“เขาคือเด็กหนุ่มเพียงคนเดียวที่มีค่ามานาเป็นศูนย์ ท่ามกลางผู้ใช้เวทนับล้าน ในโลกที่พลังคือทุกสิ่ง… เขาจะล้มล้างทุกกฎที่ขวางทางเพื่อไต่ขึ้นไปสู่จุดสูงสุด”
แฟนตาซี,แอคชั่น,ผจญภัย,ยุคปัจจุบัน,ไทย,โรงเรียนเวทมนตร์,พระเอกเทพ,เทพ ,พลังวิเศษ,พระเอกเก่ง,เวทมนตร์,ผจญภัย,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Mana Zero : กำเนิดราชันไร้พลัง“เขาคือเด็กหนุ่มเพียงคนเดียวที่มีค่ามานาเป็นศูนย์ ท่ามกลางผู้ใช้เวทนับล้าน ในโลกที่พลังคือทุกสิ่ง… เขาจะล้มล้างทุกกฎที่ขวางทางเพื่อไต่ขึ้นไปสู่จุดสูงสุด”
ในโลกที่มานาคือทุกสิ่ง มันเป็นพลังที่มีไว้เพื่อต่อสู้ ดำรงอยู่ และไต่ขึ้นสู่จุดสูงสุด
แต่เขากลับเป็นมนุษย์คนเดียวที่มีพลังมานาเท่ากับศูนย์
ใช่...ฟังไม่ผิด เท่ากับศูนย์
ไร้พลัง และอ่อนแอ
ในขณะที่ผู้แข็งแกร่งไขว่คว้าหาอำนาจ เขาทำได้เพียงแค่เดินอยู่ในเงามืด
เส้นทางของเขา ไม่ได้เริ่มต้นจากแสงสว่าง
แต่มันจะจบลง…ด้วยการสะเทือนไปทั้งโลก
“ไม่มีมานา…แล้วยังไงล่ะ?”
สวัสดีครับ TENTENs ครับ
ขอเล่าเรื่องตัวเองนิดหน่อยนะครับ
ผมมีความฝันอยากเขียนนิยายมานานแล้ว ถึงจะเคยลองเขียนแล้วอ่านเองอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มีความกล้าที่จะให้ใครอ่านสักที
จนในที่สุดก็ตัดสินใจที่จะเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา เป็นเรื่องใหม่ที่เขียนเองแต่งเองทั้งหมด ด้วยความตั้งใจจริงมากๆ หวังว่าทุกคนจะชอบกันนะครับ
โดยนิยายเรื่องนี้ เป็นนิยายรายตอนที่จะมีเนื้อเรื่องที่ยาวพอสมควร ผมจะพยายามอัพตอนใหม่ให้ได้ อาทิตย์ละ 3 ตอน เป็นอย่างน้อย ด้วยความที่ภาระหน้าที่ค่อนข้างเยอะ อาจจะเขียนได้ช้าไปบ้าง แต่สัญญาว่าจะไม่มีวันหยุดเขียน ตราบใดที่ยังมีคนรออ่านอยู่ แม้เพียงคนเดียวก็ตามครับ
ด้วยความที่ผมเป็นมือใหม่ ถ้าผิดพลาดอะไรตรงไหน ต้องขออภัยมากๆ และสามารถติชมกันได้เต็มที่เลยนะครับ
ขอฝากนิยายเรื่องนี้ไว้ในหัวใจทุกคนด้วยนะครับ ขอบคุณครับ
“จงสวมข้า”
เสียงนั้นแผ่วเบาราวกับสายลมกระซิบ แต่กลับดังก้องอยู่ในหัวของไอลา
เด็กหญิงที่ก้มหน้าร้องไห้อยู่ ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ดวงตาแดงก่ำจ้องไปยังมงกุฎที่วางแนบกับหน้าอกที่แน่นิ่งของเรย์
เสียงนี้...เธอจำได้
“ท่านต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เหรอ?”
มือเล็กๆ สั่นไหวขณะยื่นไปจับมงกุฎเถาวัลย์อันเก่าแก่ ก่อนจะค่อยๆ ยกมันขึ้นมาสวมลงบนศีรษะของตนเองอย่างไม่มั่นใจนัก
“แบบนี้เหรอ?”
ทันใดนั้น...
แสงสีทองเปล่งประกายสว่างจ้าไปทั่วผืนป่า มงกุฎเถาวัลย์แห้งกรอบที่ดูราวกับพร้อมจะแตกสลายทุกเมื่อ ค่อยๆ เปลี่ยนรูปร่าง แปรเปลี่ยนเป็นมงกุฎเถาวัลย์สีทองบริสุทธิ์ที่งดงามราวเครื่องราชของเทพเจ้า
ร่างน้อยๆ ของไอลาค่อยๆ ลอยขึ้นจากพื้นทันที เสื้อผ้ากระพือจากแรงลมที่ไม่มีที่มา เส้นผมสีแดงปลิวสะบัดไปทุกทิศทาง ดวงตากลมโตที่เคยเปี่ยมด้วยความสดใส บัดนี้ขาวโพลน ไร้แววชีวิต
เธอพูด ขณะจ้องมองร่างของเรย์ที่กำลังจะสิ้นลมหายใจ
เสียงที่เปล่งออกมาจากริมฝีปากเล็กๆ ไม่ใช่เสียงของเด็กหญิงอีกต่อไป แต่มันคือเสียงของหญิงสาวผู้หนึ่ง เต็มเปี่ยมด้วยอำนาจและบารมี แผ่ก้องไปทั่วหมู่บ้านและป่าโดยรอบ
“มนุษย์ผู้นี้...ข้าจำกลิ่นของเรมไนร์ได้...กลิ่นนั้นมันออกมาจากร่างของเขา...”
เรมไนร์สะดุ้งเฮือกทันที เสียงของเขาดังขึ้นในหัวเรย์ด้วยความตกตะลึง
[สะ...เสียงนี้...หรือว่า...เอไลเซร่า!?]
ชื่อที่เขาเอ่ยคือหนึ่งในเทพเจ้า ‘เอไลเซร่า’ เทพีในตำนาน หนึ่งในเทพทั้งเจ็ดที่ถูกวาลเทียร์ เทพเจ้าสูงสุดทรยศและผนึกให้กลายเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์
เทพีเอไลเซร่า...บัดนี้ได้ปรากฏอยู่ตรงหน้า...ในร่างของเด็กหญิงตัวเล็กนามว่าไอลา
ร่างนั้นค่อยๆ ยื่นมือออกไป แสงสีทองเจิดจ้าทะลุผ่านฝ่ามือออกมาอย่างนุ่มนวล ห่อหุ้มร่างของเรย์ไว้ทั้งตัว ดั่งสายลมอบอุ่นในฤดูใบไม้ผลิ ทว่าเต็มเปี่ยมด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ที่มิอาจหยั่งถึง
บาดแผลทั้งหมดของเรย์สมานกันในพริบตา...แม้แต่เศษเสี้ยวของความบอบช้ำก็ไม่หลงเหลือ
เขาลืมตาขึ้นทันที แล้วลุกพรวดขึ้นมานั่ง
“กะ...เกิดอะไรขึ้น!?”
เขามองไปรอบตัวอย่างงุนงง ก่อนจะพบว่าไอลากำลังยืนอยู่ข้างๆ
เธอเป็นตัวของเธอเองอีกครั้ง แต่ยังคงมีน้ำตาเอ่อคลอ เธอปรี่เข้ามากอดเขาเต็มแรง
“เรย์!!”
“อะ...ไอลา...”
เรย์หันมาคุยกับเรมไนร์ในใจ
‘นายรักษาฉันเหรอ?’
[ไม่ใช่...บาดแผลของเจ้านั้นสาหัสเกินกว่าข้าจะรักษาได้ทัน เจ้ากำลังจะตาย...ผู้ที่ช่วยเจ้าไว้คือ เอไลเซร่า เธออยู่ในมงกุฎนั่น]
‘...เอไลเซร่า?’
ชื่อคุ้นๆ ...เหมือนเขาเคยได้ยินมาก่อน
[เธอคือหนึ่งในเทพที่เคยรับใช้ไอ้วาลเทียร์...]
‘...เทพ?’
เรย์เบิกตากว้าง มองไปที่มงกุฎบนหัวของไอลาอย่างไม่เชื่อสายตา
‘งั้นมงกุฎนั่น...ก็เป็นหนึ่งในอาวุธศักดิ์สิทธิ์?’
ไอลาคลายอ้อมกอด ถอดมงกุฎออกจากศีรษะ แล้วยื่นให้เขา
“ท่านต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์บอกว่าอยากคุยกับแก...”
เรย์รับมันมาอย่างลังเล...ทันใดนั้น เสียงของเทพีเอไลเซร่าก็ดังก้องขึ้นในหัว
[จงบอกข้ามา...เหตุใดข้าถึงได้กลิ่นของเรมไนร์จากตัวเจ้า?]
เรย์อึ้งเงียบ
เป็นเสียงของเรมไนร์ที่ตอบกลับทันควัน
[จำกลิ่นของข้าได้เสียด้วย...เป็นหมาหรือไง?]
[สะ...เสียงนั่น!?]
[ใช่...ข้าเอง...เรมไนร์]
[นี่มัน!!? ...เกิดอะไรขึ้น!?]
[วิญญาณของข้าอยู่ในร่างมนุษย์ผู้นี้]
[…!!?]
[เป็นเวลาหลายร้อยปีแล้วสินะ เอไลเซร่า ข้ายินดีที่ได้พบเจ้าอีกครั้ง]
เอไลเซร่าหยุดชะงักไปราวกับกำลังซึมซับความจริง ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา
[เรมไนร์...เจ้าพูดถูกทุกอย่าง...ท่านวาลเทียร์ทรยศพวกเรา...]
[เฮอะ...ตอนที่ข้าบอก มีใครฟังข้าบ้างล่ะ? สุดท้ายเจ้าก็ต้องมาอยู่ในมงกุฎเน่าๆ แบบนี้นั่นแหละ]
[...งั้นมนุษย์ผู้นี้ ก็คือผู้ถือครองของเจ้ารึ?]
[ไม่ใช่! ข้าไม่ได้ถูกผนึกแบบพวกเจ้าหรอกนะ!]
[!!?]
[ข้ารู้ทันไอ้วาลเทียร์...จึงแยกวิญญาณออกจากกายเนื้อ แล้วหลบซ่อนเพื่อรอวันคืนชีพ]
[แยกวิญญาณ...? เจ้าทำได้ยังไง...?]
[......]
เรมไนร์ไม่ตอบ
เรย์ยังคงนั่งนิ่งอึ้ง ขนลุกไปทั่วร่างกาย
บัดนี้เทพเจ้าตัวเป็นๆ สององค์ กำลังคุยกันอยู่ในหัวของเขา
เสียงในหัวเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอไลเซร่าจะถามต่อ
[แล้วเหตุใด...เจ้าจึงอยู่ในร่างมนุษย์ผู้นี้?]
[เรื่องมันยาว...แต่มนุษย์ผู้นี้...เรย์ เขาจะเป็นคนช่วยให้ข้าคืนชีพ...ทุกอย่างพร้อมหมดแล้ว เหลือแค่รอเวลา]
[……]
[เอไลเซร่า...เจ้าจงตามข้ามา...หากข้าคืนชีพได้ ข้าสัญญาว่าจะหาทางคืนชีวิตให้กับเจ้าด้วยเช่นกัน]
[……]
[จงให้เรย์เป็นผู้ถือครองเจ้า จงมอบพลังให้กับเขาเสีย...เรย์จะต้องแข็งแกร่งขึ้น...เพื่อข้า]
[...เจ้าเปลี่ยนไปเยอะนะ เรมไนร์...ผู้ที่เหยียดหยันทุกสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำ และมั่นใจในตัวเองยิ่งกว่าผู้ใด...กำลังร่วมมือกับมนุษย์งั้นหรือ?]
[หุบปาก!]
[...แต่เสียใจด้วยนะ อาวุธศักดิ์สิทธิ์อย่างข้า เลือกผู้ถือครองได้ทีละคน และข้าได้เลือกไปแล้ว...เด็กหญิงคนนั้นคือผู้ถือครองข้า]
[......]
เรย์เบนสายตามองไปยังไอลา ที่ยืนอยู่ไม่ห่าง ดวงตาใสซื่อไร้เดียงสา ยังคงเปื้อนน้ำตา โดยไม่รู้เลยว่าในตอนนี้ เธอคือผู้ถือครองอาวุธศักดิ์สิทธิ์ของเทพีเอไลเซร่า
เรมไนร์นิ่งงัน ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
[ไม่เห็นจะยาก...เรย์...จงฆ่าเธอซะ!]
[...!!?]
‘...หาาา!?’
[ฆ่าเธอซะ แล้วพลังของเอไลเซร่าจะตกเป็นของเจ้า]
[อย่านะ!!]
‘......’
เรย์หันขวับมองไปยังเด็กน้อยไร้เดียงสา ที่ใบหน้ายังเปื้อนคราบน้ำตา นั่งหัวเราะฮี่ๆ อยู่ตรงหน้าเขา
‘...เรมไนร์...นายสมองกลับหรือเปล่า?’
[หาา!?]
‘พอได้คุยกับเทพเพื่อนเก่าหน่อยแล้วคลั่งเลยเหรอ? นี่มันร่างกายของฉัน...คนที่ต้องฟังคำสั่งคือนาย ไม่ใช่ฉัน’
[……]
‘ให้ฉันฆ่าเด็กเนี่ยนะ? นายเป็นเทพ หรือปีศาจกันแน่?’
[……]
‘ฟังนะ...ถ้านายพูดอะไรแบบนี้อีก ฉันจะเลิกช่วยนายคืนชีพ...เข้าใจไหม?’
[…...]
‘ฉันถามว่าเข้าใจไหม?’
[อะ...อืม...เข้าใจแล้ว]
เสียงหัวเราะของเอไลเซร่าดังก้องทันที
[ฮ่าๆๆๆๆๆ!! เรมไนร์ นี่เจ้าตกต่ำขนาดนี้เชียวรึ? โดนมนุษย์ด่าปาวๆ แต่ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง]
[……]
[น่าสนใจแฮะ...ข้าชอบเจ้ามนุษย์คนนี้...ข้าจะช่วยเจ้าเอง จงพาเด็กผู้หญิงคนนี้ไปกับเจ้าด้วย]
เรย์ส่งมงกุฎคืนให้ไอลา เธอยิ้มดีใจรับมา แล้วสวมไว้บนหัวอีกครั้ง ราวกับเจ้าหญิงตัวน้อย
“ท่านต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์...บอกว่า ให้ไอลาออกจากหมู่บ้าน และไปกับแก...”
คำพูดนั้นเหมือนเสียงระเบิดกลางป่า ชาวบ้านทุกคนอึ้ง ออร์เดถึงกับร้องลั่น
“มะ...ไม่ได้! แกจะพาไอลาไปไม่ได้!”
เด็กน้อยย้ำอีกครั้ง
“แต่ท่านต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์บอกให้ไอลาไป...และไอลาก็ชอบเรย์...ไอลาอยากไปกับเรย์...ไปในที่ที่มีเสียงเพลง”
“ไม่ได้!! ข้าไม่อนุญาต!!”
เสียงของออร์เดดังลั่นด้วยอารมณ์ปะทุ เขาก้าวเข้ามาหาเรย์ด้วยสีหน้าที่เจ็บปวด
แต่แทนที่จะทำสิ่งใดลงไป เขากลับชะงัก แล้วค่อยๆ ก้มตัวลงจนหัวเข่ากระแทกพื้น หัวก้มต่ำแทบชิดปลายเท้าของเรย์
“ท่าน...ท่านคือผู้มีบุญคุณของหมู่บ้านเรา...”
น้ำเสียงของออร์เดแผ่วเบา แต่แฝงไว้ด้วยแรงสั่นสะเทือนในใจ
“พวกข้าขอขอบคุณท่านจากใจจริง หากมีสิ่งใด...บอกข้ามาได้เลย ข้ายินดีตอบแทนทุกอย่าง”
มือทั้งสองของออร์เดกำแน่น
“แต่...ได้โปรด อย่าพรากหลานเพียงคนเดียวของข้าไปเลย...”
เรย์ยืนนิ่ง ไม่ได้ตอบกลับทันที
ออร์เดพลันหันขวับไปตวาดเสียงกร้าวใส่ชาวบ้านที่ยืนอยู่เบื้องหลัง
“พวกแกมัวยืนทำอะไรอยู่!? ขอบคุณท่านผู้มีพระคุณเสียสิ!!”
เหล่าชาวบ้านที่ยังสับสนกับเหตุการณ์ ต่างตกใจสะดุ้ง ก่อนจะค่อยๆ ทยอยคุกเข่าลงทีละคน
เสียงพร้อมเพรียงดังก้อง
“ขอบคุณท่านผู้มีพระคุณ!!”
เรย์ยกมือขึ้นเก้ๆ กังๆ พลันทำตัวไม่ถูก
“มะ...ไม่เป็นไรครับ ยืนขึ้นเถอะ...”
ออร์เดคว้าไม้เท้าก่อนจะลุกขึ้นยืน กำหมัดแน่นจนเส้นเลือดปูดขึ้นบนแขน สีหน้าเต็มไปด้วยโทสะ
“ไอ้ปีศาจนั่น...มันหลอกหมู่บ้านเรามาเป็นเวลานานแสนนาน แถมยังมาเอาคนจากหมู่บ้านไปเป็นจำนวนมาก...”
เสียงเขาเริ่มสั่น น้ำตาเอ่อล้นไหลลงมาบนใบหน้าของชายชราที่กร้านแดด
“น่าแค้นใจนัก!! ลูกสาวของข้า!...ลูกสาวเพียงคนเดียวของข้าก็โดนมันเอาตัวไป!!”
เสียงสะอื้นดังแผ่วเบาจากหลายทิศทาง
บางคนทรุดตัวลงร้องไห้ บ้างก็โอบกอดกันแน่นราวกับต้องการปลอบประโลมซึ่งกันและกัน
ความรู้สึกสูญเสียที่เคยซุกซ่อนไว้ภายใน ถูกปลดปล่อยออกมาราวกับประตูน้ำที่แตกพัง
“หากไม่ได้ท่าน...”
ออร์เดยังเอ่ยต่อ
“...เราคงต้องโดนไอ้เทพเจ้าจอมปลอมนั่น...มันหลอกไปตลอดกาล...”
เรย์ยังคงยืนอยู่เงียบๆ ท่ามกลางความเศร้าโศกอันหนักหน่วง
ก่อนจะเปล่งเสียงออกมาเบาๆ
“พวกนายไม่ผิดหรอกนะ...เพราะพวกนายอ่อนแอ จึงไม่มีทางเลือก...เลยโดนไอ้อสูรนั่นหลอก”
คำพูดนั้นไม่ได้มีเจตนาตำหนิ หากแต่เป็นการปลดเปลื้อง
เขาหยุดเล็กน้อย ก่อนจะชี้นิ้วไปที่มงกุฎซึ่งสวมบนศีรษะของไอลา
“เทพเจ้าของจริงน่ะ...อยู่ในนั้นต่างหาก”
“หาาา!? เทพเจ้า!?”
เสียงร้องของชาวบ้านหลายคนดังขึ้นพร้อมกันอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
เรย์พยักหน้าเบาๆ
“มงกุฎนั่นน่ะ...เทพเจ้าตัวจริงเสียงจริงเลยแหละ”
ออร์เดทรุดเข่าลงทันที แรงสั่นของร่างกายทำให้ฝุ่นพื้นกระจายขึ้นเล็กน้อย
“ทะ...ท่านต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์คือเทพเจ้างั้นหรือ!? ท่านคอยคุ้มครองหมู่บ้านของเรามานานแสนนานแท้ๆ ...แต่...แต่ข้ากลับไม่รู้ถึงตัวตนของท่าน...”
เขากราบลงกับพื้นอย่างแนบแน่น
“ท่านเทพเจ้า! โปรดอภัยให้ข้าด้วยยย!!”
เสียงหมอบกราบของชาวบ้านดังระงมตามมา
“โปรดอภัยให้ด้วยย!!”
ไอลาค่อยๆ ยิ้มบาง แล้วกล่าวขึ้นด้วยเสียงใส
“ท่านบอกว่า...ให้เรียกท่านว่า เอไลเซร่าก็พอ”
“ทะ...ท่านเอไลเซร่าาา!! โปรดอภัยให้ข้าด้วยย!!”
เรย์มองภาพเบื้องหน้าอย่างปลงตก ก่อนจะยกมือขึ้นก่ายหน้าผากตัวเอง พลางหันไปพูดกับไอลา
“หมู่บ้านของเธอนี่ เล่นใหญ่จนเป็นเรื่องเคยชินไปแล้วสินะ...เอะอะก็คุกเข่า...เอะอะก็ก้มกราบ...หัวเข่าด้านกันหมดแล้วมั้งนั่น...”
ไอลาหลุดหัวเราะร่า ก่อนจะประกาศต่อ
“ท่านเอไลเซร่าบอกว่า...เพื่อเป็นการตอบแทน จงให้ไอลาติดตามเรย์ไปด้วย”
ออร์เดเงยหน้าขึ้นทันที
“ตะ...แต่ว่า...!”
“ไม่มีข้อแม้”
ไอลาพูดแทรกทันควัน ดวงตาของเธอเปล่งประกายลึกล้ำ
“นี่คือคำสั่งของท่านเอไลเซร่า”
ออร์เดก้มกราบลงอีกครั้ง อย่างยอมจำนน
“พวกเราน้อมรับคำสั่ง...ท่านเอไลเซร่าาา!!”
เสียงของการสรรเสริญของชาวบ้านดังแว่วไปทั่วหมู่บ้าน บ้างกำลังเตรียมมื้ออาหาร บ้างกำลังซ่อมแซมบ้านเรือน
เรย์เดินแยกออกมาอย่างเงียบงัน
ปลายเท้าของเขาพาร่างกายอันอ่อนล้าเดินข้ามผ่านแนวไม้ ผ่านกลิ่นควันจากการต่อสู้ กระทั่งมาหยุดอยู่ตรงหน้า
ซากร่างของ ดารุกซ์...อสูรทูตตนที่เพิ่งตายไป
แม้จะถูกเผาด้วยเปลวไฟสีดำสนิทของ ‘เพลิงดับสูญ’ จนไหม้เกรียมไปทั้งร่าง แต่สิ่งที่เหลืออยู่...ไม่ใช่เพียงเถ้าถ่าน
เศษซากร่างอสูรยังคงเกาะแน่นอยู่บนพื้นดิน ขยับไหวเล็กน้อยด้วยแรงลมราตรี กล้ามเนื้อแข็งราวเหล็กกล้า สีดำแดงแตกระแหง บ่งบอกถึงความทนทานอันน่าสะพรึง
เรย์ยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาจับจ้องร่างนั้นด้วยสายตามั่นคง
“พลังอสูรของแก...คงเยอะน่าดูเลยสินะ”
มุมปากเขาแสยะยิ้มขึ้นเล็กน้อย
“ฉันจะเอามันมาทั้งหมด...”
เขาเหยียบเท้าเข้าใกล้ ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำ
“จัดการเลย...เรมไนร์”
เสียงกระซิบคล้ายคำสั่งของราชัน
ทันใดนั้น...
[ดูดกลืนมานา...]
ออร่าสีเทาดำพวยพุ่งขึ้นจากศพของอสูรทูต ราวหมอกแห่งความมืดที่ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า แผ่ไอเย็นและพลังปะทะอากาศรอบข้าง
ม่านสีเทาดำ กลางอากาศขมวดตัวกันแน่น จนกระทั่ง
ซู่...!!
กลุ่มออร่าทั้งหมดถูกดูดกลืนเข้าสู่ร่างของเรย์ในพริบตาเดียว
ฝุ่นปลิวกระจาย...แผ่นดินสั่นสะเทือนเพียงชั่วอึดใจ
“อึ่ก…!”
เสียงครางต่ำหลุดจากปากของเรย์ เขาทรุดเข่าลง มือหนึ่งยันพื้นไว้แน่น
‘ออร่ามหาศาลอะไรกันนี่...!?’
ภายในร่างของเขา เหมือนมีบางสิ่งกำลังดิ้นรน ราวกับจะทะลุออกมา
พลังงานมหาศาลไหลเวียนเข้ามาในเส้นเลือดทุกส่วน ความรู้สึกหนักแน่น แข็งแกร่ง และน่าสะพรึงเกินจะบรรยาย
และในวินาทีนั้นเอง...
ซู่มมมมม!!!
เบื้องหน้าของเรย์...วงแหวนวงใหม่ปรากฏขึ้นกลางอากาศ มันมืดมน บิดเบี้ยวราวกับหลุมดำที่กลืนกินแสงดาว
มันหมุนช้าๆ ท่ามกลางออร่าดำทมิฬที่ปั่นป่วนรอบกาย ราวกับมิติทั้งมวลกำลังสั่นคลอน
แรงกดดันมหาศาลจากวงแหวนนั้นแผ่ซ่านทั่วทั้งผืนป่า
เรย์เบิกตากว้าง ดวงตาสะท้อนภาพของวงแหวนที่กำลังเรืองแสงสีดำ
เขาเอ่ยเสียงต่ำด้วยความไม่อยากเชื่อ
“...นี่มัน...วงแหวนวงที่สองงั้นเหรอ?”
พลังอสูรที่เขาดูดกลืน นั้นมีปริมาณมากพอจนปลดผนึกวงแหวนขั้นถัดไปได้ในทันที
ริมฝีปากเขาแสยะเล็กน้อย
หัวใจเต้นแรง มือทั้งสองข้างแน่นิ่ง
จากเพลิง...จากศพ...จากความตายของอสูร ในที่สุด เขาก็ได้สัมผัสกับ
พลังใหม่...