“เขาคือเด็กหนุ่มเพียงคนเดียวที่มีค่ามานาเป็นศูนย์ ท่ามกลางผู้ใช้เวทนับล้าน ในโลกที่พลังคือทุกสิ่ง… เขาจะล้มล้างทุกกฎที่ขวางทางเพื่อไต่ขึ้นไปสู่จุดสูงสุด”
แฟนตาซี,แอคชั่น,ผจญภัย,ยุคปัจจุบัน,ไทย,โรงเรียนเวทมนตร์,พระเอกเทพ,เทพ ,พลังวิเศษ,พระเอกเก่ง,เวทมนตร์,ผจญภัย,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Mana Zero : กำเนิดราชันไร้พลัง“เขาคือเด็กหนุ่มเพียงคนเดียวที่มีค่ามานาเป็นศูนย์ ท่ามกลางผู้ใช้เวทนับล้าน ในโลกที่พลังคือทุกสิ่ง… เขาจะล้มล้างทุกกฎที่ขวางทางเพื่อไต่ขึ้นไปสู่จุดสูงสุด”
ในโลกที่มานาคือทุกสิ่ง มันเป็นพลังที่มีไว้เพื่อต่อสู้ ดำรงอยู่ และไต่ขึ้นสู่จุดสูงสุด
แต่เขากลับเป็นมนุษย์คนเดียวที่มีพลังมานาเท่ากับศูนย์
ใช่...ฟังไม่ผิด เท่ากับศูนย์
ไร้พลัง และอ่อนแอ
ในขณะที่ผู้แข็งแกร่งไขว่คว้าหาอำนาจ เขาทำได้เพียงแค่เดินอยู่ในเงามืด
เส้นทางของเขา ไม่ได้เริ่มต้นจากแสงสว่าง
แต่มันจะจบลง…ด้วยการสะเทือนไปทั้งโลก
“ไม่มีมานา…แล้วยังไงล่ะ?”
สวัสดีครับ TENTENs ครับ
ขอเล่าเรื่องตัวเองนิดหน่อยนะครับ
ผมมีความฝันอยากเขียนนิยายมานานแล้ว ถึงจะเคยลองเขียนแล้วอ่านเองอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มีความกล้าที่จะให้ใครอ่านสักที
จนในที่สุดก็ตัดสินใจที่จะเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา เป็นเรื่องใหม่ที่เขียนเองแต่งเองทั้งหมด ด้วยความตั้งใจจริงมากๆ หวังว่าทุกคนจะชอบกันนะครับ
โดยนิยายเรื่องนี้ เป็นนิยายรายตอนที่จะมีเนื้อเรื่องที่ยาวพอสมควร ผมจะพยายามอัพตอนใหม่ให้ได้ อาทิตย์ละ 3 ตอน เป็นอย่างน้อย ด้วยความที่ภาระหน้าที่ค่อนข้างเยอะ อาจจะเขียนได้ช้าไปบ้าง แต่สัญญาว่าจะไม่มีวันหยุดเขียน ตราบใดที่ยังมีคนรออ่านอยู่ แม้เพียงคนเดียวก็ตามครับ
ด้วยความที่ผมเป็นมือใหม่ ถ้าผิดพลาดอะไรตรงไหน ต้องขออภัยมากๆ และสามารถติชมกันได้เต็มที่เลยนะครับ
ขอฝากนิยายเรื่องนี้ไว้ในหัวใจทุกคนด้วยนะครับ ขอบคุณครับ
ภายในห้องทำงานของเซเรน บรรยากาศเงียบงันและอึมครึมจนสัมผัสได้ถึงความกดดัน เรย์เดินเข้ามาอย่างระมัดระวัง สายตาเหลือบไปยังร่างสูงของชายที่ยืนกอดอกอยู่ข้างหน้าต่าง...บรันน์ ใบหน้าเย็นชาของเขาไร้อารมณ์ แววตานิ่งลึก ยากจะอ่านออก
“เอ่อ...มีอะไรหรือเปล่าครับ?”
เรย์เอ่ยถามเสียงเบา
เซเรนยืนพิงโต๊ะทำงาน ดวงตาคมกริบจ้องตรงมาที่เขาโดยไม่หลบแม้แต่น้อย
“ฉันจะเข้าเรื่องเลยแล้วกัน...หน้ากากซอมบี้นั่น คือเธอใช่ไหม?”
“...!!?”
เรย์ชะงัก ก่อนจะแกล้งทำหน้างุนงง
“พูดเรื่องอะไรกันครับ?”
“บอกมาเถอะ ออร่าสีดำนั่น...ดูยังไงก็เธอชัดๆ!”
เรย์ส่ายหน้า
“ไม่ใช่ผมหรอกครับ”
เซเรนคิ้วกระตุก สีหน้าเริ่มแสดงความไม่พอใจ เสียงของเธอสั่นเล็กน้อยเพราะความโมโหที่เก็บไว้
“งั้นไหนล่ะ หลักฐาน?”
“...หลักฐานอะไรครับ?”
“ก็หลักฐานที่ว่าไม่ใช่เธอน่ะ!!”
“หาาา!?”
ใบหน้าของเรย์บิดเบี้ยวในทันที ความดื้อรั้นของเซเรนนั้นเกินกว่าที่เขาจะรับมือไหว
บรันน์ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง แล้วหันมาพูดเสียงเรียบ
“ตอนนี้คนทั่วโลกกำลังตามหาตัวเธอ เซเรนไว้ใจได้...บอกพวกเรามาเถอะ อย่างน้อยเราจะได้ปกป้องเธอ”
เรย์ครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะพึมพำออกมาเบาๆ
“...ใช่ครับ เป็นผมเอง ทั้งหน้ากากซอมบี้ ทั้งมนุษย์ถ้ำ”
ทันทีที่เขาพูดจบ บรันน์กับเซเรนต่างผงะไปเล็กน้อย แม้พวกเขาจะคาดเดาไว้แล้ว แต่ลึกๆ ในใจก็ยังไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นความจริง
เซเรนเงียบไปครู่หนึ่ง สีหน้าเคร่งเครียดมากขึ้น
“ฟังนะ ฉันอยู่ข้างเธอ...ไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไรฉัน ตอนนี้องค์กรจากทั้งในและนอกประเทศกำลังติดต่อมาที่ไอโอนิคไม่หยุด เธอไม่ควรแสดงพลังให้โลกเห็นแบบนั้นเลย”
“ผมรู้ครับ...”
เรย์ตอบเสียงเรียบ
“แต่ตอนนั้นผมไม่มีทางเลือก ถ้าไม่ทุ่มพลังทั้งหมดออกไป ก็จะไม่มีใครหยุดลิชตัวนั้นได้ ทุกคนจะตายกันหมด...ผมถึงต้องใส่หน้ากากนั่น เพื่อปกปิดตัวตน”
เซเรนพยักหน้าช้าๆ
“...บอกฉันได้ไหม ออร่าสีดำนั่นคืออะไร?”
เรย์ส่ายหน้า
“ผมไม่รู้ครับ มันแค่เป็นพลังของผม”
“แล้วเรื่องวงแหวน...ไฟสีดำ แล้วที่ดูดกลืนมานาล่ะ? เธอไม่มีมานา ทำไมถึงทำแบบนั้นได้?”
“ผมไม่รู้จริงๆ ครับ แค่ผม...ทำได้”
เรย์ยังคงยืนยันเสียงหนักแน่น
บรันน์ที่ยืนเงียบอยู่ หยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมา หน้าปกสีดำหม่นเขียนว่า ‘อสูรในประวัติศาสตร์ก่อนล่มสลาย’
เขาพูดเรียบๆ แต่แฝงด้วยน้ำหนัก
“ฟังนะ...ฉันคิดว่าพลังของเธอ อาจมีความเกี่ยวข้องกับพวกอสูร”
“หาาา!?”
เป็นเสียงของเซเรนที่หลุดร้องขึ้นมาแทน
เธอหันมาจ้องเขม็ง
“อสูร!? หมายความว่าไง?”
เรย์ยืนนิ่ง ตัวแข็งราวกับถูกตรึงไว้
บรันน์อธิบายต่อ
“มนุษย์ส่วนใหญ่นึกว่าอสูรคือสัตว์อสูรแบบที่พวกเราคุ้นเคย...แต่มันไม่ใช่แค่นั้น”
เขาพลิกหนังสือไปยังหน้าที่คั่นไว้
“ตามบันทึก พวกอสูรถูกแบ่งเป็นสี่ระดับ หนึ่ง...สัตว์อสูร รูปร่างคล้ายมอนสเตอร์ทั่วไป สอง...อสูรทั่วไป คล้ายมนุษย์มากขึ้น และพูดภาษามนุษย์ได้ สาม...อสูรระดับภัยพิบัติ และสี่...จอมอสูร หรือที่รู้จักกันในชื่อ เนเบรอธ”
เซเรนขมวดคิ้ว
“แล้วนายจะพูดเรื่องนี้ขึ้นมาทำไม?”
บรันน์หยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมา
“เพราะฉันเจอสิ่งนี้”
เขาเอานิ้วปัดหน้าจอ ภาพในจอโฮโลแกรมปรากฏขึ้น เป็นร่างของชายคนหนึ่งลอยอยู่บนท้องฟ้า ครึ่งซีกเหมือนมนุษย์ อีกครึ่งแปรเปลี่ยนเป็นสัตว์ประหลาด ผิวเต็มไปด้วยเกล็ด ดูคล้ายกับปลา ออร่าสีดำแผ่กระจายราวกับความมืดกลืนสวรรค์
“มีหลายคนเชื่อว่านี่คือภาพของอสูรระดับภัยพิบัติ”
เซเรนเบิกตากว้าง
“อะ...ออร่าสีดำนั่น เหมือนกับของเรย์ไม่มีผิด”
เธอหันขวับมาทางเขา
“เรย์! ปล่อยออร่าสีดำของเธอให้ดูหน่อยสิ!”
เรย์ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ออร่าสีดำจะค่อยๆ พวยพุ่งออกจากร่างอย่างเบาบาง
เซเรนหันกลับไปมองภาพอีกครั้ง สีหน้าตกใจอย่างปิดไม่มิด
“...พลังของเธอคือพลังของอสูรงั้นเหรอ?”
“ไม่ใช่หรอกครับ!”
เรย์รีบตอบ
“ผมเป็นมนุษย์นะครับ อาจารย์บรันน์ก็แค่คาดเดาเท่านั้น”
บรันน์เก็บสมาร์ทโฟนใส่กระเป๋า
“ใช่ ฉันก็แค่สงสัย ไม่มีหลักฐานว่านั่นคือของจริง แต่ที่ทำทั้งหมดนี่...ก็เพราะอยากช่วยเธอ ต่อให้เธอมีพลังของอสูรอยู่จริง เราก็จะช่วยกันหาคำตอบให้ได้”
เรย์เงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะยิ้มบางๆ
“...ขอบคุณครับ แต่ไม่ต้องห่วง เรื่องพลังของผม ผมจะจัดการเอง ขอแค่ช่วยปิดเรื่องนี้ไว้ก็พอ”
เซเรนถอนหายใจ ก่อนจะเอ่ยเบาๆ
“...เข้าใจแล้ว แต่ฟังนะ จะให้ใครรู้ตัวตนของเธอไม่ได้เด็ดขาด ทั้งเธอและครอบครัวจะตกอยู่ในอันตราย เข้าใจไหม? เธอไว้ใจใครไม่ได้เลย...นอกจากฉัน”
เรย์พลันหลุดหัวเราะออกมา คำพูดของเธอชักจะเหมือนแม่ของเขาขึ้นทุกวัน
“ครับ...แต่นอกจากอาจารย์ เพื่อนในกลุ่มผมรู้หมดแล้ว มินนี่ เนียร์ ไลออน ไอเดน ลาวิน รวมถึงเอรีนกับปังปังด้วย”
เซเรนขมวดคิ้ว
“...แล้วมีใครอีก?”
“คุณอัลล์ครับ”
“หืม? เจ้าอัลล์นั่นก็รู้?”
“ครับ เขารู้ว่าผมคือมนุษย์ถ้ำ และเคยเห็นพลังของผมด้วย”
บรันน์ขมวดคิ้ว
“แย่ล่ะสิ...ในเหตุการณ์เครื่องบินตกวันนั้น ทุกคนก็เห็นพลังของเธองั้นเหรอ?”
“ครับ รวมถึงผู้อพยพทุกคนด้วย”
บรันน์หน้าตึง
“เราต้องรีบปิดปากพวกนั้น...”
“เรื่องนั้นผมจะจัดการเองครับ”
เรย์ตอบ ขณะที่เซเรนกำหมัดแน่น
“เจ้าอัลล์นั่นก็รู้ แต่ไม่ยอมบอกอะไรฉันสักคำ ทั้งที่คนรู้เยอะขนาดนั้น ฉันกลับเพิ่งมารู้ตอนนี้เนี่ยนะ!?”
เรย์ยิ้มแหยๆ
“ขะ...ขอโทษครับ ผมแค่ไม่ไว้ใจอาจารย์...”
คำตอบนั้นเหมือนราดน้ำมันลงกองไฟ
เซเรนโมโหจนหน้าแดง แต่ก่อนที่เธอะพูดอะไร เรย์เดินยิ้มออกจากห้องไปช้าๆ พร้อมหันกลับมาพูดปิดท้าย
“...แต่ตอนนี้ ผมไว้ใจแล้วนะครับ”
“......”
เรย์ก้าวออกจากห้องของเซเรนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เขาหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมากดไปที่รายชื่อหนึ่ง นิ้วโป้งลังเลชั่วครู่ก่อนจะกดโทรออก
ตู๊ดดด...
ปลายสายรับอย่างรวดเร็ว
“สวัสดีครับ คุณเรย์”
เสียงของอัลล์ดังขึ้นด้วยน้ำเสียงสุภาพตามแบบฉบับ
“สวัสดีครับ คุณอัลล์ ผมมีเรื่องจะรบกวนหน่อย”
เรย์พูดเรียบๆ แต่ชัดถ้อยชัดคำ
“ว่ามาได้เลยครับ”
“ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ค้นหาซากเครื่องบินในวันนั้น...พอจะเป็นไปได้ไหมครับ ถ้าจะให้ปิดเรื่องพลังของผมไว้เป็นความลับ?”
เขาถามช้าๆ ด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความกังวล
“ผมจัดการเรื่องนั้นไปตั้งแต่วันแรกแล้วล่ะครับ”
“หา!?”
เรย์เบิกตากว้าง
“จะไม่มีใครพูดถึงพลังของคุณครับ รวมถึงผู้อพยพทุกคนด้วย คุณเรย์วางใจได้เลยครับ”
เรย์นิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ขะ...ขอบคุณนะครับ...”
เขาเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยต่อ
“อ้อ! แล้วก็มีอีกเรื่องครับ...ทางรัฐบาลมีแผนจะเคลียร์เหมืองร้างบ้างหรือเปล่าครับ?”
“เหมืองร้างที่เจอเอลเดอร์โทรลล์เหรอครับ? ...สักครู่นะครับ...”
อัลล์เงียบไปพักหนึ่งเหมือนกำลังเปิดเอกสาร
“...ยังไม่มีในแผนงานนะครับ ไม่มีการส่งทีมเข้าไปหรือวางแผนใดๆ”
เรย์พยักหน้าเบาๆ
“คุณเรย์มีอะไรหรือเปล่าครับ?”
ปลายสายถามต่อ
“ไม่มีอะไรครับ...แต่จะเป็นไปได้ไหมครับ ถ้าผมจะขอให้รัฐบาลไม่ต้องยุ่งกับเหมืองร้างนั่น และปล่อยให้เป็นเรดโซนต่อไป”
“...ได้อยู่แล้วครับ ผมจะจัดการให้นะครับ”
อัลล์ตอบอย่างมั่นใจ โดยไม่คิดจะถาม
“ขอบคุณมากครับ”
เรย์กดวางสาย
ทันใดนั้น เสียงที่เย็นเฉียบของเรมไนร์ก็ดังขึ้นในใจ
[ปกป้องเหมืองร้างของข้าเสียด้วย...ช่างใจดีจริงๆ]
‘ฉันกลัวคนเข้าไปโดน ‘ผู้พิทักษ์’ ของนายฆ่าตายตางหากล่ะ’
เรย์พูดในใจ พลางหันไปมองท้องฟ้าผ่านหน้าต่างทางเดิน ด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
[......]
‘เรมไนร์...รูปที่อาจารย์บรันเปิด มันใช่อสูรจริงๆ หรือเปล่า?’
[ข้าไม่รู้]
‘ไม่รู้อีกแล้ว? ...นายเป็นเทพที่ต่อสู้กับอสูรไม่ใช่หรือไง?’
เรย์ขมวดคิ้วแน่น
‘ไม่เคยเห็นพวกมันเหรอ?’
[ไม่เคย...และข้าก็ไม่เคยสู้กับพวกมันเหมือนเทพองค์อื่นๆ]
‘แปลกแฮะ ทำไมล่ะ? ‘
[เพราะข้าไม่สนใจ]
‘เห...กลัวงั้นเหรอ?’
[เฮอะ...อสูรต่ำตมพวกนั้น ข้าแค่จามใส่พวกมันก็ตายแล้ว ต่อให้เป็นไอ้เนเบรอธนั่น...]
‘โห...นอกจากจะปอดแหกแล้ว ยังขี้โม้ด้วยนะเนี่ย’
[......]
‘ว่าแต่...มานาที่นายมีตอนนี้ จะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน? จำเป็นต้องออกล่ามอนสเตอร์ในช่วงนี้หรือเปล่า?’
[ไม่ต้องห่วง...หลังจากได้มานาจากลิชนั่นก็คงไม่ต้องดูดกลืนมานาไปอีกหลายเดือน]
‘ดี...’
เรย์พึมพำเบาๆ ก่อนจะกำหมัดแน่น
‘นายคิดว่าในตอนนี้ ฉันจะสู้กับผู้พิทักษ์นั่นได้ยัง?’
[ก็คงต้องลองดูล่ะนะ...แม้เจ้าจะยังปวกเปียกไม่ต่างไปจากเดิมก็ตาม]
น้ำเสียงเรมไนร์ฟังดูเยาะเย้ยปนท้าทาย
ภาพในหัวของเรย์ย้อนกลับไปยังวันนั้น...เสียงคำรามที่สะท้านพื้นหิน สีดำขลับของเกราะที่ไร้รอยขีดข่วน และความแข็งแกร่งที่ไร้ความปรานี...วันที่เขาต้องหนีอย่างหมดรูปจากผู้พิทักษ์ของเหมืองร้าง
“คอยดูเถอะ...คราวนี้ ฉันจะไปเอาคืน”
เสียงของเรย์เงียบลงพร้อมกับจังหวะเท้าที่มั่นคง ก้าวเดินอย่างแน่วแน่ออกจากอาคารเรียน ฝ่าลมยามเย็นที่พัดผ่านไปทางลานจอดรถหน้าโรงเรียน
ลีมูซีนสีดำเงาวาวจอดรออยู่ที่ปลายทาง เส้นสายหรูหราสะท้อนแสงอาทิตย์ลับขอบฟ้า และที่หน้ารถ...พวกเขาทั้งห้าคนกำลังยืนรออยู่
ไลออนยืนไขว้แขนอยู่ด้านหน้า มินนี่นั่งแกว่งขาบนราวกั้น ลาวินยิ้มแหยๆ อยู่ข้างๆ ไอเดนที่หลับตาพิงเสาเงียบๆ ขณะที่เนียร์ดูเหมือนจะกำลังพิมพ์อะไรบางอย่างในสมาร์ตแท็บเล็ตของเขา
เรย์ชะงักเล็กน้อยก่อนจะยิ้มบางๆ
“หืม? ไม่เห็นต้องรอเลย...”
“ต้องรอสิ”
ไลออนยักคิ้ว
“ฉันจะไปส่งนายเอง”
“แล้วอาจารย์เซเรนเรียกนายไปทำไมเหรอ?”
มินนี่เอียงคอถาม
เรย์ถอนหายใจเบาๆ
“เธอรู้แล้ว...ว่าฉันคือคนในหน้ากากซอมบี้นั่น”
“หาาา!?”
เสียงอุทานผสานกันอย่างพร้อมเพรียงจากทุกคน บางคนเบิกตาโต บางคนเผลอถอยหลังเล็กน้อยอย่างตกใจ
“ไม่เป็นไรหรอก”
เรย์พูดเรียบๆ
“เธอเชื่อใจได้”
บรรยากาศเงียบลงในทันที สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปอย่างชัดเจนจากความประหลาดใจเป็นความเข้าใจ พวกเขาหันมามองหน้ากัน ไม่มีคำพูดใดเปล่งออกมา...แต่แววตาทุกคู่ต่างพูดแทน
‘ไม่ว่ายังไง...เราจะอยู่ข้างนาย’
เรย์รับรู้ได้ รอยยิ้มบางๆ ปรากฏบนใบหน้าอีกครั้ง คราวนี้อบอุ่นกว่าครั้งไหนๆ
“ไปเหอะ...”
เขาพูดพลางเดินไปยังรถ
“กลับบ้านกัน”