ได้แต่แอบรักเธออยู่ในใจ เพราะเราไม่มีอะไรดีเลย

น้ำค้างมองพระจันทร์ - 21 ช้ำรักพักเกาะสมุย โดย กัลปังหา @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-ชาย,รัก,ดราม่า,รั้วโรงเรียน,ไทย,yaoi,แอบรักรุ่นพี่,นักศึกษา,ภาคใต้,รักเพื่อน,อกหัก,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

น้ำค้างมองพระจันทร์

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-ชาย,รัก,ดราม่า,รั้วโรงเรียน,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

yaoi,แอบรักรุ่นพี่,นักศึกษา,ภาคใต้,รักเพื่อน,อกหัก

รายละเอียด

 น้ำค้างมองพระจันทร์ โดย กัลปังหา @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ได้แต่แอบรักเธออยู่ในใจ เพราะเราไม่มีอะไรดีเลย

ผู้แต่ง

กัลปังหา

เรื่องย่อ

คนบางคนมีค่าไว้พียงแค่มอง

เราไม่มีสิทธิ์เป็นเจ้าของ

ดั่งกระต่ายที่หมายพระจันทร์

คนบางคนมีค่าสูงส่ง

แต่ตีคุณค่าของตนเองไว้ต่ำต้อย

ทั้งๆ ที่บริสุทธิ์งดงามดั่งน้ำค้าง

คนบางคนซื๋อตรงต่อใจตนเอง

ดั่งพระอาทิตย์ที่มอบแสงสว่าง

และความอบอุ่นเท่าเทียมกัน

สารบัญ

น้ำค้างมองพระจันทร์-บทนำ ผู้ชายในฝัน, น้ำค้างมองพระจันทร์-1 แรกพบ, น้ำค้างมองพระจันทร์-2 สายใยรักสายใยม่วงแดง (ปฐมบท), น้ำค้างมองพระจันทร์-3 ฤทธาน้ำล้างรองเท้า, น้ำค้างมองพระจันทร์-4 รับน้องหฤโหด?, น้ำค้างมองพระจันทร์-5 สายใยรักสายใยม่วงแดง (มัชฌิมบท), น้ำค้างมองพระจันทร์-6 สายใยรักสายใยม่วงแดง (ปัจฉิมบท), น้ำค้างมองพระจันทร์-7 เธอจะอยู่กับฉันตลอดไป, น้ำค้างมองพระจันทร์-8 รักในสายฝน, น้ำค้างมองพระจันทร์-9 เฟรชชี่ไนท์, น้ำค้างมองพระจันทร์-10 ใจบางบาง, น้ำค้างมองพระจันทร์-11 ข่าวร้าย, น้ำค้างมองพระจันทร์-12 ขอจองในใจ, น้ำค้างมองพระจันทร์-13 ไม่แน่ใจ, น้ำค้างมองพระจันทร์-14 เพื่อนสนิท, น้ำค้างมองพระจันทร์-15 Sport Night, น้ำค้างมองพระจันทร์-16 Happy Birthday, น้ำค้างมองพระจันทร์-17 ไดอะรี่สีแดง, น้ำค้างมองพระจันทร์-18 ทิ้ง, น้ำค้างมองพระจันทร์-19 ความลับในใจ, น้ำค้างมองพระจันทร์-20 กรุงชิงทิ้งรัก, น้ำค้างมองพระจันทร์-21 ช้ำรักพักเกาะสมุย, น้ำค้างมองพระจันทร์-22 นิยายรักขาดตอน, น้ำค้างมองพระจันทร์-23 เลิกกัน, น้ำค้างมองพระจันทร์-24 คลับซ่าสะพายเป้, น้ำค้างมองพระจันทร์-25 วิมานดิน, น้ำค้างมองพระจันทร์-26 สารภาพ, น้ำค้างมองพระจันทร์-27 จะมาไหม?, น้ำค้างมองพระจันทร์-28 หาดทราย สายลม สองเรา, น้ำค้างมองพระจันทร์-29 คู่ชีวิต, น้ำค้างมองพระจันทร์-จบ Leaving On a Jet Plane.

เนื้อหา

21 ช้ำรักพักเกาะสมุย

หลังจากกลับมากรุงชิงได้แค่เจฟเรียกประชุมสมาชิกสาขาวจก. ทั้งหมด แน่นอนมีเรื่องราวหลายเรื่องอยู่ในวาระการประชุมไม่ว่าจะเป็นการแบ่งหน้าที่รับผิดชอบในการจัดกิจกรรมรับน้องในปีการศึกษาหน้า และในวันวาเลนไทน์ที่จะถึงมีงานเลี้ยงบายเฟรชชี่

“ในการประชุมครั้งนี้ถือว่าเป็นการทำหน้าที่ประธานสาขาครั้งสุดท้ายของเรา ต่อจากนี้จะมีการเลือกประธานสาขาคนใหม่” เจฟประกาศต่อหน้าทุกๆ คน บางคนทราบข่าวแล้ว บางคนก็ยังไม่ทราบข่าว เจฟไปทำงานในองค์การบริหารนักศึกษาจึงต้องเลือกหน้าที่ในองค์การและทิ้งงานประธานสาขา เสมือนที่เขาเลือกตุ่มและทิ้งผม

แมนลงช่วงชิงตำแหน่งกับเป้ ผลออกมาแมนชนะเป้ ผมสังเกตว่าทุกคนเลือกแมนโดยไม่มีความตั้งใจจริง อาจเป็นเพราะไม่มีตัวเลือกที่ดีกว่า งานประธานสาขาเป็นงานที่หนักเสมือนกระโถนท้องพระโรง ทำดีเสมอตัวทำชั่วโดนประณามสาปแช่ง ลึกๆ ทุกคนหวาดหวั่นว่าแมนจะทำหน้าที่นี้ด้วยระบอบเผด็จการ แต่ก็รู้อยู่ว่าพวกผู้ชายบางคนหัวแข็งคงจะไม่ยอมให้ทำอะไรที่ไม่ดีแน่ๆ

วันงานบายเฟรชชี่มาถึง ทุกคนแต่งกายในชุดนักศึกษาเต็มยศ บรรยากาศเต็มไปด้วยความชื่นมื่น อาหารเป็นอาหารโต๊ะจีนเหมือนงานเฟรชชี่ไนท์ กิจกรรมบนเวทีเป็นการแสดงดนตรีสดขับกล่อมให้อาหารที่กลืนลงท้องละเมียดขึ้น จนกระทั่งถึงเวลาที่พวกเราสาขาวจก. บางส่วนรวมทั้งผมขึ้นเวทีร้องเพลงไว้อาลัยให้กับบีเพลงเดียวกันกับที่ร้องไว้อาลัยให้กับโอม ผมหวังว่าครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่พวกเราจะต้องมาร้องเพลงไว้อาลัยให้ใคร แม้ว่าการสูญเสียจะทำให้เรารู้ว่าเหลืออะไรบ้าง แต่การสูญเสียที่เกิดขึ้นบ่อยๆ นั้นมันบั่นทอนความสุขลงไปทีละนิดๆ

งานจบลงในเวลาเกือบๆ 4 ทุ่ม ตามประเพณีพองานเลิกใครที่เป็นแฟนกันก็จะเปิดตัวด้วยการที่ฝ่ายผู้ชายแลกเนคไทกับเข็มตรามหาวิทยาลัยที่ปกตรงอกเสื้อนักศึกษา ป้าชุก็ช่างแสนดีมาบอกผมว่าตุ่มกับเจฟก็ทำเช่นนั้น ผมเล่นละครแสดงบทดีใจยินดีด้วยไม่แตกเลยตีหน้าสลด พอกันทีกับการเป็นคนดีที่ไม่มีความสุข

... ... ...

วันแล้ววันเล่าที่เจฟยังคงหวานชื่นกับตุ่ม ส่วนผมคุ้นเคยกับความเจ็บปวด ผมไม่พูดคุยหลบหน้าหลบตาเจฟ เมื่อประจันหน้าก็ชักสีหน้ามึนตึงใส่เขาเพื่อเป็นปราการปกป้องตนเองไม่ให้เจ็บปวดไปมากกว่านี้

ท้องทะเลที่ผมมองจากดาดฟ้าเรือเฟอร์รี่เป็นเขียวมรกตระยิบระยับเพราะจับต้องแสงแดดยามสาย ผมและเพื่อนๆ ที่เรียนในวิชา English Listen and Speaking เดินทางข้ามทะเลไปเกาะสมุยเพื่อทำการสัมภาษณ์นักท่องเที่ยวต่างชาติภายใต้การดูแลจากคณาจารย์ภาควิชาภาษาต่างประเทศ ผมได้ย้อนนึกไปถึงวันที่เจฟกับผมมีโอกาสเคลียร์กัน

ในวันหนึ่ง เป็นวันที่ฝนตกหนัก ท้องสีฟ้าเป็นสีเทา ผมยังคงใช้ชีวิตทำงานเขียนตรงที่เดิม การที่ผมอยู่กับกระดาษ ดินสอ ยางลบและเรื่องราวที่ผมคิดร้อยเรียงเป็นตัวอักษรทำให้ผมรู้สึกเพลิดเพลิน

“ขอคุยอะไรหน่อยสิ” เสียงของชายผู้หนึ่งพูดขึ้นมา ผมเงยหน้าขึ้นมามอง

“มีอะไรหรือเจฟ? เข้ามาเงียบเชียบจัง เราไม่ได้ยินเสียงเลย นั่งก่อนสิ” เหมือนว่าความโกรธ ไม่ใช่สิ ม่านบังใจของผมไม่ทำงาน จึงไม่ปฏิเสธการอยู่ชิดใกล้ระหว่างผมกับเขา

“สบายดีไหม?” ดูเหมือนว่าเจฟกระอักกระอ่วน ไม่รู้จะเริ่มต้นพูดคุยกับผมอย่างไรดี

“ก็สบายดีไม่ได้เจ็บไม่ได้ไข้อะไร แต่ถ้าไถ่ถามแค่นี้พอเถอะ มันไร้สาระ” ผมรำคาญและพยายามตัดบท เหมือนอย่างที่เคยทำมา

“แบงค์โกรธเราเหรอ? เราทำอะไรผิดหรือ?” เจฟตีหน้าซื่อได้อย่างร้ายกาจ นี่นันทพงศ์นายไม่รู้จริงๆ หรือแกล้งโง่กันนี่ “หากเราทำผิดอะไรไป เราขอโทษนะ”

“เพราะเราโกรธเจฟไม่ได้ เลยเป็นแบบนี้ไง” ผมตอบ “เมื่อทุกอย่างมันลำเส้นไปแล้ว ยากที่จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม”

“แล้วจะกลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมไม่ได้เหรอ?”

“แล้วทุกวันนี้เราสองคนไม่ใช่เพื่อนกันหรือ?” ผมถามกลับไป “คนเราเมื่อได้รับบาดเจ็บ ต้องใช้เวลาในการรักษาบาดแผลแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่มีใครที่มีบาดแผลแล้วจะหายได้ในทันทีหรอกนะ เรากลับก่อนล่ะ”

ผมนึกทบทวน แล้วตั้งคำถามกับตนเอง เวลามันช่วยได้จริงหรือ ในเมื่อทุกวันนี้ ผมรู้สึกว่าเวลามันหยุดลง นับจากวันที่เขาทิ้งผมไป

“แกมาอยู่ที่นี่เอง” ติ๊กทักผม “แกปล่อยให้ฉันอยู่กับแมนตั้งนาน คนอะไรไม่รู้น่าเบื่อชะมัดยาก”

“ฉันเองก็เบื่อเหมือนกัน เลยหามุมสงบๆ อยู่ดีกว่า” ผมผสมโรงร่วมนินทาแมนกับติ๊กด้วย “คนอะไรหน้าตายังกะศพ 5 ปีแต่หลงตัวเองชะมัดยาก คงนึกว่าตนเองเป็นเทพบุตรเจ้าเวหาเนอะ”

“ฉันดีใจนะที่ได้มาสมุย เมื่อก่อนฉันรับจ๊อบเป็นสาวเสิร๋ฟที่บาร์ตรงหาดละไม ฉันคิดถึงพี่ๆ ที่บาร์ทุกคน ถ้ามีโอกาสฉันจะแวะไปหน่อย แกไปด้วยนะ เผื่อทีแกจะเจอฝรั่งที่ถูกใจบ้างอะไรบ้าง” กลายเป็นว่าต้องการหาคู่ให้ผม ทว่าผมไม่ต้องการ

เรือเฟอร์รี่เทียบท่าเรือหน้าทอนเกาะสมุยแล้ว แต่รถบัสของมหาวิทยาลัยยังคงจอดอยู่ในละแวกท่าเรือ เนื่องจากเอ็มตกรถบัส เดินทางมากับเรือเฟอร์รรี่เที่ยวหลัง จนเวลา 10 โมงเศษๆ เอ็มมาถึงรถบัสล้อหมุนไปยังวัดพระธาตุศิลางูอันสถานที่พักแรม พวกผู้หญิงพักในเรือนไม้เก่าแก่ พวกผู้ชายนอนในศาลาการเปรียญ เมื่อทุกคนเก็บสัมภาระเสร็จ ไม่มีให้เอ้อระเหยลอยชาย ขึ้นรถบัสไปรับประทานอาหารมื้อกลางวัน ลงหาดสัมภาษณ์นักท่องเที่ยวกัน

“ขอโทษนะครับ ช่วยสละเวลาให้สัมภาษณ์สักหน่อยได้ไหมครับ พวกเราเป็นนักศึกษา” นี่เป็นคำพูดที่มาจากภาษาอังกฤษที่ใช้สื่อสารกับหญิงชาวต่างชาติท่านหนึ่ง ทว่าผมไม่ทันพูดจบหล่อนก็เดินหนีไป งานที่คิดว่าง่ายกลายเป็นเรื่องยากเสียแล้ว

เขามองพวกเราเหมือนพวกขายของ ไม่แปลกหรอกที่เขาจะหนี ว่าแต่อากาศร้อนจังเลย” ติ๊กบ่นขณะเดินลงชายหาดละไมกับผม

“ถ้าไม่ครบจะทำยังไงกันดี” ผมกังวลกับสถานการณ์ที่ผมประสบอยู่

“ฉันเชื่อว่าต้องครบ ต้องได้ครบจากละไม พรุ่งนี้ไปเหวงจะยากเย็นกว่าที่นี่” ผมเข้าใจคำว่า ‘เหวง’ ที่ติ๊กเอ่ยซึ่งหมายถึงหาดเฉวงแค่ผมไม่เข้าใจตรงความยากเย็นของการหาชาวต่างชาติมาสัมภาษณ์ เอาเป็นว่าผมยังไม่ถามติ๊ก พรุ่งนี้จะได้รู้กัน

“นั่นติ๊กใช่ไหม?” เสียงเรียกจากผู้หญิงชาวไทยนางหนึ่ง ทำให้ติ๊กและผมหันไปมอง ผู้หญิงคนนี้นุ่งบิกินี่ลายสีแดงสลับขาวไว้ผมสั้นซอยตามความนิยมในยุคนี้ หล่อนนอนอาบแดดบนเตียงผ้าใบ ข้างๆ มีชายชาวฝรั่งนอนอาบแดอยู่เช่นเดียวกัน

“อ้าว! พี่แป้ง สวัสดีค่ะ” ติ๊กยกมือไหว้ “หากพี่แป้งไม่ทัก คิ๊กคงไม่เห็นหรอกค่ะ”

“มาทำอะไรจ๊ะ แล้วนั่นใครกัน?” พี่แป้งไถ่ถาม หล่อนถอดแว่นตากันแดดออกและเปลี่ยนอิริยาบถจากเอนนอนเป็นนั่งบนเตียงผ้าใบ

“อาจารย์ให้มาเซอร์เวย์ สัมภาษณ์ฝรั่ง ตอนนี้ยังไม่ได้สักคนเลยค่ะ ส่วนนี่แบงค์บัดดี้ของติ๊กค่ะ”

“สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้พี่แป้ง ติ๊กเล่าให้ผมฟังภายหลังว่าพี่แป้งเป็นดีไซเนอร์อยู่ต่างประเทศ มักจะหนีหนาวมาเที่ยวเกาะสมุยทุกๆ ปี

“งั้น! พี่ช่วยเอง เดวิด Can you help Tik and Bank? You say something for their interview” พี่แป้งขอความช่วยเหลือจากเดวิด ชายฝรั่งตาน้ำข้าวที่นอนอาบแดดข้างๆ พี่แป้ง จากนั้นผมเริ่มสัมภาษณ์เดวิดตามคำถามที่อาจารย์ไซมอน อาจารย์ประจำวิชาให้ไว้ ซักพักพี่แป้งชวนเพื่อนๆ ของเดวิดมาให้สัมภาษณ์ เบียร์ โอ๋ แมนและพี่นพพลอยได้อานิสงส์ทำงานสัมภาษณ์จนครบตามจำนวนในเวลาอันรวดเร็ว

“คืนนี้มีปาร์ตี้ฉลองวันเกิดให้เดวิดที่โคโค่บาร์ ถ้าติ๊กและแบงค์ขอเชิญนะจ๊ะ” พี่แป้งชักชวน

“ค่ะ ถ้าไม่ติดขัดอะไร ติ๊กกับแบงค์จะไปค่ะ” ติ๊กตบปากรับคำโดยไม่แนใจ หากช่วงค่ำไม่มีกิจกรรมใดๆ ติ๊กกับผมคงจะได้ไปโคโค่บาร์กัน

เย็นย่ำค่ำมืดในวัดศิลางูเงียบๆ ด้วยการที่ผมรับประทานมื้อเย็นตั้งแต่เวลา 5 โมงและรีบเร่งรับประทาน ทำให้ผมรู้สึกหิว ผมออกจากที่พักมาคุยกับติ๊กเพื่อดูลาดเลา จนแน่ใจว่าคณาจารย์ปล่อยนักศึกษาพักผ่อนตามอัธยาศัย ผมและติ๊ก

ออกไปหน้าวัดจับรถสองแถวโดยสารไปหาดละไม รถสองนำพาเราสองคนมาถึงหัวโค้งถนนเลียบชายหาด ติ๊กกดกริ่งให้รถจอดแล้วนำพาผมลงจากรถจ่ายค่าโดยสาร พอรถเคลื่อนผ่านไป ผมเห็นป้ายร้านโคโค่บาร์สีเขียวตั้งเด่นตระหง่าน

ร้านโคโค่บาร์เป็นบาร์เล็กๆ ตกแต่งแบบเกาะเขตร้อน นอกจากมีเคาน์เตอร์เครื่องดื่มขายเครื่องดื่มทั้งแบบไร้แอลกอฮอล์และมีแอลกอฮอล์หลากหลายชนิดและที่นั่งคอยบริการลูกค้า ยังโต๊ะพูลไว้บริการ แสงไฟที่ประดับตกแต่งหลากสีสัน สลัวๆ ไม่มืดไม่สว่างจนเกินไป เพลงแนวบีชเนิบๆ ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย พี่เจ้าของร้านเป็นผู้หญิงยินดีเลี้ยงเครื่องดื่มมีอยู่ในบาร์แบบไม่เกี่ยงชนิด ยี่ห้อ และไม่อั้นแต่ถึงกระนั้นด้วยความเกรงใจที่สมบัติของผู้ดีมีอยู่ในตัวผมและติ๊ก ทำให้ผมและหล่อนสั่งเพียงน้ำอัดลมคนละขวดมาดื่ม พี่แป้งและเดวิดเข้ามาในร้านพร้อมเค้กวันเกิด สักครู่มีเพื่อชาวต่างชาติตามมา 2-3 คน ต่อมาก็จุดเทียนพวกเราทั้งชาวไทยและฝรั่งร่วมร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ธเดย์ให้เดวิด เมื่อเพลงจบเดวิดเป่าเทียนที่ปักไว้บนเค้ก ทุกคนในร้านปรบแสดงความยินดีกับเดวิด จากนั้นทุกแยกย้ายกันไปทำกิจกรรมภายในร้าน ผมนั่งสบายๆ ตรงบาร์ ติ๊กพูดคุยอยู่กับชายฝรั่งชื่อเกรก

“เบียร์ขวดหนึ่ง” ชายฝรั่งคนหนึ่งเข้ามาสั่งเครื่องดื่มกับบาร์เกิร์ลเป็นภาษาอังกฤษแล้วนั่งข้างๆ ผม

“ใช่คนที่สัมภาษณ์ผมที่ชายหาดหรือปล่า?” เขาเอ่ยทักเป็นผมเป็นภาษาอังกฤษเช่นเดียวกัน

“ใช่แล้วครับ” ผมตอบไปเป็นภาษาอังกฤษ เราสองคนพูดคุยกันอยู่นาน จนจับความได้ว่าจอร์จมีท่าทีสนใจผม ทว่าผมไม่อาจจะตอบรับได้ ผมมาที่สมุยเพื่อเรียนรู้นอกสถานที่ มาในนามนักศึกษาไม่ได้มาในนามนักรัก หากผมสานสัมพันธ์ต่อใครๆ ก็จะมองว่าเป็นเรื่องไม่งาม

เช้าวันต่อมา... ความหนาวเย็นปลุกผมตื่นก่อนใคร ผมทำธุระส่วนตัวแล้วไปเดินเล่นที่ชายหาดหลังวัด ทะเลราบเรียบไร้คลื่น ดวงตะวันทอแสงเรื่อเรือง ความสงบนี้ทำให้ใจผมสงบผ่อนคลาย และพาลให้นึกถึงเรื่องที่ผมเก็บซ่อนไว้ภายในใจ ยามที่ไม่มีใครจะนึกถึงมัน 1 ปีที่ผ่านมาผมยอมรับว่าผมลืมเจฟไม่ได้เลย แม้อะไรๆ ผ่านเข้ามาในชีวิต แต่ความทรงจำที่ผมมีต่อเจฟซึ่งมีทั้งดีและร้ายยังคงหลอกหลอนเสมอไป ยากที่จะหักใจหรือเดินหน้าความรักต่อไปได้ จะว่าไปมันก็เหมือนนิยายรักที่ขาดตอน ไม่รู้เลยว่าตอนจบจะเป็นอย่างไร

ผมยืนรับวิตามินดีจากแสงแดดบนโขดหินอยู่พักใหญ่ พวกเพื่อนๆ ตื่นนอนกันแล้วเพราะมีเพื่อนๆ บางส่วนลงมาเดินเล่นที่ชายหาด พวกที่มานั้นบอกกับผมให้ไปรับประทานอาหารเช้าที่อาจารย์เตรียมไว้ตรงศาลาพักร้อน ผมขึ้นมาจากชายหาดไปหาอะไรรับประทานที่ศาลาพักร้อน คณาจารย์เตรียมกาแฟ ขนมปังปิ้งไส้แยมชนิดต่างๆ ผมชงกาแฟใส่แก้ว หยิบขนมปังปิ้งมา 2 แผ่นแล้วหลมานั่งตรงม้านั่งหินใต้ต้นไม้ ติ๊กตามผมมานั่งกับผม

“น่าเสียดายจอร์จนะ ฉันว่าแกกับเขาน่าไปกันด้วยดีได้” ติ๊กเปิดประเด็นการสนทนาด้วยเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ ณ โคโค่บาร์

“เราไม่ได้คิดอะไรกับจอร์จ เลยไม่ได้สานสัมพันธ์ต่อ บอกตรงๆ นะเราไม่อยากหาเหาใส่หัว” ผมตอบไปตามความเป็นจริง แม้ว่าใครที่ล่วงรู้เรื่องนี้เข้า อาจจะตราหน้าว่าผมโง่มีโอกาสแต่ไม่ไขว่คว้าไว้ โง่เสียจริงๆ “ฉันยอมเป็นคนโง่ที่สุดในโลกดีกว่าหลอกใจตนเอง”

“แกน่าจะลืมเจฟไปนานแล้ว” หญิงสาวพูด “ทุกวันนี้ เขามีความสุขอยู่กับคนที่เขารักคือตุ่ม แกควรจาความสุขใส่ตนเองได้แล้ว”

“ติ๊ก... ความสุขของคนเราไม่ได้มาจากการมีคนรักเท่านั้นนะ อย่างที่ฉันออกมาเดินเล่นชายหาดข้างหลังวัด ฉันมีความสุขที่เกิดจากความสงบ” ผมอธิบาย “ความสุขมีจริง ไม่ต้องพึงพิงผู้อื่น มีหลากหลายวิธีที่นำมาซึ่งความสุข”

“แต่ฉันยังรู้สึกเสียดายจอร์จแทนแกอยู่ดีล่ะ” ติ๊กยังคงยืนยันความคิดของหล่อนเช่นเดิม

“โอ๊ย! ฉันคร้านจะพูดกับเธอแล้วล่ะ ฉันรักกับคนไทยยังมีปัญหาวุ่นวายเรื้อรังมาถึงทุกวันนี้ นับประสาอะไรรักกับคนต่างชาติ”

การสนทนาจบลงพร้อมกับอาหารเช้าที่หมดลงไป จากนั้นผมกับติ๊กแยกย้ายกันไปเก็บสัมภาระ เสร็จแล้วยังมีเวลาว่างอีก พวกผู้ชายจับกลุ่มกันเตะฟุตบอลริมหาดหลังวัด พวกผู้หญิงจับกลุ่มพูดคุยกัน ส่วนผมพวกกลางๆ ไม่หญิงไม่ชายเดินเล่นปลดปล่อยอารมณ์ศิลปินริมชายหาดไปเรื่อยเปื่อย รวมไปถึงระลึกถึงเจฟผู้อยู่บนแผ่นดินใหญ่ เราสองมีทะเลใจขวางกั้น