ซานตาคลอส ตำแหน่งที่ตัวตนเช่นเขาไม่ควรครอบครอง แม้รู้ดีแต่ก็มิอาจปล่อยให้ตกไปอยู่ในมือของใคร
แฟนตาซี,ดาร์ค,ไทย,ตะวันตก,เวทมนตร์,ดาร์กแฟนตาซี,คริสต์มาส,ซานต้า,ซาตาน,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ซาตานคลอสซานตาคลอส ตำแหน่งที่ตัวตนเช่นเขาไม่ควรครอบครอง แม้รู้ดีแต่ก็มิอาจปล่อยให้ตกไปอยู่ในมือของใคร
◇ ซาตานคลอส ◇
อัพทุกวันจันทร์และวันศุกร์ เวลา 03:00 น.
เรื่องและภาพโดย : อิ่มหมู
ประกายแสงสีทองเย็นเฉียบกะพริบเหนือฝ่ามือเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเวลานั้นกำลังนับถอยหลัง ซาตานหนุ่มรู้เรื่องนี้ดี ด้วยตัวตนเช่นเขากำลังทำให้พลังวันคริสต์มาสนั้นสั่นไหว
แต่มิอาจยกตำแหน่งนี้ให้ใคร
หนึ่งคำสัญญาทำให้ตัวเขาต้องอดทน ไม่ว่าจะทรมานสักเพียงใดก็ตาม จนกว่าจะได้พบ…กับเสียงระฆังดังก้องในหัวใจ
“ผมไม่อยากทำมันอีกต่อไปแล้ว”
ทุกถ้อยคำถูกกลั่นออกมาจากก้นบึ้งของจิตใจ ความรู้สึกของการไม่เป็นที่ต้อนรับหนักอึ้งอยู่บนบ่าทั้งสองเสมอมา
เมื่อไหร่จะจบลงซักที...วันคริสต์มาส
.........
ช่องทางการติดตาม พูดคุย ส่งมุก ตบแปะ หรือทวงงาน
Facebook : เสมียนน้อย ชอบกินหมู
Twitter/X : @Immhu_
Tiktok : @Immhu_uu
*แวะเวียนมาพูดคุย เล่นมุก ด่าตัวละครได้ตามสบาย นักเขียนค่อนข้างชอบ ขอรับคำติชมเหล่านั้นไว้ด้วยใจ♡*
เหนือแนวหิมะสูงชันอันเงียบสงบปรากฏก้อนสายลมรุนแรงก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ ถักร้อยถ้อยคำผ่านเสียงหวีดหวิวรอบกายก่อเกิดเป็นพายุขนาดเล็กทิ้งตัวลงยังตีนเขา
เหล่าสรรพสัตว์น้อยใหญ่รับทราบถึงข้อความนั้นทันทีที่ปลายขนต้องแรงลม ความโกลาหลตามธรรมชาติเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วช่วยย้ำเตือนถึงอันตรายที่กำลังจะมาถึง…ฤดูหนาวอันแสนโหดร้ายของดินแดนทรูนอท
แต่สำหรับสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ ในหมู่บ้านเล็กๆ ใจกลางเนินเขาเตี้ยแห่งนี้ มันเป็นเพียงสัญญาณการเริ่มงานก็เท่านั้น
กริ๊ง…กรึก กริ้ง
ไม้เท้าประดับกระพรวนเล็กจิ๋วส่งเสียงออกมาทุกครั้งที่ได้กระแทกผิวดิน ผู้เป็นเจ้าของรูปร่างแคระแกร็นเต็มไปด้วยร่องรอยของอายุ เอลฟ์แคระวัยชราที่สุดในหมู่บ้านแห่งนี้เดินอย่างเชื่องช้าเข้ามาใจกลางวงสนทนาของเหล่าเอลฟ์แคระมากมายบริเวณโดยรอบต้นสนเตี้ยแต่กลับมีขนาดที่ใหญ่นักเมื่อเทียบกับหลังคาบ้านของพวกเขา
“พวกเราต้องเร่งออกเดินทางกันแล้ว ฤดูหนาวปีนี้ท่าจะมาเร็วกว่าปกติมากนัก”
เอลฟ์แคระผู้ซึ่งแบกสัมภาระหนักกว่าใครเอ่ยอย่างร้อนรนเมื่อได้เห็นชายชราที่เดินช้าราวกับเต่าเสียจนอยากจะแบกขึ้นบนบ่า
มือสั่นเทาเหี่ยวย่นโบกขึ้นลงเป็นสัญญาณให้ใจเย็นลงก่อนจะค่อยๆ ปีนขึ้นไปบนลังไม้ด้านหน้าของต้นสน เมื่อได้ยืนอย่างมั่นคงในจุดประจำแล้ว เอลฟ์แคระชรากระแอมเบาๆ เป็นสัญญาณให้เอลฟ์แคระทุกตนเลิกพูดคุยและหันมาสนใจ
“เอาล่ะๆ อย่าร้อนใจไปนัก” เสียงแหบแห้งเอ่ยพลางปรายตายังผู้เร่งเร้าด้านข้าง ชายชราทราบดีว่าถึงแม้จะเดินทางเร็วกว่าปกติเท่าใดก็ไม่ทำให้กำหนดวันส่งของขวัญหรือที่มนุษย์ภายนอกเรียกกันว่าวันคริสต์มาสอีฟเร็วขึ้นอย่างแน่นอน
“ทุกท่านเตรียมตัวกันเรียบร้อยแล้วใช่รึไม่”
เหล่าเอลฟ์แคระได้ยินเช่นนั้นจึงได้มองรอบกายและสำรวจตนเองกันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าหงึกหงักทำให้กระพรวนประดับปลายหมวกแหลมส่งเสียงออกมาเบาๆ เว้นแต่เอลฟ์แคระผู้ที่มีสีหน้าตึงเครียดตนเดิมที่ยังคงจ้องเขม็งชายชราอย่างไม่ลดละทำเอาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะในลำคอเบาๆ เมื่อได้กลั่นแกล้งสำเร็จ
“อะแฮ่ม เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้วจงเร่งออกเดินทางกันเถิด เหล่าเด็กน้อยจากทุกดินแดนเฝ้าคอยเทศกาลนี้มาตลอดทั้งปี เพื่อให้ของขวัญทุกชิ้นก้องกังวานในจิตใจตลอดกาล อย่าให้มีอะไรผิดพลาด วันคริสต์มาสปีนี้ก็ขอฝากไว้กับพวกท่านอีกปีก็แล้วกัน”
“รับทราบบบบ”
เหล่าเอลฟ์แคระตอบรับอย่างขยันขันแข็งก่อนจะเริ่มเดินเรียงแถวผ่านประตูหมู่บ้านมุ่งสู่สิ่งปลูกสร้างรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าหลังคาโค้งมนซึ่งตั้งเด่นใจกลางลานหิมะขาวโพลน
โรงงานของซานตาคลอส
ไม่นานนักเมื่อพวกเขาเดินทางไปถึง ที่แห่งนั้นจะเต็มไปด้วยความวุ่นวายและสีสัน กำแพงอิฐแดงทั้งสี่ด้านจะถูกประดับไปด้วยของตกแต่งมากมายจนแทบมองไม่เห็นเค้าโครงเดิม หลังคาที่ถูกหิมะทับถมจะถูกปัดกวาดจนแสงสว่างส่องลอดลงไปตามกระจกหนาด้านบน ต้นสนสูงเกือบเท่าโรงงานเองก็จะถูกประดับประดาไปด้วยถุงเท้า กล่องของขวัญจิ๋วและตุ๊กตานุ่มฟู เพื่อให้พวกเขาได้เฉลิมฉลองร่วมกันในคืนวันคริสต์มาสที่งานหนักทั้งหมดนั้นจบลง
เมื่อได้คิดถึงค่ำคืนที่รอคอยนั้นพวกเขาจึงอดไม่ได้ที่จะร้องเพลงออกมา
กริงกริงกริง…
เอลฟ์แคระตนหนึ่งเอียงหัวซ้ายขวาและซ้ายเป็นจังวะทำให้กระพรวนบริเวณปลายแหลมของหมวกส่งเสียงเบาๆ
กริ๊งกริ๊งกริ๊ง…กริ๊งกริ๊งกริ๊ง
เอลฟ์แคระตนอื่นเริ่มทำตาม มือน้อยๆ เอื้อมจับบ่าผู้ที่อยู่ข้างหน้าจนกลายเป็นรถไฟสายยาว รอยยิ้มน่ารักเริ่มฉาบขึ้นมาบนใบหน้า พวกเขาเริ่มก้าวขาและโยกหัวในจังหวะเดียวกัน
กริ๊งกริ๊งกริ๊ง กริ๊งกริ๊งกริ๊ง กริ๊งกริ๊งกริ๊ง
“คริสต์มาสในวันคริส์มาส เรามาฮัมเพลงไปด้วยกัน”
เมื่อบทเพลงได้ถูกเอื้อนเอ่ย ราวกับทั้งหุบเขานั้นสดับรับฟัง ต้นไม้น้อยใหญ่เอนเอียงไปมาไร้ซึ่งสายลมอย่างน่าอัศจรรย์ ไม่เว้นแม้กับนกน้อยเสียงใสเองต่างก็อดไม่ได้ที่จะร่วมส่งเสียงเล็กแหลมตามธรรมชาติเพื่อขับร้องไปกับพวกเขา
“คริสต์มาสเพลงวันคริสต์มาส ขอเธอร่วมร้องไปกับเรา~”
---☆---
ประตูเหล็กหนาสีแดงสดสองบานใหญ่ถูกเปิดอ้าออกจนสุดเพื่อต้อนรับเหล่าผู้ทำงานหลักในโรงงานแห่งนี้ เสียงร้องเพลงของพวกเขาดังมาก่อนที่จะเห็นตัวเสียอีก
หญิงสาวรูปร่างสมส่วนทว่ากลับมีฝ่ามือที่ทั้งหนาและสั้นผิดปกติในชุดเดรสเกาะอกสีแดงสดคลุมทับด้วยผ้าคลุมไหล่สูดหายใจเข้าปอดลึกๆ เมื่อเริ่มเห็นเอลฟ์แคระกลุ่มแรกในระยะสายตา พวกเขาโบกมือทักทายให้เธออย่างที่เคย
“สวัสดีตอนสายนะคุณเบล”
เอลฟ์แคระสาวกล่าวพร้อมรอยยิ้มกว้างให้ ทั้งๆ ที่รู้ว่าคุณเบลผู้เป็นผู้ช่วยของซานต้าในปัจจุบันนั้นไม่เคยยิ้มตอบกลับมาเลย เพราะหน้าที่ของเธอนั้นเต็มไปด้วยความกดดันมากมาย เหล่าเอลฟ์แคระทราบดี
เบลพยักหน้าเล็กๆ ขอบคุณสำหรับคำทักทายนั้นพลางปรายตามองเอลฟ์แคระทุกตนที่เดินผ่าน สิ่งแปลกปลอมทุกอย่างแม้แต่รอยด้ายเล็กๆ บนตัวของพวกเขาต่างถูกจดบันทึกลงยังแผ่นกระดานไม้ที่เต็มไปด้วยกระดาษมากมายแปะป้ายไว้จนหนาซึ่งเธอได้พกติดตัวเสมอมิมีสิ่งใดสามารถเล็ดลอดดวงตาสีน้ำเงินหม่นราวผืนทะเลยามค่ำคืนนี้ไปได้ กระทั่งเสียงหนึ่งดังขึ้นในระยะเรียกให้เธอหันไปสนใจ
เอลฟ์แคระวัยผู้ใหญ่ทิ้งกระเป๋าสัมภาระซึ่งหนักกว่าใครลงบนพื้นจนเกิดเสียงดัง สองมือเล็กจิ๋วพยายามควานหาบางสิ่งอย่างตั้งใจราวกับเป็นของสำคัญ
“ลองเดินเครื่องดูรึยัง”
เอลฟ์แคระตนนั้นกล่าวเมื่อเห็นว่าเธอเดินเข้าใกล้ ก่อนจะชูคุกกี้หนึ่งชิ้นใหญ่ๆ ขึ้นมาด้วยท่าทางดีใจ ดูเหมือนว่าเพราะต้องการออกเดินทางเป็นกลุ่มแรกทำให้เอลฟ์แคระตนนี้ลืมกินข้าวเช้าอีกแล้ว…
มือหนาอวบอ้วนเขียนข้อความหนึ่งลงบนกระดาษทันทีโดยยังคงไม่ละสายตาจากเอลฟ์แคระตรงหน้ากระนั้นเองริมฝีปากสีสดยังสามารถเอื้อนเอ่ยถ้อยคำที่ได้จดบันทึกก่อนหน้านั้นอย่างครบถ้วนทุกตัวอักษรเพื่อตอบคำถามเมื่อครู่
“เปิดดูแล้วค่ะโฮมมี่ แต่ว่าทุกๆ สองนาทีครึ่งสายพานจะกระตุกเล็กน้อยและดวงไฟด้านขวาก็ดับไปก่อนจะทำงานอีกครั้ง ฉันคิดว่ามันอาจจะทำให้ของเล่นร่วงหล่นลงมาได้ คุณโฮมมี่จะไปตรวจดูตอนนี้เลยมั้ยคะ”
“งั่มๆ เดี๋ยวค่อยไปก็ได้โรงงานยังไม่ได้เปิดทำการตอนนี้” โฮมมี่ตอบพร้อมเสียงจ๊อบแจ๊บเพราะในปากนั้นเต็มไปด้วยคุกกี้ “ฤดูหนาวปีนี้ท่าจะมาเร็วกว่าปกติ ต้องซ่อมโดยรอบโรงงานก่อน ข้าเห็นรูบนหลังคาของโรงงานด้วย ตรงปล่องควันก็มีรอยแตกร้าว”
“แล้วทีมช่างมีแค่โฮมมี่หรอคะ”
“ใช่ อีกซักสองอาทิตย์คงตามมา”
ใบหน้าเรียวสวยตึงขึ้นมาทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น สายตาเหม่อมองยังกระดาษในมือซึ่งเต็มไปด้วยรายการของที่ต้องซ่อมแซม
กับทั่วทั้งโรงงานแค่โฮมมี่หัวหน้างานช่างไม่ทันแน่…
“คุณเบลคะ!!”
ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้นเสียงตื่นตระหนกจากทางด้านหลังเรียกเอาขนทั่วทั้งร่างเธอลุกเกรียวขึ้นมา ยังไม่ทันที่โรงงานจะได้เปิดอย่างเป็นทางการเอลฟ์แคระก้าวขาเข้ามายังไม่ถึงครึ่งวันปัญหาก็เริ่มจะเกิดขึ้นเสียแล้ว เบลสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อทำใจก่อนจะหันไปหา แล้วก็ได้พบกับเอลฟ์แคระสาวสีหน้าซีดเผือกพร้อมเหงื่อกาฬผุดทั่วร่าง ในมือของนางกำถุงกระสอบผ้าว่างเปล่าแน่น
“กระรอกเข้ามาในโรงงานอีกแล้ว ตอนนี้ใยนุ่นปลิวไปทั่วโกดังเลย!”
ปัญหาแรกของปีนี้กลับเป็นเรื่องเดิมๆ ที่เคยเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนน่าหงุดหงิด เธอเร่งฝีเท้าไปยังด้านหลังของโรงงานซึ่งเป็นที่ตั้งของโกดังเก็บของขวัญและรถเลื่อนของซานต้าทันทีโดยไม่รีรอ
ไม่ผิดจากที่ได้ยินมาเมื่อครู่มากนัก ใยธรรมชาติปลิวว่อนไปทั่วทั้งที่เป็นกลุ่มก้อนและเศษเล็กๆ กระจัดกระจายกันทั้งในอากาศและบนชั้นวางของราวกับมีพายุหิมะพัดเข้ามาด้านใน เอลฟ์แคระหลายตนพยายามเก็บยัดพวกมันใส่ในกระสอบผ้าตามเดิมแต่ด้วยส่วนสูงไม่ถึงหนึ่งร้อยเซนติเมตรทำให้ยากมากนัก
“ทางขวาอีกหน่อยยย”
เอลฟ์แคระสั่งกับเพื่อนทั้งสองด้านล่างที่ได้ใช้ร่างกายเป็นดั่งบันได มือเล็กจิ๋วพยายามหยิบก้อนใยธรรมชาติเหนือศีรษะ แต่ยิ่งเอื้อมมือมากเท่าไรตัวของพวกเขายิ่งเอนเอียงมากขึ้นเท่านั้น
“ทำยังไงดีคะ เหล่าซูร์ยังไม่มาด้วย” เอลฟ์แคระสาวตนเดิมกล่าวอย่างร้อนรน
คิดสิเบล…
เธอรำพึงในหัว กระทั่งสายตาเหลือบไปเห็นประตูพับบานใหญ่อันเป็นที่เข้าออกของรถเลื่อนสีแดงคันใหญ่จึงเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา
“เปิดประตูใหญ่เลยค่ะ”
เธอออกคำสั่งพลางหันกลับไปล็อกประตูด้านหลังของตนที่พึ่งก้าวข้ามา
เอลฟ์แคระทำตามทันทีไร้ซึ่งข้อกังขา โซ่เส้นยาวริมประตูถูกดึงลงด้วยพละกำลังอันน้อยนิดของเอลฟ์แคระกว่าสิบตน ประตูบานใหญ่ค่อยๆ พับขึ้นไปด้านบน เมื่อนั้นเองที่สายลมรุนแรงและฝุ่นผงมากมายพัดเข้ามาด้านใน ทำเอาเอลฟ์แคระที่กำลังต่อตัวกันถึงกับเสียหลักร่วงหล่นกำลังจะกระแทกพื้นแต่เอลฟ์แคระแดนนี่ดันปลิวผ่านมาเสียก่อนทำให้ทั้งสี่กอดคอกันเป็นก้อนกลมกลิ้งถลาไปจนสุดปลายโกดัง
“ระวังนะคะ” เบลคว้าเอาเอลฟ์แคระสาวข้างตัวที่กำลังจะปลิวมากอดไว้ก่อนจะส่งสายตาให้พวกเขาปิดประตู
ได้ผล…
เบลกวาดสายตามองทั่วทั้งโกดังตรวจดูผลงานเมื่อครู่ แต่เมื่อนึกได้ว่ามีเอลฟ์แคระกว่าสี่ตนอาจจะได้รับบาดเจ็บดวงตาสีน้ำเงินหม่นจ้องเขม็งยังกำแพงอีกฝากหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยก้อนใยธรรมชาติกองกระจุกกันในจุดเดียวอย่างกังวลใจ
“วู้ววว!!”
เอลฟ์แคระแดนนี่โผล่ออกมาจากกองปุยนุ่นเป็นผู้แรกชูแขนขึ้นมาทั้งสองข้างเฉลิมฉลองให้กับความโชคดีของตนเองก่อนจะหันกลับไปหาเพื่อนๆ ทั้งสามที่ตนได้เผลอไปชนเข้าจนต้องปลิวมากองรวมกัน
ฟู่วววว….
ลมหายใจหนักอึ้งพ่นออกมาจากริมฝีปากสีสดด้วยความโล่งอก เบลหยิบกระดานไม้ของตนขึ้นมาขีดฆ่าปัญหาที่พึ่งได้ขีดเขียนลงไปออกพลันสายตาก็ได้เหลือบไปเห็นข้อความใหญ่ๆ กลางหน้ากระดาษ
“ตรวจดูเรนเน่…”
เธอพึมพำบางสิ่งอยู่ครู่หนึ่งและรีบตัดแต่งชุดให้เข้าที่โดยก่อนที่จะเดินจากไปจนลับประตูก็ไม่ลืมหันมาสั่งงานต่อ
“ฝากเก็บทุกอย่างกลับที่เดิมด้วยนะคะ ระวังอย่าให้ใยธรรมชาติสัมผัสกับหิมะนานๆ เดี๋ยวจะขึ้นรา โซ่ประตูเริ่มฝืดแล้วแจ้งคุณโฮมมี่ด้วยค่ะ”
โดยไม่ฟังคำตอบรับเช่นเคย ประตูบานเล็กสีสดปิดลงทิ้งไว้เพียงความสงบเงียบของโกงดังขนาดใหญ่
“ถ้าไม่มีคุณเบลเราจะทำยังไงกันดีล่ะเนี่ย…” เอลฟ์แคระสาวตนเดิมเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าคุณเบลเดินคล้อยหลังไปไกลแล้ว
“ก็ยังมีซานต้าไง”
คำพูดที่ไม่ได้คิดอะไรกล่าวสวนขึ้นมาทำเอาเอลฟ์แคระเกือบทั้งโกดังหันมองเป็นตาเดียว
“อะ- อะไร…ข้าพูดเรื่องจริงนะ”
เอลฟ์แคระผู้เปิดประเด็นรู้สึกได้ถึงสายตาเหล่านั้นเริ่มอึกอัก
“ปีนี้ซานต้าจะตื่นขึ้นมาหรือเปล่าก็ไม่รู้ ถ้าให้รอเขาวันคริสต์มาสล่มสลายของจริงแน่”
“คุณเบลดูเป็นซานต้ามากกว่าเขาอีก”
“นั่นสินะ…ต่อให้ตื่นขึ้นมา ทั้งขี้เกียจ ชอบมาก่อกวนพวกเรา ทั้งยังทำเรนเดียร์หายจะทำอะไรเชียว”
ผู้ที่กำลังถูกรุมค้านเหงื่อตก ไม่มีข้อโต้แย้งใด พยายามแก้เก้อโดยการสนใจเพียงเศษปุยนุ่นตรงหน้าเท่านั้น
---☆---
ฟู่…
ของเหลวสีประหลาดถูกราดลงบนฟางแห้งจนหมดขวดในคราวเดียว มันแปรเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะระเหยไปกับอากาศเพราะความร้อนแม้เพียงจะเล็กน้อย
มือถือขวดแก้วทรงสูงกระตุกเบาๆ เมื่อได้ยินเสียงพูดคุยด้านนอก เขารีบยัดมันใส่ลงในกระเป๋ากางเกงก่อนจะขนฟางออกไปและปรับสีหน้าให้ปกติที่สุด ทว่าร่างอันคุ้นตาที่กำลังยืนคุยอยู่กับหัวหน้าผู้ดูแลเรนเดียร์กลับทำให้สันหลังเย็นวาบขึ้นมา
“ตัดแต่งกีบเท้ารึยังคะ”
น้ำเสียงเรียบเฉยดังออกมาจากริมฝีปากสีสด แม้จะไม่ได้ถามกับตนโดยตรงแต่นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ภายในหัวนั้นขาวโพลน เขารู้ดีว่าหากเบลสอบถามในสิ่งที่สงสัยเสร็จจะต้องหันมาตรวจสอบฟางเหล่านี้อย่างแน่นอน
และเขาปล่อยให้มันเป็นเช่นนั้นไม่ได้
ขณะที่ฟางแห้งกำลังถูกยื้อแย่งโดยเหล่ากวางเรนเดียร์ตัวโต ปลายนิ้วอวบอ้วนถูกเคาะลงบนต้นขาของตนอย่างร้อนรนว่าเหตุใดวันนี้เหล่ากวางจึงได้กินกันช้าถึงเพียงนี้
ฟืดดดดด
เรนเดียร์จมูกสีแดงเพียงตัวเดียวในคอกพ่นลมหายใจออกมายาวเหยียด ในทีแรกเขาคิดว่ามันอาจจะกำลังรบเร้าขอฟางเพิ่มดังเช่นทุกทีจนได้เห็นว่าสายตาของมันนั้นมองทอดยาวออกไปยังด้านหลังของเขา ถ้อยคำนับพันผุดขึ้นมาราวกับดอกเห็ดเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของนางที่กำลังจะมาถามซักไซ้ ก่อนความเคลื่อนไหวนั้นจะมาถึงตัวเขาได้หันหลังกลับไปแต่กลับพบเพียงความว่างเปล่า
ฟืดดดดด
เรนเดียร์จมูกแดงตัวนั้นยังคงจ้องเขม็งยังทิศเดิมพร้อมส่งเสียงฟืดฟาดในจมูกคล้ายกำลังสื่อสาร…กับป่าสนรกทึบไร้ซึ่งแสงส่องถึง