ในโลกอันกว้างใหญ่ของ Toram Online ผู้คนได้สรรค์สร้างเรื่องราวของตนเอง และการเดินทางครั้งนี้ได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อนักรบหนุ่มของหมู่บ้านได้เผลอยกชีวิตให้กับนักเวทสาวแปลกหน้าซึ่งเดินทางผ่านมา
ผจญภัย,แฟนตาซี,แอคชั่น,ตลก,ผจญภัย,ดาร์กแฟนตาซี,โทรัม,เกมออนไลน์,เกม,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Toram Story : หลีกหนีสู่โลกกว้างในโลกอันกว้างใหญ่ของ Toram Online ผู้คนได้สรรค์สร้างเรื่องราวของตนเอง และการเดินทางครั้งนี้ได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อนักรบหนุ่มของหมู่บ้านได้เผลอยกชีวิตให้กับนักเวทสาวแปลกหน้าซึ่งเดินทางผ่านมา
[ไม่มีตารางการอัพเป็นเวลาแน่นอน]
การออกเดินทางครั้งแรกจากหมู่บ้านที่คุ้นเคยกลับจารึกบางสิ่งเอาไว้ในใจมากมายนับไม่ถ้วน
...
เอาสิ...เอาชีวิตข้าไป
เซบรีดี้ (Zebrede) หรือเซบ อาวุธ : ดาบ/โล่
นักรบหนุ่มผู้พึ่งสูญเสียทุกอย่างในชีวิตไปกล่าวต่อผู้แปลกหน้า หากแต่ไม่ได้คิดให้ถีถ้วนนักว่านี่เป็นดั่งคำปฏิญาณว่าจะยกชีวิตให้กับเธอ
...
มันขโมยบางอย่างที่สำคัญมากของฉันไป
เอ็ทน่า (Aetna) อาวุธ : คทา/ปีก
นักเวทสาวผู้ออกเดินทางโดยมีเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียว ไม่รู้เลยว่าทุกก้าวของตนนั้นได้เปลี่ยนชีวิตของใครหลายๆ คนไป
...
...
กล้าดียังไงมาแตะต้องตัวผม!!
ล็อตต้า (Lotta) อาวุธ : โบว์กัน/ลูกธนู
เด็กชายรูปร่างบอบบางราวกับสตรี เสนอตัวเข้าหาผู้คนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แต่ในใจนั้นมีเพียงความปรารถนาเดียวคืออิสระ ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีใดก็ตาม
...
มาผจญภัยไปด้วยกันเถอะ
...
แต่งขึ้นโดยอ้างอิง สถานที่ การแต่งกาย มอนสเตอร์ เนื้อเรื่องบางส่วน จากเกม Toram Online
...
ช่องทางการติดตามผลงาน พูดคุย หรือทวงงาน
Facebook : เสมียนน้อย ชอบกินหมู
Twitter/X : เสมียนน้อย @Immhu_
Tiktok : @Immhu_uu
*แวะเวียนมาพูดคุย เล่นมุก ด่าตัวละครได้ตามสบาย นักเขียนค่อนข้างชอบ แค่อย่าด่านักอ่านด้วยกันเอง ขอรับคำติชมเหล่านั้นไว้ด้วยใจ♡*
เปลวไฟร้อนระอุยิ่งกว่าบรรยากาศรอบกายพวยพุ่งขึ้นเป็นระยะต่อหน้าของชายในชุดคลุมปิดบังทั่วทั้งร่าง เขานั่งอยู่บนก้อนหินแตกๆ คอยโยนเศษใบไม้จากถุงข้างตัวลงในกองไฟเพื่อมิให้มอดดับอย่างตั้งอกตั้งใจ
ครึกครึกครึก
กระทั่งเสียงของความเคลื่อนไหวหนึ่งทำให้หยุดมือลง รถม้าบรรทุกสินค้าจนเต็มคันซึ่งเดาได้ไม่ยากว่าต้องเป็นของพ่อค้าเร่กำลังใกล้เข้ามาและจอดลงใต้เงาของโหดหินแหลมไม่ห่างจากที่ที่เขาอยู่มากนัก
คนสวมชุดคลุมลงมาจากรถเป็นผู้แรกเดินตรงเข้ามาหาคล้ายมีเป้าหมาย
เขาปรายตามองเพียงครู่เดียวก็ไม่คิดสนใจหรือระแวดระวังมากขึ้นแม้คนคนนั้นจะใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
“ก่อกองไฟในเวลานี้เนี่ยนะ” น้ำเสียงหงุดหงิดเอ่ยขึ้นเมื่อเข้ามาในระยะพูดคุย ก่อนจะเร่งถอดเอาชุดคลุมยาวรุงรังออกและโยนทิ้งข้างตัว
คิ้วได้รูปภายใต้ผ้าคลุมเลิกขึ้นมาข้างหนึ่งด้วยความงุนงงต่อท่าทีของผู้แปลกหน้า
“มาถามทางหรือคนสวย”
อีกฝ่ายไม่ตอบ แต่กลับมองไปยังด้านหลังของเขาซึ่งเต็มไปด้วยกรงขนาดต่างๆ ซึ่งขังทาสจากทุกดินแดน มีแม้กระทั่งมนุษย์ธรรมดาไปจนถึงยักษ์ตัวโต เสียงร่ำไห้อ้อนวอนดังออกมาจากพวกมันเป็นระยะนับแต่รถม้าแปลกหน้านั้นจอดลงทว่านางดูไม่ตกใจมากนักแต่กลับชี้นิ้วไปยังพวกมัน
ทั้งๆ ที่สามารถดูออกตั้งแต่แรกเห็นว่าเขาคือพ่อค้าทาส…
“มีตัวที่เก่งๆ บ้างมั้ย”
“ข้าไม่ทำการค้ากับผู้แปลกหน้า”
“ฉันมีเงิน”
“หึ…”
เขาหัวเราะในลำคออย่างพอใจก่อนจะเปิดผ้าคลุมศีรษะออกเผยให้เห็นใบหน้าเกลี้ยงเกลาขัดจากบุคลิกภายนอกและจัดแต่งผมยาวรุงรังสีน้ำเงินเข้มซึ่งมัดไว้อย่างหลวมๆ บริเวณท้ายทอย ผายมือให้ลูกค้าคนใหม่นั่งลงแต่กลับถูกปฏิเสธ
นางเดินผ่านตัวเขาไปอย่างไม่คิดระมัดระวังตัว ปรายตาสีม่วงสดยังทาสในกรงขังที่เริ่มตื่นตัวกว่าเดิมเพราะไม่อาจทราบได้ว่าตนนั้นจะถูกพาตัวไปทรมานที่ใดอีก ในขณะที่บางส่วนเอาแต่เหม่อมองออกไปไร้ซึ่งชีวิตชีวา
“จะเอาแข็งแกร่งแค่ไหน ยักษ์ เอลฟ์ มนุษย์มังกร ข้ามีทุกอย่าง”
“เอาตัวที่พอจะสูสีกับหมอนั่น”
นางกล่าวพลางส่งสายตาไปยังชายคนหนึ่งข้างรถม้าที่เอาแต่จ้องเขม็งมาทางนี้สักพักอย่างไม่วางตา แม้จะห่างไกลนักแต่เขาสามารถสัมผัสได้ว่าต้องเป็นผู้มากฝีมือเป็นแน่
และนี่ต้องเป็นหนึ่งในเหตุผลที่สตรีผู้นี้ไม่คิดระมัดระวังตน จากที่คิดว่าคงเป็นเพียงแค่คนโง่เขาควรจะต้องตรวจสอบเพิ่มสักหน่อย
“ชื่อของท่านล่ะ” เขาลองถามหยั่งเชิง
“จะจดฉันไว้ในบัญชีลูกค้ารึไง”
“ก็…ประมาณนั้น”
“เอ็ทน่า ส่วนที่ทำหน้าโง่ๆ อยู่ไกลๆ นั่นชื่อซีค”
เขาหัวเราะในลำคอออกมาอีกครั้งเมื่ออีกฝ่ายบอกชื่อของตนออกมาโดยที่ยังไม่ได้ตกลงซื้อขายกันด้วยซ้ำ ดูท่าแล้วคงไม่ใช่ผู้เก่งกล้าจากที่ใดจนไม่จำเป็นต้องปกปิดตัวตน คงเป็นแค่เด็กบ้านรวยจากสักตระกูลหนึ่งเท่านั้น…มีเงิน แต่ไม่มีสมอง
“ตัวนี้ ดูคล้ายเอลฟ์เลย”
นางชี้ไปยังชายหนุ่มท่าทางหวาดกลัวที่เอาแต่สวดมนตร์อ้อนวอนไม่ให้ตนถูกซื้อไปอย่างสนอกสนใจ
“ผอมบางเช่นนั้นคงสู้ไม่ได้ ลองดูออร์คดีมั้ย กรงด้านใน”
“อี๋…” นางทำหน้าแหยแกราวกับสิ่งปฏิกูลกองอยู่ตรงหน้า “ออร์คน่าเกลียดจะตาย ฉันทนเห็นหน้าตามันไม่ไหวหรอก”
“ถ้าเช่นนั้นที่นี่คงไม่มีสิ่งที่คุณหนูต้องการแล้วล่ะ”
“นั่นสิ ร้านเล็กๆ กลางทะเลทรายแบบนี้ ฉันคงหวังมากไปเองแหละ”
พูดจบสตรีนางนั้นก็หันหลังกลับหยิบเสื้อคลุมของตนขึ้นและเดินจากไปโดยไม่คิดบอกลา
ดวงตาสีน้ำเงินเข้มเช่นเดียวกับสีผมมองรถม้าบรรทุกของจนลับสายตาไป มือทั้งสองยังคงคอยเติมเชื้อไฟเป็นระยะ
ฟึบ
จู่ๆ เชือกเส้นหนึ่งก็ถูกทิ้งลงมาด้านหลังของเขาซึ่งติดกับโขดหินใหญ่ แม้จะรู้ตัวแต่กลับมิได้สนใจนัก
“ชื่อคุ้นๆ นะ”
หญิงสาวในชุดคลุมยาวรุงรังโรยตัวลงมากล่าวด้วยท่าทีสงสัย เพราะควันไฟที่มากมายทำให้ไม่มีผู้ใดสังเกตว่าด้านบนสุดของโขดหินนั้นมีใครหรืออะไรซ่อนอยู่หรือไม่
“คงมาจากซักตระกูลนั่นแหละ”
เขาตอบในขณะที่กำลังเขียนบางสิ่งลงยังเศษกระดาษสีขุ่นด้วยลายมือเป็นระเบียบและยื่นให้กับคู่หู
“ออกไปขายข่าว ว่ามีคุณหนูตระกูลร่ำรวยตามหาทาสที่แข็งแกร่ง คงให้ราคางามน่าดู”
“ค่ะ นายท่าน”
เธอตอบรับหนักแน่น ก่อนจะเริ่มปีนป่ายขึ้นไปยังจุดเดิม ไม่นานนักเมื่อจัดเตรียมทุกอย่างสำเร็จ ชุดคลุมก็ถูกถอดออกทิ้งลงไปยังเบื้องล่างเผยให้เห็นปีกสีสดใสบนหลังขาวเนียน มันกระพือขึ้นลงไม่กี่ทีก็ช่วยส่งให้ร่างทะยานขึ้นเหนือหมู่เมฆด้วยความรวดเร็ว ทิ้งไว้เพียงขนปีกเล็กๆ ที่ร่วงหล่นตามธรรมชาติของฮาปี้
[โบราณสถานชินโกเรย์]
รถม้าจอดลงหน้าปากอุโมงค์ใหญ่ ชายร่างโตผู้กุมบังเหียนสีหน้าเคร่งเครียดเปิดผ้าม่านด้านหลังตนออก เรียกให้ทุกคนคนจากรถ พวกเขาดูงุนงงเล็กน้อยแต่กลับยอมที่จะทำตาม
“ถึงแล้วหรอครับ” คนตัวบางกล่าวด้วยเสียงงัวเงีย
ดอดจ์มีท่าทีอึดอัก มือขวาล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับเหงื่อที่ไหลทั่วทั้งใบหน้า
“ข้างหน้านี้มีมอนสเตอร์ประจำถิ่นที่ดุร้ายมากเลย แถมทางก็แคบมากๆ ข้าไม่เคยใช้เส้นทางนี้แต่ว่ามันเร็วมาก แต่ข้าว่า…”
น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่มั่นใจและตื่นตระหนกดังอู้อี้ในลำคอจนฟังแทบไม่ได้ศัพท์ทำเธอหงุดหงิดขึ้นมาโดยฉับพลัน เอ็ทน่าถอดเอาชุดคลุมยาวรุงรังออกก่อนจะเดินตรงไปยังปากอุโมงค์โดยไม่คิดหันกลับมาสนใจคนข้างหลังอีก
โดยไม่ต้องบอกก็ทราบว่าต้องทำอย่างไรต่อ เซบและล็อตต้ารีบวิ่งตามเอ็ทน่าไปปล่อยให้ดอดจ์เดินตามหลังมาด้วยท่าทีหวาดกลัว
“หืม?”
ทว่าทันทีที่ร่างกายผ่านพ้นเข้ามาในพื้นดินสีเข้มความร้อนก็ลดลงอย่างมากจนน่าแปลกใจ เขารีบถอดเอาชุดคลุมยาวรุงรังออกอีกคนและโยนคืนให้กับล็อตต้าที่ยังคงสวมมันอยู่ทำเอาหน้าบางสวยหันขวับมามองตาเขียว
“ไอ…” ล็อตต้ากำมือแน่นแต่ก็ไม่รู้จะด่าว่าอะไรอีกเช่นเคย น่าหงุดงิดนักที่ไม่ว่าจะพูดแรงแค่ไหนมันก็ไม่เคยเจ็บซักนิดแถมบางครั้งยังไม่เข้าใจอีก ช่างโง่เง่าจริงๆ
เมื่อผ่านพ้นปากอุโมงค์ใหญ่เข้ามาได้ก็พบกับเหมืองยาวคดเคี้ยวไปมาไร้ซึ่งทิศทาง ราวกับไม่มีผู้ดูแลปล่อยให้ขุดไปทางไหนก็ตามที่มีสินแร่ ขณะที่กำลังชื่นชมพื้นที่ใหม่อยู่นั้นสายตาทั้งสองก็ได้มองเห็นคานไม้ด้านบนเริ่มผุพังลงจนนึกหวั่นใจ
ฟึบ!
กริชคมกริบพุ่งแหวกอากาศมาโดยไม่ทันได้ตั้งตัว ยังดีที่สัญชาตญาณของเขาเร็วมากพอที่จะหลบมัน
เจ้ามอนสเตอร์ดุร้ายที่ดอดจ์กล่าวถึงยืนจังก้าด้วยท่าทีไม่เป็นมิตรนัก ดวงตาแดงส้มราวกับเปลวเพลิงบนใบหน้าคล้ายหนูจ้องเขม็งมาทางผู้มาเยือนอย่างไม่ลดละพร้อมกระชับกริชยาวในมือเพื่อเริ่มโจมตีอีกครั้ง
เซบยกโล่ขึ้นมาป้องกันในทันทีที่ตั้งสติได้และฟาดฟันดาบออกไป
แต่เพียงครั้งเดียวมอนสเตอร์ตัวนั้นกลับล้มลงและแน่นิ่งไป เขาคิดว่ามันเป็นเพียงกลอุบายหนึ่งเท่านั้นแต่เมื่อได้ใช้โล่ลองสะกิดดูก็ได้รู้ว่ามันตายจริงๆ มิใช่เพียงละคร
มอนสเตอร์ดุร้ายแต่กลับอ่อนแอถึงเพียงนี้…ได้อย่างไร
“อย่าเข้ามานะ!!”
ขณะที่กำลังขบคิดอยู่นั้นเสียงหนึ่งจากทางด้านหลังก็ได้ตะโกนขึ้นมา ดอดจ์เองก็ถูกมอนสเตอร์เข้าโจมตีเช่นเดียวกันทำได้เพียงล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาโบกสะบัดให้มันล่าถอย
เขามองยังการกระทำของพ่อค้าเร่ดอดจ์อย่างเอือมระอาก่อนจะปาโล่ออกไปเมื่อเห็นว่ามอนสเตอร์ตัวนั้นกำลังจะโจมตี
“บาดเจ็บหรือไม่” เขาถามไถ่ แต่นอกจากดอดจ์จะไม่ตอบแล้วยังกระโดดมาเกาะแขนของเขาแน่นพร้อมๆ กับเจ้าม้าทั้งสามที่หวาดกลัวไม่แพ้กันจนแนบชิดเข้ามา
“อ่อยอ้า(ปล่อยข้า)” เซบพยายามสื่อสารด้วยเสียงอู้อี้เพราะจมูกใหญ่ของเจ้าม้าที่อยู่ติดกับแก้มทั้งสองข้างและบนหัว ดวงตาสีเทาพยายามขอความช่วยเหลือกับผู้ร่วมปาร์ตี้ทั้งสองที่เอาแต่เดินนำหน้า
“ทางไหน”
เสียงนิ่งเรียบเอ่ยถามเมื่อได้เห็นทางแยก ขณะที่ด้านหลังนั้นยังคงมีพายุหมุนวนคอยสังหารเหล่ามอนสเตอร์น่าลำคานเป็นระยะ
ล็อตต้าเดินตามมาติดๆ พิจารณาทางซ้ายทีขวาทีพลางก้มลงมองแผนที่ในมือซึ่งดูต่างจากที่เห็นตรงหน้าเล็กน้อยก่อนจะชี้ไปยังซ้ายมือ
“ถ้าแผนที่นี้ไม่เก่าเกินไปผมคิดว่าเดินตามทางนี้ซักครึ่งวันน่าจะพ้นเหมืองแล้วครับ”
“สตรอม”
เมื่อได้คำตอบที่ต้องการแล้วพายุหมุนวนถูกร่ายขึ้นมาดักด้านหน้าซึ่งเต็มไปด้วยมอนสเตอร์ก่อนจะเดินผ่านไป พายุนั้นดึงเอาพวกมันเข้าไปอยู่รวมกันพร้อมๆ กับเศษดิน กริชยาวซึ่งหลุดร่วงจากมือพุ่งเข้าทำร้ายพวกเดียวกันเองไปจนถึงเจ้าของ ไม่นานนักเมื่อพายุสงบลงร่างไร้วิญญาณของพวกมันก็ร่วงหล่นลงสู่พื้นดิน
“น่ากลัว…”
ดอดจ์มองทุกการกระทำตรงหน้าด้วยใจเต้นระรัว ถึงแม้จะตนเคยเห็นการสังหารมอนสเตอร์มานับครั้งไม่ถ้วนเพราะต้องจ้างนักผจญภัยนำทางเมื่อต้องผ่านเส้นทางอันตราย แต่กับนักผจญภัยป่าเถื่อนไม่สนใจผู้ว่าจ้างเช่นนี้ พึ่งจะเคยเจอเป็นครั้งแรก…สรุปแล้วตนคิดถูกหรือคิดผิดกันแน่ที่ดันไปจ้างกลุ่มคนเหล่านี้มา
ถ้าไม่ใช่เพราะภรรยาล่ะก็
………
รูปตาคล้ายจิ้งจอกในหนังสือนิทานพยายามเพ่งมองรอบกายที่เริ่มมืดลงเรื่อยๆ เนื่องจากดวงไฟนั้นน้อยลง
ในที่ที่ทั้งมืดและชื้นแฉะแบบนี้ต้องมีสัตว์มีพิษกำลังหลบซ่อนตัวอยู่เป็นแน่ เขายังไม่อยากเอาชีวิตมาทิ้งให้ได้ถูกเล่าขานจึงลดฝีเท้าลงเงี่ยหูฟังรอบกายอย่างระมัดระวัง
กระทั่ง…
“มืดมากเลยนะท่านนักผจญภัย”
“ใช่ ต้องมีผีโผล่ออกมาแน่ๆ”
เสียงพูดคุยหนึ่งดังขึ้นทำลายความเงียบ มันสอดแทรกเข้าไปในหัวของเขาอย่างไม่น่าให้อภัย
ล็อตต้าหันขวับไปทางต้นเสียงตาเขียวปั๊ด เจ้าคนป่าหัวทึบนั่นกำลังคุยกับดอดจ์ที่กำลังสั่นกลัวด้วยหัวข้อที่ไม่น่าอภิรมย์ใจนัก
“เดินให้มันเร็วๆ หน่อย ช้าอย่างกับเต่า”
ล็อตต้าตะโกนสวนกลับไป ทำเอาผู้เดินรั้งท้ายทั้งสองถึงกับเงียบลงครู่หนึ่ง
“แล้วก็เลิกพูดมั่วๆ ได้แล้ว”
“เจ้ากลัวหรือ”
“ไม่ได้กลัว ผมแค่ลำคานเรื่องไร้สาระ ผีมันไม่มีจริงซักหน่อย”
“มีสิ”
“แกเคยเห็นรึไง รีบเดินตามมาเถอะน่า!”
ก็ถ้าผีมีจริง เขาต้องได้เห็นแม่บ้างสิ
ราวกับมีประกายหนึ่งสว่างวาบขึ้นมาในดวงตา เซบมองเจ้านักยิงตัวบางที่เดินห่างออกไปเรื่อยๆ อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเร่งฝีเท้าขึ้นและย่อตัวลงเล็กน้อยเพื่อให้เสียงเงียบที่สุด
หนึ่งในวิธีการล่าสัตว์ที่ได้ถูกสั่งสอนมาจากหมู่บ้าน เพื่อสังหารพวกมันอย่างรวดเร็วโดยไม่จำเป็นต้องต่อสู้ให้เสียพละกำลัง แม้แต่กวางที่กำลังเล็มหญ้ายังสามารถจัดการได้ ดังนั้นกับมนุษย์ เขาเองก็สามารถเข้าถึงตัวได้เช่นกัน
“ไอคนป่านี่…ปกติก็ไม่ค่อยพูด พอเปิดปากดันมีแต่เรื่องไร้สาระ”
คนตัวบางยังคงบ่นพึมพำ ขาทั้งสองเร่งเดินให้ทันเอ็ทน่าที่ลับตาไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่ทราบ
ซุบ…ซุบ…ซุบ
กระทั่งเสียงฝีเท้าในจังหวะเดียวกันทว่าดังขึ้นด้านหลังทำล็อตต้าตื่นตัวขึ้นมา แต่เมื่อหันไปมองกลับพบว่ามีเพียงดอดจ์และอาวุธของเซบบนที่นั่งข้างคนขับและคิดเอาเองว่าเจ้าคนป่าโง่เง่านั่นคงจะไปนอนรอบนรถม้าเสียแล้ว
“ชิ…หนีไปนอนอีกแล้- กรี้ดดดดดดดด!!!”
เซบที่ได้จังหวะโผล่ออกมาจากความมืดในระยะเอื้อมมือ เพราะไม่ทันระวังตัวทำให้ล็อตต้าถึงกับกรีดร้องเสียงสูงก่อนจะล้มลงไปกับพื้น
“เกิดอะไรขึ้น…”
เอ็ทน่าที่เดินย้อนกลับมากำลังจะเอ่ยถามถึงเสียงร้องเมื่อครู่ แต่เมื่อได้เห็นล็อตต้านั่งตัวสั่นอยู่บนพื้นโดยมีเซบยืนมองด้วยแววตาแฝงความซุกซนก็สามารถเดาได้
“แกล้งกันเป็นเด็กๆ ไปได้”
“ผีไม่มีจริงสักหน่อย เจ้าร้องทำไม( 0_0 )” เซบพูดหน้าตาย
“นี่แก!!”
ล็อตต้าชี้นิ้วไปยังเซบด้วยมือที่สั่นเทาจากความโกรธ ก่อนจะพุ่งตัวเข้าจิกหัวเต็มกำลังทว่าอีกฝ่ายนอกจากจะไม่ปัดป้องแล้วยังดูชอบใจมากอีกด้วยที่ได้เห็นท่าทีเช่นนี้
“ฉันเริ่มมองเห็นปากเหมืองแล้วล่ะ” เอ็ทน่ารีบพูดตัดบท เดินเข้ามาดึงแขนล็อตต้าให้ออกห่างจากเซบก่อนจะได้ลงมือลงไม้กัน
แม้จะยอมไปตามแรงดึงแต่คนตัวบางที่ยังคุกกรุ่นชูนิ้วกลางใส่พร้อมสายตาคาดโทษจนลับตาไป