“เฟยเฟย แต่จริงๆแล้ว ข้าชอบฤดูใบไม้ร่วงนั่นนะ! เพราะทุกครั้งที่มันเกิดขึ้น ข้าก็จะได้เห็นและพบเจอเจ้าเสมอ ฤดูใบไม้ร่วงของเราสองคน แท้จริงแล้วมันไม่ได้เป็นแค่คำสาป แต่มันคือความงดงามแห่งโชคชะตา เพราะถึงแม้กระจกบานที่สิบจะดับสูญไปจากโลกนี้แล้ว แต่ “สุสาส์นราคะ” ที่พันผูกจิตวิญญาณเราทั้งสองคนไว้ด้วยกันนั้นจะยังคงอยู่เป็นปัจจุบันขณะเสมอ ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่เปลี่ยนแปลง เป็นดั่งสัจจะนิจนิรันดร์” เจ้าวั่งซูเอ่ยพร้อมยิ้มอ่อนโยนให้คนรัก
ชาย-ชาย,รัก,ผจญภัย,แฟนตาซี,นิยายรักจีนโบราณ,นิยายรัก,นิยายจีนโบราณ,นิยายวาย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ดั่งเราสองที่พบพานจากวันวารสู่นิจนิรันดร์ (The Amid Autumn)“เฟยเฟย แต่จริงๆแล้ว ข้าชอบฤดูใบไม้ร่วงนั่นนะ! เพราะทุกครั้งที่มันเกิดขึ้น ข้าก็จะได้เห็นและพบเจอเจ้าเสมอ ฤดูใบไม้ร่วงของเราสองคน แท้จริงแล้วมันไม่ได้เป็นแค่คำสาป แต่มันคือความงดงามแห่งโชคชะตา เพราะถึงแม้กระจกบานที่สิบจะดับสูญไปจากโลกนี้แล้ว แต่ “สุสาส์นราคะ” ที่พันผูกจิตวิญญาณเราทั้งสองคนไว้ด้วยกันนั้นจะยังคงอยู่เป็นปัจจุบันขณะเสมอ ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่เปลี่ยนแปลง เป็นดั่งสัจจะนิจนิรันดร์” เจ้าวั่งซูเอ่ยพร้อมยิ้มอ่อนโยนให้คนรัก
นิยายเล่มนี้คือคัมภีร์แห่ง การค้นหาตัวตนผ่านโชคชะตาที่วนซ้ำ ความสนุกและมหัศจรรย์แห่งการเวียนว่ายของดวงจิตในภพภูมิทั้ง 9 และ มหากาพย์แห่งรักชั่วนิจนิรันดร์
“เจ้าวั่งซู และ ฮวาเฟยฟา (วั่งเฟย) สองดวงจิตที่พันผูกกันหลายแสนชาติ ถูกลิขิตให้หวนคืนเพื่อเล่นชะตาที่วนซ้ำ ผ่านการเดินทางทั้ง 9 ภพภูมิ: ภพมนุษย์ ภพอมนุษย์ ภพพืชพันธุ์ ภพฝันแห่งความเงียบงัน ภพเดรัจฉาน ภพจิตภูติ ภพสวรรค์ ภพปรภพ ภพปีศาจ
เพื่อค้นหาคำตอบในการหยุดวังวนแห่งโชคชะตา สู่การเริ่มต้นครั้งใหม่ เพื่อก้าวสู่ความเป็นนิจนิรันดร์”
..สุสาส์นราคะ..
“แล้วปกติการแข่งขันเพื่อบรรจุเป็นมือปราบมารที่หุบเขาจินลู่ซี นี่มันมีการแข่งอะไรบ้าง” เจ้าวั่งซูเอ่ยถาม ขณะ ที่ปากก็กัดไก่คำโต และซดน้ำซุบไม่ขาด
“การที่จะได้เป็นมือปราบมารต้องผ่านด่านทดสอบทั้งเก้ากระจก โดยปกติแล้ว จะมีแค่ปรมาจารย์กระจกนั้นๆ ที่สามารถทะลุผ่านข้าออกกระจกได้ ดังนั้นในการแข่งขัน ผู้เข้าแข่งขันล้วนถูกคัดเลือกว่าแกร่งสุดอันดับหนึ่ง และ สอง เป็นตัวแทนจากแต่ละบ้านทั้งเก้ากระจก ซึ่งในแต่ละปีก็จะมีตัวแทนที่เหมาะสม มีแค่บ้านละคนมากสุดสองคนไม่เกินนี้ ดังนั้นในแต่ละปี จะมีผู้เข้าแข่งขันมากสุดไม่เกิน 18 คน
ส่วนในวิธีการคือ ปรมาจารย์ท่านนั้นจะใช้มนต์แบ่งจิตเข้าในร่างผู้เข้าแข่งขันเพื่อหลอกกระจกให้ปล่อยกายหยาบของผู้เข้าแข่งขันทั้งหมดเข้าไปในกระจกนั้นๆ ที่ทุกคนเชื่อว่าเป็นภพเสมือนจริง แต่อย่างที่พวกเรารู้กันมาว่าเบื้องหลังกระจกคือเส้นทางสู่ภพภูมินั้นๆที่แท้จริง เมื่อเข้าไปแล้วผู้เข้าแข่งขันจะเจอศัตรูที่ทางปรมาจารย์เหล่านั้นตระเตรียมไว้ซึ่งเป็นศัตรูจริงๆ จากภพนั้น และทำการสู้รบโดยใช้วิชาและไหวพริบที่ตนฝึกฝนมา ต่อกรกับสิ่งมีชีวิตจากต่างภพ ถ้าคนไหนสามารถมีชีวิตรอดออกมาได้จากทั้งเก้ากระจก ถึงได้รับตราเกียรติยศสำนักเก้ายุตราขึ้นเป็นหนึ่งในมือปราบมารของสำนักสืบต่อไป” ฮวาเฟยฟาเล่าขั้นตอน
“ซึ่งฟังดูไม่ง่ายเลย แสดงว่าต้องมีคนสละชีวิตในการแข่งขันจริงหรอ แล้วมันมีคนผ่านบ้างไม๊แต่ละปี” เจ้าวั่งซูฟังก็ตกใจในความยากของการทดสอบและเอ่ยถามสงสัย
“อย่างที่เจ้าเห็นว่าในสำนักล้วนมีแต่ผู้ฝึกตน ส่วนมือปราบมารมีแค่ไม่กี่คน และล้วนแต่เป็นรุ่นก่อนหน้านี้อยู่รอดมา ส่วนรุ่นใหม่ ส่วนใหญ่ไม่ผ่านการทดสอบ และเอาชีวิตมาทิ้งในการแข่งขัน อาจจะมีบ้างปีละหนึ่งคน แต่ส่วนใหญ่แล้วล้วนไม่มีผู้เข้าแข่งขันรอดมาได้สักคน” ฮวาเฟยฟาเล่า
“นี่ถ้าข้าไปทดสอบ ข้าเองก็อาจจะไม่ผ่านหรืออาจจะโดนคร่าตาย” เจ้าวั่งซูบ่นหน้ามุ่ย
“ไม่หรอกเจ้ามีไหวพริบดี พลังจักราแข็งแกร่ง และพลังเวทย์ส่วนใหญ่ของเจ้าครอบคลุมความสามารถของคู่ต่อสู้ เหลือแค่ไหวพริบในการใช้และแก้ปัญหาตรงนั้น ดังนั้นข้าคิดว่าเจ้าสามารถรับมือพวกต่างภพได้ทั้งหมด ถ้าเจ้าไม่เผลอไผลเพลี่ยงพล้ำ แต่เจ้าจะกังวลไปทำไม ในเมื่อเค้าเอาเกี้ยวมาเชิญเจ้าไปรับเหรียญอยู่แล้วหนิ คุณชายซูซูแห่งสกุลเจ้าผู้ถือเคียวสู่ภพ” เฟยฟาพูดนิ่งแซว
“แหม! เจ้าก็ล้อข้าไป แสดงว่าถึงแม้ว่าปีนี้จะไม่มีผู้ทดสอบผ่าน ก็ยังมีข้าที่ขึ้นรับตรานั้น สรุปข้าเหมือนถูกเอาไปเป็นหน้าตาของงานทั้งๆ ที่ลับหลังก็พากันซุบซิบนินทา หรืออาจจะเอาข้าไปประจานกลางงาน เห้อ! แต่ความจริงที่น่าเศร้าคือ ผู้คนล้วนลืมสิ่งดีที่สกุลเจ้าทำให้กับโลกใบนี้ แต่กลับเลือกจำแค่สิ่งที่ผิดพลาดเพียงครั้งเดียว ซึ่งจริงก็ไม่ใช่ข้อผิดพลาดแต่เป็นเสียสละยิ่งใหญ่มากต่างหาก มนุษย์นี้ช่างน่าเวทนายิ่งนัก เค้าเลือกมอง เข้าใจ และจดจำตามๆกัน” เจ้าวั่งซูกล่าวมองออกไปท้องฟ้าและทำหน้าเศร้า
“แล้วเจ้าจะตกใจว่าผู้คนสามารถลืมได้เร็วแค่ไหนเมื่อคนๆนึงจากโลกนี้ไป ดังนั้นมันไม่สำคัญหรอกว่าผู้คนจะจดจำเราอย่างไร แต่ตัวเราแค่ต้องรู้ ต้องทำแต่ในสิ่งที่ดี เพื่อที่ให้เราได้จดจำตัวเองในทางที่ดี เพื่อที่ว่าเวลาที่เราจากโลกนี้ไป และมองย้อนกลับมาจะไม่มีเรื่องใดที่น่าละอายหรือเสียใจเลย อย่างเช่นท่านปู่ทวดของเจ้า เค้าเป็นคนเข้มแข็งที่สุดที่ข้าเคยรู้จัก และในขณะเดียวกันก็มีจิตใจที่อ่อนโยนมากทีเดียว แม้ในวินาทีสุดท้ายเค้าก็ยอมสละชีวิตตนเพื่อช่วยทุกคน แม้มันต้องแลกกับการเข้าใจผิดของผู้คนทั้งหมด ตอนนั้น ข้ายังจำได้ไม่มีวันลืมประโยคสุดท้ายที่เค้าพูดกับข้าในวันนั้น “เฟยเฟยให้ข้าได้เก็บเกี่ยวผลแห่งกรรมนี้ เจ้าเข้าใจข้านะ” ฮวาเฟยฟาเล่าน้ำตารื้น
“ข้าจักต้องแก้ไขความเข้าใจผิด ที่ทุกคนมีต่อท่านปู่ทวด และสกุลเจ้าให้ได้” เจ้าวั่งซูกล่าวหนักแน่น
“และข้าจะอยู่ข้างๆ ช่วยเหลือเจ้าเอง แต่ตอนนี้น่าจะสายแล้วสำหรับพิธีการทดสอบพวกเรารีบไปกันเถอะ” ฮวาเฟยฟายิ้มอ่อนโยน
“จริงด้วยข้าลืมไปเลย งั้นเรารีบไปกันเถอะ” เจ้าวั่งซูรีบลุกขึ้นกับเฟยฟา ทั้งสองรีบออกเดินทางตรงไปสำนักคุ้มภัยเก้าจักยุตรา
การเดินทางไปสำนักนั้นต้องขึ้นเขาไป เนื่องจากบนสำนักฝึกตนแห่งนี้ไม่ใช่แค่ที่ฝึกฝน แต่ มีสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ ที่ท่องเที่ยว ที่เปิดให้ผู้คนขึ้นไปชมความงามได้ และจะมีแขกจากต่างภพแวะมาเยี่ยมเยียน ร่วมงานบ่อยครั้ง ดังนั้นในระหว่างทางขึ้นเขาจึงไม่เงียบเหงาเลยเพราะจะมีชาวบ้านออกมาค้าขายของมากมาย มีติดโคมสร้างสีสันให้ตลอดเส้นทางลาดชันตรงสู่ปลายทางด้านบน
บริเวณสำนักฝึกตนเก้าจักยุตรานั้นเป็นสถานที่เดียวในหมู่บ้านชุนเทียนที่มีฤดูต่างๆ สับเปลี่ยนไปมาปกติ ตั้งตัวลอยสูงอยู่เหนือกลุ่มเมฆบนหุบเขา บางตำหนักตั้งอยู่ยอดเขาที่เสียดแทงสูงเหนือเมฆ บางตำหนักลอยอยู่ในอากาศ แต่ทุกตำหนักจะมีสะพานทอดทะลุผ่านกลุ่มไอเมฆไอหมอกเชื่อมตัวตำหนักทุกตำหนักของสำนักต่อกัน ลักษณะเป็นโครงข่ายคล้ายใยแมงมุม จุดศูนย์กลางคือตำหนักที่ใหญ่ที่สุดอยู่ตรงกลางตั้งตะหง่านสูง มีลานประลองยุทธ ลานพักผ่อน และตำหนักสูงอลังการ ใช้สำหรับการพบปะ ประชุม และทำกิจกรรม อื่นๆ มีสะพานทางเดินเชื่อมออกจากตำหนักหลักแตกระแหงหลายเส้นทางเป็นเหมือนสะพานทอดตัวผ่านกลุ่มเมฆ
โดยชั้นแรกถัดจากตำหนักหลักจะเป็นพวกลานกิจกรรม ลานพักผ่อน ถัดไปมีตำหนักพักสำหรับผู้ฝึกตน ถัดออกไปอีกชั้นมีตำหนักสำหรับ คณาจารย์ ผู้ใหญ่แขกมาเยือน ถัดออกไปมีเรือนพักผ่อนหย่อนใจ สถานที่เก็บกักประวัติศาสตร์ยาวนานเกี่ยวกับการเกิดขึ้นการแตกออกของภพ ผู้คนที่ยิ่งใหญ่ และ ยุทธภพ รวมถึงความรู้อื่นๆ และอีกหลายชั้นถัดออกไปไกลโพ้นมากมาย จนถึงชั้นสุดท้ายของใยแมงมุมนั้นคือ
ตำหนักทั้งเก้ากระจกที่มีเหล่าปรมาจารย์ประจำกระจกนั้นๆ อยู่ประจำเพื่อปกปักรักษาจากชั้นนอกสุด โดยปกติตัวกระจกทั้งเก้าจะคอยส่งพลังถึงกันและกันเบาๆ เชื่อมกันจากทุกทิศเหมือนสัญญาณเตือนภัยยามมีศัตรูหรือสิ่งแปลกปลอมก้าวร่วงเข้ามายังอาณาเขตสำนักเก้าจักยุตกรา และ อีกด้านจะสะท้อนพลังออกเพื่อส่งพลังป้องกันไปถึงอาณาเขตชายแดนหมู่บ้านต้องสาปเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีสิ่งใดที่แปลกปลอมเข้าและออกมากจนเกินไป เหล่าปรมาจารย์ผู้ดูแลกระจกต้องดูแล และ ค่อยถ่ายเติมพลังไปมากับกระจกอยู่เสมอ (จริงๆ แล้วเข้าออกภพจริง และผูกสัมพันธ์รวมถึงจับตาดูในกรณีที่อาจจะมีความปกติเกิดขึ้นในภพอื่นๆ) และตัวกระจกทั้งเก้าต้องยืนอยู่ครบทุกบานเพื่อส่งพลังถึงกันและกัน ในกรณีที่บานใดบานหนึ่งเสียหาย แตก หรือถูกทำลายลง โครงข่ายทั้งหมดจะพังลง กระจกจะสูญเสียความสามารถและพลังทุกอย่างในการเชื่อม ป้องกัน และ ผ่านทะลุ ทางเดียวที่แก้ไข คุมสถานการณ์ และฟื้นฟู คือต้องมีกระจกบานที่สิบในตำนาน ซึ่งมาจนในโลกปัจจุบันก็ไม่มีใครเคยได้เห็น พบเจอ หรือทราบว่ามีอยู่จริงไหม นอกจาก เจ้าวั่งซูและฮวาเฟยฟา