“เขาคือเด็กหนุ่มเพียงคนเดียวที่มีค่ามานาเป็นศูนย์ ท่ามกลางผู้ใช้เวทนับล้าน ในโลกที่พลังคือทุกสิ่ง… เขาจะล้มล้างทุกกฎที่ขวางทางเพื่อไต่ขึ้นไปสู่จุดสูงสุด”
แฟนตาซี,แอคชั่น,ผจญภัย,ยุคปัจจุบัน,ไทย,โรงเรียนเวทมนตร์,พระเอกเทพ,เทพ ,พลังวิเศษ,พระเอกเก่ง,เวทมนตร์,ผจญภัย,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Mana Zero : กำเนิดราชันไร้พลัง“เขาคือเด็กหนุ่มเพียงคนเดียวที่มีค่ามานาเป็นศูนย์ ท่ามกลางผู้ใช้เวทนับล้าน ในโลกที่พลังคือทุกสิ่ง… เขาจะล้มล้างทุกกฎที่ขวางทางเพื่อไต่ขึ้นไปสู่จุดสูงสุด”
ในโลกที่มานาคือทุกสิ่ง มันเป็นพลังที่มีไว้เพื่อต่อสู้ ดำรงอยู่ และไต่ขึ้นสู่จุดสูงสุด
แต่เขากลับเป็นมนุษย์คนเดียวที่มีพลังมานาเท่ากับศูนย์
ใช่...ฟังไม่ผิด เท่ากับศูนย์
ไร้พลัง และอ่อนแอ
ในขณะที่ผู้แข็งแกร่งไขว่คว้าหาอำนาจ เขาทำได้เพียงแค่เดินอยู่ในเงามืด
เส้นทางของเขา ไม่ได้เริ่มต้นจากแสงสว่าง
แต่มันจะจบลง…ด้วยการสะเทือนไปทั้งโลก
“ไม่มีมานา…แล้วยังไงล่ะ?”
สวัสดีครับ TENTENs ครับ
ขอเล่าเรื่องตัวเองนิดหน่อยนะครับ
ผมมีความฝันอยากเขียนนิยายมานานแล้ว ถึงจะเคยลองเขียนแล้วอ่านเองอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มีความกล้าที่จะให้ใครอ่านสักที
จนในที่สุดก็ตัดสินใจที่จะเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา เป็นเรื่องใหม่ที่เขียนเองแต่งเองทั้งหมด ด้วยความตั้งใจจริงมากๆ หวังว่าทุกคนจะชอบกันนะครับ
โดยนิยายเรื่องนี้ เป็นนิยายรายตอนที่จะมีเนื้อเรื่องที่ยาวพอสมควร ผมจะพยายามอัพตอนใหม่ให้ได้ อาทิตย์ละ 3 ตอน เป็นอย่างน้อย ด้วยความที่ภาระหน้าที่ค่อนข้างเยอะ อาจจะเขียนได้ช้าไปบ้าง แต่สัญญาว่าจะไม่มีวันหยุดเขียน ตราบใดที่ยังมีคนรออ่านอยู่ แม้เพียงคนเดียวก็ตามครับ
ด้วยความที่ผมเป็นมือใหม่ ถ้าผิดพลาดอะไรตรงไหน ต้องขออภัยมากๆ และสามารถติชมกันได้เต็มที่เลยนะครับ
ขอฝากนิยายเรื่องนี้ไว้ในหัวใจทุกคนด้วยนะครับ ขอบคุณครับ
“ท่านเทพเจ้า!!”
เสียงร้องดังก้องไปทั่วผืนป่า ชาวบ้านในชุดหนังสัตว์ต่างก้มหน้าลงกับพื้น ทุกคนตัวสั่น กราบไหว้ร่างที่ลอยกลางอากาศ
ร่างสูงใหญ่สีดำทะมึน ปีกค้างคาวอันใหญ่แผ่เงาครอบคลุมไปทั่วทั้งหมู่บ้าน
“ท่านเทพเจ้า...”
ออร์เดกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เขาคลานออกมาช้าๆ คุกเข่าลงจนหัวแตะพื้น
“ข้าออร์เด พร้อมรับใช้ท่าน”
ร่างนั้นนิ่งเงียบ เพียงแค่จ้องมองลงมาด้วยดวงตาสีแดงเพลิง จากนั้นเสียงแหบต่ำทรงอำนาจก็ดังขึ้น
“ข้าต้องการหนึ่งชีวิตมาอยู่กับข้า”
ออร์เดกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะเปล่งเสียงอันหนักแน่นออกมา
“ท่านเทพเจ้า...โปรดเลือกตามสบายเถิด”
สายตาแห่งความมืดกวาดไปทั่วหมู่บ้าน ชั่วขณะที่มองผ่าน ไม่มีใครกล้าส่งสายตากลับแม้แต่คนเดียว
จนกระทั่ง...
“เด็กคนนั้น”
เสียงของมันกระแทกลงราวสายลมหนาวที่บาดลึก นิ้วมือของมันชี้ไปที่เด็กสาวที่ก้มกราบอยู่ด้านหลัง
“ไม่!!”
ออร์เดโพล่งออกมาในทันที ดวงตาเบิกกว้างอย่างสิ้นหวัง
“เธอเป็นหลานเพียงคนเดียวของข้า!! เพิ่งอายุได้สิบขวบเท่านั้นเอง ท่านเทพเจ้า...ได้โปรดเปลี่ยนใจด้วยเถิด!”
“นั่นคือคำขัดขืน?”
เสียงแหบต่ำกล่าวช้าๆ ทุกคนพลันสะดุ้ง ราวกับได้ฟังคำพิพากษาแห่งความตาย
ชาวบ้านเริ่มแตกตื่น เสียงกระซิบและคร่ำครวญดังขึ้นทั่วหมู่บ้าน ออร์เดรีบวิ่งไปหาหลานสาวตัวน้อย โอบรัดตัวเด็กหญิงไว้แน่น หยาดน้ำตาไหลอาบแก้มทั้งสองข้าง
“ไอลา...”
“ปู่!!”
ไอลากอดตอบ ร้องไห้อย่างสะอึกสะอื้น
“ไอลาไม่อยากไป...ไอลากลัว...”
ร่างสีดำขยับในอากาศ เพียงฝ่ามือสะบัดลงมา ลำแสงสีดำก็พุ่งทะลวง
เปรี้ยง!!
พื้นตรงหน้าออร์เดถูกลำแสงสีดำเฉือน จนเกิดเป็นรอยลึก
“...!!?”
“หากขัดขืนข้า...ครั้งต่อไปมันจะเฉือนลงที่ร่างของพวกเจ้า”
ทันทีที่พูดจบ มันโฉบลงมาพร้อมคว้าร่างของไอลาไว้ในมืออย่างรวดเร็ว เสียงกรีดร้องของเด็กหญิงทำให้หัวใจของทุกคนแทบแตกสลาย
“เรย์!! ช่วยด้วย!!!”
เสียงของเธอกระแทกเข้าหัวใจของเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ในกรงไม้เก่าๆ กลางหมู่บ้าน
ปัง!!
กรงไม้ระเบิดออกด้วยแรงมหาศาล เศษไม้กระเด็นกระดอนไปทั่ว ราวกับแรงระเบิดอัดอากาศ
ทุกสายตาหันไปพร้อมกัน
ภาพร่างของชายหนุ่มผมสีดำในเสื้อคลุมเก่าเปื้อนดินก้าวออกมาช้าๆ ใบหน้าเขาเรียบนิ่ง ดวงตาวาววับด้วยความโกรธ
“วางเธอลง”
เสียงของเขาดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัด
เทพเจ้าหันขวับลงมา สายตาแคบลงอย่างระแวง
“มนุษย์? เจ้าเป็นใคร?”
มันขมวดคิ้วทันทีที่เห็นสีผิวของเรย์
“เจ้าไม่ใช่คนที่นี่!”
“ฉันบอกให้วางเธอลง”
เมื่อสิ้นคำ ออร่าดำสนิทก็พวยพุ่งจากร่างของเรย์ราวกับภูเขาไฟระเบิด แรงกดดันกระแทกทุกสิ่งรอบตัวจนหญ้าเตี้ยๆ ฟุบราบไปกับพื้น อากาศหนาวเย็นราวกับถูกแช่แข็ง
ร่างเทพเจ้าหยุดนิ่งกลางอากาศ ตกใจจนเผลอลอยถอยหลัง
“พลังอสูร!? ไม่สิ...นั่นมัน...พลังอสูรบริสุทธิ์!! เจ้าเป็นใครกันแน่!?”
มันสั่นเครือไปทั้งตัว ดวงตากวาดมองพลังดำที่แผ่จากเรย์
“ระ...หรือว่า...องค์มหาอสูรทั้งสิบสอง...ส่งท่านมางั้นหรือ?”
เรย์ขมวดคิ้ว
“องค์มหาอสูร...ทั้งสิบสอง?”
เทพเจ้าปลอมหน้าซีดในทันที มันค่อยๆ ร่อนลงพื้น คุกเข่าข้างหนึ่งอย่างหวาดกลัว มืออีกข้างยังหิ้วไอลาอยู่
“หรือว่า...เป็นท่านคราดิฟาที่ส่งท่านมา?”
“คราดิฟา?”
เรย์ทวนอย่างงุนงง แต่แววตานั้นยังคงทรงพลัง
“ขะ...ข้า...อสูรทูต ‘ดารุกซ์’ น้อมรับบัญชา! หากท่านประสงค์สิ่งใด จงสั่งข้า!”
สถานการณ์กลับตาลปัตรในพริบตา ชาวบ้านต่างหันมองหน้ากันอย่างสงสัย เหตุใดเทพเจ้าถึงก้มลงคุกเข่าให้กับมนุษย์ผิวขาวตรงหน้า
เรย์นิ่งเงียบ
‘นี่มันเข้าใจผิดว่าฉันเป็นเจ้านายงั้นเหรอ?’
สมองของเขาประมวลผลอย่างรวดเร็ว
‘เล่นตามน้ำไปก่อนแล้วกัน ‘
“วางเด็กคนนั้นไว้ แล้วไปซะ และห้ามกลับมาที่นี่อีก!”
ดารุกซ์พยักหน้าโดยไม่ลังเล
“รับบัญชา!”
มันค่อยๆ วางร่างเด็กหญิงลง ก่อนจะบินถอยหลังออกไปอย่างเงียบๆ
ไอลาร้องไห้สะอึกสะอื้น วิ่งไปหาเรย์ทันที
“เรย์!!!”
เด็กหญิงโผเข้ากอดเขาแน่น เรย์กอดตอบอย่างอ่อนโยน
“ไม่เป็นไรแล้วนะ...ไม่ต้องกลัว”
แต่ก่อนที่ทุกอย่างจะสงบลง
“นี่ท่าน...!”
ดารุกซ์ชะงักไป
“เหตุใดท่านถึง...สวมกอดมนุษย์ไร้ค่า? และ...แสดงความอ่อนโยนเช่นนั้น?”
“......”
เรย์เงียบ
เงียบไปชั่วอึดใจหนึ่ง
สายลมรอบตัวแปรเปลี่ยน
ดารุกซ์ชะงัก มันขมวดคิ้วแน่น แล้วคำถามแห่งความสงสัยก็พ่นออกมา
“...ไม่มีเหตุผลใดเลยที่องค์มหาอสูรต้องพึ่งพามนุษย์...เว้นแต่ว่า!!”
เสียงของมันดังลั่นไปทั่วผืนป่า
“นี่เจ้า...!! บังอาจโกหกข้าอย่างงั้นหรือ!?”
ครื่นนนน...!!
ออร่าสีเทาดำขนาดใหญ่ปะทุขึ้นกลางท้องฟ้า เสียงดังสนั่น ราวกับเทพเจ้าแท้จริงกำลังพิโรธ
ออร์เดทรุดตัวลง ก้มหน้าผากติดพื้นทันที
“ท่านเทพเจ้ากำลังโกรธ!! ขอจงให้อภัยย!!”
ชาวบ้านคนอื่นๆ รีบพูดตามอย่างลนลาน
“ขอจงให้อภัย!! ขอจงให้อภัย!!”
“เทพเจ้าบ้าอะไร!!”
เรย์ตะโกนลั่น
“พวกนายโดนมันหลอกแล้ว! มันไม่ใช่เทพเจ้า แต่มันคืออสูร!”
เขาก้มลงมองหน้าเด็กหญิง
“ไอลา! พาทุกคนหนีไปก่อน!”
“แต่ว่า...ท่านเทพเจ้ากำลังโกรธ!”
“ไอ้นั่นมันไม่ใช่เทพเจ้าหรอกนะ!! เชื่อฉัน!”
ไอลากัดฟันทั้งน้ำตา
“ทุกคน!! หนีไป!!”
เปรี้ยง!!
ลำแสงสีดำผ่าลงกลางหมู่บ้าน
เสียงกรีดร้องของชาวบ้านดังระงมไปรอบป่า
“ไอ้มนุษย์...”
ดารุกซ์คำราม ดวงตาสีแดงเรืองสว่างใต้ใบหน้าที่เหมือนกับสัตว์ร้าย ผิวหนังสีเทาหนาแน่นเต็มไปด้วยรอยแตกคล้ายหินผุ ปีกค้างคาวที่กางออกเบื้องหลังบดบังแสงจันทร์จนมืดมิด
“เจ้าบังอาจหลอกข้า!”
“ไม่ได้หลอก...”
เรย์ก้าวออกจากซากกรงไม้ที่แตกละเอียด ออร่าดำไหลเวียนรอบร่างราวกับเปลวไฟที่มีชีวิต
“แกมันบ้าไปเองทั้งนั้น...”
ดวงตาของเขาจับจ้องอสูรบนฟ้าอย่างไม่กะพริบ
“คนจากหมู่บ้านที่แกเอาไป ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง?”
ดารุกซ์หัวเราะลั่น
“ก็ตายหมดแล้วน่ะสิ...พวกของเล่นไร้ค่า”
เรย์กัดฟันแน่น แววตาเต็มไปด้วยไฟแห่งความโกรธ
“แกต้องตาย ด้วยมือฉัน...”
ยังไม่ทันสิ้นประโยค ลำแสงสีดำก็พุ่งฟาดลงจากฟากฟ้าราวอัสนีแห่งนรก พุ่งตรงใส่เขาอย่างฉับพลัน
เรย์ไม่คิดหลบ หนึ่งหมัดเคลือบด้วยพลังอสูรบริสุทธิ์สีดำถูกเหวี่ยงสวนออกไปด้วยสัญชาตญาณ
เปรี้ยงงง!!!
เสียงระเบิดสะเทือนป่าดังขึ้นเมื่อสองพลังปะทะกันกลางอากาศ
แรงอัดกระแทกกระจายออกเป็นวงกว้างจนพื้นสั่นสะเทือน ทว่าทุกสิ่งสงบนิ่งลงในพริบตา ลำแสงสีดำถูกทำลายจนสิ้น...เหลือเพียงหมัดของเรย์ที่ยังชูค้างอยู่ ท่ามกลางเถ้าควัน
พริบตานั้น ดารุกซ์พุ่งเข้ามาเร็วกว่าเสียงลมฉีกทะลุอากาศ กรงเล็บสีดำกวาดตรงเข้ามายังลำคอของเรย์
ฉัวะ!
กรงเล็บเฉียดลำคอเพียงปลายเส้นผม เมื่อเรย์เอนตัวหลบพอดิบพอดี สัญชาตญาณการต่อสู้ที่เสริมด้วยพลังอสูร ทำให้เขาคาดการได้ก่อนการโจมตีจะเกิดขึ้น
เรย์ดีดตัวขึ้นกลางอากาศ หมุนตัวเตะกลับอย่างแม่นยำ
เปรี้ยงง!!
เท้าของเขากระแทกเข้าที่กรามดารุกซ์จนร่างลอยไถลไปชนกับต้นไม้ใหญ่เสียงดังสนั่น เปลือกไม้แตกกระจาย แต่ไม่ทันไร
“กร๊าซซซ!!”
ดารุกซ์คำราม ปีกฟาดแรงจนพื้นหญ้าทั้งแนวปลิวกระจาย มันทะยานกลับขึ้นบนอากาศอย่างบ้าคลั่ง ความมืดในป่าถูกกลืนโดยคลื่นความกดดันรุนแรงจนนกสัตว์แตกตื่นกระเจิดกระเจิง
“เจ้า...เป็นเพียงมนุษย์...เหตุใดถึงมีพลังของอสูรได้!?”
มันกัดฟันแน่น เส้นเลือดบนหน้าผากเต้นตุบ
“แถมยังเป็นพลังอสูรที่บริสุทธิ์ ราวกับ...”
ดวงตาของมันเบิกโพลง สะท้อนภาพของเรย์ที่ยังคงยืนสงบ ผมปลิวไหวในกระแสลมอันบ้าคลั่ง สายตานิ่งเฉียบ
“นั่นก็เป็นเรื่องที่ฉันอยากรู้เหมือนกัน...”
เรย์ตอบนิ่ง
ดารุกซ์คำรามลั่น ก่อนจะพุ่งพรวดลงมา กรงเล็บคมกริบของมันจะแทงเข้าที่อกของเรย์ แต่...
หมัดของเรย์เสริมพลังอสูรทะลุอากาศมารับไว้ทัน กรงเล็บและหมัดปะทะกันกลางอากาศ เกิดเสียงระเบิดลั่นราวกับฟ้าฟาด
เปรี้ยง!!
แรงสั่นสะเทือนพัดใบไม้ปลิวว่อน ร่างของทั้งสองกระเด็นออกจากกัน ทว่าเรย์ยังไม่ทันจะได้ตั้งหลักดี ดารุกซ์ก็บุกเข้าใส่อีกระลอก ร่างอสูรพุ่งมาด้วยความเร็วเหนือเสียง กรงเล็บฉีกผ่านอากาศตรงเข้าที่ไหล่
ฉั่วะ!!
“อั่กก!!”
เลือดสาดกระเซ็นเป็นทาง บาดแผลลึกฉีกผ่านหัวไหล่ของเขาจนถึงต้นแขน เรย์สะดุดชะงักเพราะความเจ็บปวดแล่นวาบ ก่อนจะกัดฟันฝืนร่าง เอี้ยวตัวหลบการโจมตีต่อเนื่องของมันอย่างทุลักทุเล
มันยิ้มเยาะ ราวกับกำลังได้ใจ
“พลังอสูรของเจ้า แม้จะบริสุทธิ์...แต่ร่างกายของเจ้าก็เป็นเพียงมนุษย์ที่แสนจะอ่อนแอ!”
ดารุกซ์ตะโกนกร้าว รอยยิ้มเหยียดปรากฏบนใบหน้า
“ข้าคืออสูรทูตที่อยู่มายาวนานหลายศตวรรษ แข็งแกร่งกว่าพวกมนุษย์ชั้นต่ำอย่างเจ้า!”
ทันใดนั้นเอง...
ฟุบ!!
เรย์รีดเร้นออร่าอย่างรุนแรง เขาหายวับไปจากสายตาด้วยความเร็วราวสายฟ้า
ไปปรากฏขึ้นเบื้องหลังของมัน
“แล้วถ้าเป็นพลังของอสูร...ที่รวมกับพลังของเทพล่ะ?”
เขากระซิบ
ดารุกซ์หันขวับมาแทบไม่ทัน
“วงแหวนที่หนึ่ง...”
เป็นน้ำเสียงที่เย็นเยือก
“เพลิงดับสูญ”
ซู่มมมมม...
วงแหวนดำทมิฬปรากฎขึ้นในพริบตา ก่อนที่เปลวไฟสีดำสนิทจะปะทุขึ้น กลืนกินร่างของดารุกซ์ในทันที
เสียงแผดเผาอันน่าสยดสยองดังลั่น กลิ่นเนื้อไหม้ฟุ้งกระจายไปทั่ว
“อ๊ากกกกกกก!!!”
ดารุกซ์กรีดร้องด้วยความเจ็บปวด
“วะ...วงแหวน...นั่นมันเป็นวงแหวนของอสูร!!?”
มันดิ้นทุรนทุรายอย่างบ้าคลั่ง เปลวไฟสีดำลามไปทั่วร่างมันไม่หยุด
“เป็นไปไม่ได้!! เจ้า...เจ้ามีวงแหวนอสูรได้ยังไง!? นั่นมัน...อ๊ากกกกก!!”
มันบินขึ้นท้องฟ้าด้วยแรงทั้งหมด โกรธจัดจนเสียสติ สบถรัวเป็นภาษาอสูร ก่อนที่สายตาของมันจะมองไปยังเงามืดเบื้องหลังต้นไม้
ในขณะที่ร่างกำลังลุกลามไปด้วยเปลวเพลิงสีดำ ดวงตาแดงก่ำของมันจับจ้องไปที่ร่างของไอลาและออร์เด ที่กำลังกอดกันแน่นอย่างหวาดกลัว
“ไอ้พวกมนุษย์ไร้ค่า...!!!”
มันคำรามครั้งสุดท้าย ก่อนจะสิ้นใจ
ซู่มมมม...
ร่างของมันระเบิดออกด้วยพลังทั้งหมด ก่อตัวเป็นลำแสงสีดำเข้ม พุ่งตรงไปยังสองร่างที่ไร้พลัง
พวกเขาทำได้เพียงหลับตาแน่น รอรับความตาย ด้วยความหวาดกลัว
“ไอลา!!”
เรย์ตะโกน
เขาทะยานพุ่งตามด้วยแรงทั้งหมดที่เหลืออยู่ แต่...
สายไปเสียแล้ว...
ฉึกกก!
เสียงแหลมคมของบางสิ่งทะลวงผ่านเนื้อหนัง...แล้วทุกอย่างก็เงียบงัน
“......”
เด็กหญิงตัวน้อยที่ร่างกำลังสั่นเทา เงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ ดวงตาเปียกชื้นไปด้วยคราบน้ำตา ก่อนจะเบิกกว้างด้วยความตกตะลึง
ร่างของเรย์...ยืนบังพวกเขาอยู่ตรงหน้า
ลำแสงสีดำแทงทะลุจากหลังทะลวงถึงหน้าท้อง เลือดสีเข้มไหลทะลักจากปากแผล
“แค่ก...”
เขากระอักเลือดคำโต ก่อนจะทรุดลงกับพื้น ดวงตาสั่นระริก มือกุมท้องที่พรุนจนมองทะลุได้
“เรย์!!!”
ไอลากรีดร้องวิ่งเข้ามากอดเขา
“เรย์! อย่าตายนะ!! ได้โปรด...”
เสียงของเธอสั่นเครือ น้ำตาไหลพรากไม่หยุด
เรย์กระอักเลือดอีกครั้ง ร่างกายเย็นเฉียบ เริ่มไร้การตอบสนอง
เสียงของเรมไนร์ดังแผ่วในหัวของเรย์
[ดูดกลืนมานา! ดูดกลืนมานา!]
ทว่า...กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
[ไม่! แย่ล่ะสิ...ศพของมันอยู่ไกลเกินไป]
เสียงของเรมไนร์ฟังดูร้อนรนกว่าครั้งไหน
[เรย์! เจ้าอย่าเพิ่งตายนะ! ข้าจะรวบรวมมานาเพื่อรักษาเจ้าเอง!]
ทว่า...ลมหายใจของเรย์ค่อยๆ แผ่วลง...แผ่วลง
ทุกอย่างกำลังจะสายไป
ไอลาร้องไห้แทบขาดใจ เธอเบิกตา ก่อนจะตัดสินใจพุ่งวิ่งไปที่แท่นหินศักดิ์สิทธิ์ซึ่งตั้งอยู่กลางหมู่บ้าน
มือเล็กๆ เอื้อมหยิบ ‘มงกุฎเถาวัลย์’ ที่วางอยู่บนต้นไม้ ก่อนจะวิ่งกลับมาหาเรย์ด้วยแรงสุดท้าย
เธอวางมงกุฎไว้บนหน้าอกของเรย์
“ท่านต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์! ได้โปรด...รักษาเรย์ที!”
ออร์เดที่ยืนมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างกระวนกระวาย ใจเต้นระรัว ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและสิ้นหวัง เขากำหมัดแน่น ก่อนจะค่อยๆ ทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้น
“ได้โปรด...รักษาเขาด้วยเถิด...”
เสียงตะโกนของเขาดังสะท้านไปทั่วแนวต้นไม้
ชาวบ้านที่เคยหลบซ่อนอยู่ตามเงาไม้ ทีละหนึ่งคน...สองคน...สามคน
พวกเขาค่อยๆ เดินออกมาทีละคนด้วยสีหน้าหวาดหวั่นแต่แน่วแน่
ท่ามกลางความเงียบของป่าอันเยือกเย็น พวกเขาทุกคนต่างคุกเข่าลง
หัวใจทุกดวงแนบพื้น
ศีรษะก้มต่ำ
เสียงของพวกเขาประสานกันดังกึกก้อง
“ท่านต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์...โปรดรักษาเขาด้วยเถิด”
เสียงนั้นมิใช่เพียงคำวิงวอน
แต่มันคือความหวังสุดท้ายของหมู่บ้าน
คือความกตัญญูที่มีต่อชายแปลกหน้าผู้นี้
คือเสียงของหัวใจหลายสิบดวงรวมเป็นหนึ่งเดียว
“ขอจงรักษาผู้มีพระคุณของเรา...”
และในวินาทีนั้นเอง
มงกุฎที่อยู่บนอกของเรย์...ค่อยๆ เปล่งแสงออกมา
ร่างของเรย์ ถูกห่อหุ้มด้วยแสงเรืองรองสีทองอ่อนอย่างช้าๆ ซึมเข้าสู่บาดแผลที่เปิดกว้าง
แต่...
เลือดยังคงไหลไม่หยุด รอยแผลยังไม่สมาน
พลังรักษานั้น...
มันเบาบางเกินไป
“ไม่...ไม่นะ...”
ไอลาสะอื้น
“ได้โปรด...เรย์...อย่าตายนะ!”
เธอสวมกอดร่างของเรย์ที่กำลังจะไร้ลมหายใจ แขนเล็กๆ นั้นสั่นระริก กอดแน่นราวกับกลัวว่าหากเธอปล่อยมือ ร่างของเขาจะเย็นชืดลงตลอดกาล
เสียงสะอื้นของเด็กหญิงดังสะท้อนท่ามกลางความเงียบงัน
และในห้วงพริบตานั้นเอง...
เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น...
ชัดเจนในหัวของไอลา...
เธอรู้สึกได้ทันที ว่ามันคือเสียงของมงกุฎ
เป็นเสียงของหญิงสาว...โอบอ้อมอารี อ่อนโยนราวแสงจันทร์บนผิวน้ำ เสียงที่ทั้งอบอุ่น สงบ แต่เปี่ยมไปด้วยพลัง
เสียงที่เหมือนมาจากฟากฟ้าอันไกลโพ้น ดังก้องอยู่ในหัวของเด็กหญิงเปื้อนคราบน้ำตา
“จงสวมข้า”