย่างร่าเริงที่มีคนชมสิ่งที่ปู่ของเธอพยายามอย่างมากในการศึกษาพวกสัตว์วิเศษ
“แล้วก็...ฉันชื่อ ลูน่า ลองบัตท่อมนะเจนน่า เผื่อเจนน่ายังไม่รู้จักฉันนะ”
“อ๋อ...อืม ไม่ต้องห่วง รู้จักตั้งแต่ตอนที่ลูน่าล้มที่ลานหน้าห้องโถงแล้วล่ะนะ”
“อ๊ะ!!” ลูน่าได้ยินก็หน้าแดงขึ้นมาทันที “อ๊ายยยยยยย!! อย่าพูดถึงเรื่องนั้นอีกเลยนะ!! น่าอายสุด ๆ”
ทุกคนต่างหัวเราะกันอย่างชอบใจกับท่าทางของลูน่ากันยกใหญ่จนเอวานึกถึงบางอย่างขึ้นมาทันทีก่อนที่เธอจะพูดขึ้น
“ทำให้คิดถึงเลยนะ ตั้งแต่เราเกิดมาก็รู้จักกันแล้วน่านะ ลูน่าก็เป็นเด็กขี้แยตลอดเลยล่ะนะ”
“อย่าเอาคนอื่นเผาสิ! เอวา!!”
"แล้วก็นะกลุ่มเราที่จริงมีทั้งหมดมากกว่า 4 คนล่ะนะ”
“แล้วที่เหลือ?”
“อยู่ต่างบ้านกับ...เอ่อ...” แพนซี่กำลังจะเอ่ยบางอย่าง แต่เธอก็ไม่กล้าเท่าไหร่
“กลุ่มเรามีคนชื่อคล้ายอบิเกลนะ แต่เธอเสียไปตั้งแต่เมื่อ 8 ปีก่อนแล้วนะ”
“เอ๋?”
“พอ ๆ อย่าพูดถึงอีกได้ไหม? คนตายไปแล้วเขาไม่ฟื้นขึ้นมาหรอกนะ เราต้องอยู่เพื่อใช้ชีวิตแทนสิ!!” ลูน่าพูดออกมาด้วยสีหน้าเหมือนอย่างจะร้องไห้ออกมา
“โทษที...” พวกเอวานิ่งเงียบไปเลย
อบิเกลมองบรรยากาศตอนนี้ก็เข้าใจว่าอะไรการพูดถึงคนตายมันช่างลำบากนัก แต่พวกเธอพูดถึงคนที่ชื่อคล้ายเธอก็นึกถึงคนคนหนึ่งขึ้นมาในช่วงที่เธอสืบหาข้อมูลเพิ่มหลังจากรู้ว่าครอบครัวของอาสก็อต ก่อนที่จะเปลี่ยนนามสกุลเป็นเมอร์รัล เขาเคยมีหลานสาวชื่อ อบิเกล พอตเตอร์ นั้นทำให้เธอสงสัยว่าอีกฝ่ายหน้าตายังไง เพราะภาพวาดหรือรูปถ่ายก็ไม่มีหลงเหลือเลยสักนิด แล้วเธอเคยคิดว่าตัวเธอกับเด็กคนนั้นเกี่ยวข้องอะไรหรือเปล่า หรือมันเกี่ยวกับความฝันที่เห็นเด็กอีกคน อบิเกลส่ายหน้าช้า ๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองเวลาว่าตอนนี้ก็ดึกแล้วก่อนจะเอ่ยพูดขึ้น
“งั้นเลิกคุยกันแล้วเตรียมตัวอาบน้ำดีกว่าจะได้ไปพักผ่อนกัน พรุ่งนี้มีเรียนตั้งแต่วันแรกด้วย”
“จริงด้วยนะ”
“เข้าใจแล้ว!”
“ไปอาบน้ำกัน!”
พวกอบิเกลเตรียมตัวที่จะไปอาบน้ำกัน ออกจากห้องก็เจอคนอื่น ๆ ออกมาเช่นกันก็มีบางคนไม่ชอบขี้หน้ากลุ่มพวกเธอกับบางคนที่พอจะคุยด้วยได้ พี่พรีเฟ็คเห็นเด็ก ๆ ก็พาไปยังห้องอาบน้ำหญิงพวกเธอก็นำทางเด็ก ๆ ไปห้องอาบน้ำทันที เวลาไม่นานนั้นพวกอบิเกลก็กลับมายังห้องนอนกันด้วยชุดนอนแสนสบาย พอพวกเธอมาถึงก็มีความคิดอยากนอนด้วยกันเพื่อพูดคุยกันก่อนนอน พวกเธอหันมาทางอบิเกลกันหมดจนเธอรู้ว่าพวกนี้ต้องการอะไรจากเธอ
“ฉันรู้นะว่าพวกเธอคิดอะไรกัน...”
อบิเกลเอ่ยแบบนั้นก่อนจะยกไม้กายสิทธิ์ขึ้นมาพร้อมกับเคลื่อนย้ายเตียงประมาณสามตัวมาเรียงหน้ากระดานยาว เพียงแค่สามเตียงก็เกินพอเพราะพวกเธอยังตัวเล็กกันอยู่ เตียงเลยดูใหญ่สำหรับพวกเธอไปนิด พอเตียงเรียงกันสวยงาม พวกเอวาก็รีบวิ่งขึ้นเตียงพร้อมกับกระโดดโลดเต้น อบิเกลเห็นก็ส่ายหน้าเบา ๆ กับการละเล่นของเพื่อน ๆ ที่เธอยังไม่คุ้นชิน พวกเธอพากันเตรียมตัวจะนอน ระหว่างนั้นพวกเธอก็นอนเล่นแล้วพูดคุยกันสักเล็กน้อยก่อนนอน คนเริ่มพูดก็คือเอวาที่กำลังพูดถึงครอบครัวตนเอง
“ที่บ้านฉันนะ พ่อชอบทำอะไรให้ระเบิดตลอดเลยล่ะนะ ก่อนหน้าก็ทำเอาครัวระเบิดไปที แม่ด่าจนพ่อหูชาเลยล่ะนะ”
“ฮ่า ๆ พ่อของเอวาทำอีกแล้วเหรอ!?”
“ครั้งก่อนก็ทำเอางานปาร์ตี้กองทัพดัมเบิลดอร์วุ่นวายเลยนี่น่า”
“กองทัพดัมเบิลดอร์?” อบิเกลได้ยินสิ่งที่เธอไม่เคยได้ยินทันที
“เป็นกองทัพที่พวกคุณพ่อเขาก่อตั้งตอนอยู่ปี 6 นะ เป็นกองทัพเพื่อต่อกรกับคนที่เรารู้ว่าเป็นใครนะ”
“จ้าวแห่งศาสตรามืด...”
“อ๋อ...เหตุการณ์เมื่อ 19 ปีก่อนสินะ”
“ใช่ ตอนนั้นเห็นว่ามีคนตายนับหลายสิบคน...ช่างน่าเศร้านะ...”
“อืม...น่าเศร้านะ...”
“พอ ๆ ทำไมเอวาชอบเข้าโหมดเศร้าตลอดจริง ๆ”
“อ๊ะ! โทษที ๆ อารมณ์ชอบพาไปตลอดเลยอ่ะ” เอวารีบขอโทษทันที
“แล้วพ่อเธอล่ะ แพนซี่ ฟาร่า”
“พ่อพวกเราเหรอ...อืม...เขาก็วาดรูปขายไปเรื่อย ๆ นั่นล่ะนะ ครั้งก่อนก็ขายออกไปได้หลายล้านอยู่นะ”
“จริงดิ!”
“อิจฉาพวกลูกจิตรกรจริง ๆ”
“ฮ่า ๆ อย่าคิดแบบนั้นดีกว่านะ บางทีก็ไม่มีงานเข้ามานะ”
“จริงเหรอ?”
“ฮ่า ๆ ก็นะ...”
“พ่อแม่แต่ละคนก็ต่างกันออกไปล่ะนะ ของฉันนั้น พ่อจะสอนเสมอว่าถึงร้องไห้ก็ใช่ว่าจะร้องได้ตลอด ต้องเข้มแข็งอย่ายอมแพ้ต่อสิ่งที่ยังไม่กระทำ”
“เป็นคำสอนที่ดีนะ” อบิเกลเอ่ยชมคำสอนของพ่ออีกฝ่าย
“จริงด้วย ๆ” เอวาพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ก่อนจะลุกขึ้นพยุงมองเจนน่าที่นอนอยู่ริมสุดของกำแพง “แล้วเจนน่าล่ะ ครอบครัวเธอเป็นยังไงนะ?”
“ครอบครัวฉันเหรอ? ก็พวกท่านทำงานกับกระทรวง...เอ่อ...ทำงานกับคุณสก็อต เมอร์รัลนะ”
“เอ๋ ทำงานกับพ่อเหรอ?!” อบิเกลสะดุ้งขึ้นมามองเจนน่า
“อืม พวกท่านอยู่แนวรวบรวมนะ”
“แบบนี้เอง...ส่วนใหญ่ฉันจะจำชื่อมากกว่านามสกุลด้วยสิ...ไว้ครั้งหน้าฉันไปหาพ่อแม่เธอดูว่าอยู่จุดไหนของหน่วยเราน่านะ”
“แหม ๆ ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้นะ อบิเกล”
“ทำไงได้ล่ะนะ พ่อแม่ได้รู้ว่าลูกเขาอยู่บ้านเดียวกับเจ้าหน้าที่หน่วยด้วยกัน พวกเขาก็โล่งใจล่ะนะว่าลูกสาวจะไม่เจอเรื่องแย่ ๆ นะ”
“ก็จริงนะ กว่าพ่อแม่จะกลับมานั้นเป็นเดือน ๆ ฉันอยู่กับแค่คุณตาคุณยายเท่านั้น พอพวกท่านกลับมาก็กลับมาพร้อมขนมและของเล่น ยิ่งพ่อฉันกลับมาก็อ้อนกอดฉันอย่างเดียวด้วยความคิดถึงล่ะนะ”
“น่าอิจฉาจังนะ...เป็นคุณพ่อเห่อลูกเนี่ย” ลูน่าพูดพร้อมกับยื่นขนมให้กับเจนน่ากิน
“เธอก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ? พ่อเธอเห็นเธอบาดเจ็บก็รีบวิ่งมาเลยนะ”
“ใช่ ๆ”
“พอ ๆ อย่าเอาเรื่องฉันมาพูดสิ!!”
“แล้วพ่อแม่ของอบิเกลล่ะ เล่าให้พวกเราฟังมั้งสิ!!” ฟาร่ากล่าวออกมาอย่างสนใจ
ทุกคนต่างหันมามองอบิเกลที่อยู่กึ่งกลางเตียง อบิเกลหยุดนิ่งไปชั่วขณะคำพูดของทุกคนนั้นทำให้เธอครุ่นคิดไปอยู่ชั่วครู่ว่า พ่อแม่ของเธอนั้นเป็นใคร แล้วพวกนั้นมีนิสัยอย่างใด ทุกคนเห็นว่าอบิเกลเงียบไปจนแพนซี่ที่อยู่ข้าง ๆ เข้ามาใกล้ ๆ อบิเกล
“อบิเกล...เป็นอะไรหรือเปล่า?”
“อ๊ะ...โทษที...กำลังคิดอะไรอยู่นิดหน่อยนะ”
“คิดว่าจะอธิบายถึงพ่อแม่ยังไงนะเหรอ?” เอวาแอบแซวหน่อย ๆ
“เอ่อ...ก็นะ...เพราะว่า...ฉันไม่รู้จักพวกท่านเลยนะ”
“เอ๋!?”
ทุกคนต่างได้ยินแบบนั้นก็อึ้งไปชั่วขณะ เจนน่าได้ยินแบบนั้นเธอก็นึกคำพูดของพ่อแม่ว่าอบิเกลนั้นไม่มีพ่อแม่ ทำเอาเธอต้องลุกขึ้นมานั่งทันที
“อบิเกล...”
“ฉันรู้ว่าทุกคนจะพูดยังไง...ทำไงได้ล่ะนะ...ฉันไม่เหมือนคนอื่น ๆ ฉันไม่มีพ่อและแม่...มีก็แค่...อาสก็อตคนเดียว...”
“ถึงได้...ก่อนหน้าจะเรียกอา แต่เปลี่ยนเป็นพ่อแทนนะ” ลูน่าจำสังเกตอบิเกลพูดถึงใครบางคนก่อนจะกลับคำตลอด
“ฉันพยายามเรียกอาว่าพ่อนะ...เพราะว่า...ฉันเสียความทรงจำ...ที่จำความได้แค่ตอนอายุ 4 ขวบเท่านั้นว่าอาเป็นคนดูแลฉัน...ถึงจะถามเรื่องพ่อแม่ ท่านก็บอกได้แค่ว่าพวกเขาเป็นคนดี...แล้วก็...พวกเขาเสียไปตั้งแต่ฉันอายุ 3 ขวบเท่านั้น”
“น่าเศร้าจริง ๆ เธอคงเจ็บปวดที่ไม่รู้จักพ่อแม่สินะ” แพนซี่ที่อยู่ข้าง ๆ ถึงกับน้ำตาซึมขึ้นมา
“อบิเกล เธอยังมีฉันอยู่ข้าง ๆ นะ” ลูน่าพูดทั้งน้ำตาแล้วเข้าไปกอดอบิเกลทันที
“จริงด้วย เธอยังมีพวกเรานะ!!” เอวาก็ลุกขึ้นมาใบหน้าของเธอมีน้ำตาอาบแก้มไปหมดแล้ว
“ขอบใจนะทุกคน แต่ว่าถึงเวลานอนแล้วล่ะนะ นอนกันเถอะ เดียวพรุ่งนี้ต้องไปเรียนกันนะ”
พออบิเกลสั่งแบบนั้นทุกคนก็ต่างพากันนอนบนเตียงพร้อมกับกล่าวราตรีสวัสดิ์กันอย่างพร้อมเพรียงก่อนจะหลับกันไปอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงแต่อบิเกลที่ยังตาสว่างอยู่ เธอมองเพดานอย่างครุ่นคิดถึงสิ่งที่เธอเคยโหยหาอย่างพ่อแม่ แต่เธอก็มีอากับเดลล่าอยู่แล้ว แต่ก็ยังรู้สึกขาดสิ่งที่ขาดหายไป สักวันเธอจะต้องรู้ให้ได้ว่าพ่อแม่เป็นใครกัน เธอหลับตาลงเวลาผ่านไปไม่นานอบิเกลก็เข้าสู่ห้วงแห่งนินทา
‘อบิเกล!’
เสียงปริศนาเอ่ยเรียกเธออย่างอ่อนโยน มันทั้งดูอบอุ่นและละมุมยิ่งกว่าอะไร จนอบิเกลสงสัยว่าเสียงนั้นเป็นเสียงของใคร
‘เสียงใครกัน...’ อบิเกลคิด
‘อบิเกล...ลูกแม่...’
เสียงอันอ่อนนุ่มของหญิงสาวเรียกเธอว่าลูกสาว ภายในอกมันจุกไปหมดจนกระทั่งเธอรู้สึกถึงความผิดปกติ ทำให้เธอสะดุ้งตื่นด้วยสีหน้าอันตกใจใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยเหงื่อเม็ดใหญ่กำลังไหลลงใบหน้าเธออย่างช้า ๆ แต่นอกจากอบิเกลที่สะดุ้งตื่นนั้นก็มีคนตกใจที่อีกฝ่ายลุกขึ้นพรวดพราดขึ้นมา
“ตกใจหมด...อบิเกล...”
อบิเกลได้ยินเสียงแต่ไม่เห็นคนตรงหน้าเพราะความมืด เธอหยีตามองอีกฝ่ายก่อนจะพูดขึ้น
“ฟาร่า...?”
“เอ่อ...ไม่ใช่นะ...ฉัน แพนซี่...” แพนซี่เดินเข้ามาใกล้ ๆ พร้อมกับแก้ต่างชื่อของตัวเอง
อบิเกลได้ยินแบบนั้นก็หันไปมองข้างตัวเธอที่ไร้วี่แววร่างของแพนซี่ “โทษที...”
“ไม่เป็นไร อยู่ไปนาน ๆ ก็จำได้เอง...แต่เมื่อกี้ฝันร้ายเหรอ?”
อบิเกลส่ายหน้าช้า ๆ “เปล่านะ...เอ่อ...นอนต่อดีกว่านะ”
“อืม”แพนซี่พยักหน้า ก่อนจะปีนขึ้นเตียงมานอนที่ของเธอ “ฝันดีนะ อบิเกล”
“ฝันดี”
อีกฝ่ายนอนลงทิ้งไว้เพียงความเงียบ อบิเกลจ้องมองเพดานเธอกำลังพินิจถึงความฝันที่ได้ยินเสียงของใครบางคนที่รู้สึกคุ้นเคยไม่รู้ว่าใช่แม่ของเธอไม่แต่ไม่นานเธอก็ลืมมันแล้วหลับไปอย่างสงสัยทำไมความทรงจำถึงหายไปง่ายนักจนเธอเริ่มมีความสงสัยในตัวเองว่าเธอมีบางอย่างกำลังปิดกั้นความทรงจำของเธอหรือเปล่า เธอหลับตาลงเพื่อความฝันจะนำพาเธอไปยังความทรงจำที่หายไปอีกครั้ง
จบตอนที่ 8 โปรดติดตามตอนที่ 9 ต่อไป