หัดวาดก่อนเดียวเปลี่ยนปก

ประกายจากพฤกษา - บทที่ 20 การตัดสินใจของเอลล่า โดย ฟ้าดินนำทาง @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ดราม่า,แอคชั่น,ผจญภัย,แฟนตาซี,ดาร์ค,แฟนตาซี,ดราม่า,ผจญภัย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ประกายจากพฤกษา

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ดราม่า,แอคชั่น,ผจญภัย,แฟนตาซี,ดาร์ค

แท็คที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ดราม่า,ผจญภัย

รายละเอียด

ประกายจากพฤกษา โดย ฟ้าดินนำทาง @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

หัดวาดก่อนเดียวเปลี่ยนปก

ผู้แต่ง

ฟ้าดินนำทาง

เรื่องย่อ

 

ขั้นที่ 1: สัมผัสอนูเวท (Basic Anuwet Sense)

ระดับนี้คือการรับรู้เบื้องต้นถึงอนูเวทในสิ่งรอบตัว ซึ่งสามารถแบ่งย่อยได้ตามความละเอียดของการรับรู้:

  1. การรับรู้อนูเวทหยาบ (Rough Anuwet Perception) :
    • ความสามารถ: จอมเวทสามารถรับรู้ถึงการมีอยู่ของอนูเวทได้ในภาพรวม เช่น รู้สึกถึงพลังเวทมนตร์ในบริเวณที่มีความเข้มข้นสูง หรือรับรู้ถึงการใช้เวทมนตร์ของผู้อื่นได้แบบคลุมเครือ
    • ตัวอย่าง: รู้สึกได้ถึง "ความผิดปกติ" ของพลังงานเมื่ออยู่ในป่าเวทมนตร์ หรือสัมผัสได้ถึงออร่าเวทมนตร์จางๆ จากวัตถุโบราณ
  2. การรับรู้อนูเวทละเอียด (Fine Anuwet Perception) :
    • ความสามารถ: จอมเวทเริ่มสามารถแยกแยะประเภทของอนูเวทได้ เช่น สัมผัสได้ว่าพลังงานที่รับรู้นั้นเป็นอนูเวทธาตุไฟหรือธาตุน้ำ หรือมีความเข้มข้นมากน้อยแค่ไหน
    • ตัวอย่าง: สามารถระบุได้ว่าต้นไม้ต้นนี้มีอนูเวทธาตุดินในปริมาณมาก หรือสัมผัสได้ถึงร่องรอยของอนูเวทที่หลงเหลือจากการใช้เวทมนตร์เมื่อนานมาแล้ว
  3. การรับรู้อนูเวทเฉพาะเจาะจง (Precise Anuwet Identification) :
    • ความสามารถ: จอมเวทมีความเข้าใจลึกซึ้งถึงลักษณะเฉพาะของอนูเวท สามารถระบุแหล่งที่มา, คุณสมบัติย่อย, หรือแม้กระทั่งความ "บริสุทธิ์" ของอนูเวทได้อย่างแม่นยำ
    • ตัวอย่าง: สามารถสัมผัสได้ว่าอนูเวทไฟที่พุ่งมานั้นเป็นไฟแห่งการทำลายล้าง หรือไฟแห่งการชำระล้าง หรือสามารถแยกแยะความแตกต่างของอนูเวทที่มาจากจอมเวทแต่ละคนได้

ขั้นที่ 2: ควบคุมอนูเวท (Anuwet Manipulation)

ระดับนี้เกี่ยวกับการที่จอมเวทเริ่มมีอิทธิพลต่ออนูเวท ตั้งแต่การบังคับเบื้องต้นไปจนถึงการควบคุมได้อย่างเป็นอิสระ:

  1. การควบคุมอนูเวทผ่านสื่อ (Conduit Anuwet Control) :
    • ความสามารถ: จอมเวททั่วไปที่ต้องใช้ "คทา" หรือ "อัญมณีเวท" เป็นตัวกลางในการรวบรวมและชี้นำอนูเวท การควบคุมยังเป็นแบบจำกัดตามขีดความสามารถของเครื่องมือและคาถาที่ใช้
    • ตัวอย่าง: ร่ายคาถาไฟโดยใช้คทาเพื่อเรียกเปลวไฟขนาดเล็ก หรือใช้คฑาน้ำเพื่อสร้างหยดน้ำเวทมนตร์
  2. การควบคุมอนูเวทโดยตรงเบื้องต้น (Basic Direct Anuwet Control) :
    • ความสามารถ: จอมเวทที่มีความเข้าใจในอนูเวทมากขึ้น สามารถเริ่มควบคุมอนูเวทได้โดยตรงในระดับที่ไม่ซับซ้อน เช่น การชี้นำกระแสอนูเวทให้เคลื่อนที่ไปในทิศทางที่ต้องการ หรือการรวมกลุ่มอนูเวทให้มีความหนาแน่นขึ้นเล็กน้อย โดยไม่จำเป็นต้องใช้คาถาหรือคทาเสมอไป
    • ตัวอย่าง: ใช้มือเปล่าจุดเทียนด้วยอนูเวทไฟ หรือทำให้ใบไม้ลอยขึ้นเล็กน้อยด้วยอนูเวทลม
  3. การควบคุมอนูเวทได้ดั่งใจนึก (Instinctive Anuwet Control) :
    • ความสามารถ: จอมเวทที่มีความเข้าใจในอนูเวทอย่างลึกซึ้งถึงแก่นแท้ สามารถควบคุมอนูเวทได้ทันทีตามเจตจำนง โดยไม่ต้องผ่านการร่ายคาถาหรือใช้เครื่องมือใดๆ การควบคุมเป็นไปอย่างลื่นไหลและแม่นยำ สร้างสรรค์รูปแบบเวทมนตร์ที่ซับซ้อนได้ตามต้องการ
    • ตัวอย่าง: เสกกำแพงน้ำแข็งขึ้นมาในพริบตาเพื่อป้องกันการโจมตี หรือสร้างกระแสลมวนเพื่อโจมตีศัตรูอย่างต่อเนื่อง

ขั้นที่ 3: สลักอนูเวท (Anuwet Imbuement)

ระดับนี้คือการฝังอนูเวทลงในวัตถุให้คงอยู่ได้ ซึ่งต้องใช้ความแม่นยำและความเข้าใจอย่างมาก:

  1. การประจุอนูเวทชั่วคราว (Temporary Anuwet Imbuement) :
    • ความสามารถ: การประจุอนูเวทลงในวัตถุหรือบุคคลเพื่อให้มีคุณสมบัติเวทมนตร์ในระยะเวลาจำกัด ส่วนใหญ่ใช้สำหรับการเพิ่มพลังชั่วคราว หรือสร้างผลกระทบที่อยู่ได้ไม่นาน
    • ตัวอย่าง: ประจุอนูเวทโจมตีลงในดาบเพื่อให้ดาบมีความร้อนขึ้นชั่วขณะ หรือประจุอนูเวทรักษาลงบนบาดแผลเพื่อให้ฟื้นตัวเร็วขึ้นชั่วคราว
  2. การสลักอนูเวทถาวรเบื้องต้น (Basic Permanent Anuwet Engraving) :
    • ความสามารถ: การสลักอนูเวทลงในวัตถุเพื่อให้มีคุณสมบัติเวทมนตร์ถาวร แต่ในรูปแบบที่ไม่ซับซ้อนนัก หรือต้องใช้เวลาและทรัพยากรมากในการทำ มักจะเป็นการสลักคุณสมบัติเดียว
    • ตัวอย่าง: สร้างดาบที่เปล่งแสงได้ตลอดเวลา หรือแหวนที่ช่วยเพิ่มการป้องกันเล็กน้อยอย่างถาวร
  3. การสลักอนูเวทซับซ้อน/หลายคุณสมบัติ (Complex/Multi-Property Anuwet Imbuement) :
    • ความสามารถ: การสลักอนูเวทลงในวัตถุด้วยความแม่นยำสูง ทำให้วัตถุนั้นมีคุณสมบัติเวทมนตร์ที่ซับซ้อน หรือมีหลายคุณสมบัติพร้อมกัน ผู้ใช้สามารถกำหนดเงื่อนไขการทำงานของอนูเวทที่สลักไว้ได้
    • ตัวอย่าง: สร้างเกราะที่สามารถต้านทานได้ทั้งไฟและน้ำ หรือเครื่องรางที่ช่วยฟื้นฟูพลังชีวิตและมานาพร้อมกัน

ขั้นที่ 4: แปรผันอนูเวท (Anuwet Transmutation)

นี่คือการเปลี่ยนแปลงแก่นแท้ของอนูเวท ซึ่งเป็นขีดสุดของความเข้าใจและการควบคุม:

  1. การปรับเปลี่ยนคุณสมบัติย่อย (Minor Property Adjustment) :
    • ความสามารถ: จอมเวทสามารถปรับเปลี่ยนคุณสมบัติเล็กๆ น้อยๆ ของอนูเวทได้ เช่น ทำให้อนูเวทไฟมีความร้อนสูงขึ้น หรือลดอุณหภูมิลงเล็กน้อย หรือเพิ่มแรงดันของอนูเวทน้ำ
    • ตัวอย่าง: เสกบอลไฟที่ร้อนแรงกว่าปกติ หรือสร้างกระแสน้ำแข็งที่กัดกร่อนได้เล็กน้อย
  2. การเปลี่ยนแปลงประเภทอนูเวท (Anuwet Type Transmutation) :
    • ความสามารถ: จอมเวทสามารถเปลี่ยนอนูเวทจากประเภทหนึ่งไปอีกประเภทหนึ่งได้ เช่น เปลี่ยนอนูเวทธาตุไฟให้เป็นอนูเวทธาตุน้ำ หรือเปลี่ยนอนูเวทบริสุทธิ์ให้เป็นอนูเวทแห่งความมืด
    • ตัวอย่าง: สามารถดูดซับพลังงานไฟจากสิ่งแวดล้อมแล้วเปลี่ยนเป็นพลังงานน้ำเพื่อใช้โจมตี หรือแปลงพลังงานแสงให้เป็นพลังงานเงา
  3. การสร้างสรรค์อนูเวทรูปแบบใหม่ (Anuwet Genesis/Recreation) :
    • ความสามารถ: จอมเวทสามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานของอนูเวทเพื่อสร้างอนูเวทประเภทใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน หรือสามารถหลอมรวมอนูเวทหลายประเภทเข้าด้วยกันเพื่อสร้างคุณสมบัติที่ไม่เคยเกิดขึ้น
    • ตัวอย่าง: ผสมผสานอนูเวทไฟกับอนูเวทลมเพื่อสร้าง "อนูเวทพายุเพลิง" ที่มีคุณสมบัติทั้งสอง หรือสร้างอนูเวทแห่ง "มิติ" ที่สามารถเปิดประตูมิติขนาดเล็กได้

 

สารบัญ

ประกายจากพฤกษา-บทที่ 1 สงคราม,ประกายจากพฤกษา-บทที่ 2 พฤกษาผู้พิทักษ์,ประกายจากพฤกษา-บทที่ 3 จุดเริ่มต้น,ประกายจากพฤกษา-บทที่ 4 ความสิ้นหวัง,ประกายจากพฤกษา-บทที่ 5 ความโดดเดี่ยว,ประกายจากพฤกษา-บทที่ 6 ความลึกลับของป่าไม้,ประกายจากพฤกษา-บทที่ 7 แสงรุ่งอรุณ,ประกายจากพฤกษา-บทที่ 8 กลับบ้าน,ประกายจากพฤกษา-บทที่ 9 เพื่อนเก่า,ประกายจากพฤกษา-บทที่ 10 การฝึกของเอลล่า,ประกายจากพฤกษา-บทที่ 11 ความเหนื่อยยาก,ประกายจากพฤกษา-บทที่ 12 ความเหนื่อยยาก 2,ประกายจากพฤกษา-บทที่ 13 ฉันสู้เพื่ออนาคต,ประกายจากพฤกษา-บทที่ 14 เข้ามา,ประกายจากพฤกษา-บทที่ 15 การจากลา,ประกายจากพฤกษา-บทที่ 16 โลกอันกว้าใหญ่,ประกายจากพฤกษา-บทที่ 17 เอาตัวรอด,ประกายจากพฤกษา-บทที่ 18 คนแปลกหน้า,ประกายจากพฤกษา-บทที่ 19 ไม่นะ,ประกายจากพฤกษา-บทที่ 20 การตัดสินใจของเอลล่า,ประกายจากพฤกษา-บทที่ 21 การหลบหนี,ประกายจากพฤกษา-บทที่ 22 หลังเอาชีวิตรอด,ประกายจากพฤกษา-บทที่ 23 ผลโลหิต,ประกายจากพฤกษา-บทที่ 24 ความเจ็บปวด

เนื้อหา

บทที่ 20 การตัดสินใจของเอลล่า

กลับมาที่ปัจจุบัน: เอลล่าที่ซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้สูง กำลังเผชิญหน้ากับการตัดสินใจครั้งสำคัญ หัวใจของเธอเต้นระรัวกับภาพความโหดร้ายที่ฉายชัด และเสียงเรียกให้ช่วยของวิเลียที่บาดลึกในความรู้สึก เธอเหลือเวลาในบททดสอบอีกเพียงหนึ่งวัน แต่จะให้ความสำคัญกับการเอาชีวิตรอดของตัวเอง หรือจะยอมเสี่ยงทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือวิเลีย?

ในวินาทีนั้นเอง ภาพความทรงจำก็ฉายชัดขึ้นมาในใจของเอลล่า เธอ...ก็ไม่ต่างจากเด็กผู้หญิงคนนี้เลย ตอนที่เธอเดินในป่าด้วยความสิ้นหวัง หิวโหย และไร้ที่พึ่ง จนกระทั่งได้พบกับ คาลอส

เธอพึมพำกับตัวเองเบาๆ "ทำไมคุณถึงช่วยฉัน ทั้งๆ ที่เราไม่รู้จักกัน และคุณต้องลำบากปกป้องฉัน..."

เอลล่าพลันนึกถึงตอนที่เธอเคยถามคาลอสถึงเหตุผลนั้น คาลอสหันกลับมาตอบเธอด้วยแววตาที่สงบนิ่งและอบอุ่น "ไม่รู้สิ... เห็นคนกำลังลำบาก จะไม่ยื่นมือเข้าช่วยอย่างนั้นรึ?"

คำพูดง่ายๆ แต่เปี่ยมด้วยความหมายนั้นก้องอยู่ในใจของเอลล่า มันคือหัวใจของความเมตตาและสิ่งที่ทำให้คาลอสเป็นคนที่เธอเคารพ 

เอลล่ากำดาบในมือแน่นขึ้น เธอรู้แล้วว่าต้องทำอะไร

เอลล่ากำดาบในมือแน่นขึ้น เธอเช็คความพร้อมของตนเองเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะวางกระเป๋าลงอย่างช้าๆ เธอจับดาบแน่น ก่อนจะรวบรวมอนุเวทไว้รอบกาย เพื่อเพิ่มความคล่องตัวและลดแรงกระแทก แล้วโดดลงจากต้นไม้อย่างแผ่วเบา 

เอลล่าลงมายืนบนพื้นป่าอย่างแผ่วเบา ร่างเล็กๆ ของเธอซ่อนอยู่ใต้เงาไม้ใหญ่ เธอก้าวเท้าไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง แม้จะยังไม่กล้าพุ่งเข้าไปช่วยอย่างเปิดเผย แต่การซ่อนตัวอยู่เฉยๆ ก็ไม่ใช่สิ่งที่เธอจะทำได้อีกต่อไป

เธอค่อยๆ ก้าวเดินออกไปจากเงามืด สู่บริเวณที่กลุ่มคนลึกลับกำลังรายล้อมวิเลียอยู่ เอลล่ามองคนเหล่านั้นอย่างนิ่งเงียบ แววตาของเธอไม่ได้เต็มไปด้วยความกลัวอีกต่อไป แต่เป็นความมุ่งมั่นที่ฉายชัดออกมา

ทันใดนั้นเอง คนกลุ่มนั้นก็หันมามองเธอพร้อมกันด้วย สายตาสงสัย พวกเขาคงไม่คิดว่าจะมีใครอยู่ในป่าลึกขนาดนี้ หรืออาจเป็นเพราะสัมผัสอนุเวทของเอลล่าที่ไม่ได้แข็งแกร่งพอจะปกปิดตัวเธอได้สมบูรณ์แบบจากผู้ใช้เวทที่เชี่ยวชาญกว่า

ท่ามกลางความเงียบที่ตึงเครียด เอลล่ารวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มี เธอพูดออกไปเสียงแผ่วเบา แต่ชัดเจน "ปล่อยเธอไปซะ"

 คำพูดนั้นแม้จะเบา แต่กลับก้องกังวานไปทั่วบริเวณ ราวกับประกาศการปรากฏตัวของเธออย่างเป็นทางการ

คำพูดของเอลล่าทำให้คนกลุ่มนั้นชะงักไปชั่วขณะ ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกึ่งขบขันกึ่งไม่พอใจ "เจ้าคือใคร? ทำไมต้องมายุ่งเรื่องของพวกเราด้วย? หรืออยากจะเป็นผู้กล้ามาช่วยสาวงามล่ะ?"

เอลล่าที่ใส่เสื้อผ้าใหม่ที่ลูน่าให้มา แม้จะดูคล่องตัว แต่ก็ผ่านการเอาตัวรอดในป่ามาหลายวัน เนื้อตัวเธอเปรอะเปื้อนไปด้วยดินและโคลนจนมองแทบไม่ออกว่าเป็นหญิงหรือชาย

 ผมสีเขียวของเธอถูกรวบมัดไว้ด้านหลังศีรษะอย่างลวกๆ เผยให้เห็นดวงตาสีเขียวอมฟ้าที่จ้องมองมาอย่างแน่วแน่ ทำให้รูปลักษณ์ภายนอกของเธอในตอนนี้ดูเหมือนกับเด็กชายรูปหล่อเหลาคนหนึ่งที่เพิ่งออกมาจากการผจญภัยอันแสนสาหัส

การปรากฏตัวของเอลล่าได้เปลี่ยนสถานการณ์อย่างสิ้นเชิง เธอรู้ว่าการต่อรองด้วยคำพูดอาจไม่ได้ผลกับคนพวกนี้ 

ชายที่เอ่ยถามชื่อ นีโน่ พูดขึ้นพลางหัวเราะอย่างเหยียดหยาม

"เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร ถึงมาบอกให้พวกเราปล่อยนางไป? ฮ่าๆๆ"

ฟ็อกซี่ หญิงสาวขายาวรูปร่างราวกับนางจิ้งจอก กล่าวอย่างรำคาญ 

"จะพูดอะไรเยอะแยะ... เราก็แค่ฆ่าเธอเพิ่ม อาจจะทำให้ผลไม้นั่นสุกเร็วขึ้นก็ได้" 

เธอมองไปหาลีโอด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความอ่อนหวาน พร้อมรอยยิ้มที่เผยให้เห็นความอำมหิตอย่างชัดเจน

คำพูดเหล่านั้นยืนยันความตั้งใจอันชั่วร้ายของพวกเขาอีกครั้ง เอลล่ารู้ดีว่าไม่มีทางเจรจาได้ นี่ไม่ใช่แค่การล่าเหยื่อ แต่เป็นการสังเวยเพื่อวัตถุประสงค์บางอย่างที่น่าขยะแขยง สายตาของเธอกวาดมองไปที่วิเลียที่กำลังพยายามตะเกียกตะกายหนีอย่างสิ้นหวัง

ลีโอ กับชายหนุ่มอีกคนจ้องมองเอลล่าอย่างนิ่งเฉย ไม่มีร่องรอยของอารมณ์บนใบหน้าของพวกเขา ราวกับกำลังประเมินภัยคุกคามที่ปรากฏตรงหน้า

"เป็นความคิดที่ดีเลยนี่" นีโน่กล่าวขึ้น สายตาของเขามองเอลล่าด้วยความสนใจปนเย้ยหยัน เขาค่อยๆ นำคทาของเขาออกมา เป็นคทาที่ดูเรียบง่ายแต่แฝงไว้ด้วยพลังงานบางอย่าง

"เดี๋ยวฉันขอเล่นสนุกก่อนละกัน" เขายิ้มกว้าง "อยากรู้จริงว่าผู้กล้าที่จะช่วยสาวงามจะมีฝีมือแค่ไหน"

นีโน่เดินตรงเข้ามาหาเอลล่าพร้อมเสียงหัวเราะอย่างอำมหิต แววตาของเขาบ่งบอกถึงความกระหายในการต่อสู้ 

เอลล่ากำดาบในมือแน่นขึ้น เธอรู้ว่าไม่มีทางหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าได้อีกต่อไปแล้ว นี่คือการต่อสู้ครั้งแรกที่แท้จริงของเธอ

เอลล่าจ้องมองไปที่นีโน่ เธอสัมผัสได้ถึงอนุเวทรอบตัวเขาที่มีความร้อนและเปล่งแสงสีแดงคล้ายเปลวไฟ อย่างไรก็ตาม อนุเวทเหล่านั้นกลับไม่ได้ออกมาจากตัวเขาโดยตรง แต่เป็นพลังงานที่พวยพุ่งออกมาจากคทาที่เขากำลังถืออยู่ในมือ

นีโน่ไม่รอช้า เขาชูคทาขึ้นเหนือศีรษะ พลังงานสีแดงเพลิงพวยพุ่งออกจากปลายคทาอย่างรุนแรง ก่อตัวเป็นลูกไฟขนาดใหญ่ที่ร้อนระอุ

"รับไปซะ! เพลิงโลกันตร์!" นีโน่ตะโกน พร้อมกับสะบัดคทา ส่งลูกไฟขนาดมหึมาพุ่งเข้าใส่เอลล่าอย่างรวดเร็ว ลูกไฟนั้นทิ้งร่องรอยของความร้อนและประกายไฟไว้บนพื้นดินที่มันเคลื่อนผ่าน

เอลล่าเบิกตากว้าง เธอสัมผัสได้ถึงความร้อนที่แผดเผาเข้ามาใกล้ มันไม่ใช่แค่ลูกไฟธรรมดา แต่เป็นเวทมนตร์ที่เต็มไปด้วยพลังทำลายล้าง เธอต้องตัดสินใจในเสี้ยววินาที

เธอชักดาบออกมาอย่างรวดเร็ว! ดาบของเธอเปล่งแสงสีฟ้าอ่อนๆ ออกมาอย่างบางเบา ก่อนที่เธอจะกระโดดถอยหลังอย่างฉับพลัน ด้วยความคล่องตัวที่เพิ่มขึ้นจากการควบคุมอนุเวท ทำให้เธอหลบพ้นวิถีของลูกไฟเพลิงโลกันตร์ไปได้อย่างหวุดหวิด ลูกไฟระเบิดลงบนพื้นดินด้านหน้าเธอ สร้างแรงสั่นสะเทือนและทิ้งรอยไหม้เกรียมขนาดใหญ่ไว้

เอลล่าลงสู่พื้นอย่างมั่นคง ดวงตาสีเขียวอมฟ้าจ้องมองนีโน่อย่างแน่วแน่ ดาบในมือของเธอพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับการโจมตีครั้งต่อไป

"ฮ่าๆๆๆๆ!" นีโน่หัวเราะอย่างสะใจ เมื่อเห็นว่าเอลล่าสามารถหลบการโจมตีแรกของเขาได้ เขายิ่งรู้สึกสนุกกับ 'เกม' ที่กำลังจะเกิดขึ้น

"นักดาบหรือ? ฮึ่ม...พวกนักดาบชั้นต่ำ!" นีโน่กล่าวอย่างเหยียดหยาม น้ำเสียงเต็มไปด้วยความดูถูก ราวกับว่าการเป็นนักดาบนั้นด้อยกว่าการเป็นผู้ใช้เวทมนตร์อย่างเขาสุดขีด

เอลล่าไม่รอช้า เธอเริ่มควบคุมอนุเวทให้ไหลเวียนเข้าไปในร่างกายของเธอทันที อนุเวทเหล่านั้นพุ่งตรงเข้าสู่ระบบการไหลเวียนโลหิต กระตุ้นให้เลือดทำการไหลเวียนได้อย่างรวดเร็วขึ้น เพื่อไปหล่อเลี้ยงและเพิ่มพลังให้กล้ามเนื้อและอวัยวะต่างๆ ทั่วร่างกาย เธอรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านไปทั่วตัว พละกำลังและความคล่องตัวที่เพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน

ทันใดนั้นเอง เอลล่าก็พุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็วราวกับกระสุน ตรงเข้าหานีโน่ที่ยังยืนอยู่ด้านหน้าเขาตกใจในความเร็วที่เพิ่มขึ้นของเอลล่า ดวงตาของเขามองตามแทบไม่ทัน

แม้เขาจะมองเอลล่าแทบไม่ทัน แต่ประสบการณ์ที่นีโน่มีนั้นไม่ใช่สิ่งที่นักดาบทั่วไปจะเทียบได้ เขามีเวลาเพียงเสี้ยววินาทีในการตอบสนอง และในทันทีนั้นเอง เขาก็สร้างกำแพงไฟขึ้นด้านหน้าตัวเอง เปลวเพลิงสีแดงฉานลุกโชนขึ้นสูงท่วมหัว กั้นขวางเส้นทางของเอลล่าอย่างสมบูรณ์

เอลล่าพุ่งทะยานเหนือกำแพงเพลิงได้อย่างน่าทึ่ง นีโน่เบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงกับความเร็วและทักษะของเธอ เอลล่าไม่รอช้า เธอง้างดาบฟันลงอย่างรวดเร็ว ตั้งใจจะจัดการคู่ต่อสู้ที่ยังไม่ทันตั้งตัว

แต่ก่อนที่ดาบของเธอจะไปถึงตัวนีโน่ มีแท่งน้ำแข็งขนาดใหญ่พุ่งเข้ามาหาเธอจากด้านข้าง มันลอยอยู่กลางอากาศอย่างรวดเร็ว เอลล่าที่ยังอยู่กลางอากาศทำได้แค่เบี่ยงตัวหลบอย่างฉับพลัน ทำให้เธอรอดพ้นคมน้ำแข็งไปได้อย่างหวุดหวิด ก่อนจะร่อนลงพื้นอย่างแผ่วเบา

เอลล่ารีบพุ่งตัวไปหานีโน่อีกครั้ง เธอใช้ดาบของเธอฟันเข้าใส่ แต่ก่อนที่คมดาบจะสัมผัสตัวเขา พื้นตรงหน้าเธอกลับกลายเป็นโคลนลึกอย่างกะทันหัน ทำให้เธอเสียหลักและจมลงไป

เธอรีบกระโดดถอยหลังอย่างรวดเร็ว ถอนตัวออกจากโคลนเหล่านั้น เธอหายใจแรงขึ้นเล็กน้อย ดวงตากวาดมองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง

คนอีกสองคนที่เหลือก็ได้ชูคทาของตนขึ้นมาแล้ว พร้อมที่จะเข้าโจมตี

"เจ้าคิดว่าพวกเราเป็นแค่ตัวประกอบงั้นเหรอ?" ฟ็อกซี่ พูดขึ้นอย่างขบขัน สายตาของเธอมองเอลล่าด้วยความสนุกสนานและเย้ยหยัน แสดงให้เห็นว่าการโจมตีครั้งที่สองไม่ได้มาจากนีโน่ แต่มาจากคนอื่นๆ ในกลุ่ม

"ใครให้พวกเจ้าลงมือ!" นีโน่ ตะโกนอย่างไม่พอใจ เสียงของเขาเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองกับการกระทำของเพื่อนร่วมกลุ่ม "ฉันแค่ประมาทไปเอง ไม่จำเป็นต้องให้เธอช่วยหรอก!"

ฟ็อกซี่ หันไปมองนีโน่ด้วยแววตาที่ยังคงเย้ยหยัน "ก็นายสู้ไม่ได้ ก็เลยช่วยไง" เธอตอบด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนจะเป็นห่วง แต่กลับฉาบด้วยรอยยิ้มที่แสดงความเหนือกว่าอย่างชัดเจน

เอลล่ามองไปยังสามคนที่ถือคทา เธอพอจะทำความเข้าใจพลังเวทของทั้งสามคนได้ นีโน่มีพลังไฟ ฟ็อกซี่มีพลังน้ำแข็ง และอีกคนมีพลังธาตุดิน แต่เมื่อสายตาเธอไปหยุดที่ ลีโอ กลับมีเพียงความว่างเปล่า เธอไม่สามารถสัมผัสอนุเวทใดๆ จากตัวเขาได้เลย ราวกับเขามีตัวตนแต่ก็ไร้ซึ่งพลังใดๆ ที่จะรับรู้ได้

ในขณะที่ความขัดแย้งระหว่างนีโน่และฟ็อกซี่ดำเนินไป วิเลีย ที่บาดเจ็บสาหัสก็เงยหน้าขึ้นมองเอลล่า น้ำตาคลอเบ้า แต่กลับมีรอยยิ้มเศร้าๆ ปรากฏบนใบหน้า

"คุณไม่ต้องช่วยฉัน... คุณไปเถอะค่ะ" วิเลียพูดเสียงแผ่วเบาด้วยความอ่อนล้า 

"ฉันไม่อยากลากใครมาตายเพราะฉันเลย... คุณไปเถอะค่ะ"

เธอพยายามยิ้มให้เอลล่าอีกครั้ง รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเสียสละและความสิ้นหวัง

 "ฉันตายในป่านี้ เดี๋ยววิทยาลัยเวอร์ริเดียนก็จะมาหาศพฉันเองค่ะ"

คำพูดของวิเลียทำให้เอลล่ารู้สึกเจ็บปวด เธอเห็นแววตาที่ยอมแพ้ในดวงตาของวิเลีย ซึ่งเป็นแววตาที่เธอเคยมีมาก่อนที่จะได้พบกับคาลอส

เอลล่าตัดสินใจอย่างแน่วแน่ เธอจะไม่ทอดทิ้งวิเลียให้ตายตรงนี้

เธอรวบรวมอนุเวทมหาศาลจากรอบตัวเธอมาอย่างไม่เคยทำมาก่อน พลังเวทเหล่านั้นหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของเธออย่างรวดเร็ว เธอไม่ได้เพียงแค่กระตุ้นการไหลเวียนโลหิตอีกต่อไป แต่เธอตั้งใจจะกระตุ้นร่างกายของเธอให้ถึงขีดจำกัด ผลักดันทุกอณูให้เหนือกว่าสิ่งที่เคยเป็นมา ความร้อนแผ่ซ่านไปทั่วร่างอย่างรุนแรง เส้นเลือดปูดโปนขึ้นเล็กน้อยจากแรงดันพลังงาน แต่แววตาของเธอกลับมุ่งมั่นกว่าเดิม ร่างกายของเธอเรืองรองไปด้วยแสงระยิบระยับของอนุเวทที่รวบรวมมา

"ฉันจะไม่ทิ้งเธอ!"

เป็นเพียงคำพูดสั้นๆ แต่กลับทรงพลังพอที่จะทำให้วิเลียที่สิ้นหวังมาตลอด หลั่งน้ำตาออกมาอีกครั้งด้วยความตื้นตันและหวังที่จุดประกายขึ้นมาใหม่ในแววตาของเธอ 

 

กลับมาที่ปัจจุบัน: เอลล่าที่ซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้สูง กำลังเผชิญหน้ากับการตัดสินใจครั้งสำคัญ หัวใจของเธอเต้นระรัวกับภาพความโหดร้ายที่ฉายชัด และเสียงเรียกให้ช่วยของวิเลียที่บาดลึกในความรู้สึก เธอเหลือเวลาในบททดสอบอีกเพียงหนึ่งวัน แต่จะให้ความสำคัญกับการเอาชีวิตรอดของตัวเอง หรือจะยอมเสี่ยงทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือวิเลีย?


ในวินาทีนั้นเอง ภาพความทรงจำก็ฉายชัดขึ้นมาในใจของเอลล่า เธอ...ก็ไม่ต่างจากเด็กผู้หญิงคนนี้เลย ตอนที่เธอเดินในป่าด้วยความสิ้นหวัง หิวโหย และไร้ที่พึ่ง จนกระทั่งได้พบกับ คาลอส


เธอพึมพำกับตัวเองเบาๆ "ทำไมคุณถึงช่วยฉัน ทั้งๆ ที่เราไม่รู้จักกัน และคุณต้องลำบากปกป้องฉัน..."


เอลล่าพลันนึกถึงตอนที่เธอเคยถามคาลอสถึงเหตุผลนั้น คาลอสหันกลับมาตอบเธอด้วยแววตาที่สงบนิ่งและอบอุ่น "ไม่รู้สิ... เห็นคนกำลังลำบาก จะไม่ยื่นมือเข้าช่วยอย่างนั้นรึ?"


คำพูดง่ายๆ แต่เปี่ยมด้วยความหมายนั้นก้องอยู่ในใจของเอลล่า มันคือหัวใจของความเมตตาและสิ่งที่ทำให้คาลอสเป็นคนที่เธอเคารพ 


เอลล่ากำดาบในมือแน่นขึ้น เธอรู้แล้วว่าต้องทำอะไร


เอลล่ากำดาบในมือแน่นขึ้น เธอเช็คความพร้อมของตนเองเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะวางกระเป๋าลงอย่างช้าๆ เธอจับดาบแน่น ก่อนจะรวบรวมอนุเวทไว้รอบกาย เพื่อเพิ่มความคล่องตัวและลดแรงกระแทก แล้วโดดลงจากต้นไม้อย่างแผ่วเบา 


เอลล่าลงมายืนบนพื้นป่าอย่างแผ่วเบา ร่างเล็กๆ ของเธอซ่อนอยู่ใต้เงาไม้ใหญ่ เธอก้าวเท้าไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง แม้จะยังไม่กล้าพุ่งเข้าไปช่วยอย่างเปิดเผย แต่การซ่อนตัวอยู่เฉยๆ ก็ไม่ใช่สิ่งที่เธอจะทำได้อีกต่อไป


เธอค่อยๆ ก้าวเดินออกไปจากเงามืด สู่บริเวณที่กลุ่มคนลึกลับกำลังรายล้อมวิเลียอยู่ เอลล่ามองคนเหล่านั้นอย่างนิ่งเงียบ แววตาของเธอไม่ได้เต็มไปด้วยความกลัวอีกต่อไป แต่เป็นความมุ่งมั่นที่ฉายชัดออกมา


ทันใดนั้นเอง คนกลุ่มนั้นก็หันมามองเธอพร้อมกันด้วย สายตาสงสัย พวกเขาคงไม่คิดว่าจะมีใครอยู่ในป่าลึกขนาดนี้ หรืออาจเป็นเพราะสัมผัสอนุเวทของเอลล่าที่ไม่ได้แข็งแกร่งพอจะปกปิดตัวเธอได้สมบูรณ์แบบจากผู้ใช้เวทที่เชี่ยวชาญกว่า


ท่ามกลางความเงียบที่ตึงเครียด เอลล่ารวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มี เธอพูดออกไปเสียงแผ่วเบา แต่ชัดเจน "ปล่อยเธอไปซะ"


 คำพูดนั้นแม้จะเบา แต่กลับก้องกังวานไปทั่วบริเวณ ราวกับประกาศการปรากฏตัวของเธออย่างเป็นทางการ


คำพูดของเอลล่าทำให้คนกลุ่มนั้นชะงักไปชั่วขณะ ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกึ่งขบขันกึ่งไม่พอใจ "เจ้าคือใคร? ทำไมต้องมายุ่งเรื่องของพวกเราด้วย? หรืออยากจะเป็นผู้กล้ามาช่วยสาวงามล่ะ?"


เอลล่าที่ใส่เสื้อผ้าใหม่ที่ลูน่าให้มา แม้จะดูคล่องตัว แต่ก็ผ่านการเอาตัวรอดในป่ามาหลายวัน เนื้อตัวเธอเปรอะเปื้อนไปด้วยดินและโคลนจนมองแทบไม่ออกว่าเป็นหญิงหรือชาย


 ผมสีเขียวของเธอถูกรวบมัดไว้ด้านหลังศีรษะอย่างลวกๆ เผยให้เห็นดวงตาสีเขียวอมฟ้าที่จ้องมองมาอย่างแน่วแน่ ทำให้รูปลักษณ์ภายนอกของเธอในตอนนี้ดูเหมือนกับเด็กชายรูปหล่อเหลาคนหนึ่งที่เพิ่งออกมาจากการผจญภัยอันแสนสาหัส


การปรากฏตัวของเอลล่าได้เปลี่ยนสถานการณ์อย่างสิ้นเชิง เธอรู้ว่าการต่อรองด้วยคำพูดอาจไม่ได้ผลกับคนพวกนี้ 


ชายที่เอ่ยถามชื่อ นีโน่ พูดขึ้นพลางหัวเราะอย่างเหยียดหยาม


"เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร ถึงมาบอกให้พวกเราปล่อยนางไป? ฮ่าๆๆ"


ฟ็อกซี่ หญิงสาวขายาวรูปร่างราวกับนางจิ้งจอก กล่าวอย่างรำคาญ 


"จะพูดอะไรเยอะแยะ... เราก็แค่ฆ่าเธอเพิ่ม อาจจะทำให้ผลไม้นั่นสุกเร็วขึ้นก็ได้" 


เธอมองไปหาลีโอด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความอ่อนหวาน พร้อมรอยยิ้มที่เผยให้เห็นความอำมหิตอย่างชัดเจน


คำพูดเหล่านั้นยืนยันความตั้งใจอันชั่วร้ายของพวกเขาอีกครั้ง เอลล่ารู้ดีว่าไม่มีทางเจรจาได้ นี่ไม่ใช่แค่การล่าเหยื่อ แต่เป็นการสังเวยเพื่อวัตถุประสงค์บางอย่างที่น่าขยะแขยง สายตาของเธอกวาดมองไปที่วิเลียที่กำลังพยายามตะเกียกตะกายหนีอย่างสิ้นหวัง


ลีโอ กับชายหนุ่มอีกคนจ้องมองเอลล่าอย่างนิ่งเฉย ไม่มีร่องรอยของอารมณ์บนใบหน้าของพวกเขา ราวกับกำลังประเมินภัยคุกคามที่ปรากฏตรงหน้า


"เป็นความคิดที่ดีเลยนี่" นีโน่กล่าวขึ้น สายตาของเขามองเอลล่าด้วยความสนใจปนเย้ยหยัน เขาค่อยๆ นำคทาของเขาออกมา เป็นคทาที่ดูเรียบง่ายแต่แฝงไว้ด้วยพลังงานบางอย่าง


"เดี๋ยวฉันขอเล่นสนุกก่อนละกัน" เขายิ้มกว้าง "อยากรู้จริงว่าผู้กล้าที่จะช่วยสาวงามจะมีฝีมือแค่ไหน"


นีโน่เดินตรงเข้ามาหาเอลล่าพร้อมเสียงหัวเราะอย่างอำมหิต แววตาของเขาบ่งบอกถึงความกระหายในการต่อสู้ 


เอลล่ากำดาบในมือแน่นขึ้น เธอรู้ว่าไม่มีทางหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าได้อีกต่อไปแล้ว นี่คือการต่อสู้ครั้งแรกที่แท้จริงของเธอ


เอลล่าจ้องมองไปที่นีโน่ เธอสัมผัสได้ถึงอนุเวทรอบตัวเขาที่มีความร้อนและเปล่งแสงสีแดงคล้ายเปลวไฟ อย่างไรก็ตาม อนุเวทเหล่านั้นกลับไม่ได้ออกมาจากตัวเขาโดยตรง แต่เป็นพลังงานที่พวยพุ่งออกมาจากคทาที่เขากำลังถืออยู่ในมือ


นีโน่ไม่รอช้า เขาชูคทาขึ้นเหนือศีรษะ พลังงานสีแดงเพลิงพวยพุ่งออกจากปลายคทาอย่างรุนแรง ก่อตัวเป็นลูกไฟขนาดใหญ่ที่ร้อนระอุ


"รับไปซะ! เพลิงโลกันตร์!" นีโน่ตะโกน พร้อมกับสะบัดคทา ส่งลูกไฟขนาดมหึมาพุ่งเข้าใส่เอลล่าอย่างรวดเร็ว ลูกไฟนั้นทิ้งร่องรอยของความร้อนและประกายไฟไว้บนพื้นดินที่มันเคลื่อนผ่าน


เอลล่าเบิกตากว้าง เธอสัมผัสได้ถึงความร้อนที่แผดเผาเข้ามาใกล้ มันไม่ใช่แค่ลูกไฟธรรมดา แต่เป็นเวทมนตร์ที่เต็มไปด้วยพลังทำลายล้าง เธอต้องตัดสินใจในเสี้ยววินาที


เธอชักดาบออกมาอย่างรวดเร็ว! ดาบของเธอเปล่งแสงสีฟ้าอ่อนๆ ออกมาอย่างบางเบา ก่อนที่เธอจะกระโดดถอยหลังอย่างฉับพลัน ด้วยความคล่องตัวที่เพิ่มขึ้นจากการควบคุมอนุเวท ทำให้เธอหลบพ้นวิถีของลูกไฟเพลิงโลกันตร์ไปได้อย่างหวุดหวิด ลูกไฟระเบิดลงบนพื้นดินด้านหน้าเธอ สร้างแรงสั่นสะเทือนและทิ้งรอยไหม้เกรียมขนาดใหญ่ไว้


เอลล่าลงสู่พื้นอย่างมั่นคง ดวงตาสีเขียวอมฟ้าจ้องมองนีโน่อย่างแน่วแน่ ดาบในมือของเธอพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับการโจมตีครั้งต่อไป


"ฮ่าๆๆๆๆ!" นีโน่หัวเราะอย่างสะใจ เมื่อเห็นว่าเอลล่าสามารถหลบการโจมตีแรกของเขาได้ เขายิ่งรู้สึกสนุกกับ 'เกม' ที่กำลังจะเกิดขึ้น


"นักดาบหรือ? ฮึ่ม...พวกนักดาบชั้นต่ำ!" นีโน่กล่าวอย่างเหยียดหยาม น้ำเสียงเต็มไปด้วยความดูถูก ราวกับว่าการเป็นนักดาบนั้นด้อยกว่าการเป็นผู้ใช้เวทมนตร์อย่างเขาสุดขีด


เอลล่าไม่รอช้า เธอเริ่มควบคุมอนุเวทให้ไหลเวียนเข้าไปในร่างกายของเธอทันที อนุเวทเหล่านั้นพุ่งตรงเข้าสู่ระบบการไหลเวียนโลหิต กระตุ้นให้เลือดทำการไหลเวียนได้อย่างรวดเร็วขึ้น เพื่อไปหล่อเลี้ยงและเพิ่มพลังให้กล้ามเนื้อและอวัยวะต่างๆ ทั่วร่างกาย เธอรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านไปทั่วตัว พละกำลังและความคล่องตัวที่เพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน


ทันใดนั้นเอง เอลล่าก็พุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็วราวกับกระสุน ตรงเข้าหานีโน่ที่ยังยืนอยู่ด้านหน้าเขาตกใจในความเร็วที่เพิ่มขึ้นของเอลล่า ดวงตาของเขามองตามแทบไม่ทัน


แม้เขาจะมองเอลล่าแทบไม่ทัน แต่ประสบการณ์ที่นีโน่มีนั้นไม่ใช่สิ่งที่นักดาบทั่วไปจะเทียบได้ เขามีเวลาเพียงเสี้ยววินาทีในการตอบสนอง และในทันทีนั้นเอง เขาก็สร้างกำแพงไฟขึ้นด้านหน้าตัวเอง เปลวเพลิงสีแดงฉานลุกโชนขึ้นสูงท่วมหัว กั้นขวางเส้นทางของเอลล่าอย่างสมบูรณ์


เอลล่าพุ่งทะยานเหนือกำแพงเพลิงได้อย่างน่าทึ่ง นีโน่เบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงกับความเร็วและทักษะของเธอ เอลล่าไม่รอช้า เธอง้างดาบฟันลงอย่างรวดเร็ว ตั้งใจจะจัดการคู่ต่อสู้ที่ยังไม่ทันตั้งตัว


แต่ก่อนที่ดาบของเธอจะไปถึงตัวนีโน่ มีแท่งน้ำแข็งขนาดใหญ่พุ่งเข้ามาหาเธอจากด้านข้าง มันลอยอยู่กลางอากาศอย่างรวดเร็ว เอลล่าที่ยังอยู่กลางอากาศทำได้แค่เบี่ยงตัวหลบอย่างฉับพลัน ทำให้เธอรอดพ้นคมน้ำแข็งไปได้อย่างหวุดหวิด ก่อนจะร่อนลงพื้นอย่างแผ่วเบา


เอลล่ารีบพุ่งตัวไปหานีโน่อีกครั้ง เธอใช้ดาบของเธอฟันเข้าใส่ แต่ก่อนที่คมดาบจะสัมผัสตัวเขา พื้นตรงหน้าเธอกลับกลายเป็นโคลนลึกอย่างกะทันหัน ทำให้เธอเสียหลักและจมลงไป


เธอรีบกระโดดถอยหลังอย่างรวดเร็ว ถอนตัวออกจากโคลนเหล่านั้น เธอหายใจแรงขึ้นเล็กน้อย ดวงตากวาดมองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง


คนอีกสองคนที่เหลือก็ได้ชูคทาของตนขึ้นมาแล้ว พร้อมที่จะเข้าโจมตี


"เจ้าคิดว่าพวกเราเป็นแค่ตัวประกอบงั้นเหรอ?" ฟ็อกซี่ พูดขึ้นอย่างขบขัน สายตาของเธอมองเอลล่าด้วยความสนุกสนานและเย้ยหยัน แสดงให้เห็นว่าการโจมตีครั้งที่สองไม่ได้มาจากนีโน่ แต่มาจากคนอื่นๆ ในกลุ่ม


"ใครให้พวกเจ้าลงมือ!" นีโน่ ตะโกนอย่างไม่พอใจ เสียงของเขาเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองกับการกระทำของเพื่อนร่วมกลุ่ม "ฉันแค่ประมาทไปเอง ไม่จำเป็นต้องให้เธอช่วยหรอก!"


ฟ็อกซี่ หันไปมองนีโน่ด้วยแววตาที่ยังคงเย้ยหยัน "ก็นายสู้ไม่ได้ ก็เลยช่วยไง" เธอตอบด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนจะเป็นห่วง แต่กลับฉาบด้วยรอยยิ้มที่แสดงความเหนือกว่าอย่างชัดเจน


เอลล่ามองไปยังสามคนที่ถือคทา เธอพอจะทำความเข้าใจพลังเวทของทั้งสามคนได้ นีโน่มีพลังไฟ ฟ็อกซี่มีพลังน้ำแข็ง และอีกคนมีพลังธาตุดิน แต่เมื่อสายตาเธอไปหยุดที่ ลีโอ กลับมีเพียงความว่างเปล่า เธอไม่สามารถสัมผัสอนุเวทใดๆ จากตัวเขาได้เลย ราวกับเขามีตัวตนแต่ก็ไร้ซึ่งพลังใดๆ ที่จะรับรู้ได้


ในขณะที่ความขัดแย้งระหว่างนีโน่และฟ็อกซี่ดำเนินไป วิเลีย ที่บาดเจ็บสาหัสก็เงยหน้าขึ้นมองเอลล่า น้ำตาคลอเบ้า แต่กลับมีรอยยิ้มเศร้าๆ ปรากฏบนใบหน้า


"คุณไม่ต้องช่วยฉัน... คุณไปเถอะค่ะ" วิเลียพูดเสียงแผ่วเบาด้วยความอ่อนล้า 


"ฉันไม่อยากลากใครมาตายเพราะฉันเลย... คุณไปเถอะค่ะ"


เธอพยายามยิ้มให้เอลล่าอีกครั้ง รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเสียสละและความสิ้นหวัง


 "ฉันตายในป่านี้ เดี๋ยววิทยาลัยเวอร์ริเดียนก็จะมาหาศพฉันเองค่ะ"


"เธอคิดว่าวิทยาลัยจะสนใจเด็กนักเรียนที่ไม่มีความสามารถอย่างงันหรอ มีนักเรียนที่ตายในภารกิจมากมายไม่เห็นวิทยาลัยจะสนใจเลย" นีโน่พูดแล้วขำ


วิเลียรู้สึกเจ็บที่อกของเธอ มันเหมือนที่เขาพูดวิทยาลัยไม่สนใจนักเรียนที่ไร้ความสามารถ


คำพูดของวิเลียทำให้เอลล่ารู้สึกเจ็บปวด เธอเห็นแววตาที่ยอมแพ้ในดวงตาของวิเลีย ซึ่งเป็นแววตาที่เธอเคยมีมาก่อนที่จะได้พบกับคาลอส


เอลล่าตัดสินใจอย่างแน่วแน่ เธอจะไม่ทอดทิ้งวิเลียให้ตายตรงนี้


เธอรวบรวมอนุเวทมหาศาลจากรอบตัวเธอมาอย่างไม่เคยทำมาก่อน พลังเวทเหล่านั้นหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของเธออย่างรวดเร็ว เธอไม่ได้เพียงแค่กระตุ้นการไหลเวียนโลหิตอีกต่อไป แต่เธอตั้งใจจะกระตุ้นร่างกายของเธอให้ถึงขีดจำกัด ผลักดันทุกอณูให้เหนือกว่าสิ่งที่เคยเป็นมา ความร้อนแผ่ซ่านไปทั่วร่างอย่างรุนแรง เส้นเลือดปูดโปนขึ้นเล็กน้อยจากแรงดันพลังงาน แต่แววตาของเธอกลับมุ่งมั่นกว่าเดิม ร่างกายของเธอเรืองรองไปด้วยแสงระยิบระยับของอนุเวทที่รวบรวมมา


"ฉันจะไม่ทิ้งเธอ!"


เป็นเพียงคำพูดสั้นๆ แต่กลับทรงพลังพอที่จะทำให้วิเลียที่สิ้นหวังมาตลอด หลั่งน้ำตาออกมาอีกครั้งด้วยความตื้นตันและหวังที่จุดประกายขึ้นมาใหม่ในแววตาของเธอ