ไดอารี่ของคนที่ไม่เคยเข้าใจโลก—แม้จะเข้าใจมันมากพอก็ตาม
เรื่องสั้น,เล่าประสบการณ์,อื่นๆ,ไทย,ชีวิต ,ชีวิตประจำวัน,ชีวิตประ,ปรัชญา,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
บันทึกที่รอวันถูกลืม (The Diary Awaiting Oblivion)ฉันกำลังนั่งจดแผนชีวิตเหมือนกับการเขียนพล็อตเรื่องใหม่
— ขาย When the Dream ฉบับภาษาไทยผ่านไอจี
— ส่งต้นฉบับภาษาอังกฤษออกไปไกลอย่าง อังกฤษ, อเมริกา, เกาหลี, ญี่ปุ่น
— เขียนเล่มสองให้เสร็จภายในต้นปีหน้า
— ปลายปีหน้าเดินทางไปจีน เพื่อทำหนังสือปรัชญาในหมู่บ้านห่างไกล
ฉันวาดภาพการเปิดให้สั่งจองหนังสือในจีนล่วงหน้า — ราคาปกติ 380 แต่ถ้าใครยอม “สนับสนุนความฝันที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง” ฉันจะขายในราคา 200 รวมส่ง… พวกเขาจะได้หนังสือภายใน 1 เดือนหลังกลับไทย
แต่คำถามที่กดหัวฉันไม่ใช่ว่าจะขายได้กี่เล่ม — มันคือ “แล้วเงินที่ต้องใช้เพื่อเดินทางจริงๆ มีเท่าไหร่?”
ฉันพยายามกดแผนการใช้ชีวิตให้ประหยัดที่สุด: พักหอรวม กินร้านพื้นถิ่น ใช้ขนส่งสาธารณะ คำนวนแล้ววันละ 1000–2000 บาท เพียงพอหรือไม่? ในชนบทจีน ค่าใช้จ่ายสูงขนาดนั้นจริงหรือ หรือว่าความจนและความรวยถูกกำหนดด้วยสายตาของฉันที่มองจากภายนอกเพียงเท่านั้น
บางครั้งฉันคิดไปไกลถึงการซื้อรถตู้และดัดแปลงเอง อิสระเต็มที่ แต่เมื่อค้นข้อมูลดีๆแล้ว กฎหมายการนำเข้าช่างซับซ้อน … ฉันควรยอมถูกบีบด้วยระบบ หรือยอมให้เส้นทางที่ไร้ความแน่นอนคุมทิศทางชีวิต?
‘การใช้เวลาครึ่งปีในชนบท มันนับเป็นการเสียเวลาหรือไม่?’
หรือแท้จริงคือการ “ซื้อเวลา” เพื่อสร้างเสียงที่ฉันจะเอ่ยได้เต็มปากว่า “ฉันเคยใช้ชีวิตในที่แบบนั้นมาแล้ว”
เพราะแม้ครึ่งปี ก็อาจชัดเจนยิ่งกว่าคนที่ไปอาสาสัปดาห์เดียวหลายต่อหลายครั้งตลอดทั้งชีวิต
ฉันคิดแผนคร่าวๆ — ใช้ 3 เดือนแรกเยี่ยม 10–20 หมู่บ้าน แล้วเวียนกลับมาที่หมู่บ้านเดิมอีกครั้งในอีก 3 เดือนหลัง ปิดเส้นทางการเดินทางเหมือนบทกวีที่เริ่มจากวรรคแรกและจบลงที่วรรคเดียวกัน
และเพื่อไม่ให้การเดินทางสูญเปล่า ฉันอยากเปลี่ยนมันให้กลายเป็นสองสิ่ง: สารคดีที่บันทึกชีวิตของผู้คนภายใต้ระบบที่แตกต่าง กับนิยายปรัชญาที่บันทึกความเปลี่ยวเหงาของฉันเอง
ในขณะที่กำลังบันทึกเรื่องในวันนี้ ฉันก็ได้คิดถึง “พระเจ้าทั้งสาม” ในเรื่องที่ฉันได้แต่งขึ้น บางทีพวกเขาเหล่านั้นอาจไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์บนฟ้า แต่คือ เงิน เวลา และความหมาย
เราภาวนาต่อเงิน—เพื่อความอยู่รอด
เราภาวนาต่อเวลา—เพื่อให้มันหยุดร่นไล่
และเราภาวนาต่อความหมาย—เพื่อให้สิ่งที่เราทำไม่หายไปกับการถูกลืม
ฉันถามตัวเองซ้ำๆ “หากวันใดเมื่อพระเจ้าทั้งสามตัดสินพร้อมกัน ฉันจะเหลืออะไรอยู่ในมือ?”