ได้แต่แอบรักเธออยู่ในใจ เพราะเราไม่มีอะไรดีเลย

น้ำค้างมองพระจันทร์ - 8 รักในสายฝน โดย กัลปังหา @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-ชาย,รัก,ดราม่า,รั้วโรงเรียน,ไทย,yaoi,แอบรักรุ่นพี่,นักศึกษา,ภาคใต้,รักเพื่อน,อกหัก,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

น้ำค้างมองพระจันทร์

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-ชาย,รัก,ดราม่า,รั้วโรงเรียน,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

yaoi,แอบรักรุ่นพี่,นักศึกษา,ภาคใต้,รักเพื่อน,อกหัก

รายละเอียด

 น้ำค้างมองพระจันทร์ โดย กัลปังหา @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ได้แต่แอบรักเธออยู่ในใจ เพราะเราไม่มีอะไรดีเลย

ผู้แต่ง

กัลปังหา

เรื่องย่อ

คนบางคนมีค่าไว้พียงแค่มอง

เราไม่มีสิทธิ์เป็นเจ้าของ

ดั่งกระต่ายที่หมายพระจันทร์

คนบางคนมีค่าสูงส่ง

แต่ตีคุณค่าของตนเองไว้ต่ำต้อย

ทั้งๆ ที่บริสุทธิ์งดงามดั่งน้ำค้าง

คนบางคนซื๋อตรงต่อใจตนเอง

ดั่งพระอาทิตย์ที่มอบแสงสว่าง

และความอบอุ่นเท่าเทียมกัน

สารบัญ

น้ำค้างมองพระจันทร์-บทนำ ผู้ชายในฝัน, น้ำค้างมองพระจันทร์-1 แรกพบ, น้ำค้างมองพระจันทร์-2 สายใยรักสายใยม่วงแดง (ปฐมบท), น้ำค้างมองพระจันทร์-3 ฤทธาน้ำล้างรองเท้า, น้ำค้างมองพระจันทร์-4 รับน้องหฤโหด?, น้ำค้างมองพระจันทร์-5 สายใยรักสายใยม่วงแดง (มัชฌิมบท), น้ำค้างมองพระจันทร์-6 สายใยรักสายใยม่วงแดง (ปัจฉิมบท), น้ำค้างมองพระจันทร์-7 เธอจะอยู่กับฉันตลอดไป, น้ำค้างมองพระจันทร์-8 รักในสายฝน, น้ำค้างมองพระจันทร์-9 เฟรชชี่ไนท์, น้ำค้างมองพระจันทร์-10 ใจบางบาง, น้ำค้างมองพระจันทร์-11 ข่าวร้าย, น้ำค้างมองพระจันทร์-12 ขอจองในใจ, น้ำค้างมองพระจันทร์-13 ไม่แน่ใจ, น้ำค้างมองพระจันทร์-14 เพื่อนสนิท, น้ำค้างมองพระจันทร์-15 Sport Night, น้ำค้างมองพระจันทร์-16 Happy Birthday, น้ำค้างมองพระจันทร์-17 ไดอะรี่สีแดง, น้ำค้างมองพระจันทร์-18 ทิ้ง, น้ำค้างมองพระจันทร์-19 ความลับในใจ, น้ำค้างมองพระจันทร์-20 กรุงชิงทิ้งรัก, น้ำค้างมองพระจันทร์-21 ช้ำรักพักเกาะสมุย, น้ำค้างมองพระจันทร์-22 นิยายรักขาดตอน, น้ำค้างมองพระจันทร์-23 เลิกกัน, น้ำค้างมองพระจันทร์-24 คลับซ่าสะพายเป้, น้ำค้างมองพระจันทร์-25 วิมานดิน, น้ำค้างมองพระจันทร์-26 สารภาพ, น้ำค้างมองพระจันทร์-27 จะมาไหม?, น้ำค้างมองพระจันทร์-28 หาดทราย สายลม สองเรา, น้ำค้างมองพระจันทร์-29 คู่ชีวิต, น้ำค้างมองพระจันทร์-จบ Leaving On a Jet Plane.

เนื้อหา

8 รักในสายฝน

ผมออกมาจากหอก่อนเวลาสามทุ่ม ผมเตรียมขนม เครื่องดื่มชาเขียว เทียนไขและไฟแช็กใส่ถุงพลาสติกใบโต สิ่งที่ขาดไม่ได้คือตุ๊กตาหมีสีฟ้า ผมออกจากห้องพักสังเกตว่าวันนี้บรรยากาศในหอเงียบๆ ไม่มีการวุ่นวายสุงสิง มีเพียงเสียงเพลง ละคร เกมสารพันสิ่งบันเทิงเล็ดลอดออกมาเบาๆ ข้างล่างหอก็ไม่มีใคร มองไปทางหออื่นๆ อย่างหอ 4 3 2 และหอวิจัยเงียบเชียบราวกับไร้ผู้คน ร้านค้าชมรมอาสาไม่ได้เปิดขาย กิจกรรมประชุมเชียร์ กิจกรรมล่าลายเซ็นงด ผมเดินเงียบๆ ไปตามถนนหลังหอ 3 รอบๆ กายผมมีเพียงแสงไฟจากเสาไฟ ต้นไม้ใบหญ้า ดวงดาวบนท้องฟ้าเป็นเพื่อน ผมเดินมาถึงศาลาจานบินหลังคาสีฟ้าอย่างปลอดภัย ผมก้าวขึ้นบันไดไปข้างบน บนศาลาจานบินเป็นลานโล่งสามารถชมทิวทัศน์ได้รอบทิศทาง หอทุกหอตามไฟไว้ดูงามแข่งกับดาวเสา (ไฟจากเสารับส่งสัญญาณโทรทัศน์บนยอดเขาท่าเพชร) และดวงดาวบนท้องฟ้าสีดำ ผมจัดขนม เครื่องดื่มชาเขียวและจุดเทียนลงกลางพื้นซึ่งไล่ความมืดไปได้น้อยนิด มีเสียงคนเดินขึ้นบันไดขึ้นมา ผมหยุดการกระทำทุกอย่างนิ่งเงียบลุ้นว่าใครขึ้นมา โล่งอกไปทีเจฟขึ้นมา เขาไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้า ยังคงใส่เสื้อยืดสีน้ำตาลกางเกงขาสั้นสีดำเหมือนเมื่อช่วงเย็น

“Happy Birthday to you สุขสันต์วันเกิดนะเจฟ” ผมยื่นตุ๊กตาหมีสีฟ้าให้เขาพร้อมกับคำอวยพร

“น่ารักมาก ขอบใจมากนะ” เจฟรับของขวัญวันเกิดและแสดงความดีใจ เราสองคนกินดื่มกันแม้จะเป็นปาร์ตี้ที่ไร้แอลกอฮอล์และมีเพียงแค่สองคนก็สามารถสนุกได้ เจฟและผมพูดคุยกันถึงความชอบและไม่ชอบของแต่ละคน

“ดาวสวยมากเลยนะ ดูดาวกันดีกว่า” ผมเริ่มเบื่อกับการซักถามเรื่องส่วนตัวจึงหาเรื่องอื่นๆ มาทำ

“ใช่ สวยมากเลย” เจฟมองหน้าผมแล้วเบือนหน้าไปมองท้องฟ้าข้างนอก เป็นจังหวะเดียวกันที่มีดาวดวงหนึ่งตกลงจากท้องฟ้า ผมเอามือประสานไว้ระหว่างอกหลับตาอธิษฐาน

“ขอให้มีใครสักคนรักเราจริงๆ” ผมอธิษฐานแล้วลืมตาขึ้นมา

“อธิษฐานว่าอะไร?” เจฟถามผม

“ขอให้โลกสงบสุข” ผมตอบไม่จริงเหมือนอย่างโฆษณาตอนเด็กๆ เหตุผลที่ผมต้องบอกไปแบบปดๆ แตกต่างจากในโฆษณาที่หญิงสาวอธิษฐานให้คนที่เธอรักขอเธอแต่งงาน

“เว่อร์แล้ว เออนี่แบงค์ เราเพิ่งนึกได้ ที่เคยบอกว่าแบงค์มีความรัก มันเป็นยังไงเหรอ?” จู่ๆ เจฟนึกถามถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ผมจะตอบยังไงดีล่ะเนี่ย

“เรื่องของเรามันไม่สมควรพูดในบรรยากาศที่ดีแบบนี้หรอก” ผมพยายามบ่ายเบี่ยงไม่เล่าเรื่องของผม

“เล่าให้ฟังหน่อยสิ” เจฟไม่ละความพยายาม ผมเองก็ยังใจแข็งไม่ปริปากนั่งเงียบมองดูดวงดาว “ไม่คิดจะบอกจริงๆ เหรอ?”

“มีเหตุผลอะไรล่ะ ที่อยากจะรู้เรื่องนี้”

“เป็นเพื่อนกันมีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน” เจฟพูดมา ทำให้ผมนึกถึงภายนตร์จีนองค์หญิงกำมะลอซึ่งผมเคยดูเมื่อครั้งสมัยมัธยมศึกษาตอนต้น

“ความรักของเรามันไม่เคยสมหวัง การรักใครสักคนมันเป็นสิ่งสวยงามสำหรับคนอื่นๆ แต่สำหรับเราแล้วจบลงด้วยความเสียใจทุกที” ด้วยอะไรบางอย่างอาจจะเป็นคำพูดของเจฟที่หยิบยืมมาจากภายนตร์จีน บรรยากาศที่งดงามมีแสงดาวพร่างพราย ลมเย็นโชยพลิ้วเป็นระลอกๆ ผมเริ่มเปิดใจเล่าความในใจให้เจฟรับรู้แล้ว “ชายรักชายคือความผิดบาปแห่งมวลมนุษยชาติใช่ไหม?”

“แบงค์เป็นเกย์เหรอ?” เจฟโพล่งออกมาเสียดังชนิดที่ว่าหากมีใครอยู่บริเวณนี้ต้องหันมามองแล้วรู้ความเป็นไปของผมหมดแล้ว

“ใช่แล้วจะทำไม? รังเกียจเรารึ ถ้ารังเกียจเราเดินกลับหอไปเลย โน่นทางลงจะลงทางลาดหรือทางบันไดแล้วแต่เจฟเลย” ผมวีนใส่เจฟทั้งๆ ที่ไม่ควรจะทำเลย หากเขาจะไม่คบค้าสมาคมกับผมต่อไป ผมก็คงจะต้องทำใจ

“เดี๋ยวๆๆ คิดไปไกลแล้วแบงค์ เราไม่ได้รังเกียจอะไรเลย แบงค์จะเป็นเกย์หรือไม่เป็นเกย์ แบงค์ก็เป็นเพื่อนเรา การเป็นเกย์ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร บางทีการที่แบงค์ไม่สมหวังในเรื่องความรักเมื่ออดีตที่ผ่านมา อนาคตข้างหน้าอาจจะสมหวังกับใครสักคนหนึ่งก็เป็นไปได้” เจฟตอบคำถามได้กระจ่างใจของผมและเพิ่มความหวังในรักครั้งใหม่ที่ผมมีอยู่ “ชักจะง่วงแล้วสิ ขอนอนเล่นก่อนนะ” เขาล้มตัวลงนอนกับพื้นศาลาจานบิน เอามือประสานไว้ท้ายทอยเป็นหมอนต่างหนุน

ผมมองทิวทัศน์ข้างนอกศาลา เมฆดำเริ่มแผ่ปกท้องฟ้าอย่างช้าๆ ลมพัดปลิวไสว จนอากาศที่เย็นสบายแปรเปลี่ยนเป็นเย็นสะท้านจนผมต้องสวมเสื้อแจ๊คเก็ตที่ใส่มาตอนเดินมาที่นี่ มันช่วยบรรเทาความหนาวสะท้านได้ระดับหนึ่ง ในอีกไม่ช้าฝนจะตก ผมจะปลุกเจฟให้ตื่นแต่ก็ยั้งไว้เพราะไม่อยากจะรบกวนการพักผ่อนของเขา ผมนึกถึงเรื่องพี่ตง สิ่งที่ผมเป็นอยู่การได้รักพี่เขาโดยไม่บอกให้เขารับรู้มันดีแล้วหรือ? ถ้าผมบอกรักพี่ตงไป ผลลัพธ์ที่ได้คือความเฉยชา ชิงชังเหมือนความรักที่ผ่านๆ มาหรือเปล่า

เสียงหยาดฝนตกกระทบหลังคาศาลาจานบินดังเปาะแปะจากช้าๆ แปรเปลี่ยนเป็นถี่ยิบๆ มองออกไปเบื้องหน้าฝนเทกระหน่ำลง ทั่วอาณาบริเวณชุ่มฉ่ำน้ำฝน

“เจฟตื่นเถอะ ฝนตกแล้ว” ผมต้องปลุกเขาเพื่อหารือวิธีการกลับหอ

“ฝนตกแล้วเหรอ?” เจฟตื่นขึ้นแล้วมองไปรอบๆ “เอาไงดีล่ะ ไม่ได้พกร่มมาด้วย จะรอไหม”

“ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนจึงจะหยุดตก คงจะต้องยอมเปียกแล้วล่ะ” ผมไม่คิดจะรอคอยให้ฝนหยุดตก เวลาในนาฬิกาข้อมือของผมบอกเวลา 5 ทุ่มกว่าๆ แล้ว

“แบงค์... เราคิดว่าแบงค์ต้องเสียสละอะไรบางอย่างแล้วล่ะ” เจฟบอกกับผมด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น

“เสียสละอะไร?” ผมถามกลับด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก เป็นจังหวะเดียวกันที่เขายื่นมือมาจับเสื้อแจ็คเก็ตของผม แล้วบอกว่า “ต้องใช้เสื้อตัวนี้แทนร่มแล้วล่ะ อาจจะเปียกบ้างอะไรบ้างแต่ก็ไม่เปียกโชก เราสองคนวิ่งจากศาลาไปที่หอ 3 จากหอ 3 ไปหอ 5 เข้าใจยัง”

ผมพยักหน้ารับคำ เก็บข้าวของแล้วลุกเดินไปยังทางลาดพร้อมกันกับเจฟ เขากางเสื้อแจ็คเก็ตขปกคลุมศีรษะของเราสองคนไว้สุดแขนของเขา เจฟให้สัญญาณ 1 2 3 แล้ววิ่ง ด้วยความที่เขาตัวเตี้ยกว่าผมขณะที่วิ่งลมหายใจอุ่นๆ มารดตรงต้นคอเขาทำให้ความเย็นสะท้านเบาลงบ้าง เราสองคนวิ่งจนมาถึงชายคาหอ 3 ผมและเขาลัดเลาะไปตามชายคาแห่งนั้นจนสุดชายคา เงยหน้าไปมอง หอ 5 อยู่ห่างเพียงไม่กี่ก้าว

“พร้อมยัง?” เจฟถามผมแล้วกางเสื้อแจ็คเก็ต พร้อมที่จะฝ่าฝนอีกหนแล้ว

“พร้อมแล้ว”

“ไป” สิ้นเสียงของเจฟ ผมและเขาไต่เนินขึ้นทางเข้าหอ 5 ด้วยความซุ่มซ่ามของผม ผมสะดุดกับขอบปูนทางเข้าหอจึงเซถลาจวนล้ม ผมคว้าตัวเจฟเอาไว้ ไม่ทันการแล้วเราสองคนล้มลง เจฟนอนหงายลงบนพื้น ผมถลาทับร่างเขา บังเอิญอีกที่ปากของผมไปชนกับแก้มของเขาอย่างจัง ผมเห็นเขาทำตาลุกวาว ผมเอามือมาป้องปากตนเองไว้แล้วเบี่ยงหน้าหลบสายตาของเขา

“โอ๊ย! แบงค์จะทับเราอีกนานไหม มันหนักเหมือนโดนรถสิบล้อทับหายใจไม่ออก” เจฟครวญคราง ผมได้สติจึงรีบถอนตัวลุกขึ้นจากร่างเจฟ

“ขอโทษ...”

“ดูสิ ข้าวของเปียกหมดแล้วโดยเฉพาะตุ๊กตาหมีน่าเสียดายอ่ะ” เจฟลุกขึ้นแล้วเก็บตุ๊กตาหมีที่หล่นลงพื้นเปียกชุ่มด้วยน้ำฝน

“เปียกก็เอาไปตากได้ ไม่มีปัญหาหรอก” ผมบอกกับเจฟแล้วเดินฝ่าฝนเข้าหอไป โดยที่มีเจฟเดินไล่หลังมา ผมมองเจฟแล้วหัวเราะกับสภาพของเขาที่ผมเห็น

“หัวเราะอะไร?” เจฟถามด้วยน้ำเสียงกระฟัดกระเฟียด

เจฟเหมือนลูกหมาตกน้ำ เราเลยอดขำไม่ได้”

“อ่านะ แล้วใครกันล่ะที่ทำให้เราเป็นแบบนี้ ถ้าเราเป็นลูกหมาตกน้ำ แบงค์ก็เป็นลูกหมูตกน้ำเหมือนกันแหละ” เจฟชวนผมเข้าเรือนหอเอ๊ย! หอพัก เราสองล่ำลากันแล้วแยกย้ายสู่ห้องพักของตนเอง พอกลับเข้าห้อง รับประทานยาแก้หวัดนอนหลับสบายเพราะมีเสียงสายฝนขับกล่อมแทนดนตรี

ใช่ว่าพวกเราชาววจก. จะสบายตัวเนื่องจากการงดประชุมเชียร์ พี่แป๊ะยังคงทรมานพวกเราเวลาเย็นของทุกๆ วัน ทุกๆ เย็น ผมและเพื่อนๆ ยังคงมีหน้าที่สืบหาประวัติและล่าลายเซ็นรุ่นพี่ แต่ผมวนเวียนอยู่ตรงซุ้มร้านค้าชมรมอาสา เจอพี่ตงบ้างไม่เจอบ้างแล้วแต่อารมณ์ของพี่เขา ผมพูดคุยสัพเพเหระในเรื่องกลับพวกพี่เบลล์ ผมสถาปนากลุ่มสี่สาวเรียกว่า ชี-ทั้งสี่ อย่าเข้าใจว่า พวกเธอเป็นพวกเคร่งธรรมะ ชีของผมคือ สรรพนามใช้เรียกผู้หญิงในภาษาอังกฤษ

ตั๊บแก... ตั๊บแก... ตั๊บแก...

เสียงร้องของตุ๊กแกดังลั่นไปทั่วลานจอดรถหน้าหอ 2 ผมหยุดคุยและมองหน้าเพื่อนๆ ที่ร่วมสาขาเดียวกัน ทุกคนหน้าถอดสี อยู่ที่นี่มาทำให้ผมเริ่มเชื่อเรื่องโชคลางหนักกว่าเดิม ตุ๊กแกมันร้องเสมือนสัญญาณว่าการกลั่นแกล้งจากพี่แป๊ะและผองพี่สาขาจะเริ่มต้นอีกไม่ช้า มันเป็นแบบนี้แทบจะทุกวัน สักครู่ พี่แป๊ะห้อรถจักรยานยนต์มามีพี่ตู่ซ้อนท้ายมาด้วย

“ปี 1 วจก. ไปรวมกันตรงลานหอวิจัยเร็ว ใครไปช้าโดนจัดเต็ม” ทันทีที่พี่แป๊ะจอดรถจักรยานยนต์ เขาตะโกนออกคำสั่งซะลั่นทั่วทั้งบริเวณหอพัก ผมเลิกภารกิจเมาท์มอยขึ้นไปลานหอวิจัย เข้าแถวร่วมกับเพื่อนๆ

“เอาล่ะวันนี้ไม่มีอะไรมาก แค่พี่คิดถึงน้องๆ ถ้าพี่ไม่ได้ขึ้นมาแกล้งน้องๆ คงจะนอนไม่หลับ เอาทุกคนแบกโลกกันหน่อยเร็ว” พี่แป๊ะสั่ง แบกโลกคือ การกางแขนออก หงายฝ่ามือ แหงนหน้ามองท้องฟ้า ช่วงแรกๆ ยังไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อทำท่านี้ค้างไว้นานๆ เกิดอาการเมื่อยขบทรมานที่สุด

ผมมองท้องฟ้า มโนอย่างแรงกล้าว่าตนเองมีความสุขเสมือนกำลังชมดาวอยู่บนศาลาจานบินในคืนวันเกิดของเจฟเพื่อลืมความทรมานทั้งหมด

“ไหวไหมแบงค์?” เจฟเที่ยืนแบกโลกใกล้ๆ ผมถามเพราะความเป็นห่วง

“ไหวอยู่” ผมตอบสั้นๆ

“เอาล่ะพอเท่านี้ มานั่งลงกันให้เป็นระเบียบ” พี่แป๊ะยกเลิกคำสั่งแบกโลก “มีเรื่องจะพูดนิดหน่อย วันที่ 11 กรกฎาคมมีกิจกรรมทั้งวันเป็นวันสุดท้ายของการรับน้อง เช้าจนถึงเที่ยงมีพิธีการทำบุญเลี้ยงพระที่หอวิจัย น้องๆ คนไหนสนใจเข้าร่วมได้ ส่วนช่วงมีงานเฟรชชี่ไนท์ น้องๆ ทุกคนต้องเข้าร่วมงาน ธีมงานเป็นแฟนซี น้องๆ ควรจะหาเสื้อผ้าใส่ตั้งแต่เนิ่นๆ ได้แล้ว และที่สำคัญ ปี 1 ทุกสาขาต้องทำโชว์ขึ้นมา 1 โชว์ พี่ไม่ได้กดดันนะ ปีที่แล้วพวกพี่ทำโชว์ออกมาดีมากๆ พี่ไม่คาดหวังว่าน้องๆ ทำโชว์ได้ดีกว่าพวกพี่ แต่ถ้าได้ก็ดี”

พี่แป๊ะทิ้งระเบิดลูกโตไว้ก่อนสั่งสลายตัว ภารกิจนี้กลายเป็นสิ่งท้าทายทุกๆ คน ผมเชื่อว่าความรักและความสามัคคีจะทำให้พวกเราทั้งหมดผ่านพ้นภารกิจไปได้ หลังจากนั้นมามีการระดมสมอง สรรหาความคิดในการแสดงอย่างค่อยเป็นค่อยไป