หัดวาดก่อนเดียวเปลี่ยนปก
ดราม่า,แอคชั่น,ผจญภัย,แฟนตาซี,ดาร์ค,แฟนตาซี,ดราม่า,ผจญภัย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ประกายจากพฤกษาหัดวาดก่อนเดียวเปลี่ยนปก
ขั้นที่ 1: สัมผัสอนูเวท (Basic Anuwet Sense)
ระดับนี้คือการรับรู้เบื้องต้นถึงอนูเวทในสิ่งรอบตัว ซึ่งสามารถแบ่งย่อยได้ตามความละเอียดของการรับรู้:
ขั้นที่ 2: ควบคุมอนูเวท (Anuwet Manipulation)
ระดับนี้เกี่ยวกับการที่จอมเวทเริ่มมีอิทธิพลต่ออนูเวท ตั้งแต่การบังคับเบื้องต้นไปจนถึงการควบคุมได้อย่างเป็นอิสระ:
ขั้นที่ 3: สลักอนูเวท (Anuwet Imbuement)
ระดับนี้คือการฝังอนูเวทลงในวัตถุให้คงอยู่ได้ ซึ่งต้องใช้ความแม่นยำและความเข้าใจอย่างมาก:
ขั้นที่ 4: แปรผันอนูเวท (Anuwet Transmutation)
นี่คือการเปลี่ยนแปลงแก่นแท้ของอนูเวท ซึ่งเป็นขีดสุดของความเข้าใจและการควบคุม:
ภายใต้ร่มเงาเย็นของต้นพฤกษา อักขระประหลาดในดวงตาของเด็กสาวค่อยๆ เลือนหายไป พร้อมกับการหลับใหลความเงียบสงัดกลับคืนสู่ตรอกแคบ มีเพียงเสียงลมหายใจแผ่วเบาของเด็กหญิง และเสียงกระซิบของใบไม้ที่ไหวตามลม ราวกับธรรมชาติกำลังโอบอุ้มและปกป้องเธอจากความโหดร้ายของโลกภายนอก
รุ่งอรุณค่อยๆ แผ่เข้ามา แสงสีทองอ่อนๆ สาดส่องผ่านช่องใบไม้ ขับไล่ความมืดมิดและไอเย็น แสงแรกของวันใหม่แตะต้องใบหน้าซีดเซียวของเด็กสาวอย่างอ่อนโยนเธอขยับตัวเล็กน้อย เปลือกตาค่อยๆ เปิดขึ้นอย่างเชื่องช้า ความมึนงงยังคงปกคลุม ทว่าความรู้สึกเหน็บหนาวเมื่อคืนกลับจางหายไปอย่างน่าประหลาด
"อืม..." เสียงครางเบาๆ หลุดจากริมฝีปากเล็กๆ เธอรู้สึกถึงความอบอุ่นที่ยังคงหลงเหลืออยู่บนผิวกาย ราวกับไออุ่นจากแสงระยิบระยับเมื่อคืนเด็กสาวค่อยๆ พยุงกายลุกขึ้นนั่ง มองไปรอบกายด้วยสายตาที่ยังคงสับสน ตรอกแคบยังคงเป็นตรอกแคบ กลิ่นเหม็นอับของขยะยังคงลอยมาแตะจมูก ทว่าความรู้สึกสิ้นหวังและหวาดกลัวเมื่อคืน กลับลดน้อยลงอย่างน่าประหลาด
สายตาของเธอพลันจับจ้องไปยังจุดที่ต้นไม้ประหลาดเคยยืนอยู่ ทว่าสิ่งที่ปรากฏแก่สายตากลับเป็นเพียงตอไม้เตี้ยๆ ที่ถูกตัดโค่นอย่างไร้เยื่อใย ร่องรอยการตัดยังสดใหม่ เผยให้เห็นเนื้อไม้สีขาวซีดที่ไร้ซึ่งประกายระยิบระยับใดๆ
ความตกตะลึงแล่นริ้วไปทั่วร่าง ความอบอุ่นที่ยังคงหลงเหลืออยู่บนผิวกายเมื่อครู่ ราวกับถูกความเย็นเยียบของตอไม้พัดพาไปจนหมดสิ้น ดวงตากลมโตเบิกกว้าง มองสำรวจบริเวณโดยรอบอย่างไม่เชื่อสายตา กลุ่มเงาของพุ่มไม้ใหญ่ยังคงอยู่ แสงแดดยามเช้าสาดส่องทุกซอกมุม ทว่าไม่มีวี่แววของต้นไม้เรืองแสงต้นนั้นอีกแล้ว
"ไม่จริง..." เสียงกระซิบแผ่วเบา สั่นเครือราวกับจะแตกสลาย ความสับสนและความงุนงงถาโถมเข้าใส่ ราวกับโลกทั้งใบกำลังเล่นตลกกับเธอ ภาพแสงระยิบระยับ อักขระประหลาดในดวงตา และความอบอุ่นที่ได้รับ ราวกับเป็นเพียงภาพลวงตาในความฝันอันแสนสั้น
มือเล็กๆ ยกขึ้นสัมผัสอากาศว่างเปล่า ราวกับต้องการคว้าจับไออุ่นหรือแสงสว่างที่เคยสัมผัสได้ ทว่ากลับมีเพียงความเย็นเยียบของอากาศยามเช้าเท่านั้น
ความรู้สึกหวาดหวั่นเริ่มหวนกลับคืนมา ความโดดเดี่ยวและสิ้นหวังเริ่มกัดกินหัวใจดวงน้อยๆ อีกครั้ง หากสิ่งที่เธอเห็นเมื่อคืนเป็นเพียงความฝัน แล้วความอบอุ่นที่เธอรู้สึกเล่า? มันคืออะไรกันแน่?
เด็กสาวทรุดตัวลงนั่งข้างตอไม้เตี้ยๆ มองร่องรอยการถูกตัดอย่างเหม่อลอย ความรู้สึกเหมือนถูกพรากจากบางสิ่งบางอย่างที่สำคัญอย่างยิ่ง ก่อตัวขึ้นในใจอย่างเจ็บปวด
"ใคร...ใครทำ?" เสียงเล็กๆ พึมพำอย่างแผ่วเบา มองไปยังรอบทิศอย่างหวาดระแวง ราวกับมีใครบางคนจงใจทำลายสิ่งที่เธอไม่เข้าใจ แต่กลับมอบความรู้สึกอบอุ่นและความหวังเพียงเล็กน้อยนั้นไป
ความจริงอันโหดร้ายปรากฏอยู่ตรงหน้า ตอไม้ที่ไร้ชีวิตเป็นเครื่องยืนยันว่าสิ่งที่เธอเห็นเมื่อคืน ไม่ว่าจะเป็นความฝันหรือความจริง มันได้หายไปแล้วอย่างไร้ร่องรอย เหลือไว้เพียงความว่างเปล่าและความสงสัยที่ค้างคาอยู่ในใจ...
ทันใดนั้น ความหิวก็ถาโถมเข้าใส่เธอด้วยอาการหิว เธอจึงบิดตัวไปมา
"เราจะตายที่นี่ไม่ได้" เธอลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล ทำได้เพียงเดินไปข้างหน้า
"ต้องหาอะไรกิน ไม่งั้นเราได้ตายแน่" เธอเดินโซเซไปตามทางในป่ารกเรื้อ แม้จะผ่านมาเกือบสองชั่วโมงแล้ว แต่กลับไม่พบร่องรอยของแหล่งอาหารใดๆ เลย ความหิวโหยเริ่มกัดกินกระเพาะอย่างรุนแรง จนร่างกายของเธออ่อนแรงลงทุกที ในที่สุด เธอก็ทรุดตัวลงนั่งข้างโคนต้นไม้ใหญ่ หมดเรี่ยวแรงที่จะก้าวเดินต่อไป
"เราจะตายที่นี่จริงๆ เหรอ..." เสียงของเธอแผ่วเบา แหบแห้ง ราวกับเสียงกระซิบของใบไม้ที่ร่วงหล่น ความสิ้นหวังเริ่มก่อตัวในใจ
ในขณะที่เธอกำลังหมดหวัง สายตาพลันเหลือบไปเห็นพุ่มไม้เตี้ยๆ ไม่ไกลนัก มีผลไม้สีแดงสดใสลูกเล็กๆ จำนวนมากห้อยระย้าอยู่ แม้จะไม่รู้จักผลไม้ชนิดนี้ แต่ความหิวโหยก็บดบังความลังเลทั้งหมด
"อย่างน้อย...ก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย" เธอคิดอย่างอ่อนแรง พยายามคลานเข้าไปใกล้พุ่มไม้นั้นอย่างทุลักทุเล
เมื่อเข้าไปใกล้ เธอสังเกตว่าผลไม้สีแดงเหล่านั้นมีลักษณะคล้ายเบอร์รี ผิวเรียบเนียนและมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ชวนให้ลิ้มลอง แม้จะยังไม่แน่ใจว่ามันกินได้หรือไม่ แต่สัญชาตญาณของการเอาชีวิตรอดก็สั่งให้เธอเด็ดผลไม้เหล่านั้นมากิน
เธอค่อยๆ หยิบผลไม้สีแดงลูกหนึ่งขึ้นมา มองสำรวจอย่างละเอียด ก่อนจะตัดสินใจกัดกินเข้าไปคำเล็กๆ รสชาติหวานอมเปรี้ยวเจือความฝาดเล็กน้อย แต่ก็ช่วยบรรเทาความหิวโหยที่กำลังกัดกินเธอได้บ้าง
เด็กสาวค่อยๆ กินผลไม้สีแดงเหล่านั้นทีละลูกๆ จนรู้สึกว่าร่างกายเริ่มมีเรี่ยวแรงขึ้นมาบ้าง ความสิ้นหวังเมื่อครู่ค่อยๆ จางหายไป แสงแห่งความหวังเริ่มส่องประกายขึ้นมาอีกครั้ง
"เรายังไม่ตาย..." เธอพึมพำกับตัวเอง มองไปยังพุ่มไม้ที่มีผลไม้สีแดงด้วยความรู้สึกขอบคุณ อย่างน้อยธรรมชาติในป่าแห่งนี้ก็ยังเมตตาประทานอาหารให้เธอได้ประทังชีวิต แม้จะไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร แต่การได้อิ่มท้องในวันนี้ ก็เป็นพลังให้เธอสามารถก้าวเดินต่อไปได้..
ทันใดนั้น เธอได้ยินเสียงการต่อสู้ดังเข้ามา พร้อมกับเสียงของแข็งปะทะกัน ด้วยความตกใจ เธอรีบวิ่งไปหลบหลังต้นไม้ แล้วค่อยๆ นั่งลงกอดเข่าตัวเองแน่นด้วยความกลัว แต่ด้วยความสงสัย เธอค่อยๆ เหลือบมองจากหลังต้นไม้ เธอเห็นคนจำนวน 4 คน ที่สวมชุดเกราะพร้อมอาวุธครบมือ กำลังคุมเชิงกับสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ตัวหนึ่ง มีขนสีเงินยวงและดวงตาสีอำพัน ด้วยความตกใจ เธอจึงกลับไปนั่งหลังต้นไม้เหมือนเดิม
"บ้าเอ้ย หัวหน้า ทำไมหมาป่าบ้านี้ถึงแข็งแกร่งกว่าในข้อมูลที่ได้มาวะ" เสียงหนึ่งดังขึ้น
"ใครจะไปรู้ล่ะ ไปถามคนที่ให้ข้อมูลสิ! เราต้องรีบฆ่ามันก่อนพระอาทิตย์ตกดิน ไม่งั้นพวกเราตายหมดแน่!" อีกคนตะโกนตอบมา
"หัวหน้า! อีก 2 ชั่วโมงพระอาทิตย์จะตกดินแล้ว รีบฆ่าก็รีบฆ่า!" เสียงที่สามเร่งเร้า
"หัวหน้า เปิดใช้เกราะเวทมนตร์เถอะ!" เสียงที่สี่เสนอ
"ก็ได้วะ ขอให้งานนี้คุ้มกับหินเวทมนตร์ที่เสียไปเถอะ" ทันใดนั้น เกราะของทั้ง 4 คนก็เรืองแสงขึ้น "เปิดใช้เกราะวายุ!"
เกราะของพวกเขามีอักขระสีฟ้าปรากฏขึ้นมา ความเร็วของทั้ง 4 คนก็เริ่มเพิ่มขึ้น 2 ถึง 3 เท่าจากปกติ "รีบฆ่าหินเวทมนตร์ที่เรามีใช้งานชุดเกราะได้เพียง 2 นาที" เสียงของหัวหน้าตะโกน
"เร็กซ์ ไปด้านซ้าย! ไซรัส ไปด้านขวา! เอลวินคอยร่ายเวทย์สนับสนุน!" คาลอสสั่งการอย่างรวดเร็ว
"พวกเราจะปิดล้อมมัน!" คาลอสตะโกนสั่งการ
หมาป่าจันทราคำรามเสียงก้องกังวาน ขนสีเงินยวงของมันลุกชัน ดวงตาสีอำพันจับจ้องไปยังร่างที่เคลื่อนไหวรวดเร็วดุจสายลมทั้งสี่อย่างไม่ลดละ มันขยับเท้าเตรียมพร้อมรับมือ
เร็กซ์พุ่งตัวไปทางซ้ายด้วยความเร็วที่ผิดตา ดาบยาวในมือเปล่งประกายสีเงินวาววับ เขาฟาดฟันดาบเข้าใส่สีข้างของหมาป่าอย่างรวดเร็ว แต่หมาป่าเวทมนตร์ก็เบี่ยงตัวหลบได้อย่างเฉียดฉิว ทิ้งไว้เพียงรอยลมคมกริบ ขณะเดียวกัน ไซรัสก็เคลื่อนที่ไปทางขวาด้วยความเร็วไม่แพ้กัน หอกยาวในมือของเขากวัดแกว่งอย่างคล่องแคล่ว พุ่งแทงไปยังขาหน้าของหมาป่า หมาป่ากระโจนถอยหลังหลบคมหอกได้อย่างว่องไว ก่อนจะตวัดหางอันทรงพลังเข้าใส่ร่างของไซรัสอย่างรวดเร็ว
"ระวัง!" คาลอสตะโกนเตือน ไซรัสรีบยกหอกขึ้นป้องกัน แต่แรงปะทะก็ทำให้ร่างของเขากระเด็นถอยหลังไปหลายเมตร
เอลวินที่อยู่ด้านหลังเริ่มร่ายเวทมนตร์ มือของเขาเปล่งแสงสีเขียวอ่อนๆ อักขระโบราณปรากฏขึ้นรอบตัวเขา ก่อนที่แสงนั้นจะพุ่งไปยังร่างของเร็กซ์และไซรัส
"เสริมพลัง!" เอลวินตะโกน ร่างกายของเร็กซ์และไซรัสเปล่งแสงสีฟ้าจางๆ ความเร็วและความคล่องแคล่วของพวกเขาทวีคูณขึ้นอีกครั้ง
คาลอสเองก็ไม่รอช้า เขาพุ่งเข้าประจันหน้าหมาป่าจันทรา ดาบใหญ่ในมือของเขากวัดแกว่งด้วยพลังมหาศาล ปะทะกับกรงเล็บแหลมคมของหมาป่าเวทมนตร์ เสียงโลหะกระทบกันดังก้องสนั่น ป่าทั้งผืนราวกับสั่นสะเทือน
หมาป่าจันทราคำรามด้วยความโกรธ มันกระโจนเข้าใส่คาลอสอย่างดุดัน กรงเล็บของมันตวัดเข้าใส่ร่างของคาลอสอย่างรวดเร็ว แต่คาลอสก็ยกดาบใหญ่ขึ้นป้องกันได้อย่างทันท่วงที
เร็กซ์และไซรัสที่ได้รับการเสริมพลังจากเอลวิน เคลื่อนที่เข้าโจมตีจากด้านข้างอย่างรวดเร็ว เร็กซ์ฟาดฟันดาบเข้าใส่ขาหลังของหมาป่าจันทรา ทำให้มันเสียหลักไปเล็กน้อย ส่วนไซรัสก็แทงหอกเข้าใส่ไหล่ของมันอย่างแม่นยำ
"ครืนนน!" หมาป่าจันทราร้องคำรามด้วยความเจ็บปวด เลือดสีฟ้าเรืองแสงไหลทะลักออกจากบาดแผล มันหันขวับ ดวงตาสีอำพันจ้องเขม็งไปยังไซรัส ก่อนจะพุ่งเข้าใส่ด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ
"ไซรัสระวัง!" คาลอสตะโกนสุดเสียง แต่ก็ช้าเกินไป กรงเล็บของหมาป่าจันทราวัดเข้าใส่ร่างของไซรัสอย่างจัง เกราะวายุช่วยลดแรงปะทะลงได้บ้าง แต่ร่างของไซรัสก็กระเด็นล้มลงกับพื้นด้วยความเจ็บปวด
"ไซรัส!" เร็กซ์และเอลวินร้องเสียงหลง
"อย่าเสียสมาธิ!" คาลอสตะโกนเสียงดัง เขาใช้จังหวะที่หมาป่าจันทราหันไปสนใจไซรัส พุ่งเข้าโจมตีอย่างไม่ยั้ง ดาบใหญ่ของเขาฟาดฟันเข้าใส่ร่างของหมาป่าเวทมนตร์อย่างต่อเนื่อง
หมาป่าจันทราพยายามตอบโต้ด้วยกรงเล็บและฟันแหลมคม แต่ด้วยความเร็วของคาลอสที่เพิ่มขึ้นภายใต้เกราะวายุ ทำให้มันยากที่จะโจมตีถูกเป้าหมาย
"อีกไม่นานเกราะจะหมดฤทธิ์แล้ว!" เอลวินตะโกนเตือนด้วยน้ำเสียงร้อนรน
"รู้แล้ว!" คาลอสกัดฟันตอบ เขาออกแรงทั้งหมดที่มี ฟาดดาบใหญ่ลงบนหัวของหมาป่าจันทราอย่างเต็มแรง
"ครืนนนนน!" เสียงคำรามสุดท้ายของหมาป่าจันทราดังสนั่น ร่างขนาดใหญ่ของมันทรุดฮวบลงกับพื้นดิน เลือดสีฟ้าไหลนองไปทั่วบริเวณ แต่ทันใดนั้น ร่างของหมาป่าจันทราก็ค่อยๆ จางหายไปในอากาศอย่างไร้ร่องรอย
"เกิดบ้าอะไรขึ้นวะ?" คาลอสอุทาน "เราฆ่ามันไปแล้วไม่ใช่เหรอ?"
ไซรัสลุกขึ้นด้วยอาการมึนงง ในทันใดนั้น คาลอสเหลือบไปเห็นด้านหลังของเอลวิน มีหมาป่าจันทราปรากฏตัวยืนอยู่
"ระวัง!" คาลอสตะโกนสุดเสียง เอลวินยังไม่ทันได้หันหลังกลับไปมอง ก็ถูกกรงเล็บอันแหลมคมตะหวัดเข้าใส่อย่างโหดเหี้ยม ร่างกายของเอลวินขาดสะบั้นเป็นสองท่อน เหมือนไม้ไผ่ที่ถูกตัด เลือดสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณ
"ไม่!!!" คาลอสคำรามเสียงดัง
เขารีบพุ่งตัวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ฟาดดาบใหญ่ลงไปด้วยความโกรธเกรี้ยว แต่ในทันใดนั้น ดวงตาสีอำพันของหมาป่าจันทราก็เปล่งประกายเจิดจ้า ก่อนที่ร่างของมันจะค่อยๆ เลือนหายไปจากตรงนั้นเอง ก่อนที่ดาบใหญ่ของคาลอสจะฟาดถึง ดาบใหญ่จึงฟันลงบนพื้นดินอย่างแรง เสียงดังสนั่นก้องไปทั่วป่า
"มันหายไปไหน!?" คาลอสตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด มองไปรอบตัวด้วยความสับสนและโกรธแค้น
ทันใดนั้น คาลอสได้ยินเสียงเคี้ยวบางอย่างดังมาจากทางไซรัส คาลอสรีบหันขวับไปมอง เห็นเพียงภาพที่น่าสยดสยอง หมาป่าจันทรากำลังเคี้ยวร่างของไซรัสอยู่ในปากของมัน
"หนี...ไป..." ไซรัสพยายามพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาขณะที่ถูกเคี้ยว ก่อนลมหายใจสุดท้ายจะดับลง ดวงตาสีอำพันของหมาป่าจันทราเรืองแสงขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่ร่างของมันจะอันตรธานหายไปต่อหน้าต่อตา
"เร็กซ์! ระวัง!" คาลอสตะโกนสุดเสียง เร็กซ์หันซ้ายขวาอย่างหวาดระแวง ทันใดนั้น กรงเล็บแหลมคมก็แทงทะลุอกของเร็กซ์อย่างฉับพลัน
"หัวหน้า...ช่วยด้วย..." เร็กซ์พึมพำเสียงอ่อนแรง หมาป่าจันทราค่อยๆ ยกกรงเล็บที่เปื้อนเลือดขึ้นสูง
"ไอ้หมาชาติชั่ว!!!" คาลอสคำรามด้วยความสิ้นหวังและโกรธแค้นจนถึงขีดสุด เขาพุ่งตัวเข้าใส่หมาป่าจันทราอย่างบ้าคลั่ง ดาบใหญ่ในมือถูกยกขึ้นสูงเหนือศีรษะ พร้อมที่จะฟาดฟันลงไปอย่างไม่ยั้งคิด
แต่ก่อนที่ดาบจะสัมผัสร่างของเป้าหมาย ดวงตาสีอำพันของหมาป่าจันทราก็เปล่งประกายสีแดงเข้มอย่างน่าสะพรึงกลัว คลื่นพลังงานบางอย่างแผ่ออกมาจากร่างของมัน สัมผัสกับร่างของคาลอสในชั่วพริบตา
ความเจ็บปวดราวกับถูกไฟนรกแผดเผาทั่วร่างแล่นปราดเข้ามาในโสตประสาทของคาลอส เขาเซถอยหลังด้วยความทรมาน ดาบใหญ่ในมือร่วงหล่นลงสู่พื้นดินเสียงดังสนั่น
ภาพตรงหน้าของคาลอสเริ่มพร่าเลือน เขาสังเกตเห็นร่างของหมาป่าจันทราค่อยๆ เลือนหายไปอีกครั้ง พร้อมกับร่างของเร็กซ์ที่ถูกมันแทงทะลุอกก็ค่อยๆ จางลงเช่นกัน ราวกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงภาพลวงตาอันน่าสะพรึงกลัว
ความเงียบกลับคืนสู่ป่าอีกครั้ง มีเพียงเสียงหอบหายใจถี่รัวของคาลอส และกลิ่นคาวเลือดที่ยังคงคละคลุ้งอยู่ในอากาศ ร่างของเอลวินที่ขาดครึ่งยังคงนอนแน่นิ่งอยู่เป็นหลักฐานของความโหดร้ายที่เพิ่งเกิดขึ้น
คาลอสก้มลงมองมือของตัวเองที่สั่นเทา เขาไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น สิ่งมีชีวิตที่พวกเขาเผชิญหน้าเมื่อครู่ มันไม่ใช่หมาป่าธรรมดาอย่างแน่นอน พลังที่มันแสดงออกมา การหายตัวอย่างไร้ร่องรอย มันเหนือกว่าความเข้าใจของพวกเขามากนัก
ความโกรธแค้นค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวและความสิ้นหวังอย่างแท้จริง สมาชิกในกลุ่มของเขาตายไปถึงสามคนต่อหน้าต่อตา และเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลย
"นี่มันตัวอะไรกันแน่..." คาลอสพึมพำเสียงแหบแห้ง มองไปรอบตัวด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหวาดระแวง ความมืดมิดในป่าเริ่มหนาขึ้นเรื่อยๆ ราวกับกำลังกลืนกินความหวังสุดท้ายที่ยังหลงเหลืออยู่...
..