หัดวาดก่อนเดียวเปลี่ยนปก
ดราม่า,แอคชั่น,ผจญภัย,แฟนตาซี,ดาร์ค,แฟนตาซี,ดราม่า,ผจญภัย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ประกายจากพฤกษาหัดวาดก่อนเดียวเปลี่ยนปก
ขั้นที่ 1: สัมผัสอนูเวท (Basic Anuwet Sense)
ระดับนี้คือการรับรู้เบื้องต้นถึงอนูเวทในสิ่งรอบตัว ซึ่งสามารถแบ่งย่อยได้ตามความละเอียดของการรับรู้:
ขั้นที่ 2: ควบคุมอนูเวท (Anuwet Manipulation)
ระดับนี้เกี่ยวกับการที่จอมเวทเริ่มมีอิทธิพลต่ออนูเวท ตั้งแต่การบังคับเบื้องต้นไปจนถึงการควบคุมได้อย่างเป็นอิสระ:
ขั้นที่ 3: สลักอนูเวท (Anuwet Imbuement)
ระดับนี้คือการฝังอนูเวทลงในวัตถุให้คงอยู่ได้ ซึ่งต้องใช้ความแม่นยำและความเข้าใจอย่างมาก:
ขั้นที่ 4: แปรผันอนูเวท (Anuwet Transmutation)
นี่คือการเปลี่ยนแปลงแก่นแท้ของอนูเวท ซึ่งเป็นขีดสุดของความเข้าใจและการควบคุม:
เขาใช้มือใหญ่ของตนค่อยๆ จับสไปรท์ตัวเล็กๆ นั้นอย่างระมัดระวัง ก่อนจะเริ่มบีบมันอย่างช้าๆ เสียงกรีดร้องเล็กแหลมที่ดังลอดออกมาจากมือของคาลอสบาดลึกเข้าไปในความเงียบของลานกว้าง สไปรท์ตัวอื่นๆ ที่เฝ้ามองอยู่ต่างส่งเสียงร้องหวีดหวิวด้วยความหวาดกลัว บางตัวถึงกับบินวนไปมาอย่างกระวนกระวาย
คาลอสจ้องมองสไปรท์ในมืออย่างไม่ละสายตา ดวงตาของมันเบิกกว้างด้วยความเจ็บปวดและหวาดผวา แสงเรืองรองจากผลึกบนคทาที่ตกอยู่บนพื้นดินค่อยๆ หรี่ลง ราวกับพลังเวทมนตร์กำลังสูญสิ้นไปพร้อมกับชีวิตของสไปรท์
เสียงกรีดร้องค่อยๆ เบาลง กลายเป็นเสียงครางแผ่วที่น่าสงสาร คาลอสรู้สึกถึงแรงสั่นสะท้านเล็กๆ ในมือ ก่อนที่ทุกอย่างจะสงบนิ่ง ร่างเล็กๆ ของสไปรท์ไร้เรี่ยวแรงอยู่ในมือของเขา ปีกใสๆ พับงออย่างน่าเวทนา
คาลอสคลายมือออกอย่างช้าๆ ร่างของสไปรท์ตกลงสู่พื้นดินอย่างไร้ชีวิต แสงระยิบระยับที่เคยปกคลุมลานกว้างค่อยๆ จางหายไป เผยให้เห็นสภาพป่าที่แท้จริง ต้นไม้กลับมามีสีเขียวเข้มตามปกติ ดอกไม้สีรุ้งเหี่ยวเฉาลงอย่างรวดเร็ว ราวกับเป็นเพียงภาพลวงตาที่สลายไปพร้อมกับการตายของสไปรท์ตัวนั้น
ความเงียบที่น่าอึดอัดปกคลุมลานกว้าง สไปรท์ตัวอื่นๆ ยังคงบินวนเวียนอยู่ แต่ไม่มีเสียงหัวเราะคิกคักหรือความสนุกสนานอีกต่อไป มีเพียงความหวาดกลัวและความเศร้าที่แผ่ซ่านออกมา
คาลอสยืนมองร่างเล็กๆ ที่ไร้ชีวิตบนพื้นดิน ความรู้สึกหลากหลายประดังเข้ามาในใจ ทั้งความโกรธ ความเศร้า และความว่างเปล่า เขาสังหารสิ่งมีชีวิตไปหนึ่งตัว แต่ความสูญเสียของเพื่อนร่วมทีมก็ไม่อาจย้อนคืนมาได้
เขาเงยหน้ามองไปยังสไปรท์ตัวอื่นๆ ดวงตาของพวกมันเต็มไปด้วยความหวาดระแวง แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะโจมตีหรือสร้างภาพลวงตาใดๆ อีกต่อไป ราวกับพวกมันรู้ว่าพลังของพวกมันได้สูญสิ้นไปแล้ว
คาลอสถอนหายใจยาว เขารู้ว่าการแก้แค้นไม่ได้นำมาซึ่งความสุข แต่เป็นการปลดปล่อยความโกรธและความเจ็บปวดที่กัดกินหัวใจของเขา
เขาตัดสินใจที่จะไม่ทำร้ายสไปรท์ที่เหลืออีกต่อไป พวกมันดูไม่ได้แข็งแกร่งอะไร และการตายของสหายของพวกมันก็คงเป็นบทเรียนที่เพียงพอแล้ว
คาลอสเดินไปยังร่างของเอลวินและเร็กซ์ที่ยังคงนอนแน่นิ่งอยู่ เขาคุกเข่าลงข้างๆ พวกเขาด้วยความเศร้าเสียใจ
"พวกนาย...ฉันแก้แค้นให้พวกนายแล้วนะ" คาลอสพึมพำเสียงแผ่วเบา มองใบหน้าของเพื่อนร่วมทีมเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะลุกขึ้นยืนด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง
เขารู้ว่าการเดินทางของเขายังไม่จบสิ้น เขายังคงต้องหาทางออกจากป่าแห่งนี้ และกลับไปยังโลกที่เขาจากมา พร้อมกับความทรงจำอันแสนเจ็บปวดและความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับอันตรายที่ซ่อนอยู่ในโลกที่ไม่คุ้นเคยแห่งนี้
คาลอสหันหลังให้กับลานกว้างที่เคยเต็มไปด้วยภาพลวงตา แสงสีฟ้าจากสร้อยคอของเขายังคงส่องสว่างนำทาง ท่ามกลางความเงียบสงัดของป่าที่กลับคืนสู่ความเป็นจริง...
คาลอสเดินไปยังบริเวณที่ไซรัสเคยล้มลง แม้ภาพของร่างที่ถูกเคี้ยวจะจางหายไปแล้ว แต่ความทรงจำอันน่าสยดสยองยังคงติดตรึงอยู่ในใจ เขาคุกเข่าลงสัมผัสพื้นดินตรงนั้นอย่างแผ่วเบา ราวกับต้องการสื่อสารกับวิญญาณที่จากไป
"ไซรัส...นายก็ด้วย" คาลอสกระซิบเสียงเศร้าสร้อย ความรู้สึกผิดที่ปกป้องเพื่อนไม่ได้ยังคงกัดกินหัวใจเขา
เขาหลับตาลงครู่หนึ่ง รวบรวมความเข้มแข็ง ก่อนจะลุกขึ้นยืนอีกครั้ง แสงสีฟ้าจากสร้อยคอของเขายังคงส่องสว่างอย่างมั่นคง ราวกับเป็นสัญลักษณ์แห่งความหวังที่ยังคงหลงเหลืออยู่
คาลอสรู้ว่าเขาไม่สามารถจมอยู่กับความเศร้าได้นานนัก เขายังมีหนทางที่ต้องเดินต่อไป และเขาต้องออกไปจากป่าแห่งนี้ให้ได้ เพื่อรำลึกถึงการเสียสละของเพื่อนร่วมทีม และเพื่อค้นหาความจริงเบื้องหลังโลกที่เขาหลงเข้ามา
เขาหันหลังให้กับจุดที่ไซรัสจากไป และเริ่มเดินตามแสงสีฟ้าจากสร้อยคออีกครั้ง ท่ามกลางความเงียบสงัดของป่าใหญ่ คาลอสเดินหน้าต่อไปอย่างมุ่งมั่น แม้ในใจจะยังคงเต็มไปด้วยความสูญเสีย แต่ความหวังที่จะได้กลับบ้านก็ยังคงเป็นแรงผลักดันให้เขาก้าวเดิน...
ขาเดินมาได้ไม่ไกลนักก็กะอักเลือดออกมา เกราะที่สวมใส่อยู่ค่อยๆ หมดแสงลง ร่างกายทรุดลงคุกเข่าข้างหนึ่ง อีกข้างกำดาบไว้แน่น
ทันใดนั้นมีเเสียงเหยียบกิ่งไม้ดังมาจากหลังต้นไม้ "ใครกัน?" คาลอสถาม เมื่อได้ยินเสียงดังมาจากหลังต้นไม้ เขาค่อยๆ พยุงตัวลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก "ออกมานะ ไม่งั้นฉันจะโจมตี!"
สิ้นเสียงขู่ ร่างเล็กบอบบางในชุดเสื้อผ้าเก่าขาดก็ค่อยๆ ก้าวออกมาจากหลังต้นไม้ใหญ่ ดวงตากลมโตสีฟ้าอมเขียวเบิกกว้าง มองมาที่คาลอสด้วยความหวาดระแวง ใบหน้าเล็กเปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลนและรอยขีดข่วน ผมเผ้ายุ่งเหยิงไม่เป็นทรง เธอตัวสั่นเล็กน้อย แต่ก็พยายามยืนหยัดเผชิญหน้ากับชายแปลกหน้าตรงหน้า
"เธอ...?" คาลอสลดดาบลงเล็กน้อย มองเด็กสาวด้วยความประหลาดใจ เขาไม่คาดคิดว่าจะเจอใครอีกในป่าลึกแห่งนี้ โดยเฉพาะเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ดูบอบบางและน่าสงสารเช่นนี้ ทันใดนั้น คาลอสก็ยกดาบขึ้นอีกครั้ง "หรือว่าเธอจะเป็นสไปรท์" เขาตะโกนถามเด็กสาว
เด็กสาวสะดุ้งเฮือกกับเสียงตวาดของคาลอส ดวงตากลมโตยิ่งเบิกกว้างขึ้น น้ำตาคลอหน่วย เธอตัวสั่นเทิ้ม แต่ก็พยายามเงยหน้าสบตาชายแปลกหน้า แม้จะเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
"หนู...หนูชื่อเอลล่าค่ะ" เสียงของเธอแผ่วเบา สั่นเครือ ราวกับเสียงกระซิบของลม "หนู...หนูไม่ใช่สไปรท์ค่ะ"
คาลอสจ้องมองเด็กสาวอย่างพิจารณา แสงจันทร์สาดส่องลงมาบนใบหน้าเล็กๆ ของเธอ เผยให้เห็นแววตาที่ใสซื่อและหวาดหวั่น ไม่มีร่องรอยของความเจ้าเล่ห์หรือพลังเวทมนตร์ที่เขาเคยเห็นจากสไปรท์
"เอลล่า..." คาลอสทวนชื่อเบาๆ ดาบในมือยังคงยกขึ้น แต่ความตึงเครียดในร่างกายของเขาลดลงเล็กน้อย "เธอมาทำอะไรในป่านี้คนเดียว?"
น้ำตาเม็ดเล็กๆ ไหลอาบแก้มของเอลล่า เธอเม้มปากแน่น พยายามกลั้นสะอื้น
"หนู...หนูหลงทางค่ะ" เสียงของเธอขาดหายเป็นช่วงๆ "หนู...หนูเดินตามหาคุณพ่อ...แต่หนูหาไม่เจอ..."
ความสงสารเริ่มก่อตัวขึ้นในใจของคาลอส ภาพของเด็กสาวที่หลงทางและหวาดกลัว ทำให้ความระแวงของเขาลดน้อยลงไปมาก แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังคงต้องระมัดระวัง
"หลงทาง...มานานแค่ไหนแล้ว?" คาลอสถามเสียงอ่อนลง
"หลายวันแล้วค่ะ..." เอลล่าตอบเสียงสะอื้น "หนู...หนูหิว...หนูหนาว..."
คาลอสลดดาบลงจนสุด มองเด็กสาวด้วยความเห็นใจ เสื้อผ้าของเธอขาดรุ่งริ่งและเปรอะเปื้อน ผมเผ้าก็ยุ่งเหยิง ดวงตาแดงก่ำจากการร้องไห้ ร่างกายสั่นเทาด้วยความอ่อนแอ
"เธอ..." คาลอสพูดด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไป "เธอไม่ได้โกหกใช่ไหม? เธอไม่ใช่...พวกสไปรท์ใช่ไหม?"
เอลล่าส่ายหน้าอย่างแรง น้ำตาไหลอาบแก้มมากยิ่งขึ้น
"ไม่ค่ะ! หนูไม่ใช่! หนูไม่รู้จักสไปรท์..."
คาลอสถอนหายใจยาว ความระแวงในใจเริ่มจางหายไปจนหมดสิ้น เด็กสาวตรงหน้าเขาดูอ่อนแอและน่าสงสารเกินกว่าจะเป็นสไปรท์ที่เขารู้จัก
"แล้วทำไมเธอถึงมาซ่อนอยู่หลังต้นไม้เมื่อกี้?" คาลอสถามด้วยความสงสัย
"หนู...หนูได้ยินเสียงดัง..." เอลล่าตอบเสียงแผ่ว "หนูกลัว...หนูก็เลยหลบ..."
คาลอสพยักหน้าเข้าใจ เขาเองก็ส่งเสียงดังไปไม่น้อยเมื่อเผชิญหน้ากับสไปรท์
"เอาล่ะ เอลล่า" คาลอสพูดเสียงนุ่มลง "ฉันจะไม่ทำร้ายเธอ แต่เธอต้องบอกฉันมาตามตรง เธอหลงทางมานานแค่ไหนแล้ว และเธอพอจะจำทิศทางที่มาได้ไหม?"
เอลล่าเงยหน้ามองคาลอสด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหวัง เธอค่อยๆ เล่าเรื่องราวของเธอให้คาลอสฟังด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ...
ในค่ำคืนหนึ่ง ขณะที่หนูและคุณพ่อกำลังจะทานอาหารเย็น ก็มีเสียงดังสนั่นมาจากภายนอก หนูฟังไม่รู้เรื่องว่าคือเสียงอะไร แต่คุณพ่อได้ยินเสียงนั้นชัดเจน ท่านค่อยๆ ย่องไปเปิดหน้าต่างดูอย่างระมัดระวัง
สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาของคุณพ่อ ทำให้ใบหน้าของท่านซีดเผือด ท่านรีบปิดหน้าต่างลงกลอนอย่างรวดเร็ว สีหน้าตื่นตระหนก
"เกิดอะไรขึ้นคะพ่อ?" หนูถามด้วยความสงสัยและตกใจ
"พวกมันมา...พวกมันมาปล้น!" คุณพ่อกระซิบเสียงสั่น "พวกมันต้องการ...ของมีค่า...หินเวทมนตร์!"
ความหวาดกลัวแล่นริ้วไปทั่วร่างของหนู เสียงเอะอะโวยวายดังแว่วมาจากภายนอก บ้านเรือนเริ่มมีแสงไฟจากการจุดคบเพลิงส่องสว่าง
"เร็วเข้าเอลล่า! พ่อจะซ่อนลูกไว้ในไห!" คุณพ่อคว้ามือหนูอย่างรวดเร็ว พาหนูไปยังมุมหนึ่งของบ้าน ท่านเปิดฝาไหใบใหญ่ที่ปกติใช้เก็บน้ำ หนูตัวสั่นเทิ้มด้วยความกลัว ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ยอมทำตามที่คุณพ่อบอกอย่างว่าง่าย
คุณพ่อรีบยัดหนูลงไปในไห ท่านกำชับเสียงเครือ "อยู่ในนี้เงียบๆ นะลูก ห้ามออกมาจนกว่าทุกอย่างจะเงียบสนิท พ่อจะกลับมาหาลูก"
หนูพยักหน้าทั้งน้ำตา คุณพ่อปิดฝาไหลง หนูได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆ และเสียงค้นข้าวของดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ หัวใจดวงน้อยๆ เต้นระรัวด้วยความหวาดกลัว หนูขดตัวอยู่ในไหแคบๆ ภาวนาให้ทุกอย่างสงบลงโดยเร็ว...
เสียงฝีเท้าหนักๆ ย่ำเข้ามาใกล้ที่ซ่อนของหนูมากขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับเสียงข้าวของถูกทุบทำลายดังสนั่น หนูขดตัวลึกเข้าไปในไห พยายามกลั้นหายใจไม่ให้ใครได้ยินเสียงของเธอ
"พวกแกซ่อนมันไว้ที่ไหน! บอกมา!" เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นใกล้ๆ ราวกับอยู่ในบ้านของเธอเอง หัวใจของหนูเต้นระรัวด้วยความกลัวสุดขีด
"ข้าบอกแล้วว่าไม่มี! พวกเราไม่มีหินเวทมนตร์อะไรนั่น!" เสียงของคุณพ่อดังตอบกลับมาด้วยความกราดเกรี้ยว แต่ก็แฝงไปด้วยความหวาดหวั่น
"โกหก! พวกแกต้องมี! พวกเราเห็นคนของแกถือมัน!" เสียงทุ้มต่ำตวาดลั่น ตามมาด้วยเสียงเหมือนของหนักถูกเหวี่ยงเข้าใส่บางสิ่งบางอย่าง
"อั๊ก!" เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของคุณพ่อ ทำให้หนูน้ำตาไหลพราก เธออยากจะออกไปช่วย แต่ก็จำคำสั่งของคุณพ่อได้แม่นมั่น
จากนั้นก็มีเสียงต่อสู้ดังขึ้น เสียงดาบปะทะกัน เสียงคนร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด และเสียงเฟอร์นิเจอร์ล้มระเนระนาด หนูตัวสั่นเทิ้มอยู่ในไห ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว
เสียงต่อสู้ค่อยๆ ห่างออกไป ราวกับมีการไล่ล่ากันเกิดขึ้น เสียงฝีเท้าหลายคู่วิ่งผ่านหน้าไหไปอย่างรวดเร็ว หนูได้ยินเสียงตะโกนสั่งการ และเสียงหอบหายใจดังระงม
ความเงียบกลับคืนมาอีกครั้ง แต่เป็นความเงียบที่น่าอึดอัดและเต็มไปด้วยความตึงเครียด หนูไม่กล้าขยับตัว ยังคงขดตัวอยู่ในไหด้วยความหวาดระแวง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นข้างนอก และคุณพ่อของเธอเป็นอย่างไรบ้าง...
"...แล้วทุกอย่างก็เงียบไปค่ะ" เอลล่าเล่าด้วยเสียงสั่นเครือ ดวงตากลมโตยังคงฉายแววหวาดกลัว "หนู...หนูกลัวมาก ไม่กล้าออกมาจากไห หนูไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น...คุณพ่อ..." เสียงของเธอขาดหาย สะอื้นจนตัวโยน
คาลอสยืนฟังอย่างเงียบงัน ความรู้สึกสงสารและเห็นใจเด็กสาวท่วมท้นหัวใจ เขาเองก็เคยสูญเสียคนที่รัก และเข้าใจถึงความเจ็บปวดของการพลัดพราก
"หนูอยู่ในนั้นนานแค่ไหน?" คาลอสถามเสียงนุ่มลง พยายามปลอบประโลมเด็กน้อย
"หนู...หนูไม่รู้ค่ะ..." เอลล่าตอบทั้งน้ำตา "มืดไปหมด...จนกระทั่งหนูทนไม่ไหว...หนูหิวมาก...หนูก็เลยออกมา..."
เธอเล่าถึงการเดินอย่างไร้จุดหมายในหมู่บ้านที่ถูกทำลาย ภาพศพที่น่าสะพรึงกลัว และความหิวโหยที่กัดกินร่างกายเล็กๆ ของเธอ
"...หนูเดิน...เดินไปเรื่อยๆ ไม่รู้ทิศทาง..." เอลล่าเล่าต่อด้วยเสียงแผ่วลง "จนกระทั่ง...หนูมาถึงที่นี่...หนูเห็นแสงประหลาดๆ จากต้นไม้นั้น...มันอยู่ไกลๆ ตรงนั้นค่ะ"
เธอชี้มือเล็กๆ ไปยังทิศทางที่มืดมิด แม้จะมองไม่เห็นตอไม้แล้ว แต่ความทรงจำถึงแสงประหลาดยังคงอยู่ในสายตาของเธอ
"...มันอบอุ่นมากค่ะ...ตอนที่หนูสัมผัสมัน...เหมือน...เหมือนคุณพ่อกอดหนู..." น้ำตาเม็ดเล็กๆ ไหลอาบแก้มของเธออีกครั้ง "แต่พอหนูตื่นมา...มันก็หายไปแล้ว..."
คาลอสฟังเรื่องราวของเอลล่าด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง เขาไม่รู้ว่าแสงประหลาดและต้นไม้เรืองแสงนั้นคืออะไร แต่เขาสัมผัสได้ถึงความสิ้นหวังและความโดดเดี่ยวที่เด็กสาวตัวน้อยต้องเผชิญ
"แล้ว...ทำไมเธอถึงกลัวฉัน?" คาลอสถามเสียงอ่อนโยน
เอลล่าเงยหน้ามองคาลอสอีกครั้ง ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความหวาดระแวง
"ตอนที่หนูได้ยินเสียงดัง...หนูกลัวว่า...จะเป็นพวกนั้น...พวกที่มาทำร้ายหมู่บ้านของหนู..." เสียงของเธอสั่นเครือ "หนู...หนูเห็นพวกเขาสวมชุดเกราะ...เหมือนที่คุณใส่..."
คำพูดของเอลล่าแทงใจคาลอส เขาสวมชุดเกราะที่อาจทำให้เด็กสาวหวาดกลัว เขาเป็นภาพสะท้อนของความรุนแรงที่เธอเพิ่งประสบมา
คาลอสถอนหายใจยาว เขาคุกเข่าลงตรงหน้าเอลล่า พยายามทำให้ตัวเองดูไม่น่ากลัว
"เอลล่า ฟังฉันนะ" คาลอสพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง "ฉันไม่ใช่คนร้าย ฉัน...ฉันก็หลงทางเหมือนกัน ฉันจะไม่ทำร้ายเธอ"
เขาจ้องมองเข้าไปในดวงตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวของเด็กสาวอย่างจริงใจ หวังว่าเธอจะสัมผัสได้ถึงความจริงใจของเขา
"เธอ...เชื่อฉันไหม?" คาลอสถามเสียงแผ่ว
เอลล่ามองคาลอสอย่างลังเล ดวงตาเล็กๆ ของเธอพิจารณาใบหน้าของเขาอย่างละเอียด ก่อนจะค่อยๆ พยักหน้าอย่างช้าๆ...
คาลอสยื่นมือของเขาไปหาเด็กสาวอย่างอ่อนโยน "ไปกันเถอะ ฉันจะพาเธอไปจากป่านี้"
เธอค่อยๆ จับมือเขาอย่างแผ่วเบา "เราไปกันเถอะ"คาลอสพูด
เขาพาเด็กสาวค่อยๆ เดินออกจากป่า