“เฟยเฟย แต่จริงๆแล้ว ข้าชอบฤดูใบไม้ร่วงนั่นนะ! เพราะทุกครั้งที่มันเกิดขึ้น ข้าก็จะได้เห็นและพบเจอเจ้าเสมอ ฤดูใบไม้ร่วงของเราสองคน แท้จริงแล้วมันไม่ได้เป็นแค่คำสาป แต่มันคือความงดงามแห่งโชคชะตา เพราะถึงแม้กระจกบานที่สิบจะดับสูญไปจากโลกนี้แล้ว แต่ “สุสาส์นราคะ” ที่พันผูกจิตวิญญาณเราทั้งสองคนไว้ด้วยกันนั้นจะยังคงอยู่เป็นปัจจุบันขณะเสมอ ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่เปลี่ยนแปลง เป็นดั่งสัจจะนิจนิรันดร์” เจ้าวั่งซูเอ่ยพร้อมยิ้มอ่อนโยนให้คนรัก

ดั่งเราสองที่พบพานจากวันวารสู่นิจนิรันดร์ (The Amid Autumn) - 2 หมู่บ้านชุนเทียน °•.< หมู่บ้านต้องสาป >.•° โดย สุสาส์นราคะ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-ชาย,รัก,ผจญภัย,แฟนตาซี,นิยายรักจีนโบราณ,นิยายรัก,นิยายจีนโบราณ,นิยายวาย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ดั่งเราสองที่พบพานจากวันวารสู่นิจนิรันดร์ (The Amid Autumn)

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-ชาย,รัก,ผจญภัย,แฟนตาซี

แท็คที่เกี่ยวข้อง

นิยายรักจีนโบราณ,นิยายรัก,นิยายจีนโบราณ,นิยายวาย

รายละเอียด

ดั่งเราสองที่พบพานจากวันวารสู่นิจนิรันดร์ (The Amid Autumn) โดย สุสาส์นราคะ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

“เฟยเฟย แต่จริงๆแล้ว ข้าชอบฤดูใบไม้ร่วงนั่นนะ! เพราะทุกครั้งที่มันเกิดขึ้น ข้าก็จะได้เห็นและพบเจอเจ้าเสมอ ฤดูใบไม้ร่วงของเราสองคน แท้จริงแล้วมันไม่ได้เป็นแค่คำสาป แต่มันคือความงดงามแห่งโชคชะตา เพราะถึงแม้กระจกบานที่สิบจะดับสูญไปจากโลกนี้แล้ว แต่ “สุสาส์นราคะ” ที่พันผูกจิตวิญญาณเราทั้งสองคนไว้ด้วยกันนั้นจะยังคงอยู่เป็นปัจจุบันขณะเสมอ ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่เปลี่ยนแปลง เป็นดั่งสัจจะนิจนิรันดร์” เจ้าวั่งซูเอ่ยพร้อมยิ้มอ่อนโยนให้คนรัก

ผู้แต่ง

สุสาส์นราคะ

เรื่องย่อ

นิยายเล่มนี้คือคัมภีร์แห่ง การค้นหาตัวตนผ่านโชคชะตาที่วนซ้ำ ความสนุกและมหัศจรรย์แห่งการเวียนว่ายของดวงจิตในภพภูมิทั้ง 9 และ มหากาพย์แห่งรักชั่วนิจนิรันดร์

“เจ้าวั่งซู และ ฮวาเฟยฟา (วั่งเฟย) สองดวงจิตที่พันผูกกันหลายแสนชาติ ถูกลิขิตให้หวนคืนเพื่อเล่นชะตาที่วนซ้ำ ผ่านการเดินทางทั้ง 9 ภพภูมิ: ภพมนุษย์ ภพอมนุษย์ ภพพืชพันธุ์ ภพฝันแห่งความเงียบงัน ภพเดรัจฉาน ภพจิตภูติ ภพสวรรค์ ภพปรภพ ภพปีศาจ

เพื่อค้นหาคำตอบในการหยุดวังวนแห่งโชคชะตา สู่การเริ่มต้นครั้งใหม่ เพื่อก้าวสู่ความเป็นนิจนิรันดร์”

..สุสาส์นราคะ..

สารบัญ

ดั่งเราสองที่พบพานจากวันวารสู่นิจนิรันดร์ (The Amid Autumn)-1 ปฐมบท °•.< ตระกูลเจ้า >.•°,ดั่งเราสองที่พบพานจากวันวารสู่นิจนิรันดร์ (The Amid Autumn)-2 หมู่บ้านชุนเทียน °•.< หมู่บ้านต้องสาป >.•°,ดั่งเราสองที่พบพานจากวันวารสู่นิจนิรันดร์ (The Amid Autumn)-3 สำนักคุ้มภัยเก้าจักยุตกรา °•.< หุบเขาเก้ากระจก >.•°

เนื้อหา

2 หมู่บ้านชุนเทียน °•.< หมู่บ้านต้องสาป >.•°

ลึกเข้าไปในป่า ข้ามแม่น้ำ 99 สาย ข้ามเขา 999 ลูก ยังมีหมู่บ้านที่อยู่ท่ามกลางฤดูใบไม้ร่วงตลอดทั้งปีท่ามกลางหุบเขาที่โอบล้อมตัวหมู่บ้านไว้อย่างแน่นหนาลึกลับคล้ายปราการครอบแก้วกัก และ หยุดทุกสิ่งเสมือนว่าคนในห้ามออกคนนอกห้ามเข้า หลบลี้แยกตัวตัดขาดจากโลกภายนอก หมู่บ้านนี้คือ “หมู่บ้านชุนเทียน” หรือ ที่คนทั้งภพมนุษย์กล่าวขานเป็นนามเดียวกันว่า “หมู่บ้านต้องสาป”

หมู่บ้านที่เป็นปราการด่านแรกและด่านสุดท้ายที่ยืนตระหง่านกลางหุบเขาทำหน้าที่เป็นเหมือนเกราะกั้นระหว่างภพมนุษย์และภพอื่นๆ อีกแปดภพ จะกล่าวไปในอดีต หมู่บ้านชุนเทียนเคยเป็นหมู่บ้านที่งดงาม พืชพันธุ์ ดอกไม้ สัตว์ป่า และชาวบ้าน สำนักเซียน สำนักคุ้มภัย สำนักผู้ฝึกตน ต่างอยู่กันอย่างผาสุก ไม่ต่างจากที่อื่นๆ ในโลกใบนี้ แต่เนื่องจากเรื่องราวอันวุ่นวายเอิกเหลิกในอดีตทำให้ ฤดูกาลที่นี่หยุดคงไว้แค่ฤดูใบไม้ร่วง ดอกไม้ ผลไม้ ทุกสิ่งล้วนตายต้นเหี่ยวเฉา ใบไม้ ต้นไม้ทุกต้นในหุบเขานี้เกิดและร่วงหล่นฉับพลันลงพื้นคล้ายกับว่าพื้นที่นี้ถูกสูบกินไอแห่งชีวิตชีวาจนหมดสิ้นไปอย่างไงอย่างนั้น

ว่ากันว่าใน1ปีจะมีงานครบรอบการฟื้นคืนชีวิตหรือพิธีล้างไอปีศาจ เป็นเหมือนการเฉลิมฉลองให้ชีวิต คุณธรรม ความสว่าง ความดีงามคืนกลับสู่หมู่บ้านต้องสาปแห่งนี้ นอกจากการจัดงานประจำทั้งเดือน ช่วงเดือน11 ที่ในยามปกติจะเป็นช่วงฤดูใบไม้ร่วง แต่ จะเปลี่ยนเวลานั้นพลิกกลับเป็นฤดูใบไม้ผลิ จะมีผู้วิเศษจากสำนักเซียนที่ยังเหลืออยู่ สำนักเก้าจักยุตกรา และเหล่าเทพจากภพสวรรค์ เริ่มสวดบทโคลงโบราณเล่าว่ามีอายุยาวนานถึงพันปี “โคลงเจี๋ยหยี่” เพื่อขับไล่ชะล้างและคืนชีวิตชีวาให้กับทุกสรรพสิ่งในหุบเขาแห่งนี้ คัมภีร์บทสวดกว่าหมื่นฉบับจะถูกลำเลียงและเซียน ผู้วิเศษ จะเริ่มประจำการสลับกันสวด ข้ามวันข้ามคืนตลอดทั้งเดือนเสียงสวดจะไม่มีวันหยุด

แสงไฟสีส้มวิบวับตระการจากโคมจะสาดส่องสว่างทั่วหุบเขา เสียงระฆังตีดังก้องกังวานดั่งเสียงปี่จากสวรรค์ ผู้คนพากันไม่หลับไม่นอนเปิดไฟฉลองรื่นเริง ตลาดในเมือง โรงหมอ โรงยา โรงเรียน แม่น้ำริมคลอง ทุกที่ล้วนสว่างและมีชีวิตชีวา จะเป็นเช่นนี้ต่อเนื่องไปยาวนาน 1 เดือน และเมื่อพิธีเริ่ม ทุกสรรพสิ่งคืนกลับมีชีวิต ผู้คนคืนกลับสู่ร่างเดิม นามเดิม ใจเดิม งดงาม เสียงหัวเราะ รอยยิ้ม ผู้คน ส่วน ความชั่วร้าย ความดำมืด ภูตผีวิญญาณปีศาจสิ่งชั่วร้ายจากปรโลก ทั้งหมด จะถูกมนต์ศักดิ์สิทธิ์นี้กดทับ กวาด และชะล้างจนสิ้นแสงสิ้นกำลัง ผนึกลงสู่อีกด้านของภพมนุษย์ คงเหลือไว้เพียงการมีชีวิตที่ขาวสว่างตามครรลองของผู้คนและสรรพสิ่งเหมือนเมื่อครั้งยังไม่ถูกตรึงนามเฉกเช่น “หมู่บ้านต้องสาป” ต่อเนื่องยาวนาน 1 เดือน

“เฮ้ย! ตื่นตื่น! ตื่นได้แล้ว! นี่มันกี่โมงกี่ยาม! พวกเจ้าจะนอนไปถึงไหน รีบลุกขึ้นเตรียมข้าวเตรียมของ” เสียงเรียกดังจากหัวหน้าพ่อบ้าน และหันหน้าถมึงตีงไปทางเหล่าขบวนสาวใช้อีกฟากของครัว “ส่วนพวกเจ้าไปเตรียมปลุกคุณชายวั่งซูให้ท่านลุกขึ้น ชำระร่างกาย แต่งองทรงอาภรณ์ วันนี้คือวันแรกที่นายท่านจะเข้าพิธีปฐมนิเทศ ปวารณาตัวเป็นศิษย์รุ่น 111 ของสำนักคุ้มภัยเก้าจักยุตกรา” แห่งตระกูลเจ้า

ณ ตำหนักจันทร์มืด (月亮 เย่วเลี่ยว) คฤหาสน์แห่งเดียวตั้งตระหง่านสีดำเงาสะท้อนวิบวับกับแสงอาทิตย์ที่สาดส่องกระทบสะท้อนความเป็นมันเลื่อมของตัวตำหนัก ตัดกับธรรมชาติพฤกษารอบด้าน สร้างความลึกลับ ทรงพลัง งดงาม โดดเด่น ให้กับตำหนักแห่งนี้ คือตำหนักที่ตกทอดจากตระกูลเจ้า สกุลที่ถูกเหล่าผู้คนในภพมนุษย์สาปแช่งชั่วนิรันดร์

“นี่เช้าแล้วหรอเนี่ย” เจ้าวั่งซูเอ่ยถามสาวใช้ที่เคาะประตูห้องเพื่อปลุกให้เตรียมตัว

“ใช่ค่ะ คุณชายวั่งซู วันนี้ต้องเตรียมตัวเพื่อเข้ารายงานตัวสำนักคุ้มภัยวันแรกค่ะ”

“ถ้างั้น พวกเจ้าจงเข้ามาเตรียม ให้ข้า เดี๋ยวสักพักข้าจะจัดการตัวเอง”

“ค่ะ คุณชาย”

เหล่าคนรับใช้เดินเข้ามา เตรียมอ่างน้ำอุ่น ตั้งฟืน ใส่ส่วนผสมสมุนไพรผสมน้ำ กลิ่นหอมเริ่มตีฟุ้งกระจาย ควันจากการเผาไหม้จากฟืนลอยคละคลุ้งทั่วห้อง ให้อารมณ์ผ่อนคลาย อีกด้านก็กำลังจัดเตรียมผ้าอาภรณ์ สีดำตัดขอบและลายทอง สีประจำตัวเจ้าวั่งซูสำหรับสวมใส่พาดแขวนไว้ในห้องแต่งตัวอีกฟากหน้ากระจก และต่างพากันกรูออกไปรอด้านนอกและปิดประตู

“เช้านี้อากาศดี สดชื่น ขอให้มันเป็นสัญญาณที่ดีแห่งการเริ่มต้น ฝากสายลมพัดพาความเลวร้ายที่มีมาตั้งแต่อดีตเลือนหายไป” เจ้าวั่งซูพูดกับตัวเอง ในมือโอบอุ้มแก้วชาไอลอยโขมง นั่งริมหน้าต่างเชิดหน้ามองลอดหน้าต่างไปทางเหล่าพืชพันธุ์และแสงอาทิตย์ ยามเช้าอ่อนๆ ที่สาดส่องฉาบบนใบหน้างามคมสันได้รูปสะท้อนวิบวับสีทองพร้อมรอยยิ้มบางๆ แห่งความหวังครั้งใหม่

“น้ำนี่ช่างหอมอุ่นกำลังดี” เจ้าวั่งซูพูดหลังจากปลดผ้าแพรยางใสที่ห่อกายเผยให้เห็นเรือนร่างขาวบางแต่เต็มไปด้วยมัดกล้ามแน่นพองามลงแช่น้ำที่ถูกเตรียมไว้

เสียงเอิกทึกครึกโครมด้านนอกดังขึ้น เจ้าวั่งซูคว้าเสื้อผ้าห่มพันกายและกระโจนขึ้นจากน้ำอย่างรวดเร็ว พร้อมเปิดประตูห้อง “เกิดอะไรขึ้น!” บ่าวใช้สาวนางหนึ่งหน้าตื่นวิ่งผ่านมารีบคลุกเข่าลงและแจ้ง “เอ่อเอ่อ หัวหน้าพ่อครัวเว่ยซานตงค่ะ เค้าโดนปีศาจสวมร่าง กำลังอาละวาดที่ห้องครัวตำหนักริมสระค่ะ”

เจ้าวั่งซูวิ่งกึ่งลอยนำหน้าไปที่เรือนนั่น บ่าวรับใช้ยืนตกใจกลัวขวัญผวากันถ้วนหน้า

“คุณชายย ซาาซาาตง! เค้า” เบื้องหน้าคือกายหยาบของพ่อบ้านซานตงแต่ดวงตาไร้ซึ่งแววใจดีเฉกเช่นเคย รูม่านตาหดเล็กรอบตากลายเป็นสีเหลืองปากยื่นยาวฟันคมกริบเรียงรายลิ้นยาวสองแฉกออกจากปาก มีมืองอกออกมาจากหลังสิบสองมือ ขางอกออกมาสิบสองขา ตัวหยาบผิวหนังคล้ายสัตว์เลื้อยคลาน

“ปีศาจยึดร่าง! ตัวนี้ไม่ได้มาจากปรภพ มาจากภพไหน!?”

“แต่ไม่มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นมาสักพัก หรือว่าพลังกั้นระหว่างภพอ่อนกำลังลง” เจ้าวั่งซูคิดในใจ พลางหันมาตะโกนเรียกบ่าวไพร่ “เตรียมตาข่ายสวรรค์ ตั้งค่ายล้อมจับมัน”

“ครับ” บ่าวไพร่ตั้งค่ายเตรียมพาดเหวี่ยงตาข่ายกักตัวพ่อบ้านซานตง ร่างปีศาจหลังจากโดนตาข่ายกลับไม่หยุดพยศลงแต่เริ่มขยายร่างใหญ่ขึ้น กรีดร้อง เสียงปวดหูดังก้องกังวาน ปากยื่นยาวคายพ่นพิษกระจายใส่ทุกคนในบริเวณนั้น

“ปีศาจร้ายจงกลับคืนสู่ที่เจ้าจากมา และทิ้งร่างนี้ มนต์กระชากวิญญาณ!” เจ้าวั่งซูหยิบอาวุธคู่กาย “เคียวยมฑูต” ขึ้นกวัดแกว่งง้าวนั้นพร้อมร่ายคาถาไล่ปีศาจคืนวิญญาณ

“กรี๊ด!!” ร่างปีศาจกรีดร้องพร้อมกายเริ่มถอยออกจากร่างพ่อบ้านซานตง แต่กรงเล็บก็คว้าเกี่ยวดวงจิตของซานตงหวังจะกลืนกินเพื่อให้ร่างตัวถูกดึงกลับครอบครองร่างกายมนุษย์

“แกทำอะไรข้าไม่ได้หรอก! ไอ้คนตระกูลเจ้า ไอกึ่งมนุษย์ชั่วช้า เจ้าคิดว่าเจ้าจะสามารถยืนอยู่ตรงกลาง ระหว่างทุกภพเพื่อรักษาสมดุล เพื่อรักษาความสงบ ฮ่าๆๆ! ทั้งที่เจ้าก็รู้ว่ามันไม่เคยมีอยู่จริง ไอพวกมนุษย์ที่มันรักแต่ตัวเองมันไม่เคยมองเจ้าเป็นพวกมัน เจ้าควรจะรู้ว่าที่ของเจ้าคือที่ไหน ฮ่าๆๆ!” ปีศาจแสยะเคี้ยวน้ำลายเหนียวหนืดไหลย้อยพูดยั่วยุเจ้าวั่งซู

“เออ แม้มันจะเจ็บปวดแต่มันก็เป็นความจริง” เจ้าวั่งซูคิดในใจ ว่าพวกมนุษย์ไม่เคยมองตัวเค้าเป็นพรรคพวกแต่เป็นปีศาจจากปรภพ

“แล้วแกเป็นใคร! อาจหาญข้ามประตูภพมา ครองด้านมืดจิตใจมนุษย์ และเข้าสวมร่างแบบนี้ได้อย่างไร” เจ้าวั่งซูตะโกนถามปีศาจ

“กว่าหลายร้อยปีมานี้ประตูระหว่างภพปิดสนิท แม้เคียวสู่ภพอันแรกจะสาบสูญไป แต่การเสียสละดวงจิตในครั้งนั้นน่าจะเพียงพอให้มันกักผนึกทางเข้าออกระหว่างภพ จะมีเพียงปีศาจที่บำเพ็ญเพียรจนตบะแกร่งกล้าในทางสว่างถึงได้ข้ามมาในรูปจิตวิญญาณ เพื่อโอบอุ้มจิตวิญญาณที่หมดอายุขัยของมนุษย์ กลืนกินและสวมร่างเข้าครรภ์มนุษย์เพื่อถือกำเนิดขึ้นในภพภูมิมนุษย์ตามแรงบำเพ็ญเพียรที่กระทำมา “แต่นี่ มันไม่ใช่ ปีศาจที่มีแต่กลิ่นอายแห่งความตาย ความชั่วร้ายเช่นนี้ ไม่ได้ข้ามจากปรภพของเสด็จพ่อแน่นอน มันมาจากที่แห่งใดกัน” เจ้าวั่งซูคิดกังวลใจ

“หึหึหึ! เจ้าคงยังไม่รู้สินะ ว่าการทำแบบนี้ต้องใช้เวลาเป็นร้อยเป็นพันปี และ จะมีใครที่สามารถมีพลังที่มากมายได้ขนาดนี้ ฮ่าๆๆ! เจ้ามันยังอ่อนหัดนัก หารู้ไม่ว่าตอนนี้ทุกภพเป็นอย่างไร และ รอยแยกที่ผนึกระหว่างภพกำลังจะถูกทำลาย ภพทั้งหมดจะถูกทำลายให้เป็นหนึ่งเดียว ยิ่งเป็นภพมนุษย์ที่แสนต่ำต้อยและอ่อนแอ ไร้พลังจักรา จะไม่มีวันพรุ่งนี้สำหรับพวกมนุษย์ ฮ่าๆๆๆ!”

“ใคร!ใครกัน! ที่มีพลังสามารถส่งวิญญาณร้ายเช่นเจ้าข้ามภพมาได้ ปีศาจที่แกว่าเป็นใคร จงบอกข้าเดี๋ยวนี้!” เจ้าวั่งซูตะโกน

เจ้าปีศาจแสยะยิ้ม น้ำลายหยดย้อยน่าเกลียด “เดี๋ยวเจ้าก้คงรู้เอง ไม่นานหรอก เจ้าลูกหมาป่าน้อย ฮ่าฮ่าๆ”

เจ้าวั่งซูกัดฟันด้วยความเจ็บใจ คิดถึงอดีตชาติกำเนิด ของท่านพ่อผู้เป็นปีศาจหมาป่าดำเจ้าแห่งปรภพ ในขณะที่มารดาเค้าคือ เทพธิดาแห่งแสงจันทร์จากภพสวรรค์ ความรักที่นำมาซึ่งความสุขสงบแห่งสงคราม และเจ้าแห่งปรภพยอมจำนนทำสัญญาแก่ทุกภพ นำมาซึ่งการให้กำเนิดบุตรชายครึ่งหมาป่าดำครึ่งแสงจันทร์ทุก 100 ปี กายของเจ้าวั่งซูสามารถคืนร่างต้นกำเนิด หมาป่าดำพร้อมขนยาวแผงคอสลวยทรงพลังไร้ ดวงตาของสัตว์รูม่านหุบสีขาวโพลนไร้เมตตา แต่ขนสีดำเงาตามร่างกายกลับสว่างเจิดจ้างดงามเป็นประกายวิบวับสะท้อนดั่งแสงจันทร์ไม่ต่างจากจิตใจและจิตวิญญาณด้านในที่เป็นการรวมกัน ทั้งเจ้าแห่งด้านมืดและเจ้าแห่งแสงสว่าง ทำให้จิตวิญญาณดวงนี้ สว่างจ้างดงาม แบบไม่เคยพานพบมาก่อน

“หยุดนะ! หยุดกล่าวอะไรเลอะเทอะ! คืนร่างซานตงมาและกลับสู่ที่เจ้าจากมา” เจ้าวั่งซูกล่าวเตือนปีศาจครั้งสุดท้ายพร้อม เหวี่ยงเคียวเปิดประตูสู่ปรภพ ประตูสู่ปรภพเปิดขึ้นด้านหลังปีศาจ

“อ้ากกก! ไอ้คนสกุลเจ้าเอ๋ย อันนี้มันแค่เริ่ม พวกข้ายังมีไม้เด็ดรอเจ้าอยู่อีกเพียบ ฮ่าๆๆ!”

“ประตูสู่ภพจงเปิด ส่งเจ้าปีศาจกลับสู่ภพต้นกำเนิด เจ้าผู้บุกรุกที่รังเกียจ กลับสู่ที่ของเจ้าไปซะ” ด้านในประตูสู่ภพคือความดำมืดมิด ไร้ความรู้สึกถึงพลังชีวิต แต่รับรู้ได้ถึงความอ้างว้างโดดเดี่ยว และ ความแค้นที่มากมาย”

“นั่นคือที่แห่งใดกัน!? มันไม่ได้มาจากปรภพ!? หรือ ภพอมนุษย์!? จริงด้วย” เจ้าวั่งซูพูดกับตัวเอง ด้วยความกังวลใจ

ประตูสู่ภพเปิดและดูดปีศาจและวิญญาณชั่วร้ายออกจากร่างพ่อบ้าน

“ฮ่าๆๆ! แกอย่านึก ว่าจะทำไรพวกข้าได้ จะมีปีศาจตัวอื่นกรูกันมาอีกมากมาย และพลังแห่งพวกข้ากำลังจะครอบงำในทุกภพแกอย่าคิดว่าจะปกป้องมนุษย์ที่น่ารังเกียจพวกนี้ได้ไปตลอด หึหึ!”

ก่อนที่ร่างปีศาจจะหลุดออกจากร่าง มันได้เริ่มคว้าฉวยเอาดวงจิตของซานตงออกมา ดวงจิตเปล่งแสงดั่งลูกแก้วแวววาวส่องสว่างอยู่พักหนึ่ง ปีศาจร้ายนั้นก้หันมาสแยะยิ้มเตรียมกลืนกินเข้าท้อง

“มนต์ผลักไส” แสงพลังจากเจ้าวั่งซูพวยพุ่งสลัดโฉบปัดดวงจิตกระเด็นไปอีกทาง

“ฮึ่ย! หึหึ! ฮ่าๆๆๆ!” “เจ้าอย่าพึ่งลำพองใจ นี่มันพึ่งเริ่มต้น เจ้าหมาป่าน้อย หึหึ!”

ประตูสู่ภพดูดร่างปีศาจเข้าไปและปิดลง ทุกอย่างบรรยากาศรอบด้านสงบลงพร้อมกับข้าวของที่กระจัดกระจาย วั่งซูผายมือเรียกดวงจิตลอยมาที่แขวน และ ผลักกลับคืนสู่ร่างซานตง ร่างกายเริ่มอุ่นขึ้นแต่ยังไม่คืนสติ

“พวกเจ้า! จงนำซานตงไปพัก”

“ครับ!” “ค่ะ!” “คุณชาย”

เจ้าวั่งซู มองรอบๆ อย่างครุ่นคิด ยังติดใจเรื่องการข้ามภพมาของปีศาจร้าย และสิ่งที่มันพูดทิ้งไว้ตอนท้าย คืออะไรกัน หายนะความมืดมนกำลังกลับมาหรอเนี๊ยะ และ หันขวับเดินออกจากประตูไป