ได้แต่แอบรักเธออยู่ในใจ เพราะเราไม่มีอะไรดีเลย
ชาย-ชาย,รัก,ดราม่า,รั้วโรงเรียน,ไทย,yaoi,แอบรักรุ่นพี่,นักศึกษา,ภาคใต้,รักเพื่อน,อกหัก,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
น้ำค้างมองพระจันทร์ได้แต่แอบรักเธออยู่ในใจ เพราะเราไม่มีอะไรดีเลย
คนบางคนมีค่าไว้พียงแค่มอง
เราไม่มีสิทธิ์เป็นเจ้าของ
ดั่งกระต่ายที่หมายพระจันทร์
คนบางคนมีค่าสูงส่ง
แต่ตีคุณค่าของตนเองไว้ต่ำต้อย
ทั้งๆ ที่บริสุทธิ์งดงามดั่งน้ำค้าง
คนบางคนซื๋อตรงต่อใจตนเอง
ดั่งพระอาทิตย์ที่มอบแสงสว่าง
และความอบอุ่นเท่าเทียมกัน
ผมมารู้สึกตัวอีกทีพบว่าไม่ได้อยู่ที่ห้อง 5413 แล้ว ผมสวมชุดคนไข้นอนอยู่บนเตียงนอนผู้ป่วยในห้องคนไข้รวมมีสายน้ำเกลือระโยงระยาง ข้างๆ เตียงมีพี่นุคอยเฝ้าอยู่ แสงไฟนีออนที่เรียงอยู่ตรงทางเดินในห้องคนไข้รวมและความไม่พลุกพล่านทำให้ผมคาดเดาว่าเป็นเวลากลางคืน ผมมองไปข้างเตียงเห็นพี่นุอ่านนิตยสารดูแลสุขภาพสำหรับผู้ชายอยู่
“ผมมาอยู่ที่นี่ได้ไง?” เพราะความป่วยหนักทำให้ผมยังไม่มีพละกำลังพอที่เปล่งเสียงพูดได้อย่างปกติ เสียงเปล่งออกมาแผ่วเบา
“โล่งอกไปทีที่แกฟื้น ถ้าเป็นอะไรมากไปกว่านี้ใครจะรับผิดชอบ” พี่นุพูดอย่างไม่สบอารมณ์
“แล้วผมเป็นอะไรครับ และใครไปบอกพี่นุล่ะ”
“เพื่อนแกที่ชื่อเจฟบอกอาจารย์เกม อาจารย์เป็นธุระเรียกรถพยาบาลและโทรศัพท์บอกกับพี่ตามประวัติที่กรอกไว้ พอมาถึง หมอก็ทำการวินิจฉัยและรักษาอาการ ผลสรุปมาว่าแกท้องเสียอย่างรุนแรงจนขาดน้ำผนวกกับอาการหวัดแดด มันน่าโมโหจริงๆ เล่นบ้าเล่นบออะไรกันก็ไม่รู้ นี่หากแกเป็นอะไรมากไปกว่านี้ใครจะรับผิดชอบ”
“ช่างเถอะพี่นุ เรื่องมันผ่านไปแล้ว มันเป็นความผิดของผมเอง หากผมใช้สมองอันของผมคิดให้ดีก่อนจะทำอะไรลงไป จะมีกี่คนในโลกนี้ได้กินน้ำล้างรองเท้าของตนเอง” ผมบอกปัดให้พี่นุสบายใจ แต่ความเป็นจริงแล้วมันถูกต้องแล้วหรือที่ปล่อยคนอื่นๆ มาบังคับขู่เข็ญ เพียงแค่อ้างว่าในชีวิตจริงเจอความเลวร้ายมากกว่าสิ่งที่พวกเขาสั่งให้ทำ นี่มันยุคไหนแล้ว ยุคที่ทุกๆ คนแขวนป้ายบอกกับคนในสังคมว่าฉันมีสิทธิและเสรีภาพ คนอื่นๆ ห้ามละเมิดสิทธิและเสรีภาพของฉัน หรือนี่คือกิจกรรมที่ถูกจัดขึ้นมาเพื่อเป็นการเอาคืนจากรุ่นสู่รุ่น กลับมาเรื่องของผมดีกว่า อย่างน้อยการที่ผมมานอนให้น้ำเกลือที่โรงพยาบาลมันดีกว่าเข้าร่วมกิจกรรมรับน้องใหญ่ในวันพรุ่งนี้ ก่อนผมจะป่วยพี่กระดิ่งได้เตือนว่ารับน้องใหญ่จะเป็นกิจกรรมที่สกปรกที่สุดในชีวิตเลยเพราะฉะนั้นให้ใส่เสื้อผ้าแบบที่ใส่ทีเดียวทิ้งเลย ความทรมานทรกรรมจะหนักกว่าการได้ดื่มน้ำล้างรองเท้ามากกว่าหลายเท่า เมื่อคิดได้เช่นนี้ผมจึงอยู่ที่นี่ได้อย่างสบายใจไม่คิดถึงเรื่องลึกลับที่ในโรงพยาบาลที่เคยได้ยินมา
วันต่อมา... คุณหมอมาตรวจร่างกายแต่เช้า ผลตรวจเป็นที่น่าพอใจ ไม่มีอาการที่อันตราย คุณหมอยังอนุญาตให้ผมออกจากโรงพยาบาลได้เพียงแต่ให้ระวังเรื่องอาหารการกินและงดกิจกรรมหนักๆ เพราะพละกำลังยังไม่ฟื้นฟูเต็มที่ พี่นุมารับผมออกจากโรงพยาบาลเมื่อตอนบ่ายและไปส่งที่มหาวิทยาลัย พอรถแล่นพ้นประตูมหาวิทยาลัย ผมเห็นภาพบรรยากาศการรับน้องตามสถานที่ต่างๆ ในบริเวณสวนศรีตรัง เนินเขาระหว่างหอประชุมกับตึกเกือกม้า เป็นต้น ผมเห็นพวกเพื่อนๆ ทั้งชายหญิงเนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลนสีแดง ดินสอพองผสมสี ดูสนุกสนานจนผมเปลี่ยนความคิดจากที่มองการรับน้องเป็นเรื่องที่น่ากลัวแต่สภาพสังขารผมไม่พร้อมกิจกรรมนั้นจึงงดไปโดยปริยาย ผมเก็บตัวเงียบอยู่ในห้อง ใช้เวลาไปกับการอ่านหนังสือนิยายเล่มหนา จนถึงเวลาห้าโมงเศษๆ ผมได้ยินเสียงพวกเพื่อนๆ ดังเอ็ดตะโรลั่นหอ นั่นแปลว่าพวกเพื่อนๆ กลับกันมาแล้ว มดไขกุญแจเข้ามาในห้องต่างคนต่างตกใจเพราะว่า
“ไม่คิดว่าจะกลับมาแล้ว” เขาชิงทักทายผมก่อน
“เลอะขนาดนี้เชียว “สภาพของมดดูไม่ได้เลย ทั้งเนื้อทั้งตัวเลอะเปรอะไปด้วยโคลนดินแดง กลิ่นกะปิและปลาร้าที่โชยมาทำไมให้ผมต้องถอยห่าง ผมเดินไปหยิบถุงพลาสติกจากตู้ใส้เสื้อผ้ามาวางไว้ที่โต๊ะอ่านหนังสือของมด “ผลัดผ้าแล้วเอาใส่ถุงโยนทิ้งเลย”
“คงต้องลงไปล้างตัวที่ข้างล่าง พวกรุ่นพี่ช่วยกันฉีดน้ำล้างอยู่”
“งั้น! เราจะไปช่วยล้าง” ผมอาสาและตามมดลงไปข้างล่างหอ เพื่อนๆ ที่ผมพบเจอทุกคนสภาพดูไม่ได้เลยสักคน พวกรุ่นพี่ก็ช่วยกันฉีดน้ำทำความสะอาดให้เพื่อนๆ
“เป็นไง ได้ข่าวขี้รั่วจนเกือบตาย” พี่เบลล์ พี่เทคของผมเอ่ยทักทายเมื่อเห็นผม
“ดีขึ้นแล้วพี่ หมอให้ออกจากโรงพยาบาลเมื่อตอนบ่าย มาถึงก็เห็นเพื่อนๆ เลอะเทอะจนแทบจำไม่ได้” ผมตอบพลางฉีดน้ำจากสายยางชำระล้างความสกปรกออกจากตัวเพื่อนๆ พอล้างเนื้อล้างตัวกันเสร็จแล้ว ผม เจฟ เอ แมน กับพวกผู้หญิงในสาขาวจก. มีตุ่ม แก้ว ชุ ดา และติ๊กนัดแนะไปกินข้าวกันที่ร้านครัวเคียงในอาคารโรงแรม พวกเขาและหล่อนเล่าประสบการณ์การรับน้องที่เจอมาทั้งวันให้ผมฟัง โซนรับน้องของวจก. ดูสนุกและโหดน้อยที่สุด เมื่อมาถึงโซนนี้จะได้รับประทานผักเสี้ยนดองที่เปลี่ยนชื่อเรียกให้หรูหราว่าสาหร่ายสไปรูรีน่า พี่ซอนย่ารับบทเป็นองค์ประทับเจ้าแม่ต้องไปจุดธูปเคารพกราบไหว้ (เรื่องพี่ซอนย่ามีองค์ลงนี่ พี่กระดิ่งเล่าให้ฟังในวันหลังว่าไม่รู้จะสงสารหรือสมน้ำหน้าดีเพราะแกเล่นนั่งสั่นไม่หยุดจนป่วยเป็นไข้และปวดเมื่อยไปทั้งตัว) บูชาเจ้าแม่เสร็จต้องลงไปขุดคุ้ยในร่องดินแดงเพื่อหาไข่ต้มมาให้หัวหน้ากลุ่มกิน ความสกปรกในโซนนี้คือการโดนป้ายกะปิและแมงลักตามผมและร่างกาย พวกพี่ๆ เรียกว่าน้ำหอมจากปารีสและวิตามินบำรุงผม ไม่ว่าจะโซนของสาขาวิชาอะไรผลสรุปเละเทะซ้ำแล้วซ้ำเล่า พวกผู้หญิงบ่นอุบว่ากลับไปต้องอาบน้ำอีกหนกลิ่นกิปลาร้าสารพัดสารพันสิ่งของที่มีกลิ่นรุนแรงยังแทรกซึมอยู่ในอณูรูขุมขน
เช้าวันต่อมา... เป็นวันจันทร์ที่เป็นวันเปิดภาคเรียน นักศึกษาชั้นปีที่ 1 ทุกคนมารวมตัวกันบริเวณสนามหญ้าหน้าตึกเกือกม้าตั้งแต่เช้าตรู่ ใช่ว่าทางมหาวิทยาลัยจัดตารางเรียนให้ตั้งแต่ไก่โห่หากวันนี้มีกิจกรรมเล็กน้อยคือกิจกรรมติดเข็มผูกไทค์ โดยรุ่นพี่ผู้ชายจะต้องผูกเนคไทค์ให้แก่รุ่นน้องผู้ชาย ส่วนรุ่นพี่ผู้หญิงก็จะติดเข็มตราสัญลักษณ์มหาวิทยาลัยตรงปกเสื้อนักศึกษารุ่นน้องผู้หญิง สิ่งเหล่านี้แสดงว่าความเป็นนักศึกษาของผมและพวกเพื่อนๆ สมบูรณ์แล้ว เมื่อเสร็จกิจกรรมส่วนนี้แล้ว ผมไปหาอาหารเช้ารับประทานตรงซุ้มขายอาหารว่างและเครื่องดื่มในบริเวณลานตึกเกือกม้า ยังเหลือเวลาก่อนเข้าเรียนวิชาแรก พวกเพื่อนๆ ในสาขาที่มีรถมีราก็ออกไปหาอะไรรับประทานกันข้างนอกหรือไม่ก็กลับไปหลับเอาแรงที่หอพัก ส่วนพวกที่ไม่มีรถก็ทำอย่างผมคือหาอะไรรับประทานเป็นมื้อเช้าและนั่งพูดคุยกันจนถึงเวลาเก้าโมงเช้า ผมและเพื่อนๆ ขึ้นสู่ห้อง D266 หรือห้อง 500 ที่เคยใช้เป็นห้องปฐมนิเทศ วิชาที่เรียนในวันนี้คือวิชา Mangement Science เป็นวิชาของพื้นฐานของพื้นฐานของสาขาวิชาวิทยาการจัดการ ผมจับจองที่นั่งเตรียมพร้อมที่จะเรียน อาจารย์รุ้งเป็นผู้สอนวิชานี้ อาจารย์ท่านรูปร่างเล็กผมซอยสั้นและแว่นสายตากรอบสีแดงทำให้ท่านดูอ่อนกว่าซักสองสามปี ชุดสูทกระโปรงสีน้ำตาลเจือแดงทำให้ท่านดูน่าเกรงขามเหมือนอย่างตอนที่ผมเข้ามาสอบสัมภาษณ์ในรอบเอ็นทรานช์ระบบตรง แรกๆ ผมเกร็งจนตอบคำถามตะกุกตะกักแต่อาจารย์รุ่งก็ชวนผมพูดคุยแบบสบายๆ ถามคำถามเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยซึ่งผมไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับวิทยาเขตแห่งนี้เพราะเมื่อนึกถึงมหาวิทยาลัยแห่งนี้ก็นึกถึงวิทยาเขตหาดใหญ่ที่มีคณะแพทย์ทำการรักษาผู้ป่วย อนิจจาเขาท่าเพชรบังมหาวิทยาลัยเสียมิดจนไม่มีใครนึกถึงเลย พอผมทราบผลว่าสอบได้ต้องไปตรวจการเพื่อขอใบรับรองแพทย์ คุณหมอผู้หญิงยังแสดงความยินดีว่าผมได้เป็นลูกพระบิดาเดียวกันกับเธอ ตอนนั้นผมก็ยังงงๆ ว่าอะไรคือพระบิดาจนได้มาที่นี่อ่านประวัติของพระองค์ท่านในหนังสือเฟรชชี่ 2004 บังเกิดความเคารพและศรัทธาพระองค์ท่านและจะปฏิบัติตนตามพระปณิธานแห่งพระองค์
“นักศึกษาคะ อาจารย์จะแจกคอร์สเอาท์ไลน์ให้นักศึกษาเพื่อให้ได้ทราบว่าเนื้อหาการเรียนสอนในวิชานี้เป็นอย่างไร” ในขณะที่อาจารย์กล่าวเอกสารได้ทยอยส่งมาต่อๆ กันจนมาถึงมือผม 1 ชุด “อาจารย์อยากให้นักศึกษาดูในเกณฑ์การให้คะแนนโดยที่คะแนนสอบอัตราส่วนคะแนนเก็บต่อคะแนนสอบไฟนอลอยู่ที่ 60:40 อาจารย์คิดจะลดอัตราส่วนคะแนนเป็น 70:30 ดีไหมคะ”
“ดีค่ะครับ (ค่ะ) ”
“โอ.เค. อาจารย์ก็คงจะต้องมีรายงานกลุ่มเพิ่มมา 1 ชิ้นซึ่งหัวข้อรายงานอาจารย์จะพูดในสัปดาห์ต่อไป ส่วนสัปดาห์นี่ยังไม่มีการเรียนการสอน อาจารย์จะให้แต่ละคนแนะนำตัวเองว่าชื่ออะไร ชื่อเล่น คติประจำใจเริ่มที่เธอเลย” อาจารย์รุ่งให้หนิงอิงเริ่มต้นแนะนำ ผมฟังเพื่อนๆ แนะนำตนเองบ้างไม่ฟังบ้างเพราะมัวแต่คติประจำตนเอง
“สวัสดีค่ะชื่อแอนมาจากกรุงเทพค่ะ คติประจำใจแฟนเหมือนแฟนเรา” เมื่อแอนพูดจบเพื่อนๆ ฮาครืนเลยทีเดียว
“อันตรายนะคะนักศึกษา เป็นเพื่อนหนูแอนแล้วมีแฟน” ตั้งแต่นั้นมาแอนก็มีฉายาว่าแอนชีแคน
“สวัสดีครับผมนันทพงศ์ พรหมมาศ ชื่อเล่นเจฟ คติประจำใจไม่หล่อแต่อร่อยครับ” เจฟไม่ทิ้งลายตลก อยากจะรู้ว่ารสอร่อยของผู้ชายคนนี้เป็นรสอะไร และก็มาถึงคิวของผม
“สวัสดีครับ ผมชื่อพงษ์ชิษณุ สุริยะกุล ชื่อเล่นแบงค์ คติประจำใจจงเป็นปราชญ์ในหมู่เปรตดีกว่าเป็นเปรตในหมู่ปราชญ์ครับ”
“แล้วแบงค์คิดว่าตนเองเป็นเปรตหรือปราชญ์จ๊ะ?” อาจารย์รุ้งยิงคำถามซะฮากันทั้งห้อง
“ผมยังตอบไม่ได้ครับ ต้องดูกันไปนานๆ “และในที่สุดการแนะนำตัวของสมาชิกสาขาวจก. จำนวน 120 กว่าชีวิตก็เสร็จสิ้น อาจารย์รุ้งมีจุดประสงค์ข้อหนึ่งของการแนะนำตัวว่าเพื่อให้ตัดสินใจเลือกสมาชิกเข้ากลุ่มทำรายงาน วิชานี้เลิกเรียนสิบโมงครึ่ง เจฟขอให้พวกเราทั้งหมดอยู่ต่อซักนิดเพื่อประชุมสาขา
“สวัสดีเพื่อนๆ ทุกคน เราได้รับข่าวมาจากรุ่นพี่มาแจ้งให้เพื่อนๆ ทราบ” ผมและทุกคนตั้งใจฟังเขาพูด “พี่ๆ บอกว่าพวกปีหนึ่งทุกคนต้องเข้าร่วมประชุมเชียร์ในเวลาหกโมงเย็น การแต่งกายให้ใส่เสื้อของมหาวิทยาลัยตัวสีฟ้ากางกางขายาวรองเท้าผ้าใบ อีกเรื่องหนึ่งคือแป๊ะบอกว่าทำเสื้อสาขาราคาตัวละ 199 บาทให้เพื่อนๆ บอกไซส์และจ่ายเงินที่ชะภายในวันศุกร์นี้” ไม่รู้ว่าเพราะอะไรทุกคนๆ ตั้งใจฟังเขาพูดราวกับเขาเป็นบุคคลสำคัญที่ทุกๆ คนให้ความสำคัญ ผู้ชายคนนี้ยามที่อยู่ปกติเขาไม่ได้มีความโดดเด่นอะไรเลยเป็นผู้ชายตัวเล็กๆ หน้าตาธรรมดาๆ แต่หากให้พูดอะไรที่เป็นหลักการ ทุกคนที่ฟังเขาจะหยุดฟังอย่างตั้งใจ
การเรียนในวันแรกผ่านพ้นไป ผม เจฟและกลุ่มเพื่อนๆ หาอะไรรับประทานกันเสร็จก็แยกย้ายกันอาบน้ำแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าตามที่เจฟรับคำสั่งจากรุ่นพี่มาบอก จนเกือบหกโมงเย็นพวกปีหนึ่งมารวมตัวกันที่ลานหอวิจัย พวกรุ่นพี่ให้รุ่นน้องปีหนึ่งเดินลงจากเนินเขาสู่หอประชุมเบื้องล่างเป็นทิวแถวอย่างเป็นระเบียบ เมื่อมาถึงหอประชุม พวกพี่ๆ กรมเจ้าท่าให้พวกเราทั้งหมดทำกิจกรรมสันทนาการจนเพลิดเพลินสนุกสนาน
“น้องๆ ทุกคนนั่งลงกับพื้นนะคะ พี่แอนเห็นว่าน้องๆ คงจะเหนื่อยกัน พักผ่อนก่อนนะจ๊ะ” พี่แอนให้พวกหยุดพักแล้วก็ออกจากห้องประชุมไปพร้อมกับทีมงานกรมเจ้าท่า ประตูทางเข้าห้องประชุมถูกปิดหมด หลอดไฟนีออนสีขาวรางยาวดับลงเหลือเพียงแสงไฟจากหลอดตะเกียบสีส้มนวลสลัวๆ บรรยากาศเงียบสงัดอย่างไม่เป็นปกติ ความคิดของผมไม่ได้คิดไปในทิศทางที่ดีเลยสักนิดเดียว
“ปัง! สวัสดีครับ ก้มหน้าลงเดี๋ยวนี้ทุกๆ คน” กลุ่มชายชุดดำเข้ามาในห้องประชุมจากประตูทุกบาน เสียงการเปิดประตู คำทักทายและคำสั่งที่ตะคอกขู่คำรามทำให้ผมรับรู้ได้ว่าการมาของพวกเขาไม่ได้เป็นมิตรเอาเสียเลย ผมและเพื่อนๆ ก้มหน้าลงมองหน้าตักตนเอง เสียงตะโกนกร่นด่าดังลั่นทุกทิศทาง แล้วทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้นคืออะไร?