ไม่มีใครกล้าออกจากม่านหมอก เว้นเสียแต่ว่า คำตอบเดียวที่เขาตามหานั้น มันอยู่ข้างนอกนั่น
แฟนตาซี,ไซไฟ,ลึกลับ,ผจญภัย,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
หอคอยเหล็กกล้า และปริศนาคำสาปโคอาโรอาไม่มีใครกล้าออกจากม่านหมอก เว้นเสียแต่ว่า คำตอบเดียวที่เขาตามหานั้น มันอยู่ข้างนอกนั่น
ลีโอ เด็กหนุ่มอ่อนแอ ต้องคอยให้พี่ชายของเขาปกป้องอยู่ตลอด ท่ามกลางโลกใหม่ที่เต็มไปด้วยภัยอันตราย เมื่อปมในวัย ได้ลากเขา และพี่ชายผู้หวังดี ให้ต้องออกเดินทางตามหาความจริงอีกครั้ง คำสาปในคืนพระจันทร์เต็มดวง ที่กลืนกินชีวิตผู้คนในหมู่บ้านรวมถึงพ่อและแม่ของเขา และการเดินทางไปยังหอคอยเหล็กกล้า คือหนทางเดียวที่เขาจะได้คำตอบของเรื่องราวทั้งหมด
ทุกคนล้วนรู้ข่าวการอพยกครั้งสุดท้ายของมนุษยชาติ พวกเขาเตรียมการเรื่องนี้มาตลอดหลายชั่วอายุคน และอีกไม่นาน คลื่นลูกสุดท้ายแห่งภัยพิบัติ จะทำลายล้างทุกสิ่งที่เรารู้จักจนหมดสิ้น ท้องฟ้าแดงฉานไปด้วยเปรวเพลิง ในระหว่างที่หมอกควันแผ่ขยายความโกลาหลไปทั่วทุกแห่ง สัญญาณอพยกเริ่มเข้าสู่การนับถอยหลัง แท่นเหล็กที่มาพร้อมจรวจขนาดมหึมา ถูกดันขึ้นจากพื้นดินที่แยกออก ตั้งสูงขึ้น ยิ่งใหญ่ราวหอคอยเทียบสรวงสวรรค์ เตรียมพร้อมนำพาเหล่าผู้รอดชีวิตออกจากชั้นบรรยากาศ ไปยังดาวดวงใหม่ที่ไม่ใกล้จากโลก แน่นอนว่ามนุษย์เพียงหยิบมือเท่านั้น ที่ถูกเลือกให้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการสุดอลังการนี้ ระหว่างที่มนุษย์ส่วนมาก ถูกมอบให้แก่ดินและน้ำของโลก เป็นเครื่องสังเวย
เสียงดังสนั่นราวเทพพระเจ้าพิโรธ ของไอพ่นจรวดอันใหญ่ยักษ์ที่ตั้งสูงตระหง่านอยู่ตามหัวเมือง หยุดความโกลาหลทั้งหมดไว้ชะงัก การฆ่าฟันได้หยุดลง เม็ดฝุ่นใน
อากาศตลบอบอวนบดบังทัศนวิสัยไปทั่ว ทุกการเคลื่อนไหวต้องหยุดลงอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ทว่า เสียงคร่ำครวญยังคงดำเนินต่อ ราวกับเสียงบรรเลงให้แก่วันสิ้นโลกได้ประจักษ์
ทุกสายตาจับจ้องไปที่เสียงระเบิดราวฟ้าผ่าลั่น แรงอัดอากาศสะท้อนผ่านตึกรามบ้านช่องสะเทือนทุกทิศทาง เปลวไฟที่เด่นออกมาจากท่อไอพ่นลากยาวเป็นเส้นตรง เข้มข้นเปี่ยมไปด้วยพลังงาน นับไม่ถ้วนพุ่งทยานขึ้นไปแผดเผ่าไอน้ำบนชั้นบรรยากาศ ทั้งหมดค่อยๆ ลอยสูงขึ้น ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้เบื้องล่าง ไม่มีแม้แต่สายตาเดียวที่เหลียวหลังมองกลับลงมา ท้องฟ้าเปิดโล่งเมื่อพวกเขาเข้าสู่อวกาศ พร้อมใจกันเบิกทางให้กับผู้รอดชีวิต
ดวงอาทิตย์อันเศร้าหมองคอยๆ ลาลับ พร้อมกับเปลวไฟจากไอพ่นจรวด เปล่งประกายไม่ต่างจากดาราเมื่ออยู่ห่างออกไป แสงสนธยาครั้งสุดท้ายของมนุษยชาติ กำลังหรี่ลงราวกับน้ำตกแห่งกาลเวลา เช่นเดียวกับชีวิตของผู้คนที่เหลือบนโลก พวกเขาถูกทอดทิ้งแล้ว จากเผ่าพันธุ์เดียวกัน และจากพระผู้เป็นเจ้า
ความมืดมิดมาเยือนในที่สุด แผ่นดินเริ่มสั่นไหว ภัยพิบัติครั้งสุดท้ายกำลังจะเริ่มขึ้น ทุกอย่างกำลังจมลงสู่ความมืดมิด การเคลื่อนไหวกลับมาอีกครั้ง ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องของความโกลาหล และความตาย
หลายศตวรรษต่อมา อารยธรรมมนุษย์ได้ถือกำเนิดขึ้นอีกครั้ง ในยุคที่ธรรมชาติเริ่มต้นการฟื้นฟูระลอกใหญ่ พวกเขาตั้งรกรากอยู่ตามต้นไม้ยักษ์ และตามตึกสูงที่แสงอาทิตย์ยังพอเข้าถึงได้แม้จะถูกธรรมชาติยึดคืนไปเกือบทั้งหมดแล้วก็ตาม ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นเปลี่ยนพื้นที่ส่วนใหญ่ที่เหลือให้กลายเป็นเกาะ ทอดทิ้งพื้นดินที่เป็นส่วนผสมของซากปรักหักพัง และขยะโบราณไว้ใต้นั้น พวกเขาหนีความแปรปรวนของลมและน้ำขึ้นไป ซ่อนตัวเองภายใต้หมอกหนาที่พวกเขาเชื่อว่าเป็นดวงวิญญานแห่งบรรพชน ผู้ที่รวมตัวกันบนยอดไม้สูงเหล่านี้ถูกขนานนามว่า พราง พวกเขาหลอมรวมไปกับสายหมอก ที่คุ้มครองและเชื่อมโยงพวกเขาทั้งหมดเข้าด้วยกัน หมอกหนาถูกบูชาราวกับโล่ที่คอยบดบังพวกเขาจากอันตรายภายนอก และเป็นดั่งปลายหอกอันคมกริบ โจมตีศัตรูจากเงา หมอกหนาอันศักดิ์สิทธิ์ถูกเรียกโดยพวกเขาว่า ม่านสีขาวแห่งพราง
ตึกที่เหลืออยู่ ถูกเชื่อมต่อกันด้วยต้นไม้และเถาวัลย์ เมื่อกาลเวลาผ่าน ในที่สุด ซากประหลักหักพังก็ถูกเปลี่ยนไปเป็นที่อยู่อาศัย ดินจากแรงคลื่นที่ซัดมาด้วยโทสะของท้องทะเล มอบโอกาสให้อาณาจักรน้อยใหญ่ ได้หวนบรรเลงบรรยากาศรื่นรมย์อีกครั้ง การเกิดใหม่เติมแต่งสัตว์และพืชพันธุ์ ต่างเติบโตและอุดมสมบูรณ์อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แม้แผ่นดินทั้งหมดจะถูกปกคลุมไปด้วยผืนน้ำอันกว่างใหญ่แล้วก็ตาม ต้นไม้สูงกลับกลายเป็นที่พักพิงอันแสนสงบ สิ่งมีชีวิตต่างพากันมาต้อนรับแสงแดดสว่างไสว ลืมเลือนเศษซากจากโลกเก่าเบื้องล่าง ที่เป็นฐานยึดรากไม้ชอนไช ปกคลุมส่วนที่เหลือไว้ในความมืด
พรางรุ่งเรืองและเต็มไปด้วยนักผจญภัย สิ่งมหัศจรรย์มากมายบนโลก ปลุกความหลงไหลในการเดินทางของพวกเขา เส้นทางใหม่ถูกค้นพบ และการผจญภัยก็เริ่มต้นขึ้น สถานที่มากมายทั้งจากโลกเก่าและใหม่ถูกนำไปเล่าขาน พวกเขาสนุกสนานไปกับการค้นหาโบราณสถาน สถานที่โปรดด้วยทิวทัศน์อันงดงาม หลีกหนีจากสัตว์ร้ายและภัยธรรมชาติ เพลิดเพลินไปกับการสะสมวัตถุโบราณอันเป็นประโยชน์ ศึกษาความเป็นมาของสรรพสิ่ง พวกเขากระจายออกไป สร้างหลักแหล่งใหม่ที่เป็นอิสระ แต่ยังคงมิตรภาพระหว่างพรางด้วยกันเองอยู่เสมอมา พวกเขาจึงเป็นเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่ง ทั้งยังว่องไวและเฉลียวฉลาด ชีวิตดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความสนุกสนาน รื่นเริงจนลืมวันและเวลา ราวกับว่ามันจะคงอยู่ไปชั่วนิรันดร์
แต่ทว่า หลังจากนั้นเพียงไม่นาน เหล่าพรางนอกสายหมอกจำนวนมาก ก็ได้หายสาบสูญไปอย่างไร้สาเหตุ พรางที่เหลือทยอยกันหนีกลับเข้าม่านสีขาว ที่กลายเป็นที่หลบภัยสุดท้ายของพวกเขา และเป็นเวลาร่วมหนึ่งทศวรรษแล้ว ที่พวกเขาเลือกที่จะหายไปจากโลกภายนอก จนชื่อเสียงของพราง เหลือเพียงแค่เสียงร้องเรียกของวิญญาณจากสายหมอกเท่านั้น
ณ คืนหนึ่งที่สว่างกว่าปกติ
“จับเขาไว้!” เสียงโวยวายดังขึ้น ระหว่างที่ลีโอ เด็กน้อยวัยห้าขวบ พยายามจะวิ่งตามพ่อแม่ของเขา ในกลุ่มคนที่ก้มหน้าปีนไปในทางเดียวกันราวกับต้องคำสาป ดวงตาเหลือกจนขาว กล้ามเนื้อทุกส่วนของพวกเขาแข็งเกร็ง เส้นเลือดบนร่างปูดออก ราวกับว่ามันจะระเบิดออกมา บางสิ่งบางอย่าง กำลังครอบงำพวกเขาให้หลงลืมทุกสิ่ง บังคับร่างกายและจิตใจที่ต่อต้าน ให้ไต่ลงไปยังความมืดเบื้องล่างด้วยเสียงร้องอันโหยหวน แม้แต่ความไร้เดียงสาของเด็กน้อย ก็ไม่สามารถหยุดพวกเขาไว้ได้
ปล่อยผม ผมต้องห้ามพวกเขา ปล่อย! ลีโอตะโกนอย่างสุดเสียงในคืนนั้น แต่ไม่มีใครกล้าพอกับพลังที่เหนือธรรมชาตินี้ เหล่าพรางต่างหลีกทางให้กับความสยดสยองตรงหน้า และปล่อยให้ผู้คนจำนวนมาก ต้องถูกความมืดกลืนกินไปตลอดกาล
ลีโอสะดุ้งตื่น พลางปลุกพี่ชายของเขาที่นั่งหลับอยู่ถัดออกไป เขาปันผมบนหัวที่พะรุงพะรังไปด้วยเศษไม้ที่ติดมากับผ้าห่มหนังสัตว์ และหญ่าแห้งที่ก่อขึ้น ห่อตัวทั้งคู่ไว้เพื่อเผชิญกับความหนาวเหน็บบนต้นไม้สูง ใบหน้าของเขาไม่สู้ดีนัก เมื่อแสงที่สะท้อนอยู่ในม่านหมอกทำให้เขาแสบตา
“นายตะโกน” นอสพูดพร้อมมองไปรอบๆ พื้นหลังสีขาวโพลน “อีกแล้ว” เขาเฝ้ามองระวังแสงที่เปลี่ยนไปแม้น้อยนิด ตำแหน่งของศัตรูที่เผยออกมาจะทำให้พวกเขาไหวตัวได้ทัน แต่ดูเหมือนว่าเสียงของลีโอจะไม่ได้รบกวนความเงียบของบริเวณนี้สักเท่าไร พวกเขาเลือกใช้ต้นไม้ที่ใหญ่พอดีสำหรับสองคนเท่านั้น ห่างออกมาจากกลุ่มใหญ่ และไม่สะดุดตาใครจนเกินไป
“ฉันฝันถึงคืนนั้นอีกแล้ว” ลีโอว่า พลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“ลืมมันซะ” นอสตอบอย่างใจเย็น เขาจำไม่ได้แล้วว่าลีโอบอกเรื่องนี้กับเขาไปกี่ครั้ง และจากตอนนั้น มันก็ผ่านมาเกินครึ่งทศวรรษแล้ว เขาเลือกจะไม่ใส่ใจมัน เพราะเขาจะมักลงแรงกายและใจไปกับการหาอาหารและเอาชีวิตรอดเท่านั้น
ลีโอรู้ดีว่านอสไม่ชอบให้เขาคิดถึงเรื่องนั้น เขาย้ำเสอมว่ามันจะทำให้เขาไม่มีสมาธิ และนั่นไม่เป็นผลดีต่อการเอาชีวิตรอดท่ามกลางหมอกหนา ความสูง และพรางด้วยกันเองที่เสียสติไป แต่การเสียครอบครัวที่เป็นทุกอย่างสำหรับเขาไปกระทันหัน และไม่มีคำอธิบายใดๆ นั้น มันเป็นปมที่พรากความสุขทั้งหมดไปจากเขา เขาตัดสินใจแล้วที่จะตามหาคำตอบของเรื่องทั้งหมดด้วยตัวเอง ถึงแม้ว่าต่อจากนี้เขาอาจจะไม่ได้เจอกับนอสอีก หรือร้ายที่สุด โดนสัตว์ใหญ่กินตั้งแต่ยังไม่ได้คำตอบใดๆ
ในคืนนั้น คืนที่แสงจันทร์สว่างไสวมากกว่าปกติ หมอกขาวส่องสว่างเรืองรองไปด้วยมนต์วิเศษของจักรวาล มีเพียงแต่ผู้ที่มีเครื่องหมายโคอาโรอาบนร่างเท่านั้นที่ถูกกลืนกินโดยความมืด จุดสีฟ้าเข้มขนาดเล็ก ที่ขนาดและตำแหน่งของมันแตกต่างกันออกไป พวกเขาเคยคิดว่ามันเป็นพรจากพระผู้เป็นเจ้า เมื่อเด็กเหล่านั้นเริ่มเกิดมาพร้อมจุดโคอาโรอา และได้รับพลังบางอย่างที่ทำให้พวกเขาสามารถสื่อสารกับเหล่าเทพแห่งพนาลัยได้ แต่ยุคทองของพวกเขา ก็คงอยู่ได้เพียงไม่นาน
เด็กคนหนึ่งที่อ่อนแอกว่าใคร ต้องคอยให้คนเป็นพี่อย่าง นอส คอยปกป้องอยู่ตลอด เขาผู้ไม่สามารถลบเลื่อนความทรงจำอันเลวร้ายในวันที่พ่อและแม่เขาเดินจากไปได้ แววตาที่ไร้ชีวิตของคนในค่ำคืนนั้น และเหล่าพรางที่ดูหวาดกลัว อะไรครอบงำพวกเขา อะไรกันแน่ที่อยู่ในความมืด