ได้แต่แอบรักเธออยู่ในใจ เพราะเราไม่มีอะไรดีเลย
ชาย-ชาย,รัก,ดราม่า,รั้วโรงเรียน,ไทย,yaoi,แอบรักรุ่นพี่,นักศึกษา,ภาคใต้,รักเพื่อน,อกหัก,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
น้ำค้างมองพระจันทร์ได้แต่แอบรักเธออยู่ในใจ เพราะเราไม่มีอะไรดีเลย
คนบางคนมีค่าไว้พียงแค่มอง
เราไม่มีสิทธิ์เป็นเจ้าของ
ดั่งกระต่ายที่หมายพระจันทร์
คนบางคนมีค่าสูงส่ง
แต่ตีคุณค่าของตนเองไว้ต่ำต้อย
ทั้งๆ ที่บริสุทธิ์งดงามดั่งน้ำค้าง
คนบางคนซื๋อตรงต่อใจตนเอง
ดั่งพระอาทิตย์ที่มอบแสงสว่าง
และความอบอุ่นเท่าเทียมกัน
วันวาเลนไทน์กำลังจะมาถึง มันคงจะเหมือนทุกๆ ปี ผมคิดว่ามันเป็นวันธรรมดาๆ วันหนึ่งเท่านั้น ทว่าปีนี้เจฟยังโสด ผมเลยความหวังขึ้นมาบ้าง เลยคิดว่าจะทำอะไรบางอย่างให้แก่เจฟ
“แบงค์ชอบดอกไม้อะไรหรือ?” ผมนึกย้อนไปถึงคืนวันเกิดของเจฟ เราสองถามถึงความชอบของแต่ละคน
“กุหลาบสีส้ม” ผมตอบ
“ทำไม?”
“เราชอบสีส้ม และในบรรดาดอกไม้สีส้ม กุหลาบเป็นดอกไม้สีส้มที่มีกลิ่นหอมด้วย” ผมให้เหตุผลแก่เจฟ
เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในช่วงที่เราสองคนหยิบยื่นไมตรีจิตความดีงามต่อกัน ผมแอบยิ้ม เขาว่ารักกันได้ก็เลิกกันได้คงจะอธิบายเรื่องราวที่ผ่านมาของเจฟและตุ่มได้ แต่สำหรับผมมันไม่ใช่ ไม่ใช่ความรักจึงไม่มีการเลิกรา เพียงแต่ลดความสัมพันธ์กันไป
ดอกกุหลาบสีส้มมีความหมายว่า [1] ความสดใส ความเป็นตัวของตัวเอง ของผู้รับ เมื่ออยู่ใกล้แล้วทำให้รู้สึกอบอุ่น และยังบ่งบอกความในใจถึงความรักและสิ่งที่ผ่านมาด้วย ผมอุตส่าห์เข้าเมืองมาเลือกซื้อดอกกุหลาบส้มซึ่งค่อนข้างหายากด้วยเพราะแม่ค้าไม่ค่อยสั่งซื้อกุหลาบสีนี้มาขาย อีกอย่างผมต้องการดอกกุหลาบสีส้มจำนวนถึง 36 ดอกซึ่งมีความหมายว่า ฉันยังจดจำความหลังอันแสนหวานได้
ผมรีบเอาดอกไม้ไปให้เจฟแต่เช้าตรู่ เพราะไม่อยากให้ใครมาเห็น หมู่บ้านโพธิ์แก้วริมถนนสุราษฎร์-นาสารค่อนข้างเงียบเชียบ บ้านเช่าของเจฟอยู่ท้ายซอย ผมแกล้งขับรถจักรยานยนต์เลยไปแล้วจอด ผมเดินย้อนมาหน้าบ้านเช่า รถจักรยานยนต์คันเดิมของเจฟจอดอยู่ในบ้าน แปลว่าเขาอยู่แต่คงจะไม่ตื่นนอนที เป็นโอกาสอันดี ผมเอาดอกกุหลาบสีส้มช่อนั้นแขวนไว้ที่ประตูรั้วแล้วจากมา ถ้าเจฟเห็นเขาคงจะเข้าใจดี แต่ถ้าเป็นคนอื่นในบ้านก็สุดแท้แล้วบุญวาสนา ผมถือว่าผมให้ดอกกุหลาบสีส้มแก่เจฟแล้ว จนแล้วจนรอดไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เกิดขึ้นจากเจฟ มันก็เท่านี้แหละ ความรักที่ไม่มีทางเป็นไปได้
ทุกๆ คนเคร่งเครียดกับการสอบปลายภาครอบสุดท้าย อาจารย์บางท่านใจดีเห็นว่านักศึกษาจะสำเร็จการศึกษาเลยปล่อยผีด้วยการออกข้อสอบง่ายๆ จนกระทั่งการสอบในวันสุดท้าย ผมรู้สึกใจหายมากกว่า หลังจากสอบเสร็จ แมนประกาศข่าวให้เพื่อนๆ ทราบว่า มีการถ่ายรูปหมู่ไว้เป็นที่ระลึกตรงสวนในอาคารศูนย์ปฏิบัติการวิทยาศาสตร์หรือตึกตำลึงที่ได้รับการบูรณะก่อสร้างจนแล้วเสร็จ อีกข่าวหนึ่งที่แมนประกาศคือ งานมีทติ้งประจำสาขาที่เป็นงานเลี้ยงครั้งสุดท้ายในมหาวิทยาลัยแห่งนี้
บรรยากาศการถ่ายรูปอบอวลไปความสุขและอบอุ่น พวกเราลำบากมาด้วยกัน ทะเลาะกัน ไม่เข้าใจกันแต่สุดท้ายก็รักกัน ห่วงใยกัน ระหว่างรอความพร้อมของช่างภาพ ผม เพื่อนๆ ตระเวนกันถ่ายรูปร่วมกันกับเพื่อนๆ ผมไม่พลาดที่จะถ่ายภาพคู่กับเจฟโดยไหว้วานให้เบียร์ถ่ายรูปให้ ผมกับเบียร์มีสนธิสัญญาใช้กล้องถ่ายรูปร่วมกัน ผมกับเขาอยากถ่ายรูปกับใครต่างฝ่ายต้องเป็นตากล้องให้
เมื่อช่างภาพที่จ้างมาพร้อม ทั้งนักศึกษาและอาจารย์เรียงแถว ยืนเป็นขั้นๆ ตรงอัฒจันทร์ลดหลั่นกันลงมาตามลำดับความสูง พวกผู้ชายยืนอยู่ชั้นบนสุดตามด้วยผู้หญิง 2 แถว ชั้นล่างเป็นอาจารย์นั่งบนเก้าอี้ ล่างสุดเป็นเพื่อนผู้หญิงชาวมุสลิม
“ยิ้มได้นะครับแต่ให้ยืนนิ่งๆ ไว้ พร้อมแล้ว1... 2... 3...” เสียงกดชัตเตอร์ดังพรึ่บ ช่างภาพรัวชัตเตอร์ตามมาอีก 2 หน การถ่ายภาพหมู่เสร็จสิ้น ผมกับเพื่อนๆ ยังคงตระเวนถ่ายรูปในมหาวิทยาลัยจนแดดร่มลมตกแล้วแยกย้ายกันกลับไป
เย็นวันต่อมา.... ผมสาละวนอยู่กับการแต่งตัว ผมสวมเสื้อยืดคอโปโลสีขาว กางเกงยีนส์ขายาวสีดำตามธีมของงานที่ให้ผู้เข้าร่วมงานเลี้ยงสวมเสื้อสีขาว ความเยอะสิ่งของผมที่จะต้องละเลงแป้งฝุ่นทั่วทั้งหน้าบางๆ ปากทาลิปมันเปลี่ยนสีให้ปากเป็นสีชมพูระเรื่อ ผมก็ต้องจัดทรงให้ตั้งโด่และเพิ่มเติมด้วยเจลกากเพชร
“เสร็จยังวะ” เบียร์ขึ้นคร่อมรถจักรยานยนต์พร้อมที่จะสตาร์ทเครื่องชับชี่ออกไป
“เออ อีกนิดเดียว” ผมหมุนซ้ายหมุนขวาสำรวจความเรียบร้อยอีกหนแล้วหยิบเสื้อแจ็คเก็ตสวมทับเพื่อกันความหนาวเย็น ผมห้อรถจักรยานยนต์ออโตเมติกสีแดงของผมไล่ตามรถจักรยานยนต์ของเบียร์ที่มีพี่นพซ้อนท้ายมาติดๆ
งานมีทติ้งประจำสาขาจัดขึ้น ณ หอประชุม บรรยากาศคล้ายๆ กับร้านน้ำชาที่เบียร์พาผมนั่งดื่มนั่งกิน ฟังเพลงสบายๆ อยู่เสมอ ไม่มีเก้าอี้ให้นั่งทุกนั่งบนเสื่อมีโต๊ะญี่ปุ่นวางต่อกันเป็นพืด บนเวทีมีเครื่องดนตรีสากลวางไว้พร้อมที่จะเล่นเพลงไพเราะขับกล่อมทุกคนในค่ำคืนนี้ เมื่อคณจารย์มาถึง แมนกล่าวเปิดงานพร้อมกับมอบสิ่งของเป็นที่ระลึกให้กับสาขาวิชาวิทยาการจัดการคือกลองชุด อุปกรณ์ดนตรี เครื่องเสียง ลำโพงเป็นต้น และรูปภาพหมู่ที่ถ่ายกันในเย็นเมื่อวานนี้ ผมและเพื่อนๆ ทุกคนได้รับเป็นที่เรียบร้อยและรู้สึกพึงพอใจกับรูปถ่าย งานเลี้ยงในค่ำคืนนี้เป็นอะไรที่สนุกสนานมากๆ ผมตระเวนถ่ายรูปกับคนอื่นๆ ทั้งเพื่อนๆ อาจารย์และรุ่นน้อง บนเวทีมีการแสดงดนตรีสดบทเพลงยอดนิยมในช่วงเวลานี้ ผมอดพูดถึงคนที่ผมรักสุดหัวใจเสียไม่ได้ เจฟทำหน้าที่พิธีกรของงานคู่กับกิฟต์สลับกับการไปตีกลองเล่นดนตรีสดร่วมกับเพื่อนๆ เสียดายที่ไม่มีจังหวะให้ผมได้ใกล้ชิดกับเจฟเลย จนถึงเวลา 4 ทุ่มโค้งสุดท้ายของงานเลี้ยงมาถึง ช่วงสุดท้ายเป็นกิจกรรมผูกด้ายขาวให้น้องๆ ชั้นปีที่ 1 สถานที่ทำกิจกรรมนี้คือลานตึกเกิอกม้า คณาจารย์ เพื่อนๆ รุ่นน้องปี 3 และปี 2 นั่งเรียงราย เบื้องหน้าแต่ละคนมีเทียนให้ความสว่างวับแวม ทุกๆ คนร้องเพลงต่างๆ ซึ่งเป็นเพลงที่เกี่ยวข้องกับการรับน้อง ผมได้ยลยินเพลงเหล่านี้มาตั้งแต่ปี 1 ผมนั่งอยู่ตรงกันข้ามกับเจฟ เขาตั้งใจร้องเพลง ผมถ่ายรูปเขาเก็บเอาไว้ ผมตระหนักความจริงบางอย่างว่า คนบางคนมีไว้ให้เรามอง นอกเหนือจากนั้นเราทำอะไรไม่ได้ เจฟคงจะเป็น 1 ในประเภทนี้
“มัวแต่เหม่ออยู่ได้ ช่วยกันร้องเพลงซี” พี่นพเตือนผมให้เลิกเหม่อลอย ร่วมร้องเพลงกับทุกๆ คนต่อไป ผมมีเวลาอีกไม่นาน สิ้นค่ำคืนนี้ผมกับเจฟอาจจะต้องจากกันไปนิรันดร์ ผมไม่อยากให้มีเช้าวันพรุ่งนี้ อยากให้มีเพียงค่ำคืนนี้เท่านั้น มหาวิทยาลัยแห่งนี้คือวิมานที่มีอยู่จริงบนดินเหมือนอย่างในเพลง วิมานดินแดงรั้วสีบลู จะสุขจะทุกข์ ฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ เหนื่อยและท้อ มีความรัก ผิดหวังจากความรัก มีเพื่อนรัก รักเพื่อน วนเวียนอยู่ในวิมานดินแห่งนี้
สิ้นเสียงร้องเพลงน้องปี 1 ทยอยเข้ามาให้คณาจารย์และพวกรุ่นพี่ทั้งหลายผุกด้ายสีขาวที่ข้อมือของตนเอง แม้ผมจะไม่โดดเด่นเท่าเจฟ กิฟต์ ก็ยังมีรุ่นน้องเข้ามาผูกด้ายขาวให้
“ตั้งใจเรียน เป็นที่รักชองทุกๆ คน” นี่คือคำอวยพรที่ผมมอบให้น้องที่เข้ามาให้ผมผูกด้ายขาว 4 ปีในมหาวิทยาลัยผมเคยทำให้สอลสิ่งนี้ได้เลย ชีวิตของผมวุ่นวายเพราะต้องการเป็นที่รักของเจฟ เสร็จแล้วสำหรับงานเลี้ยงมีทติ้ง ผมและเพื่อนๆ ทยอยกันกลับ ไปเอารถจักรยานยนต์ที่หอประชุมแล้วแยกย้ายกัน ถนนที่ผมเหยียบย่ำไป มันคงจะเหลือไว้เพียงแค่รอยเท้า เวลาที่หมุนไปทำให้เหลือเพียงแค่ความทรงจำ ก่อนที่ผมจะกลับบ้านประชุมรัตน์ ผมแวะร้านป้าแอ๋วมินิมาร์ท โอกาสสุดท้ายแล้วก่อนที่จะแยกย้ายกันไป ถ้าผมไม่ได้อำลาเจฟ ผมคงจะเสียใจไปตลอดชีวิต ผมเข้าไปร้านค้าซื้อสินค้า 2 อย่างที่แตกต่างกันสุดขั้ว คือ สุราขาว 35 ดีกรีกับนมกล่องรสช็อคโกแลต แล้วออกมาดักรอเจฟที่หน้าร้าน เป้ เอ็ม ปิ๊ก ขิงนั่งร่ำเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ตรงโต๊ะข้างร้าน
“กินเบียร์หน่อยไหม?” เป้ชวนผม
“ไม่ล่ะ เรามีของเราแล้ว เอาไปกินที่บ้าน” ผมปฏิเสธคำชวน
“เออแปลกดีนะ มึงแดกเหล้าขาวกับนม” ปิ๊กพูดถึงสิ่งของที่อยู่ในถุง
“เหล้าน่ะ กูแดกเอง ส่วนนม กูให้คนพิเศษของกูเว้ย” ผมบอกกับปิ๊ก แล้วมองเข้าไปในมหาวิทยาลัย ผมคอยอยู่นาน เฝ้าคอยว่าเมื่อไหร่เจฟจะออกมา จนผมเห็นแสงไฟรถจักรยานยนต์ที่คุ้นสายตา เจฟผู้เป็นเจ้าของรถขับรถมาแล้วแวะจอดส่งสก๊อยสาวนามว่ากิฟต์สู่แฟนตัวจริงของเจ้าหล่อน
“เป้ กินมากไปแล้วนะ” ทันทีที่กิฟต์เดินไปถึงโต๊ะก็ปรามเรื่องการดื่มแอลกอฮอล์ทันที ผมหันเหความสนใจจากวงเมรัยมาสู่เพื่อนที่ผมแอบรักดีกว่า
“เจฟ” ผมเรียกชื่อเขาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ว่าไงแบงค์”
“เอานมไปดื่มก่อนนอนนะ” ผมล้วงนมกล่องรสช็อคโกแลตจากถุงยื่นให้เจฟ
“ขอบใจนะ” เขารับนมกล่องไป พอเขามองสบตาผม ผมรู้สึกเหมือนคนที่น้ำกำลังท่วมปาก ไม่กล้าบอก ไม่กล้าพูดอะไร
“เออนี่แบงค์ อย่าดื่มหนักล่ะ รักษาสุขภาพบ้างนะ” เจฟพูดแล้วมองมาที่ขวดสุราขาวในถุง
“เจฟก็เหมือนกัน”
“เราคงต้องไปแล้วล่ะ วันนี้เหนื่อยเหลือเกิน ลาก่อนนะแบงค์” เจฟเอ่ยคำลากับผม หมื่นคำรักที่ผมพูดอยู่ในใจถูกสลายด้วยหนึ่งคำลาจากปากของเจฟ “หวังว่าเราสองคนคงจะได้พบกันอีก”
“อืม ลาก่อน” ผมฝืนยิ้มให้เจฟดู เขาจะได้จดจำผมในแบบที่ดี เหมือนอย่างที่ผมจดจำเขาแต่ในเรื่องดีๆ ที่เขาทำให้ผม เจฟบิดกุญแจรถสตาร์ทเครื่องรถจักรยานยนต์แล้วใช้เท้าตบเกียร์ บิดคันเร่งทะยานรถออกไป เขากลับไปยังบ้านในซอยหมู่บ้านโพธิ์แก้ว ผมมองทอดอาลัย ส่งเขาจนลับตา ความรู้สึกเศร้าใจในโชคชะตาของตนถาโถมเข้ามาไม่มีที่สิ้นสุด
วันแสนชื่นมิคืนดั่งฝัน
เสียดายวันสุขสันต์ นับวันลับไปไกลห่าง
วันอำลานั้นมาขัดขวาง
พาหัวใจอ้างว้าง ร้างแรมเลือน
แดนนี้ก่อให้เกิดความหวัง
หวนกลายเป็นความหลัง ศรีตรังร่วงโรยโปรยเกลื่อน
ความอาลัยนั้นคอยกรีดเฉือน
คอยย้ำใจเสมือน เตือนผูกพัน
ยามร้างแรมไกล
โยงสายใจเป็นเพื่อน เตือนไว้ในความฝัน
หัวใจตรงกัน
ยังคะนึงตรึงมั่น ห่วงผูกพันศรีตรัง
คำว่าจากไม่อยากได้ยิน
เสียงคอยเตือนถวิล น้ำตาร่วงรินลาหลั่ง
เตือนดวงใจยามไกลอีกครั้ง
ยังไม่ลืมความหลัง ยังไม่ลืม
เกือบตีหนึ่งแล้วแต่ผมยังไม่นอน ผมรินสุราขาวลงจอกกระดกดื่ม มีเมล็ดทานตะวันที่ผมซื้อเก็บตุนเอาไว้แกล้มสุราซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผมดูรายการเพลงในโทรทัศน์ไปพร้อมกัน ดื่มให้มันเมา เมาแล้วหลับไปจะได้ไม่ฝันร้ายถึงเจฟ เบียร์กลับมาถึงบ้านแล้ว
“แดกเหล้าขาวอีกแล้ว” เบียร์บ่นทันทีเมื่อเขาเปิดประตูบ้านเข้ามา เขามานั่ง เอาหลังพิงไว้กับฝาผนัง
“จนแล้วจนรอดเราไม่กล้าบอกรักเจฟว่ะ เราคงจะต้องฝันร้ายไปตลอดชีวิต”
“มันก็จริง เรื่องของแบงค์ทำให้นึกถึงเรื่องของเรา จนป่านนี้แล้ว เรายังไม่ได้บอกกับปู แพร อาจารย์แป้นเลยว่าเราชอบ” เบียร์พูด เขาหยิบเมล็ดทานตะวันมากะเทาะเปลือกแล้วใส่ปากเคี้ยว
“ถุย! พ่อคนรักเดียวใจเดียว พ่อคนไม่หลายใจ มีแม่ถั่วปากอ้าเป็นแฟนเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้ว ไอไม่เจ้าชู้เว้ย”
“ผู้ชายไม่เจ้าชู้เหมือนงูไม่มีพิษนะเฟ้ย” เบียร์บอก
“จะเป็นงูมีพิษหรือไม่มีพิษ งูอย่างเจฟไม่เคยชายตามองเรา” ผมตัดพ้อตนเอง
เอาเถอะนาแบงค์ ความรักที่ผิดหวัง มันทำให้เรารู้ว่า ความรักมีคุณค่ามากแค่ไหน ปัดโธ่! รักแค่ไหน เป็นได้แค่นั้น คนบางคนเกิดมาเพื่อรัก ไม่ได้เกิดมาเพื่อคู่กัน” เบียร์ปลอบใจผม
“ขอบใจนะ แกช่วยเหลือเรามาตลอด เพื่อนแบบนี้ 100 ปีมีสักคนหนึ่ง”
“บร้า! เราเขินนะเว้ย ไม่เอาแล้วอาบน้ำนอนดีกว่า” เบียร์แยกย้ายไปอาบน้ำแล้วเข้านอนในห้องนอน ผมดื่มไปได้อีกสักหน่อยแล้วเผลอหลับไป ไม่รู้ว่าเพราะฤทธิ์แห่งสุราหรือความเหนื่อยล้าที่ประสบมาทั้งวัน
จบบท
[1] ที่มา : http://www.dek-d.com/board/view/1643073/