“เขาคือเด็กหนุ่มเพียงคนเดียวที่มีค่ามานาเป็นศูนย์ ท่ามกลางผู้ใช้เวทนับล้าน ในโลกที่พลังคือทุกสิ่ง… เขาจะล้มล้างทุกกฎที่ขวางทางเพื่อไต่ขึ้นไปสู่จุดสูงสุด”
แฟนตาซี,แอคชั่น,ผจญภัย,ยุคปัจจุบัน,ไทย,โรงเรียนเวทมนตร์,พระเอกเทพ,เทพ ,พลังวิเศษ,พระเอกเก่ง,เวทมนตร์,ผจญภัย,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Mana Zero : กำเนิดราชันไร้พลัง“เขาคือเด็กหนุ่มเพียงคนเดียวที่มีค่ามานาเป็นศูนย์ ท่ามกลางผู้ใช้เวทนับล้าน ในโลกที่พลังคือทุกสิ่ง… เขาจะล้มล้างทุกกฎที่ขวางทางเพื่อไต่ขึ้นไปสู่จุดสูงสุด”
ในโลกที่มานาคือทุกสิ่ง มันเป็นพลังที่มีไว้เพื่อต่อสู้ ดำรงอยู่ และไต่ขึ้นสู่จุดสูงสุด
แต่เขากลับเป็นมนุษย์คนเดียวที่มีพลังมานาเท่ากับศูนย์
ใช่...ฟังไม่ผิด เท่ากับศูนย์
ไร้พลัง และอ่อนแอ
ในขณะที่ผู้แข็งแกร่งไขว่คว้าหาอำนาจ เขาทำได้เพียงแค่เดินอยู่ในเงามืด
เส้นทางของเขา ไม่ได้เริ่มต้นจากแสงสว่าง
แต่มันจะจบลง…ด้วยการสะเทือนไปทั้งโลก
“ไม่มีมานา…แล้วยังไงล่ะ?”
สวัสดีครับ TENTENs ครับ
ขอเล่าเรื่องตัวเองนิดหน่อยนะครับ
ผมมีความฝันอยากเขียนนิยายมานานแล้ว ถึงจะเคยลองเขียนแล้วอ่านเองอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มีความกล้าที่จะให้ใครอ่านสักที
จนในที่สุดก็ตัดสินใจที่จะเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา เป็นเรื่องใหม่ที่เขียนเองแต่งเองทั้งหมด ด้วยความตั้งใจจริงมากๆ หวังว่าทุกคนจะชอบกันนะครับ
โดยนิยายเรื่องนี้ เป็นนิยายรายตอนที่จะมีเนื้อเรื่องที่ยาวพอสมควร ผมจะพยายามอัพตอนใหม่ให้ได้ อาทิตย์ละ 3 ตอน เป็นอย่างน้อย ด้วยความที่ภาระหน้าที่ค่อนข้างเยอะ อาจจะเขียนได้ช้าไปบ้าง แต่สัญญาว่าจะไม่มีวันหยุดเขียน ตราบใดที่ยังมีคนรออ่านอยู่ แม้เพียงคนเดียวก็ตามครับ
ด้วยความที่ผมเป็นมือใหม่ ถ้าผิดพลาดอะไรตรงไหน ต้องขออภัยมากๆ และสามารถติชมกันได้เต็มที่เลยนะครับ
ขอฝากนิยายเรื่องนี้ไว้ในหัวใจทุกคนด้วยนะครับ ขอบคุณครับ
ท่ามกลางม่านฝนโปรยปราย เสียงหยดน้ำที่กระทบใบไม้ดังก้องปะปนกับกลิ่นคาวเลือดที่ยังอวลอยู่ในอากาศ ร่างของกริฟฟอนขนาดมหึมานอนแน่นิ่งสนิทอยู่กลางที่กว้างในป่าทึบ
เรย์ยืนมองมันอยู่เงียบๆ สายตานิ่งสงบ
‘เรมไนร์...นายอย่าเพิ่งดูดกลืนมานาตอนนี้นะ ไม่งั้นทุกคนได้แตกตื่นแน่’
[......]
อัลล์หันมามองเรย์ ความสงสัยฉายชัดในแววตา ก่อนจะถามเสียงแผ่ว
“คุณเรย์...คุณเป็นใครกันแน่ครับ?”
“......”
ทันใดนั้น เสียงเจ้าหน้าที่ก็ตะโกนขึ้นอย่างตื่นตระหนก
“คุณอัลล์ครับ! แย่แล้วครับ!!”
อัลล์กับเรย์รีบวิ่งไปยังเจ้าหน้าที่และนักบินที่กำลังปฐมพยาบาลให้ทหารอยู่ เขานอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เปื้อนเลือดแทบทั่วทั้งตัว
“บาดแผลลึกถึงกระดูก เขาเสียเลือดมาก...”
เจ้าหน้าที่พูดเสียงสั่น
“...ทำยังไงดีครับ!?”
อัลล์กัดฟันแน่น ใบหน้าเคร่งเครียดขณะพึมพำออกมาเบาๆ
“แย่ล่ะสิ...”
เขาหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาตรวจสอบ สัญญาณเงียบสนิท ไร้คลื่น ไร้ความหวัง
“เราต้องรอจนกว่าจะมีคนมาช่วยเหรอครับ?”
เรย์ถามขึ้นท่ามกลางความตึงเครียด
อัลล์ส่ายหน้า สีหน้าหนักอึ้ง
“ไม่มีใครมาช่วยเราหรอกครับ...”
เรย์ขมวดคิ้วในทันที
“ถ้ารัฐบาลเห็นว่าฮอระเบิด พวกเขาน่าจะส่งทีมออกค้นหาทันทีไม่ใช่เหรอครับ?”
อัลล์ก้มหน้าเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นปนรู้สึกผิด
“แผนการในครั้งนี้...ผมตัดสินใจทำด้วยตัวเองครับ รัฐบาลไม่รู้เรื่องนี้เลยแม้แต่นิดเดียว”
“หา!?”
อัลล์รีบอธิบายต่อ
“ผมเสนอแผนนี้ไปหลายครั้งแล้ว โดยเฉพาะการใช้พลังของคุณเรย์ในการค้นหาซากเครื่องบิน ถ้ารอให้รัฐบาลอนุมัติหรือส่งคำสั่ง ทุกอย่างจะสายเกินไป หากต้องรอจนถึงตอนนั้น อาจไม่มีใครที่รอดชีวิตเลย...”
เขาพลันก้มศีรษะโค้งลงต่ำ พูดอย่างรู้สึกผิดสุดหัวใจ
“ผมขอโทษครับ...”
เรย์เงียบอยู่ครู่หนึ่ง เขาเข้าใจเหตุผลของอัลล์ ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ
“...ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ”
เขายังไม่ทันพูดจบ
แค่กก!!
ทหารที่นอนอยู่พลันกระอักเลือดคำโต สีหน้าเริ่มซีดเซียว
“ใจเย็นๆ ทำใจดีๆ ไว้นะครับ!”
อัลล์เข้าประคองเขาอย่างระวัง มือกดแผลไว้แน่น
เรย์หันซ้ายหันขวา ดวงตากวาดไปรอบบริเวณป่าที่อึมครึม ก่อนจะพูดขึ้น
“ที่นี่อันตรายมาก...ก่อนอื่น เราต้องไปจากตรงนี้ครับ...ใกล้ๆ นี้มีถ้ำเล็กๆ อยู่”
เขาหันกลับมาสบตาทุกคน น้ำเสียงจริงจัง
“ตามผมมาติดๆ นะครับ ผมจะพาทุกคนเลี่ยงเส้นทางที่มีมอนสเตอร์”
ทุกคนพยักหน้ารับอย่างเคร่งเครียด โดยไม่ต้องรอคำสั่งจากอัลล์ ก่อนจะช่วยกันแบกร่างของทหารบาดเจ็บขึ้นอย่างทุลักทุเล
ทุกคนเคลื่อนไหวรวดเร็ว แม้ร่างจะเหนื่อยล้า แต่สายตาทุกคู่มีเพียงเป้าหมายเดียว...เอาชีวิตรอดให้ได้
เสียงฝีเท้าหนักๆ ดังขึ้นต่อเนื่อง ท่ามกลางสายฝนที่ยังไม่หยุดโปรยปราย ทุกคนเดินแหวกผ่านพงไม้และโคลนเฉอะแฉะ จนในที่สุดเรย์หยุดลงเบื้องหน้าผนังหินใหญ่ซึ่งมีช่องแคบๆ อยู่ตรงกลาง
“ตรงนี้ครับ”
เรย์บอกพลางหันไปมองทุกคน
“ในนี้ปลอดภัย”
ภายในเป็นโพรงมืดสนิทจนไม่สามารถมองเห็นอะไรได้เลย เรย์เป็นคนแรกที่ก้าวเข้าไปอย่างมั่นใจ ก่อนที่อัลล์กับคนอื่นๆ จะทยอยตามเข้ามาด้วยความระมัดระวัง
ไม่นาน อัลล์หยิบของบางอย่างออกมาจากแหวนช่องว่างมิติ มันคือโคมไฟติดผนังรูปแบบเวทมนตร์ เขาติดมันเข้ากับเพดานเตี้ยๆ ของถ้ำ ก่อนที่แสงสว่างอบอุ่นจะสาดกระจายไปทั่วโพรง
โพรงนี้เป็นเพียงถ้ำขนาดเล็ก มีเพียงทางตันอยู่ด้านในเท่านั้น แต่อย่างน้อยก็เพียงพอจะกันลม กันฝน และกันสายตาของมอนสเตอร์ได้
เจ้าหน้าที่กับนักบินช่วยกันวางร่างของทหารที่บาดเจ็บหนักลงตรงมุมหนึ่ง เขาหายใจแผ่วเบา ใบหน้าเริ่มซีดเซียว
นักบินนำผ้าพันแผลออกมาพันซ้ำอย่างเร่งรีบ บาดแผลที่แขนยังคงมีเลือดซึมออกมา
เรย์มองอยู่เงียบๆ ก่อนจะเอ่ยถาม
“ไม่มีใครใช้เวทรักษาได้เลยเหรอครับ?”
อัลล์ส่ายหน้า สีหน้ากังวล
“ผู้ใช้เวทรักษาเป็นอะไรที่หายากมาก ต้องมีมานาธาตุดินและพืชอยู่ในร่างกายพร้อมกัน ซึ่งคนที่มีคุณสมบัตินั้นแทบจะนับคนได้เลยครับ”
บรรยากาศในถ้ำเงียบงัน มีเพียงเสียงหอบหายใจของทหารที่เจ็บหนัก นักบินเงยหน้าขึ้นมาพลางถามเสียงเบา
“เราจะทำยังไงต่อดีครับ? จากตรงนี้...เราไม่มีทางเดินเท้าออกจากป่าได้แน่”
เจ้าหน้าที่อีกคนพูดเสริม
“ดูเหมือนคงต้องรอให้รัฐบาลส่งทีมค้นหามา...แต่ก็ไม่รู้เมื่อไหร่ คงต้องภาวนาให้ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นแล้วล่ะครับ”
เรย์พูดทันที น้ำเสียงมั่นคง
“แบบนั้น...คุณทหารคนนี้ไม่รอดแน่ครับ”
นักบินชะงักไป ดวงตาฉายแววบางอย่างขึ้นมาเหมือนนึกอะไรออก
“ถ้าเราตามหาซากเครื่องบินลำนั้นเจอ...ภายในห้องนักบินจะมีอุปกรณ์ส่งสัญญาณฉุกเฉินอยู่ครับ ถ้าเราซ่อมมันจนใช้งานได้ อาจจะส่งขอความช่วยเหลือไปยังรัฐบาลได้โดยตรงเลยครับ!”
ทุกสายตาในถ้ำเปล่งประกายแห่งความหวังขึ้นมาทันที
เรย์พูดขึ้น
“งั้น...ผมจะออกไปตามหาซากเครื่องบินเองครับ ใครที่ซ่อมอุปกรณ์นั้นได้ ให้มากับผม”
ทุกคนเงียบ...ก่อนจะชี้นิ้วไปทางร่างของทหารที่นอนแน่นิ่งอย่างพร้อมเพรียงกัน
“……”
นักบินเอ่ยเสียงอ่อน
“เขา...เป็นทหารช่างครับ มีแต่เขาคนเดียวที่ซ่อมอุปกรณ์นั่นได้”
เรย์มองไปยังร่างนั้น บาดแผลเต็มตัวของชายคนเดียวที่มีความหวังต่อชีวิตของทั้งกลุ่ม มันแทบไม่มีที่ว่างให้แม้แต่เสี้ยวของความหวัง
เขาเงียบ ก่อนจะพูดกับเรมไนร์ในใจ
‘เรมไนร์ นายใช้มานาของนายรักษาเขาไม่ได้เหรอ?’
เสียงในหัวตอบกลับอย่างราบเรียบ
[ข้าทำแบบนั้นขณะที่อยู่ในร่างของเจ้าไม่ได้หรอก...ข้าใช้เวทรักษาได้แค่กับเจ้าคนเดียวเท่านั้น]
‘......’
[ทำไมเจ้าไม่ลองใช้ ‘มานาธรรมชาติ’ รักษาเขาดูล่ะ?]
เรย์ชะงักในทันที
‘ทำแบบนั้นได้ด้วยเหรอ?’
[เวทรักษาในระดับพื้นฐานประกอบด้วยมานาธาตุดินและพืช ถ้าเจ้าสามารถดึงมานาธรรมชาติที่มีคุณสมบัตินั้นมาใช้ได้ล่ะก็...]
เรย์เบิกตาเล็กน้อย ก่อนจะหันไปยังทุกคนในถ้ำ
“ให้ผมลองอะไรหน่อยครับ”
“......?”
เขารีบเข้าไปนั่งข้างๆ ร่างของทหารในทันที วางมือทั้งสองลงเหนือบาดแผลที่ฉีกขาด เสียงในถ้ำเงียบสนิท ขณะที่ทุกสายตาจับจ้องไปที่เขา
เรย์หลับตา สูดลมหายใจลึก
‘ช่วยสอนฉันที’
เสียงของเรมไนร์พลันดังขึ้น
[จงตั้งสมาธิ...รับรู้ถึงสรรพชีวิตรอบตัว]
[ทุกใบไม้ ทุกหยดน้ำ ทุกเม็ดดิน...ล้วนมีมานาธรรมชาติไหลเวียนอยู่...]
‘ข้ามส่วนที่น่าเบื่อไปเลยได้ไหม?’
[......]
เรย์บ่น ก่อนจะเพ่งสมาธิสูงสุด ลมหายใจนิ่งสนิท เขารู้สึกได้ถึงมานาธาตุต่างๆ รอบกายเป็นอย่างดี
[ในมานาธาตุดินและพืช จงรวบรวมเฉพาะคุณสมบัติของการ ‘เยียวยา’ และ ‘ฟื้นฟู’ มาไว้ที่ฝ่ามือ ปรับการไหลเวียนของมานาที่แยกตัวกัน ให้รวมเป็นหนึ่ง]
[จากนั้น...ปล่อยมันลงไปทีละน้อย เหมือนสายน้ำที่ค่อยๆ ซึมผ่านดินแห้ง]
“......”
เรย์ทำมันได้ในทันที พลังอสูรที่อยู่ในร่างทำให้เขายึดมานาธรรมชาติมาเป็นของตัวเองได้อย่างง่ายดาย
เขาเปิดตาขึ้นช้าๆ มือของเขาส่องแสงสีเขียวจางๆ แสงนั้นอ่อนโยนและอบอุ่นผิดกับออร่าดำของเขาราวกับเป็นคนละคน
“...!!?”
ทุกคนในถ้ำมองอย่างตื่นตะลึง
“วะ...เวทรักษา!!?”
“ดะ...ได้ยังไง!?”
อัลล์มองเรย์อย่างตะลึงงัน สายตาจับจ้องแสงสีเขียวในมือเขา ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา
“แต่เวทรักษานั่น...ดูเหมือนจะบางเบาเกินไป คงรักษาบาดแผลระดับนี้ไม่ได้แน่ครับ”
“......”
[ต่อให้ปริมาณมานาจะน้อย แต่ถ้าในจังหวะนี้ เจ้าควบรวมมานาธาตุแสงเข้าไปด้วยล่ะก็...]
วาบบบ...
ยังไม่ทันที่เรมไนร์จะพูดจบ เรย์ก็ทำตามได้ในทันที
พลังแสงสว่างบริสุทธิ์พลันวาบขึ้นที่ฝ่ามือ สีเขียวจางเปลี่ยนเป็นประกายเรืองรองเจิดจ้า แสงนั้นสว่างนุ่มละมุนราวกับแสงอรุณแรกในยามเช้า
ทุกคนในถ้ำสะดุ้งกับการเปลี่ยนแปลงฉับพลันนั้น
“นะ...นั่นมัน…เวทรักษาระดับสูง!?”
เรย์เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะพูดเสียงนิ่ง
“ผมทำได้แค่นี้ครับ...ถึงปริมาณมานาจะน้อย และพลังเวทจะบางเบามากๆ แต่ถ้าทำต่อเนื่องนานพอ...ผมน่าจะรักษาเขาได้แน่”
อัลล์ขมวดคิ้วแน่น เขามองเรย์อย่างจริงจัง
“ทำได้ยังไงครับ...? คุณไม่มีมานาเลยแม้แต่นิดเดียว...แต่กลับใช้เวทมนตร์ได้ แถมยังเป็นเวทรักษาระดับสูง...”
แววตาของเขาสั่นคลอนไปด้วยความสงสัย
“...แล้วยังเรื่องการต่อสู้ก่อนหน้านี้อีก ทั้งออร่าสีดำนั่น...ทั้งการเคลื่อนไหวแบบนั้น...?”
ทุกคนเงียบ เฝ้ารอคำตอบจากเด็กหนุ่มอย่างใจจดใจจ่อ
เรย์นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยอมตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ
“...มันเป็นพลังของผมครับ ผมคงบอกได้แค่นี้”
“......”
อัลล์นิ่งไป เขาพ่นลมหายใจเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ
“เป็นความลับสินะครับ”
เรย์ยิ้มบางๆ
“คุณคงไม่คิดจะใช้วิซสะกดจิตกับผมให้พูดความจริงใช่ไหมครับ?”
อัลล์หลุดหัวเราะเบาๆ ก่อนจะส่ายหน้า
“ผมไม่มีวันทำแบบนั้นกับคุณเรย์หรอกครับ”
ทันใดนั้น ร่างที่นอนแน่นิ่งของทหารพลันขยับเบาๆ เปลือกตาเปิดขึ้นช้าๆ
“อึ่ก...”
เขามองเรย์ด้วยแววตาพร่ามัว น้ำตาแห่งความซาบซึ้งหยดหนึ่งค่อยๆ ไหลออกจากหางตา ก่อนจะเอื้อมมืออีกข้างมาจับแขนเรย์
“......”
เขาพูดเสียงแหบพร่า และแผ่วเบา
“ขอบคุณมากนะครับ...ขอบคุณ...”
เรย์นิ่งอึ้งไป
เขาเคยเป็นแค่เด็กธรรมดาคนหนึ่ง ผู้ไร้ซึ่งมานา ไม่มีคุณสมบัติใดๆ ที่จะยืนอยู่ในโลกที่ทุกอย่างตัดสินกันด้วยพลัง
ทว่าในตอนนี้...เขากำลังช่วยชีวิตคนคนหนึ่งไว้ ด้วยสองมือของเขาเอง
รอยยิ้มอ่อนโยนพลันผุดขึ้นบนใบหน้าของเขาอย่างช้าๆ
“ไม่เป็นไรครับ...นอนพักเถอะครับ”
[...ทำหน้าแบบนั้นก็เป็นด้วยเรอะ?]
เสียงเรมไนร์ดังขึ้นในหัวอย่างขบขัน
‘หุบปากน่า!’
เมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลายลง ทุกคนต่างถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งด้วยความอ่อนล้า
อัลล์ทรุดตัวนั่งลงข้างเรย์ เขามองเด็กหนุ่มที่ยังคงใช้เวทรักษาต่อเนื่องไม่หยุด แล้วพูดขึ้นเบาๆ
“ขอบคุณนะครับ...ถ้าไม่มีคุณเรย์ เราคงตายกันหมดแล้ว...อึ่ก...”
เลือดสีแดงค่อยๆ ไหลซึมออกจากไหล่
“แผลของคุณ!?”
“ผมไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องห่วง”
“ผมจะรักษาให้ครับ”
เรย์ยื่นมืออีกข้างออกไปอย่างมั่นใจ ก่อนจะยิ้มบางๆ
“ผมมีสองมือครับ...รักษาได้ทีละสองคน”
อัลล์หลุดยิ้ม ก่อนจะพยักหน้า
“ขอบคุณครับ”
เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง เสียงฝนยังคงตกกระทบพื้นดินด้านนอกถ้ำไม่หยุด เมื่อยามราตรีมาเยือน ภายนอกนั้นมืดสนิทจนมองออกไปไม่เห็นสิ่งใด
บาดแผลของทหารดีขึ้นมาก จนไม่ต้องกังวล ส่วนบาดแผลของอัลล์ที่ไหล่...แทบจะหายเป็นปกติ
ในขณะที่นักบินกับเจ้าหน้าที่ผลอยหลับไปแล้ว
อัลล์นั่งอยู่ข้างๆ เรย์ เฝ้ามองเด็กหนุ่มที่ยังคงใช้เวทรักษาบางเบาต่อเนื่องมานานหลายชั่วโมงโดยไม่ได้หยุดแม้แต่นาทีเดียว
แววตาของเขาแฝงไปด้วยความแปลกใจ...เรย์ไม่แสดงอาการเหนื่อยเลย...แม้แต่นิดเดียว
หากเป็นคนทั่วไปการใช้มานานั้นจะกินพลังในร่างกายเป็นอย่างมาก แต่กับเรย์ เขาอยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์ทุกอย่างที่อัลล์เคยเข้าใจ
เด็กหนุ่มตรงหน้าเขา...มีบางอย่างที่ลึกลับเกินกว่าจะอธิบายได้
ท่ามกลางความเงียบ อัลล์ชักแขนออกจากการรักษาเบาๆ ก่อนจะพูด
“ผมหายแล้วล่ะครับ...ขอบคุณมากนะครับ”
เรย์พยักหน้า แล้วหยิบมีดสีแดงที่เหน็บอยู่ที่เอวของตัวเองออกมา
“เป็นมีดที่ดีมากเลยครับ...ผมคืนให้ครับ”
อัลล์มองมัน ก่อนจะส่ายหน้าเล็กน้อย
“เก็บไว้เถอะครับ”
เรย์ลังเล
“แต่ว่า...”
“มันเหมาะกับคุณมากกว่า ผมยกให้คุณครับ”
เรย์เก็บมีดกลับไว้ที่เอวอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะพูดเสียงเบา
“ขอบคุณนะครับ...คุณให้ของกับผมตลอดเลย ทั้งเงินที่เคยให้ผมในคราวก่อนด้วย...เงินจำนวนนั้นช่วยชีวิตครอบครัวของผมได้มากจริงๆ ครับ”
อัลล์ยิ้มอย่างอบอุ่น
“คุณสมควรได้รับมันครับ...ผมต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายขอบคุณ”
“......”
ความเงียบเข้าปกคลุมอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่อัลล์จะพูดขึ้นอีกครั้ง
“...มนุษย์ถ้ำที่กำจัดเอลเดอร์โทรลล์ที่เหมืองร้าง คือคุณใช่ไหมครับ?”
เรย์ชะงักทันที
อัลล์พูดต่อ
“ตอนนั้นผมแค่สงสัย...แต่ตอนนี้ผมมั่นใจแล้ว”
“......”
เรย์ไม่พูดอะไรไม่ออก ในขณะที่อัลล์มองเขาอย่างเข้าใจ
“ไม่ต้องห่วงครับ ผมไม่ได้บอกใคร”
อัลล์ก้มหน้าลงเล็กน้อย ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“พลังอันน่าหวาดกลัวที่คุณมี...มันทรงพลังจนแม้แต่ผมยังรู้สึกกลัวในตอนแรก”
“......”
“คุณคิดถูกแล้วล่ะครับ ที่พยายามเก็บมันเป็นความลับ...โลกนี้มีคนอยู่หลายประเภท บางคนอาจจะยกย่องชื่นชมคุณ ในขณะที่บางคนอาจจะหวังผลประโยชน์จากคุณ...หรือบางคนอาจจะมองว่าคุณเป็นภัยคุกคาม หากคุณเปิดเผยพลังนั้นโดยไม่ระวัง คุณอาจตกอยู่ในอันตรายได้...รวมถึงครอบครัวของคุณด้วย”
เรย์ฟังพลางพยักหน้ารับคำอัลล์อย่างเงียบงัน เขาเข้าใจสิ่งที่อัลล์พูดโดยไม่ต้องเอ่ยคำใด
ทว่าในความจริงแล้ว...สิ่งที่อัลล์เตือนนั้นยังห่างไกลจากความเป็นจริงที่เรย์กำลังแบกรับอยู่
หากโลกได้รับรู้ว่ามนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งกำลังครอบครอง ‘พลังของอสูร’ ไม่ใช่แค่เรย์ที่จะตกอยู่ในอันตราย...แต่โลกทั้งใบคงสั่นสะเทือน