หัดวาดก่อนเดียวเปลี่ยนปก
ดราม่า,แอคชั่น,ผจญภัย,แฟนตาซี,ดาร์ค,แฟนตาซี,ดราม่า,ผจญภัย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ประกายจากพฤกษาหัดวาดก่อนเดียวเปลี่ยนปก
ขั้นที่ 1: สัมผัสอนูเวท (Basic Anuwet Sense)
ระดับนี้คือการรับรู้เบื้องต้นถึงอนูเวทในสิ่งรอบตัว ซึ่งสามารถแบ่งย่อยได้ตามความละเอียดของการรับรู้:
ขั้นที่ 2: ควบคุมอนูเวท (Anuwet Manipulation)
ระดับนี้เกี่ยวกับการที่จอมเวทเริ่มมีอิทธิพลต่ออนูเวท ตั้งแต่การบังคับเบื้องต้นไปจนถึงการควบคุมได้อย่างเป็นอิสระ:
ขั้นที่ 3: สลักอนูเวท (Anuwet Imbuement)
ระดับนี้คือการฝังอนูเวทลงในวัตถุให้คงอยู่ได้ ซึ่งต้องใช้ความแม่นยำและความเข้าใจอย่างมาก:
ขั้นที่ 4: แปรผันอนูเวท (Anuwet Transmutation)
นี่คือการเปลี่ยนแปลงแก่นแท้ของอนูเวท ซึ่งเป็นขีดสุดของความเข้าใจและการควบคุม:
เมื่อเอลล่าใช้สัมผัสอนุเวทอย่างเต็มที่ เธอก็รู้สึกได้ถึงความแตกต่างของพลังงานที่แผ่ออกมาจากแต่ละคนในกลุ่มนั้น พลังงานของพวกเขาไม่เหมือนกับอนุเวทในธรรมชาติที่เธอเคยสัมผัสได้ทั่วไป แต่มีลักษณะเฉพาะตัวที่แตกต่างกันไป
เสียงพูดคุยของกลุ่มคนเหล่านั้นดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ พร้อมกับความรู้สึกของพลังเวทที่แตกต่างกันซึ่งแผ่ออกมา เธอสัมผัสได้ถึงความร้อน ความเย็น ความหนักแน่น และความพลิ้วไหวของอนุเวทจากแต่ละคนอย่างชัดเจน แต่เธอทำได้แค่สัมผัสจากระยะไกลเท่านั้น เอลล่าไม่กล้าเข้าไปใกล้กว่านี้ สัญชาตญาณบอกเธอว่ามันอันตรายเกินไป
"เราควรอ้อมคนเหล่านี้ไป" เธอคิดในใจ
ความขัดแย้งในบทสนทนาของพวกเขา รวมถึงพลังเวทที่เธอรับรู้ได้นั้น บ่งบอกว่ากลุ่มคนเหล่านี้อาจไม่เป็นมิตร และการเผชิญหน้าโดยไม่จำเป็นในสถานการณ์ที่เธอกำลังทดสอบการเอาชีวิตรอดเช่นนี้คงเป็นเรื่องที่ไม่ฉลาดนัก เธอต้องรักษากำลังกายและพลังเวทไว้เพื่อเผชิญหน้ากับอันตรายที่เธอรู้ว่ารออยู่ข้างหน้ามากกว่า
เอลล่าค่อยๆ ถอยร่นจากโพรงที่ซ่อนตัวอยู่ เธอใช้สัมผัสอนุเวทเพื่อประเมินทิศทางและระยะห่างของกลุ่มคนเหล่านั้นอย่างระมัดระวังที่สุด จากนั้นจึงเริ่มเคลื่อนที่อย่างเงียบกริบ พยายามใช้พุ่มไม้และต้นไม้เป็นที่กำบัง เพื่ออ้อมหลีกเส้นทางของพวกเขาให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้
เอลล่าเคลื่อนที่ไปอย่างเงียบกริบ เธอใช้ทักษะการซ่อนตัวที่ฝึกฝนมาอย่างหนัก ผสมผสานกับการสัมผัสอนุเวทเพื่อรับรู้การเคลื่อนไหวของกลุ่มคนปริศนา เธอมั่นใจว่าพวกเขาไม่น่าจะสังเกตเห็นเธอได้ เธอหลีกเลี่ยงเส้นทางหลักที่ดูเหมือนกลุ่มนั้นกำลังมุ่งหน้าไป และเลือกที่จะเดินลึกเข้าไปในป่าที่รกทึบมากขึ้น
"เหลือเวลาไม่นานก่อนจะค่ำ เราต้องหาที่พักที่ปลอดภัย" เอลล่าพูดในใจ สายตาจับจ้องไปที่แสงแดดที่เริ่มอ่อนแรงลง ความคิดเรื่องความปลอดภัยยามค่ำคืนเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
เธอยังคงสงสัยถึงวัตถุประสงค์ของคนกลุ่มนั้น "คนพวกนั้นเข้ามาในป่านี้ทำไมกันนะ ขอแค่ไม่มายุ่งกับเราก็พอ" เธอคิด ความกังวลเล็กๆ น้อยๆ แทรกซึมเข้ามา แต่เธอก็พยายามผลักมันออกไป ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือการเอาชีวิตรอดในบททดสอบของลูน่า
เอลล่าพยายามเดินให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ พลางมองหาจุดที่เหมาะสมสำหรับการพักแรม เธอรู้ว่าการใช้พลังเวทพร่ำเพรื่อจะทำให้ร่างกายอ่อนล้าเร็วขึ้น และในป่าแบบนี้ ทุกหยดพลังงานมีค่า
หลายวันผ่านไปในป่าลึก เอลล่า ยังคงเดินหน้าต่อไปอย่างระมัดระวัง ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยสติและการสังเกต เธอใช้ทักษะทั้งหมดที่ลูน่าสอน ทั้งการสัมผัสอนุเวทเพื่อรับรู้ถึงสิ่งผิดปกติรอบตัว และการเคลื่อนไหวอย่างเงียบเชียบเพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกต เสียงของป่าที่เคยดูน่าหวาดกลัวในคืนแรก เริ่มกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน เธอเริ่มคุ้นเคยกับเสียงใบไม้เสียดสี เสียงลมพัด และเสียงสัตว์ป่าต่างๆ ที่บ่งบอกถึงวงจรของวันและคืน
เธอจดบันทึกจำนวนวันที่ผ่านไปอย่างสม่ำเสมอด้วยการกรีดรอยบนต้นไม้ที่พบเจอ ความหิวและความเหนื่อยล้าเริ่มกัดกินพลังงาน แต่ความมุ่งมั่นที่จะผ่านบททดสอบนี้ยังคงเป็นแรงผลักดันที่สำคัญ
"ยังดี... หลายวันนี้เราไม่ได้พบเจอสิ่งที่จะเป็นอันตรายเลย" เอลล่าพึมพำกับตัวเองด้วยความโล่งอก แม้จะรู้สึกได้ถึงการมีอยู่ของสัตว์นักล่าหลายชนิด แต่เธอก็ยังไม่เผชิญหน้ากับพวกมันโดยตรง หรืออาจเป็นเพราะทักษะการหลบเลี่ยงของเธอพัฒนาขึ้นจนพวกมันไม่ทันสังเกตเห็น
อย่างไรก็ตาม ความเงียบสงบที่ยาวนานนี้ก็ทำให้เอลล่ารู้สึกแปลกๆ เล็กน้อย ป่าแห่งนี้ขึ้นชื่อเรื่องความดุร้าย การไม่พบอันตรายเลยตลอดหลายวันเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจ แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะโชคช่วย หรือเพราะเธอหลบหลีกได้ดี สิ่งเดียวที่เธอรู้คือเธอต้องไปให้ถึงอีกฝั่งของป่าให้ได้ก่อนที่เวลาจะหมดลง
"ใกล้ถึงเวลาแล้ว... อีกแค่หนึ่งวัน" เอลล่าพึมพำด้วยท่าทีนิ่งขรึม เธอนั่งอยู่บนกิ่งไม้สูง มองเห็นทางออกจากป่าอยู่ลิบๆ ตรงหน้า แต่ยังไม่ถึงเวลาที่ลูน่ากำหนด เธอต้องอยู่ในป่านี้ให้ครบเจ็ดวันเต็มเสียก่อน
ทันใดนั้นเอง เสียงเรียกให้ช่วยก็ดังเข้ามาในประสาทหูเธอ "ใครก็ได้! ช่วยด้วย!" เสียงนั้นดังขึ้นด้วยความสิ้นหวังอย่างชัดเจน
เอลล่าชะงัก เธอไม่ได้ยินเสียงมนุษย์มาหลายวันแล้ว นับตั้งแต่กลุ่มคนปริศนาที่เธอหลบเลีกไป เสียงนี้เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและหวาดกลัว ไม่ใช่เสียงสัตว์ป่า เสียงนั้นดังขึ้นเรื่อยๆ ราวกับผู้พูดกำลังเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ หรือกำลังรอความช่วยเหลืออย่างใจจดใจจ่อ
หัวใจของเอลล่าเต้นระรัว เธอควรจะทำอย่างไร? บททดสอบของลูน่าคือการเอาชีวิตรอด เธอควรจะเมินเฉยและรอให้ครบกำหนดเวลา หรือควรจะเข้าไปช่วยเหลือผู้ที่กำลังตกอยู่ในอันตราย?
เสียงนั้นดังขึ้นและชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เอลล่ามองไปทางที่เสียงดังเข้ามา เธอเห็นภาพหญิงสาวคนหนึ่งวิ่งออกมาจากพุ่มไม้ด้วยความเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด เลือดอาบไปทั่วตัวเธอ ผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง และใบหน้าซีดเผือดเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เธอวิ่งโซซัดโซเซมาทางเอลล่า ราวกับกำลังหนีบางสิ่งบางอย่างที่น่าสะพรึงกลัวเบื้องหลัง
สถานการณ์ตรงหน้าทำให้เอลล่าตัดสินใจไม่ได้ทันที สัญชาตญาณของการเอาชีวิตรอดบอกให้เธอซ่อนตัวต่อไป แต่มนุษยธรรมภายในใจกลับเรียกร้องให้เธอลงไปช่วยเหลือ หญิงสาวคนนั้นดูไม่ต่างอะไรกับเหยื่อที่กำลังจะถูกกลืนกินโดยป่าแห่งนี้
ก่อนที่เอลล่าจะทันตัดสินใจ ก็มีคนอีก 4 คน ที่ค่อยๆ เดินตามมาอย่างใจเย็นจากทางที่หญิงสาวบาดเจ็บวิ่งมา พวกเขาไม่มีท่าทีเร่งรีบ ราวกับมั่นใจว่าเหยื่อจะหนีไปไหนไม่รอด
"เธอหนีไปไหนไม่รอดหรอก" คนหนึ่งพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
เอลล่ามองไปยังคนที่พูด เธอเห็นเสื้อผ้าที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน เสื้อสีขาวที่มีลวดลายแปลกตา
เอลล่าสัมผัสได้ถึงพลังเวทที่แตกต่างกันจากคนกลุ่มนี้อีกครั้ง ความร้อน ความเย็น ความหนักแน่น และความพลิ้วไหว ปะปนกันไปในอากาศที่เริ่มตึงเครียด หญิงสาวบาดเจ็บกำลังจะถูกจับตัวได้ และเอลล่าคือผู้เดียวที่เห็นเหตุการณ์นี้
ขณะที่หญิงสาวบาดเจ็บพยายามดิ้นรน คนหนึ่งในกลุ่มนั้นซึ่งเป็นหญิงสาวขายาว รูปร่างราวกับนางจิ้งจอก ก้าวเข้ามาใกล้ด้วยรอยยิ้มเย้ยหยันบนใบหน้า
"เธอควรจะรู้สึกเป็นเกียรติแค่ไหนที่ได้เสียสละตัวเองเพื่อให้พี่ลีโอแข็งแกร่งขึ้น" เสียงหวานที่แฝงไปด้วยความอำมหิตกล่าวขึ้น "เธอก็แค่เป็นเครื่องสังเวยเอง จะกลัวทำไม?"
คำพูดนั้นแทงทะลุหัวใจของเอลล่า เธอตัวแข็งทื่อเมื่อได้ยินคำว่า 'เครื่องสังเวย' มันบ่งบอกถึงเจตนาร้ายของกลุ่มคนเหล่านี้อย่างชัดเจน เสียงนั้นยังก้องอยู่ในหูของเธอ ความคิดที่ว่ามีมนุษย์ถูกใช้เป็นเครื่องสังเวยเพื่อเพิ่มพลังให้กับผู้อื่นนั้นน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าสัตว์ป่าดุร้ายเสียอีก หญิงสาวที่บาดเจ็บไม่ใช่แค่อยู่ในอันตราย แต่เธอกำลังจะถูกสังเวย!
ก่อนหน้าที่หญิงสาวผู้บาดเจ็บจะวิ่งหนีมา ภาพตัดกลับไปเมื่อหลายวันก่อนหน้านั้น วิเลีย เด็กสาวที่ถูกเรียกว่า 'ภาระ' ถูกนำทางโดยกลุ่มคน 4 คน เข้าสู่ใจกลางป่าลึก
ตลอดการเดินทาง วิเลียถูกต่อว่าอย่างหนักว่าไร้ประโยชน์ เธอทำอะไรก็ดูงุ่มง่ามไปเสียหมด ไม่ว่าจะเดินช้า หลงทางง่าย หรือแม้แต่ทำเสียงดังรบกวน จนทำให้เธอรู้สึกด้อยค่าและอับอายอยู่ตลอดเวลา
ในที่สุด พวกเขาก็มาถึงต้นไม้ต้นหนึ่ง ต้นไม้ต้นนั้นสูงใหญ่เสียดฟ้า ลำต้นมีสีแดงฉานดุจสายเลือด ราวกับมันถูกหล่อเลี้ยงด้วยโลหิตอันเข้มข้น มีผลไม้สีแดงทึบที่ยังไม่สุกเต็มที่เกาะอยู่ตามกิ่งก้าน มันดูแปลกตาและน่าพิศวงจนวิเรียอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
"นี่ต้นอะไร?" วิเรียถามชายหนุ่มรูปหล่อ ผมสีทอง ใบหน้าสง่างามราวกับเทพบุตร ซึ่งก็คือ ลีโอ ที่ยืนอยู่ใกล้ที่สุด
ลีโอเพียงยิ้มให้เธอ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนที่ชวนให้ไว้ใจ "เธอแค่เดินไปที่ต้นไม้นั้นแล้วเก็บผลนั้นมา"
วิเลียลังเลเล็กน้อย ความรู้สึกบางอย่างบอกให้เธอระวัง แต่ใบหน้าเปื้อนยิ้มและน้ำเสียงอ่อนโยนของลีโอทำให้เธอรู้สึกสบายใจขึ้น เธอค่อยๆ ก้าวเดินเข้าไปหาต้นไม้นั้นอย่างช้าๆ เธอกลั้นใจหันกลับมามองชายหนุ่มอีกครั้ง เขายิ้มให้เธอก่อนจะพูดปลอบโยน "ไม่เป็นไรหรอก เชื่อฉันสิ วิเรีย"
วิเลีย พยักหน้าเล็กน้อย แล้วหันกลับมาค่อยๆ ก้าวเท้าเข้าใกล้ต้นไม้มากขึ้น และในจังหวะนั้นเอง เธอก็สังเกตเห็นว่ากลางลำต้นไม้เหมือนมี ดวงตาที่ปิดอยู่ เป็นรอยแยกแนวตั้งที่ไม่สมมาตรคล้ายเปลือกตาที่หลับใหลอยู่
ทันใดนั้นเอง เปลือกไม้ตรงรอยแยกนั้นก็เปิดออกอย่างฉับพลัน! เผยให้เห็นดวงตาอันใหญ่โตด้านใน วิเลียตกใจล้มลงไปกองกับพื้น มือของเธอพลันไปจับโดนของแข็งบางอย่างที่อยู่บนพื้น เธอเหลือบมองลงไปและเห็น กะโหลกศีรษะสีขาวซีด ที่มีคราบแห้งกรังของบางอย่างติดอยู่ วิเลียมองไปรอบๆ ตัวด้วยสายตาที่เบิกกว้างด้วยความหวาดกลัว มีแต่ซากกระดูกมนุษย์มากมายกระจัดกระจายอยู่เต็มพื้นรอบต้นไม้ ทั้งกะโหลก ซี่โครง และกระดูกแขนขา ราวกับเป็นสุสานขนาดใหญ่
เธอกรีดร้องอย่างตกใจสุดขีด ความจริงอันน่าสะพรึงกลัวปรากฏตรงหน้า ต้นไม้สีแดงฉานนั้นไม่ใช่ต้นไม้ธรรมดา แต่มันคือต้นไม้ที่กินชีวิต! และเธอกำลังจะกลายเป็นรายต่อไป
ย้อนอดีต: วินาทีแห่งการสังเวย
วิเลีย พยายามตะเกียกตะกายถอยหลังอย่างหวาดกลัว ร่างกายของเธอสั่นเทาไปหมด เธอหันไปมองคนอื่นๆ ในกลุ่มด้วยแววตาอ้อนวอน
"ช่วยด้วย!" เธอร้องขอความช่วยเหลือด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวสุดขีด
คนอีก 3 คนที่เหลือกลับหัวเราะอย่างขบขันกับภาพที่เห็น ราวกับกำลังเพลิดเพลินกับความหวาดกลัวของเธอ วิเลียเหลือบไปมองที่ลีโออีกครั้ง หวังว่าจะมีความเมตตาจากเขาบ้าง แต่เขากลับเพียงยิ้มให้เธอด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยน รอยยิ้มที่ทำให้วิเลียรู้สึกเย็นยะเยือกถึงกระดูก เพราะมันคือรอยยิ้มของผู้ที่กำลังจะส่งเธอลงนรก
ทันใดนั้นเอง มีรากไม้ขนาดใหญ่ค่อยๆ เลื้อยออกมาจากใต้ดินตรงเข้ามารัดที่ข้อเท้าของเธอ รากไม้แข็งแกร่งนั้นรัดแน่นขึ้น ก่อนจะเริ่มลากวิเลียไปที่ลำต้นของต้นไม้สีแดงฉานอย่างช้าๆ
วิเลียทำได้แต่ใช้มือของเธอลากกับพื้นดินอย่างแรงเพื่อยื้อยุด เล็บมือของเธอฉีกขาด เลือดสีแดงสดไหลเป็นทางตามรอยที่มือขูดไปกับดิน เธอร้องขอความช่วยเหลือด้วยเสียงที่ขาดห้วงและเต็มไปด้วยความหวาดกลัว แต่พวกคนเหล่านั้นกลับยืนมองเฉยๆ ไม่มีความคิดที่จะยื่นมือเข้ามาช่วย น้ำตาของวิเลียไหลหลั่งอาบไปทั่วใบหน้า เมื่อรู้ว่าไม่มีใครที่จะช่วยเธอได้อีกแล้ว
วินาทีแห่งความสิ้นหวัง วิเลียกัดฟันแน่น เธอตัดสินใจปล่อยมือที่ลากกับพื้น แล้วเอื้อมมือไปจับ ไม้คทาขนาดเล็กที่เอว ของเธอด้วยอาการสั่นเทา เธอหยิบมันขึ้นมาก่อนจะร่ายเวทมนตร์ด้วยเรี่ยวแรงเฮือกสุดท้าย
มีวงเวทสีขาวบริสุทธิ์ก่อตัวขึ้นที่ปลายไม้คทาของเธอ ก่อนที่จะมีแสงสีขาวสว่างจ้ากระจายไปทั่วทิศทาง แสงนั้นพุ่งตรงเข้าปะทะกับดวงตาที่ปิดอยู่กลางลำต้นไม้ใหญ่ และกระจายไปทั่วบริเวณนั้นอย่างจัง ทันใดนั้นเอง มีเสียงกรีดร้องอันโหยหวนดังลั่นออกมาจากต้นไม้นั้น! เสียงนั้นน่าสะพรึงกลัวจนทำให้พื้นป่าสะเทือน
ด้วยเสียงกรีดร้องของต้นไม้ รากไม้ที่เคยรัดวิเลียก็ ปล่อยเธอลงอย่างฉับพลัน วิเลียไม่รอช้า เธอรีบลุกขึ้นยืนอย่างอ่อนแรงแล้วรีบวิ่งผ่านพวกคนที่ยืนอยู่ทันที ดวงตาของคนเหล่านั้นกำลังปิดสนิทจากแสงจ้าที่เธอปล่อยออกมา วิเลียวิ่งสุดฝีเท้าไปในทิศทางที่เธอจากมาด้วยความหวาดกลัวสุดขีด
ขณะที่วิเลียวิ่งผ่านไป ลีโอเปิดตาขึ้นด้วยสีหน้านิ่งสงบ ราวกับไม่ได้รับผลกระทบจากแสงจ้านั้นแม้แต่น้อย เขามองตามร่างที่กำลังวิ่งหนีไป ก่อนจะออกคำสั่งเสียงเรียบ "พวกนายสามคน ไปจับตัวเธอมา"