“เขาคือเด็กหนุ่มเพียงคนเดียวที่มีค่ามานาเป็นศูนย์ ท่ามกลางผู้ใช้เวทนับล้าน ในโลกที่พลังคือทุกสิ่ง… เขาจะล้มล้างทุกกฎที่ขวางทางเพื่อไต่ขึ้นไปสู่จุดสูงสุด”
แฟนตาซี,แอคชั่น,ผจญภัย,ยุคปัจจุบัน,ไทย,โรงเรียนเวทมนตร์,พระเอกเทพ,เทพ ,พลังวิเศษ,พระเอกเก่ง,เวทมนตร์,ผจญภัย,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Mana Zero : กำเนิดราชันไร้พลัง“เขาคือเด็กหนุ่มเพียงคนเดียวที่มีค่ามานาเป็นศูนย์ ท่ามกลางผู้ใช้เวทนับล้าน ในโลกที่พลังคือทุกสิ่ง… เขาจะล้มล้างทุกกฎที่ขวางทางเพื่อไต่ขึ้นไปสู่จุดสูงสุด”
ในโลกที่มานาคือทุกสิ่ง มันเป็นพลังที่มีไว้เพื่อต่อสู้ ดำรงอยู่ และไต่ขึ้นสู่จุดสูงสุด
แต่เขากลับเป็นมนุษย์คนเดียวที่มีพลังมานาเท่ากับศูนย์
ใช่...ฟังไม่ผิด เท่ากับศูนย์
ไร้พลัง และอ่อนแอ
ในขณะที่ผู้แข็งแกร่งไขว่คว้าหาอำนาจ เขาทำได้เพียงแค่เดินอยู่ในเงามืด
เส้นทางของเขา ไม่ได้เริ่มต้นจากแสงสว่าง
แต่มันจะจบลง…ด้วยการสะเทือนไปทั้งโลก
“ไม่มีมานา…แล้วยังไงล่ะ?”
สวัสดีครับ TENTENs ครับ
ขอเล่าเรื่องตัวเองนิดหน่อยนะครับ
ผมมีความฝันอยากเขียนนิยายมานานแล้ว ถึงจะเคยลองเขียนแล้วอ่านเองอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มีความกล้าที่จะให้ใครอ่านสักที
จนในที่สุดก็ตัดสินใจที่จะเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา เป็นเรื่องใหม่ที่เขียนเองแต่งเองทั้งหมด ด้วยความตั้งใจจริงมากๆ หวังว่าทุกคนจะชอบกันนะครับ
โดยนิยายเรื่องนี้ เป็นนิยายรายตอนที่จะมีเนื้อเรื่องที่ยาวพอสมควร ผมจะพยายามอัพตอนใหม่ให้ได้ อาทิตย์ละ 3 ตอน เป็นอย่างน้อย ด้วยความที่ภาระหน้าที่ค่อนข้างเยอะ อาจจะเขียนได้ช้าไปบ้าง แต่สัญญาว่าจะไม่มีวันหยุดเขียน ตราบใดที่ยังมีคนรออ่านอยู่ แม้เพียงคนเดียวก็ตามครับ
ด้วยความที่ผมเป็นมือใหม่ ถ้าผิดพลาดอะไรตรงไหน ต้องขออภัยมากๆ และสามารถติชมกันได้เต็มที่เลยนะครับ
ขอฝากนิยายเรื่องนี้ไว้ในหัวใจทุกคนด้วยนะครับ ขอบคุณครับ
หลังจากเรย์ข้ามผ่านประตูมิติในเหมืองร้างมา เขาเดินลุยป่าอยู่นานกว่าสองชั่วโมง ด้วยความหวังว่าจะได้เจอมอนสเตอร์ที่แข็งแกร่ง เพื่อดูดกลืนพลังอสูรให้มากพอจะโค่นผู้พิทักษ์ตนใหม่ ซึ่งเขายังไม่มีทางสู้มันได้ในตอนนี้
แต่กลับไม่พบมอนสเตอร์แม้แต่ตัวเดียว
ในขณะที่เขากำลังสงสัย ทัศนียภาพเบื้องหน้าก็เปิดออก เผยให้เห็นหมู่บ้านหนึ่งตั้งอยู่กลางป่า หมู่บ้านที่ทำจากไม้และเถาวัลย์ขนาดมหึมา โครงสร้างดูดิบหยาบแบบดั้งเดิมแต่กลับให้ความรู้สึกแข็งแกร่งมั่นคง เรย์เดินลึกเข้าไปอย่างระแวดระวัง
ทันทีที่เหยียบถึงใจกลางหมู่บ้าน เขารู้สึกได้ถึงสายตาหลายคู่ที่จับจ้องเขา ก่อนจะ...
ฟึ่บ!!
ตาข่ายเชือกขนาดใหญ่พุ่งเข้าใส่เขาอย่างฉับพลัน เรย์เบี่ยงตัวหลบอย่างง่ายดาย พร้อมกับตั้งท่าป้องกัน
กลุ่มคนจำนวนมากโผล่ออกมาจากเงาไม้ บ้างแอบหลบอยู่ตามบ้านเรือน พวกเขาต่างถือหอก ขวาน หรืออาวุธโบราณที่ดูเหมือนจะทำจากหินและไม้ล้วนๆ สีผิวของพวกเขาเป็นสีน้ำตาลเข้มถึงดำ หน้าตาไม่เหมือนชาวเอเชีย พวกเขาสวมเสื้อผ้าทำจากเปลือกไม้ เถาวัลย์ และหนังสัตว์
ราวกับคนป่าที่เคยเห็นในหนัง
“อู้อ้าอ้า!! โอโก!!”
เสียงตะโกนเป็นภาษาที่ฟังไม่ได้ศัพท์ดังก้อง
เรย์มองรอบข้างอย่างสับสน
‘คนพวกนี้...เป็นมนุษย์แน่ๆ แต่แต่งตัวโบราณอย่างกับคนป่า...แถมภาษา และใบหน้าของพวกเขา...ชัดเจนแล้วว่าที่นี่ไม่ใช่ประเทศไทย’
พวกคนป่าถือคมหอกเข้ามาใกล้ มันไม่มีความคมแม้แต่น้อย แม้ร่างกายของพวกเขาจะดูแข็งแรง แต่เรย์กลับไม่กลัวพวกเขาสักนิดเดียว
‘จริงสิ...เครื่องแปลภาษาที่เคยได้มาจากคุณอัลล์’
เรย์หยิบเครื่องแปลภาษาออกมาจากแหวนช่องว่างมิติ เกิดเป็นแสงสว่างวาบขึ้น ก่อนที่เขาจะสวมเข้ากับหู
เวทมนตร์จากเครื่องทำงาน...คำพูดของชาวบ้านที่ฟังไม่ได้ศัพท์ก็เปลี่ยนเป็นภาษาที่เขาเข้าใจทันที
“มะ...เมื่อกี้ มันทำอะไร!?”
“เวทมนตร์งั้นเหรอ!?”
“ทุกคนระวัง!! มันใช้เวทมนตร์ได้!!”
ทันใดนั้น ชายชราผิวดำเคราขาวสะบัดเสื้อคลุมเดินออกมาพร้อมไม้เท้าทำจากกิ่งไม้เก่าแก่ ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยของกาลเวลา
เขาดูเหมือนกับเป็นหัวหน้าของที่นี่
“เจ้านี่เป็นใคร เข้ามาในหมู่บ้านเราได้ยังไง?”
เสียงทุ้มต่ำดังขึ้น
“ทำไมผิวมันถึงสว่างเหมือนแสงอาทิตย์!? ไหนจะเสื้อผ้าประหลาดพวกนั้นอีก!”
ทุกคนพลันชะงักมือ รอฟังคำสั่งจากเขา
“ระ...หรือว่ามันจะเป็น…ปีศาจ!? ...มัวทำอะไรอยู่...จับมันไว้!!”
พวกคนป่าก้าวเข้ามาล้อมทันที ชี้หอกไม้ใส่เรย์อย่างระแวดระวัง
เรย์ยกสองมือขึ้นช้าๆ พลางพูดอย่างสุภาพ
“ผมมาดีครับ...วางอาวุธลงก่อน แล้วมาคุยกันเถอะ”
“...!!?”
“มันพูดภาษาเราได้!!?”
“รออะไร! จับมัน!!”
“......”
เรย์ยอมให้จับโดยไม่ขัดขืน แม้จะสามารถทำลายทุกอย่างตรงหน้าได้ภายในเสี้ยววินาที แต่เขารู้ดีว่าไม่มีประโยชน์จะสร้างศัตรูโดยไม่จำเป็น
เถาวัลย์ถูกมัดมือของเขาอย่างแน่นหนา ก่อนจะพาเขาไปขังไว้ในกรงไม้เก่าๆ กลางหมู่บ้าน
“ตอบคำถามมา! แกเป็นใคร เข้ามาที่นี่ได้ยังไง?”
ชายชรากล่าวเสียงเข้ม
“ผมเป็นคนไทยครับ แค่เดินหลงมาน่ะครับ”
“คนไทย? หมายถึงอะไร?”
“ประเทศไทย...อยู่แถบเอเชียครับ”
“พูดอะไรของแก ฟังไม่เข้าใจ!”
ชาวบ้านต่างหันมองหน้ากันอย่างตื่นตระหนก
“แกเป็นคนงั้นเหรอ? โกหก! รูปร่างไม่เหมือนพวกเราสักนิด! แล้วพูดภาษาเราได้ยังไง!?”
“มันเป็นเพราะเครื่องนี่ครับ เป็นอุปกรณ์เวทมนตร์สำหรับแปลภาษา”
“แกใช้เวทมนตร์ได้งั้นเหรอ!? เป็นพวกปีศาจ!? หรือว่า...ท่านเทพเจ้าส่งแกมา?”
“เทพเจ้า?”
เรย์ทวนคำ พลางขมวดคิ้ว
ชายชราหันหลังให้ก่อนจะตะโกนเสียงกังวาน
“ขังมันไว้จนกว่ามันจะยอมพูดความจริง!”
เรย์ถูกทิ้งไว้ในกรงกลางหมู่บ้าน เขานั่งพิงกรงไม้ ขณะจ้องมองทุกการกระทำของคนป่าในหมู่บ้านอย่างไม่วางตา
เวลาผ่านจนพระอาทิตย์เริ่มตก คนป่าเริ่มก่อกองไฟขนาดใหญ่ด้วยวิธีโบราณ ก่อนจะช่วยกันแบกเอาหมูป่าตัวมหึมาขึ้นย่าง
เรย์ครุ่นคิด
‘ชัดแล้ว...คนพวกนี้ใช้มานาไม่ได้แม้แต่น้อย ไม่มีแม้แต่เทคโนโลยีใดๆ ราวกับพวกมนุษย์โบราณ’
[ข้ารู้สึกถึงพลังมานาที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายพวกเขา แต่คงเอามาใช้ไม่เป็น]
เรมไนร์เสริม
‘แปลว่าคนพวกนี้ คงไม่ได้ผ่านการปลุกพลังสินะ’
จร๊อกกกก...
เสียงท้องของเรย์ดังลั่น ขณะที่กลิ่นอบอวลของหมูย่างตีจมูก ก่อนจะพูดเสียงเบากับคนป่าหนุ่มที่อยู่ใกล้ๆ
“เอ่อ...ผมก็หิวเหมือนกัน ขอกินด้วยได้ไหมครับ?”
เขาหันขวับมา
“ไม่ได้!! ผู้อาวุโสออร์เด สั่งไว้ว่าถ้าแกไม่พูดความจริง ห้ามให้กินอะไรเด็ดขาด!”
“หนอยย...ตาแก่นั่นน่ะเหรอ?”
“อย่าเรียกเขาแบบนั้นนะ!!”
“......”
เรย์ถอนหายใจเล็กน้อย
ทันใดนั้น...
คนป่าสองคนแบกร่างเด็กหนุ่มวัยรุ่น เลือดโชกท่วมตัวเข้ามาอย่างรีบร้อน
“ผู้อาวุโสออร์เด!! ช่วยด้วย!! กุสต้าโดนหมูป่าโจมตี บาดเจ็บหนัก!!”
ทุกคนแตกตื่นในทันที ผู้อาวุโสออร์เดรีบใช้ไม้เท้าค้ำเดินออกมาสั่งการ
“เอาเขาไปที่ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์!!”
คนในหมู่บ้านพาร่างเด็กหนุ่มไปวางไว้บนแท่นศิลา ตรงกลางมีต้นไม้เล็กๆ ที่ดูเก่าแก่และได้รับการกราบไหว้มานาน บนยอดมี มงกุฎแปลกๆ รูปร่างเหมือนทำจากเถาวัลย์เก่าๆ วางอยู่
ทุกคนต่างก้มกราบต้นไม้นั้นพร้อมเสียงอ้อนวอน
“ท่านต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ ได้โปรดช่วยรักษาบรรพบุรุษของข้าด้วยเถิด!!”
“ช่วยด้วย!! ช่วยด้วย!!”
“......”
เรย์มองอย่างตะลึงงัน
‘เอาคนใกล้ตายไปวางใต้ต้นไม้ แล้วกราบไหว้เนี่ยนะ?’
เขาถอนหายใจ
‘งมงายเป็นบ้า...เด็กนั่นตายแน่’
[ไม่ใช่หรอก...]
เสียงเรมไนร์ดังขึ้น
[มงกุฎเถาวัลย์นั่น...เต็มไปด้วยมานามหาศาล]
‘หา!?’
ทันใดนั้น...
แสงสีทองเปล่งออกมาจากต้นไม้ มวลพลังแห่งการรักษาแผ่ออกอย่างนุ่มนวล ร่างของกุสต้าค่อยๆ ฟื้นฟูบาดแผล จนกลับมาเหมือนเดิมในไม่กี่นาที
ทุกคนโห่ร้องดีใจ ก่อนก้มลงกราบอีกครั้ง
“ขอบคุณท่านต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์!!”
เรย์อ้าปากค้าง อย่างตะลึงงัน
‘ต้นไม้นั่น...มันอะไรกันฟะ!?’
เมื่อถึงยามค่ำคืน ทุกคนในหมู่บ้านต่างเข้านอน เหลือเพียงเสียงของแมลงแว่วดัง ท่ามกลางความเงียบสงัด เรย์นั่งกอดท้องอยู่ในกรงไม้
‘หิว...จะไม่ไหวแล้ว...’
เขาถอนหายใจ ไม่มีเหตุผลที่เขาต้องมาเสียเวลาอยู่ที่นี่อีกต่อไป
แต่ก่อนที่เขาคิดจะทำลายกรงไม้ เสียงแซ่กก็ดังขึ้นจากในเงามืด
“...?”
เด็กหญิงตัวน้อยอายุราวสิบขวบ ผิวสีแทนสวยราวกับน้ำผึ้ง ผมแดงยาว มองเขาด้วยดวงตากลมโต ก่อนจะเดินมานั่งลงข้างกรง
“แกหิวไหม?”
เป็นน้ำเสียงใสน่ารัก ที่ดูเหมือนเด็กน้อยจะยังพูดไม่ค่อยชัดเท่าใดนัก
เรย์เงียบ ก่อนมองไปยังเธอที่ยื่นใบไม้ ซึ่งมีเนื้อหมูป่าติดหนังย่างร้อนๆ วางอยู่ด้านบน
เรย์ไม่รอช้า หยิบกินทันที
งั่ม...งั่ม...
“อร่อยกว่าที่คิดแฮะ”
“ปู่บอกว่าห้ามให้อาหารแก...แต่ไอลาสงสาร ถ้าไม่ได้กินก็จะตาย...ก็เลยเอามาให้”
เด็กน้อยจ้องมองเรย์อย่างไม่กะพริบตา
“ไอลาชื่อว่าไอลา แกชื่ออะไรล่ะ?”
“...ฉันชื่อเรย์...ปู่ของเธอคือตาแก่นั่นน่ะเหรอ?”
“ปู่ไม่ใช่ตาแก่ ปู่เป็นหัวหน้าหมู่บ้านนะ!”
ไอลาเอาสองมือจับกรง ดวงตากลมโตฉายแววสนใจในตัวตนปริศนาตรงหน้า
“แกใช้เวทมนตร์ได้จริงๆ เหรอ?”
เรย์ยิ้มบางๆ
“ได้สิ...อยากดูไหม?”
เขากระชากเถาวัลย์ที่มัดข้อมืออยู่ขาดออก ด้วยแรงเพียงน้อยนิด ก่อนจะรวบรวมมานาธรรมชาติไว้ที่ปลายนิ้ว เปลวไฟเล็กๆ ลุกวาบขึ้น
พรึ่บ!!
แสงไฟสะท้อนดวงตาของไอลาที่กำลังลุกวาว
“ว้าววววววว...สวยจัง!!”
“เธอก็ใช้ได้นะ...เวทมนตร์น่ะ”
“เอ๋!? แกพูดจริงเหรอ? ทำยังไงอะ?”
“...แต่ไม่ใช่ตอนนี้หรอกนะ...หลังจากเธอผ่านการปลุกพลังแล้ว ก็จะสามารถใช้มานาได้”
“มานาเหรอ? มันอร่อยไหม?”
เรย์หัวเราะ
“มันไม่ใช่ของกินหรอกนะ!”
ไอลาเอียงคออย่างสงสัย ขณะจับกรงแน่น
“แกนี่นิสัยดีนะ...แกมาจากที่ไหนเหรอ?
“ไกลแสนไกลเลยล่ะ...ว่าแต่ ทำไมพวกเธอถึงมาอยู่ในหมู่บ้านนี้ล่ะ?”
“ก็ที่นี่คือบ้านของไอลา”
“พวกเธออยู่ที่นี่มานานแค่ไหนแล้ว?”
“ไม่รู้สิ ปู่ของไอลาก็เกิดที่นี่ พวกเราอยู่ที่นี่กันมาตั้งนานแล้วล่ะ”
“......”
เรย์เงียบก่อนจะครุ่นคิดในใจ
คนเหล่านี้คงจะเป็นพวกบรรพบุรุษของมนุษย์ที่เหลือรอดจากสงครามเมื่อ 400 ปี ที่แล้ว และถูกทอดทิ้งไว้ในเขตเรดโซน ที่ไม่ได้รับความช่วยเหลือใดๆ
นั่นคงเป็นเหตุผลที่ทุกคนไม่ได้รับการปลุกพลัง และถูกแยกออกจากโลกโดยสมบูรณ์ ราวกับเป็นคนป่าในยุคโบราณจริงๆ
เรย์หันมองไอลา ขณะที่เด็กสาวกำลังยิ้มแฉ่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยร่องรอยของความลำบาก
“นี่...ว่าแต่ทำไมแถวนี้ถึงไม่มีมอนสเตอร์เลยล่ะ?”
“มอนสเตอร์เหรอ? คืออะไร? มันอร่อยไหม?”
“พวกสัตว์รูปร่างประหลาดที่ดุร้ายและน่ากลัวน่ะ”
“แกหมายถึงพวกปีศาจน่ะเหรอ? แถวนี้ไม่มีหรอก เพราะมีท่านเทพเจ้าคอยปกป้องเราจากพวกมัน”
“เทพเจ้า!?”
“ท่านเทพเจ้าจะคอยปกปักษ์รักษาพวกเราจากภัยอันตราย”
“เป็นความเชื่อของหมู่บ้านนี้เหรอ?”
“ไม่ใช่...ท่านเทพเจ้าน่ะมีตัวตนอยู่จริงๆ ถ้าแกอยากเห็น อีกไม่กี่วันก็จะได้เห็นเอง”
“ยังไง?”
“อีกไม่กี่วันจะถึงคืนพระจันทร์เต็มดวง ท่านเทพเจ้าจะมาคัดเลือกหนึ่งในพวกเราเพื่อไปคอยรับใช้ เพื่อแลกกับการที่ท่านคอยคุ้มกันเราจากพวกปีศาจ หมู่บ้านเราทำแบบนี้กันมาตลอด”
เรย์เงียบทันที
‘นี่คงเป็นเหตุผลที่รอบๆ นี้ไม่มีมอนสเตอร์เลยสินะ’
เขาคิดในใจ
‘เทพเจ้างั้นเหรอ? เทพที่นอกเหนือจากวาลเทียร์กับเรมไนร์ถูกทำให้กลายเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์จนหมดแล้วนี่...เรื่องนี้มันต้องมีอะไรแน่ๆ’
“นี่! ถามต่อสิ...ไอลาชอบคุย”
เรย์หันไปหาเด็กน้อย ก่อนชี้ไปที่แท่นศิลาด้านหน้า
“แล้วต้นไม้นั่นมันคืออะไรเหรอ?”
“นั่นคือต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ ท่านอยู่กับหมู่บ้านเรามานานแสนนาน ท่านจะคอยรักษาพวกเราจากการล้มป่วย”
เรย์ขมวดคิ้วแน่น ก่อนที่ไอลาจะพูดต่อ
“นี่! รู้หรือเปล่า? ท่านต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์น่ะ เป็นผู้หญิงนะ บางทีไอลาก็ฝันถึง ในฝันไอลาได้ยินเสียงของท่านต้นไม้ แต่ไม่มีใครเชื่อไอลา”
“ต้นไม้นั่นพูดว่าอะไรเหรอ?”
“ท่านบอกว่า ‘จงกลับสู่โลกที่มีเสียงเพลง’ ”
“เสียงเพลง?”
“นั่นสิ! จะอร่อยไหมนะ?”
“นี่เธอไม่รู้จักเสียงเพลงเหรอ?”
ไอลาส่ายหน้า ดวงตาว่างเปล่า
“มันคืออะไรอะ?”
“อยากฟังมั้ยล่ะ ฉันจะทำเสียงเพลงให้ฟัง”
เด็กน้อยพยักหน้าตาโตทันที
“เอาสิ!”
“อะแฮ่ม...”
เรย์เริ่มฮัมเพลงในลำคอ
จนเกิดเป็นทำนองหนึ่ง ท่ามกลางคืนมืดมิด ในป่าเงียบสงัด ดังคลอไปในแสงของกองไฟ
แม้มันจะไม่ใช่เสียงที่ไพเราะอะไร แต่สำหรับหมู่บ้านนี้ มันคือเสียงเพลงแรกในรอบ 400 ปี มันสั่นไหวอยู่ในหัวใจดวงเล็กๆ ที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนในชีวิต
เด็กน้อยหลับตาสนิท น้ำตาเอ่อล้นออกมาอย่างไม่รู้ตัว
“อะไรกัน? นั่นคือเสียงอะไร? ทำไมไอลารู้สึกแปลกๆ ข้างในหัวใจ แกทำอะไร!?”
“สิ่งนี้เรียกว่า ‘เสียงเพลง’ ไงล่ะ”
ไอลาเอื้อมมือเล็กๆ ไปจับเสื้อเรย์แน่น
“งั้นแกก็มาจากที่ที่มีเสียงเพลงเหรอ!?”
“ไอลา!!!!”
เสียงออร์เดแทรกดังลั่น
“ปะ...ปู่!?”
“แกทำอะไรน่ะ!? มานี่!!”
ไอลาวิ่งไปจับมือปู่ พลางหันมามองเรย์อย่างไม่อยากจากไป เรย์เพียงโบกมือลาเบาๆ พร้อมความสงสัยเต็มหัวใจ...
หมู่บ้านนี้...มีบางอย่างแปลกๆ
ดวงตาเขาสบกับของไอลาเพียงแวบเดียว เด็กหญิงที่นั่งฟังเรื่องราวจากโลกภายนอกด้วยแววตาเป็นประกาย
โลกที่เธอไม่เคยแม้แต่จะได้ยิน ‘เสียงเพลง’
‘แค่เสียงเพลง...เธอยังไม่รู้จัก’
เรย์คิดอย่างเงียบงัน ใจเขาเหมือนถูกบางอย่างดึงไว้
บางที...ถ้าเขาสามารถเปลี่ยนอะไรสักอย่างให้เธอได้
เขาเหลือบมองไอลาที่ยังคงมองกลับมาด้วยสายตาเป็นห่วง
‘...ถ้าอย่างนั้น ก็อยู่ต่ออีกสักหน่อยก็ได้’
เรย์ถอนหายใจยาว แล้วพิงหลังกับกรงไม้ แม้จะเสียเวลาไปบ้าง แต่ตอนนี้ เขาตัดสินใจแล้ว
เขาจะอยู่ที่นี่ต่อ
คืนแล้วคืนเล่า เรย์ยังคงถูกขังอยู่ในกรงไม้เก่าๆ กลางลานหมู่บ้าน แต่ดูเหมือนจะไม่ลำบากนักสำหรับเขา เขานอนเอนพิงอย่างสบาย ไม่มีรอยแผลแม้แต่รอยเดียว และยังดูมีชีวิตชีวาทุกครั้งเมื่อได้คุยเรื่องโลกภายนอกกับเด็กไร้เดียงสา
ทุกค่ำคืน เด็กหญิงคนเดิมจะมารอฟังเรื่องเล่า พร้อมกับใบไม้ห่อเนื้อสัตว์ และกระบอกน้ำไม้ไผ่ในมือ
เรย์สอนเธอฮัมเพลงแบบง่ายๆ ส่วนไอลาก็จะเล่าว่าวันนี้เธอแอบฝึกอะไร แอบหนีปู่อย่างไร
คืนหนึ่ง ขณะที่พระจันทร์เต็มดวงทอแสงสีเงิน ไอลาก็มานั่งเงียบผิดปกติ
“เป็นอะไรหรือเปล่า?”
เรย์ถาม
เธอเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะพูดเสียงแข็งปนสั่น
“ไอลาจะบอกปู่เอง...ให้เอาแกออกจากกรงสักที!”
ก่อนเรย์จะได้ตอบ เสียงฝีเท้าหนักๆ ก็ดังขึ้นพร้อมเสียงตะโกนของชายชรา
“ไอลา! นี่แกยังไม่เลิกไปคุยกับมันอีกเหรอไง!?”
ออร์เด หัวหน้าของหมู่บ้านเดินกระชากแขนหลานสาวออกจากกรงอย่างแรง แววตาเข้มข้นเต็มไปด้วยความกังวล
“แกไม่รู้เหรอว่ามันอาจจะเป็นปีศาจก็ได้!”
“ไม่ใช่นะ! เรย์เป็นคนดี!”
ไอลาตะโกนสุดเสียง
“แถมยังไปรู้ชื่อมันอีก!”
ออร์เดตวาด ไอลากำหมัดแน่น
“แล้วเขาก็มาจากที่ที่มีเสียงเพลง! ที่ท่านต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์บอกไว้!”
“นี่แกยังไม่เลิกเพ้อเจ้อเรื่องนั้นอีกหรือไง!?”
ออร์เดสะบัดมืออย่างหงุดหงิด
“แล้วรู้ไหมว่านี่มันคืนจันทร์เต็มดวง!! กลับเข้าบ้านซะ ไอลา!”
“แต่เรย์...!”
“เข้าบ้าน!!”
ทันใดนั้น...
ยังไม่ทันที่ไอลาจะเข้าบ้าน
ครืนนน...
เสียงหนักแน่นก็ดังขึ้นจากทั่วท้องฟ้า
พื้นดินสั่นสะเทือนเล็กน้อย ใบไม้ทั่วหมู่บ้านสั่นไหวโดยไร้ลม พลังงานบางอย่างที่หนาแน่นและเย็นเยือกแผ่กระจายออกมาทั่วอากาศ
เรย์ลุกขึ้นยืนในกรงทันที สัญชาตญาณในตัวสั่นไหวราวกับสัญญาณเตือนอันตรายขั้นสูงสุด
“...อะไรกัน?”
เสียงกระพือปีกดังขึ้นตามมา...ดังจนเหมือนภูเขากำลังโบยบิน
เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามค่ำคืน แล้วพลันเบิกตากว้าง
กลางท้องนภา เงาดำขนาดมหึมาเคลื่อนไหวช้าๆ ปีกใหญ่สองข้างกางออกครอบคลุมพระจันทร์จนแสงจันทร์ดับวูบ
ร่างนั้น...สูงใหญ่ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของฟากฟ้า ดวงตาแดงก่ำเป็นคู่เรืองรองอยู่ในเงามืด
“ท่าน...ท่านเทพเจ้า!!”
เสียงคนในหมู่บ้านกรีดร้อง ทุกคนวิ่งออกจากกระท่อมอย่างแตกตื่น แล้วก้มหน้าลงกราบกับพื้นทันที
“ท่านเทพเจ้ามาเยือน!!”
ออร์เดทรุดลงนั่งคุกเข่า ก่อนจะคว้าแขนไอลานั่งตาม มือทั้งสองกุมแน่นเหนือศีรษะ
“ขออภัยด้วยเถิด!! พวกข้าขอน้อมรับการมาเยือนของท่าน!!”
เสียงร้องระงมดังไปทั่วหมู่บ้าน ทั้งคนแก่ เด็กเล็ก และผู้ใหญ่ต่างก้มกราบลงอย่างพร้อมเพรียง สีหน้าทุกคนเต็มไปด้วยความกลัวและความศรัทธาสุดหัวใจ
เงาดำเคลื่อนต่ำลงอย่างเชื่องช้า เสียงอื้ออึงของพลังกดดันยังคงสะเทือนในอากาศอย่างต่อเนื่อง...
และเรย์รู้ได้ในทันที...
ว่ามัน...ไม่ใช่เทพเจ้า