หัดวาดก่อนเดียวเปลี่ยนปก
ดราม่า,แอคชั่น,ผจญภัย,แฟนตาซี,ดาร์ค,แฟนตาซี,ดราม่า,ผจญภัย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ประกายจากพฤกษาหัดวาดก่อนเดียวเปลี่ยนปก
ขั้นที่ 1: สัมผัสอนูเวท (Basic Anuwet Sense)
ระดับนี้คือการรับรู้เบื้องต้นถึงอนูเวทในสิ่งรอบตัว ซึ่งสามารถแบ่งย่อยได้ตามความละเอียดของการรับรู้:
ขั้นที่ 2: ควบคุมอนูเวท (Anuwet Manipulation)
ระดับนี้เกี่ยวกับการที่จอมเวทเริ่มมีอิทธิพลต่ออนูเวท ตั้งแต่การบังคับเบื้องต้นไปจนถึงการควบคุมได้อย่างเป็นอิสระ:
ขั้นที่ 3: สลักอนูเวท (Anuwet Imbuement)
ระดับนี้คือการฝังอนูเวทลงในวัตถุให้คงอยู่ได้ ซึ่งต้องใช้ความแม่นยำและความเข้าใจอย่างมาก:
ขั้นที่ 4: แปรผันอนูเวท (Anuwet Transmutation)
นี่คือการเปลี่ยนแปลงแก่นแท้ของอนูเวท ซึ่งเป็นขีดสุดของความเข้าใจและการควบคุม:
หลายเดือนผ่านไปนับตั้งแต่การเดินทางของ เอลล่า และ ลูน่า เริ่มต้นขึ้น พวกเธอยังคงรอนแรมไปตามเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย พร้อมกับการฝึกฝนที่เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ภายใต้การดูแลของลูน่า ความสามารถของเอลล่าพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด ไม่เพียงแค่การควบคุมอนุเวทเท่านั้น แต่ ฝีมือดาบของเธอก็กำลังชำนาญขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ทุกเช้า เอลล่าจะตื่นขึ้นมาพร้อมกับดาบในมือ เธอใช้เวลาหลายชั่วโมงฝึกฝนกระบวนท่าที่คาลอสเคยสอน ผสมผสานกับการเคลื่อนไหวที่ลูน่าปรับปรุงให้เข้ากับสไตล์ของเธอ เสียงคมดาบแหวกอากาศเป็นจังหวะบ่งบอกถึงความแม่นยำที่เพิ่มขึ้น การฟัน การแทง การปัดป้อง ล้วนดูพลิ้วไหวและมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิมมาก ดวงตาของเอลล่าจดจ่ออยู่กับการเคลื่อนไหวของปลายดาบ ร่างกายของเธอตอบสนองได้อย่างเป็นธรรมชาติราวกับดาบเป็นส่วนหนึ่งของแขนขา
ลูน่าเฝ้าดูศิษย์สาวจากระยะไกลด้วยรอยยิ้มพอใจ แม้เอลล่าจะยังคงเป็นเด็กสาวตัวเล็กๆ แต่ความมุ่งมั่นและความสามารถในการเรียนรู้ของเธอนั้นเกินวัยไปมาก การฝึกฝนอันหนักหน่วงตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาได้หล่อหลอมให้เธอกลายเป็นนักดาบที่น่าจับตามอง พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับอันตรายที่อาจจะมาถึงเมื่อไหร่ก็ได้
เช้าวันหนึ่ง ลูน่าพาเอลล่าเดินลึกเข้าไปในป่าทึบที่ต้นไม้สูงใหญ่บดบังแสงอาทิตย์จนเกือบมิดชิด บรรยากาศเงียบสงัดและเต็มไปด้วยกลิ่นอายของธรรมชาติอันดิบเถื่อน
"เอลล่า" ลูน่าหยุดฝีเท้าลง หันมามองเด็กสาวด้วยสายตาจริงจังที่เอลล่าไม่เคยเห็นมาก่อน "ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา เธอฝึกฝนมาอย่างหนัก ทั้งเวทมนตร์และดาบ เธอเก่งขึ้นมาก แต่มันเป็นการฝึกฝนที่ควบคุมได้"
เธอเว้นจังหวะเล็กน้อย "วันนี้จะเป็นการทดสอบจริง เธอต้องเอาชีวิตรอดในป่าแห่งนี้เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ โดยไม่มีฉัน" ลูน่ากล่าวเสียงหนักแน่น สายตาของเธอจับจ้องไปที่เอลล่าอย่างแน่วแน่
เอลล่าเบิกตากว้างเล็กน้อยกับคำประกาศที่คาดไม่ถึง
"จำไว้ให้ดี ในป่าแห่งนี้มี สัตว์ดุร้าย อยู่มากมายนักล่าที่ซ่อนตัวอยู่ทุกซอกทุกมุม" ลูน่าพูดต่อด้วยน้ำเสียงเย็นชาที่ทำให้เอลล่ารู้สึกหนาวสันหลัง "ฉันจะย้ำเตือนอีกครั้ง แม้เธอจะตกอยู่ในอันตรายถึงตาย ฉันก็จะไม่เข้าไปช่วย เธอต้องพึ่งพาตัวเองเท่านั้น"
ลูน่าก้าวถอยหลังไปสองสามก้าว ทิ้งระยะห่างจากเอลล่า "และเมื่อครบหนึ่งสัปดาห์ ฉันจะรอเธออยู่อีกฝั่งหนึ่งของป่า เธอต้องนับวันเอาเองนะว่าครบหนึ่งสัปดาห์หรือยัง ถ้าครบแล้วแต่เธอไม่ออกมา ฉันจะเดินทางต่อไปโดยไม่มีเธอ" ลูน่ากล่าวทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงหนักแน่น "บ๊ายบาย เอลล่า จงอย่าตายละ พิสูจน์ให้ฉันเห็นว่าเธอพร้อมแล้วที่จะเผชิญหน้ากับโลกภายนอกอย่างแท้จริง"
สิ้นเสียง ลูน่าก็หันหลังเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้เอลล่ายืนอยู่เพียงลำพังท่ามกลางความเงียบงันของป่าทึบ ที่ซึ่งเสียงลมพัดผ่านยอดไม้ดูราวกับเสียงกระซิบของโชคชะตาที่รอคอย
เอลล่ายืนอยู่กลางป่าทึบเพียงลำพัง ความเงียบที่ปกคลุมอยู่ก่อนหน้านี้เริ่มถูกแทนที่ด้วยเสียงแปลกปลอมรอบตัว เสียงกิ่งไม้หักดังกรอบแกรบจากที่ใดสักแห่ง ตามมาด้วยเสียงขู่คำรามต่ำๆ ที่ทำให้ขนลุกซู่ เสียงกรีดร้องของสัตว์ที่ไม่รู้จักดังแว่วมาตามลม และเสียงใบไม้เสียดสีกันราวกับมีบางสิ่งกำลังเคลื่อนไหวอยู่ในเงามืด เสียงสัตว์นานาชนิด เหล่านั้นทำให้เธอระมัดระวังตัวมากขึ้น เธอจับดาบในมือแน่นขึ้น เหงื่อซึมไปตามฝ่ามือที่เคยชินกับการฝึกซ้อมในบรรยากาศที่ปลอดภัย
ความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาในหัวของเอลล่า เธอจะรู้ได้อย่างไรว่าครบหนึ่งสัปดาห์แล้วในเมื่อไม่มีปฏิทิน ไม่มีนาฬิกา และไม่มีใครบอกเวลาให้เธอ
"แล้วเราจะนับวันอย่างไรกันถึงจะรู้ว่าครบหนึ่งอาทิตย์?" เอลล่าพึมพำกับตัวเอง เธอเงยหน้ามองยอดไม้สูงเสียดฟ้าที่แทบจะบดบังแสงอาทิตย์จนมิด
เมื่อแสงแรกของวันสาดส่องเข้ามาในโพรง เอลล่าก็สัมผัสได้ถึงความโล่งอกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เธอพึมพำกับตัวเองว่า "หนึ่งวันผ่านไปแล้ว..." พร้อมกับใช้ปลายดาบกรีดรอยเล็กๆ บนเปลือกไม้ด้านในโพรง เพื่อทำเครื่องหมายการเริ่มต้นของบททดสอบครั้งนี้
ขณะที่เธอเตรียมตัวออกเดินทาง เธอสังเกตเห็นว่าป่าเริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง เสียงร้องของนกหลายชนิดดังระงม สลับกับเสียงกระรอกที่กระโดดไปมาระหว่างกิ่งไม้ มันคือ วงจรชีวิตของป่า ที่ตื่นขึ้นพร้อมกับแสงสว่าง แม้ว่าดวงอาทิตย์จะมองไม่เห็นได้โดยตรงจากใต้ร่มไม้หนาทึบ แต่แสงที่ส่องลอดลงมาก็เพียงพอที่จะบ่งบอกถึงการเริ่มต้นของวันใหม่
วันนี้ ความท้าทายที่แท้จริง ของเอลล่ากำลังจะเริ่มต้นขึ้น เธอจะต้องออกสำรวจเส้นทางเพื่อไปอีกฝั่งหนึ่งของป่า พร้อมทั้งหาอาหารและน้ำสำหรับประทังชีวิต
เอลล่าเดินลึกเข้าไปในป่า บรรยากาศเริ่มแตกต่างจากบริเวณที่เธอพักพิงเมื่อคืนนี้ ต้นไม้ใหญ่ขึ้นและหนาทึบกว่าเดิม ทำให้แสงสว่างส่องลงมาได้น้อยลงเรื่อยๆ จนบางจุดมืดมิดราวกับพลบค่ำ เธอต้องใช้สัญชาตญาณและสัมผัสอนุเวทนำทางไปพร้อมๆ กัน
จู่ๆ เธอก็ได้ยิน เสียงน้ำตก ดังแว่วมาแต่ไกล ความหวังเรื่องน้ำดื่มทำให้เธอก้าวเดินเร็วขึ้น แต่เมื่อไปถึง เธอกลับพบกับ เหวลึก ที่มีสายน้ำเชี่ยวกรากไหลอยู่เบื้องล่าง การข้ามไปอีกฝั่งดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ในตอนนี้ เธอจึงตัดสินใจลองใช้ สัมผัสอนุเวท ของเธอเพื่อควบคุมน้ำ ทำให้มันมีความหนาแน่นพอที่จะเดินข้ามไปได้
เธอพยายามจดจ่อ พลังงานอนุเวทเริ่มไหลเวียน แต่ กระแสน้ำที่เชี่ยวกราก ทำให้การควบคุมเป็นไปได้ยาก อนุเวทในน้ำไม่นิ่งพอที่จะรวบรวมให้เกิดความหนาแน่นได้ตามที่เธอต้องการ ความพยายามล้มเหลว น้ำยังคงไหลบ่าอย่างรวดเร็ว เอลล่าถอนหายใจด้วยความผิดหวัง
เอลล่าทำได้เพียงเดินเลียบธารน้ำไปเรื่อยๆ เผื่อจะพบทางข้ามที่ดีกว่า แต่ท้องที่เริ่มส่งเสียงร้องเตือนถึงความหิว ทำให้เธอต้องเริ่มคิดหาอาหารอย่างจริงจัง เธอเคยเรียนรู้จากลูน่าว่าแม้ในป่าลึกก็มีพืชพรรณและสัตว์ที่กินได้ แต่ก็มีพิษร้ายซ่อนอยู่
"ต้องมีวิธีสิ..." เธอพึมพำกับตัวเอง ขณะที่กวาดสายตาไปรอบๆ พุ่มไม้และก้อนหินที่อยู่ริมน้ำ ทันใดนั้นความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามาในหัว
เธอจำได้ว่าสัมผัสอนุเวทของเธอไม่ได้ใช้ได้แค่ควบคุมวัตถุ แต่ยังสามารถ รับรู้ถึงพลังชีวิต ได้อีกด้วย หากพืชชนิดไหนมีพิษร้ายแรง พลังชีวิตของมันอาจจะผิดแปลกไปจากพืชทั่วไปที่ปลอดภัย เอลล่าหลับตาลง พยายามจดจ่อสัมผัสอนุเวทไปที่ พืชพรรณรอบตัว เธอรับรู้ถึงกระแสพลังงานที่แตกต่างกันออกไป บางต้นรู้สึกสดชื่น ปลอดภัย แต่บางต้นกลับให้ความรู้สึกหนาวเย็นและน่ารังเกียจ
เธอเปิดตาขึ้น พร้อมกับรอยยิ้มจางๆ "ใช่แล้ว! นี่แหละวิธี" เธอพบพุ่มไม้ที่มี ผลเบอร์รี่สีม่วงเข้ม ดูน่ากินอยู่ไม่ไกล เมื่อลองใช้สัมผัสอนุเวทกับมัน เธอรับรู้ได้ถึงพลังชีวิตที่ปกติ ไม่มีความผิดเพี้ยนใดๆ ทำให้เธอค่อนข้างมั่นใจว่ามันน่าจะกินได้ เธอเอื้อมมือไปเก็บผลเบอร์รี่อย่างระมัดระวัง
แต่ก่อนที่เธอจะทันได้ดีใจ ทันใดนั้น สัตว์ประหลาดตัวหนึ่ง ก็วิ่งผ่านหน้าเธอไปอย่างรวดเร็ว ตัวมันดูคล้ายกระต่าย แต่มี เขาสองข้าง งอกออกมาจากศีรษะ และมี ดวงตาสีแดงฉาน จ้องมองมาที่เธอด้วยความอยากรู้อยากเห็น เอลล่าตกใจสุดขีด เธอดึงดาบออกมาอย่างรวดเร็วและถอยหลังไปสองสามก้าว สายตาจับจ้องไปที่สัตว์ประหลาดตัวนั้น เพื่อประเมินว่ามันดุร้ายหรือไม่
สัตว์ตัวนั้นจ้องมองเอลล่าอยู่สองสามวินาที ก่อนจะเลิกสนใจและกระโดดหายเข้าไปในพุ่มไม้ เอลล่าถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก เธอเก็บดาบกลับเข้าฝัก และกลับมาสนใจผลเบอร์รี่ในมืออีกครั้ง
เมื่อแน่ใจว่าปลอดภัยแล้ว เอลล่าจึงเก็บผลเบอร์รี่มาจำนวนหนึ่ง เธอเลือกที่จะกินแค่สองสามผลก่อน เพื่อทดสอบว่าไม่มีอาการผิดปกติใดๆ รสชาติหวานอมเปรี้ยวช่วยบรรเทาความหิวได้ดีเยี่ยม เธอมั่นใจแล้วว่านี่คืออาหารมื้อแรกในป่าของเธอ
หลังจากอิ่มท้องไปได้บ้าง เอลล่าก็เริ่มเดินเลียบธารน้ำต่อไป เธอยังคงต้องหาทางข้ามแม่น้ำนี้ไปอีกฝั่งหนึ่ง และสำรวจเส้นทางเพื่อไปถึงจุดหมายปลายทาง
ขณะที่เอลล่าเดินลัดเลาะไปตามริมธารน้ำ สายตาของเธอก็พลันเหลือบไปเห็น พุ่มไม้ขนาดใหญ่ ที่ดูผิดปกติ อนุเวทของเธอส่งสัญญาณเตือนถึง พลังงานที่เกรี้ยวกราด และไม่เป็นมิตร เธอชะงักฝีเท้าทันที ชักดาบออกจากฝักอย่างเงียบเชียบ
ไม่นานนัก เงาขนาดใหญ่ ก็พุ่งออกมาจากพุ่มไม้นั้น สิ่งที่ปรากฏต่อหน้าเอลล่าคือ หมูป่าตัวมหึมา ขนสีดำสนิทราวกับความมืดมิดในป่า ดวงตาแดงก่ำด้วยความดุร้าย และมีเขี้ยวแหลมคมยาวงอกออกมาจากปาก มันพุ่งเข้าใส่เธอทันทีโดยไม่ลังเล
เอลล่าตั้งท่ารับ ดาบในมือสั่นไหวเล็กน้อย ด้วยความประหม่า หมูป่าพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วเหลือเชื่อ เธอเบี่ยงตัวหลบเขี้ยวแรกที่พุ่งเข้าใส่ได้อย่างฉิวเฉียด เสียงเขี้ยวครูดไปกับพื้นดินดังสนั่น เธอกระโดดถอยหลังไปสองสามก้าว พยายามหาจังหวะสวนกลับ แต่หมูป่าตัวนั้นก็ไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น มันพุ่งเข้าใส่อีกครั้งอย่างรวดเร็ว
เอลล่าพยายามใช้ สัมผัสอนุเวท เพื่อสร้างเกราะป้องกันบางๆ รอบตัว แต่ด้วยความเร่งรีบและพลังที่ยังไม่สมบูรณ์นัก เกราะนั้นจึงไม่มั่นคงพอ เธอใช้ดาบปัดป้องเขี้ยวที่สองอย่างสุดแรงเกิด แต่แรงกระแทกจากหมูป่าก็ยังมากเกินไป ดาบหลุดจากมือเธอ กระเด็นไปไกลหลายฟุต ร่างของเอลล่ากระเด็นกระแทกเข้ากับลำต้นไม้ใหญ่ เสียง “อั๊ก!” หลุดออกมาจากลำคอ ความเจ็บปวดแล่นไปทั่วแผ่นหลัง
เธอรีบตะเกียกตะกายลุกขึ้น แม้จะรู้สึกมึนงงไปหมด หมูป่าตัวนั้นกำลังจะพุ่งเข้าใส่อีกครั้ง เอลล่ามองเห็นดาบของเธอที่ตกอยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่ก้าว เธอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้อง วิ่งเข้าหาดาบ โดยตรง เธอพุ่งตัวไปข้างหน้าสุดแรงเกิด หลบเขี้ยวที่เฉียดปลายจมูกไปเพียงแค่คืบ เธอคว้าดาบขึ้นมาได้ทันที
ตอนนี้เอลล่าหันกลับมาเผชิญหน้ากับหมูป่าอีกครั้ง เธอหายใจหอบถี่ เหงื่อกาฬไหลซึมไปทั่วใบหน้า บทเรียนจากลูน่าผุดขึ้นมาในใจ: "อย่าตกใจ พลังจะไหลเวียนเมื่อใจสงบ" เธอพยายามรวบรวมสมาธิ สัมผัสอนุเวทเริ่มไหลเวียนไปตามดาบของเธออย่างมั่นคง
หมูป่าพุ่งเข้าใส่อีกครั้ง เอลล่าไม่หลบ แต่กลับใช้ดาบตั้งรับ เธอรอจังหวะที่หมูป่าเข้ามาใกล้ที่สุด ก่อนจะ ฟาดดาบลงไปที่หัวไหล่ ของมันอย่างสุดแรงเกิด เสียง "แคว๊ก!" ดังสนั่น หมูป่าส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด มันเซถอยหลังไปสองสามก้าว ก่อนจะหันมาจ้องเอลล่าด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความแค้น
เอลล่ารู้ว่าการต่อสู้ระยะประชิดกับสัตว์ตัวใหญ่ขนาดนี้เป็นเรื่องที่เสียเปรียบ เธอมองเห็นบาดแผลที่หัวไหล่ของหมูป่า มันไม่ได้ลึกมากนัก แต่ก็ทำให้การเคลื่อนไหวของมันชะงักไปเล็กน้อย นั่นคือโอกาส
เธอหลับตาลงชั่วขณะ สัมผัสอนุเวทของเธอพุ่งไปที่พื้นดิน รอบๆ หมูป่า เธอไม่สามารถควบคุมวัตถุขนาดใหญ่ได้อย่างแม่นยำนัก แต่การดึงอนุเวทจากสิ่งเล็กๆ อย่างก้อนกรวดหรือรากไม้ที่อยู่ใต้ดินนั้นเป็นไปได้
ทันใดนั้น รากไม้ขนาดใหญ่ ที่อยู่ใกล้เท้าของหมูป่าก็พลันโผล่ขึ้นมาจากพื้นดินอย่างกะทันหันพันรัดข้อเท้าของมันไว้แน่น หมูป่าร้องคำรามด้วยความตกใจและพยายามสะบัดขาออก แต่รากไม้นั้นแข็งแกร่งเกินกว่าที่มันจะหลุดได้ง่ายๆ
นี่คือโอกาสของเอลล่า เธอพุ่งตัวเข้าใส่หมูป่าที่กำลังเสียหลัก ดาบในมือของเธอเต็มไปด้วยพลังอนุเวทสีฟ้าอ่อน เธอตั้งใจที่จะจบท้องมันอย่างรวดเร็ว แต่หมูป่าก็ไม่ได้ยอมแพ้ง่ายๆ แม้จะถูกรากไม้รัดไว้ มันก็ยังพยายามเงยหน้าขึ้นและสะบัดเขี้ยวใส่ เธอจึงเปลี่ยนเป้าหมายเป็นที่ คอ ของมันแทน เธอฟาดดาบลงไปที่ลำคออย่างสุดแรงเกิด เลือดสีแดงสดพุ่งกระจายพร้อมกับเสียงร้องโหยหวนของหมูป่าที่ดังลั่นป่า ก่อนที่ร่างอันมหึมาของมันจะล้มลงแน่นิ่ง
เอลล่าหายใจหอบ ใบหน้าซีดเผือดจากการต่อสู้ ร่างกายของเธอเจ็บระบมไปหมด โดยเฉพาะแผ่นหลังที่กระแทกกับต้นไม้ เธอทรุดตัวลงนั่งข้างซากหมูป่า ดาบในมือยังคงสั่นเล็กน้อย เธอรอดมาได้... นี่คือการต่อสู้ที่ดุเดือดที่สุดเท่าที่เธอเคยเจอมา และเธอชนะมันด้วยตัวเอง
ตอนนี้เธอมีทั้งอาหารและบทเรียนอันล้ำค่า แต่เธอจะทำอย่างไรกับซากหมูป่าตัวนี้? และการต่อสู้ครั้งนี้จะดึงดูดอะไรมาสู่เธออีกในป่าลึกแห่งนี้?
เมื่อความตื่นเต้นจากการต่อสู้ลดลง ความจริงก็เข้าครอบงำ: ตอนนี้เอลล่ามีหมูป่าตัวใหญ่ตายอยู่ตรงหน้า ซึ่งเป็นแหล่งอาหารมหาศาล แต่เธอก็รู้ว่าเนื้อสดจะไม่สามารถเก็บไว้ได้นานในสภาพแวดล้อมของป่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในป่าเขตร้อนเช่นนี้
"ต้องชำแหละมันก่อน แล้วเก็บยังไงไม่ให้เสียนะ" เอลล่าพึมพำกับตัวเอง เธอเคยเห็นวิธีถนอมอาหารในหมู่บ้าน แต่เครื่องมือและทรัพยากรที่นี่มีจำกัด
เธอจ้องมองซากหมูป่าเบื้องหน้า ท้องไส้บิดไปมาด้วยความรู้สึกคลื่นไส้ เธอ ไม่เคยชำแหละสัตว์เองมาก่อน ความคิดที่จะต้องลงมือกับร่างที่ไร้ชีวิตนี้ทำให้เธอรู้สึกหนักใจ แต่ความหิวและความจำเป็นก็ผลักดันให้เธอต้องทำ "ฉันต้องทำ... เพื่อให้รอด" เธอกัดฟันแน่น นึกถึงคำสอนของลูน่าที่ว่าความกลัวคือศัตรูตัวฉกาจ
เธอคิดถึงสิ่งที่ลูน่าเคยสอนเรื่องการใช้ อนุเวทในการควบคุมอุณหภูมิ หรือแม้แต่ การชะลอการเน่าเปื่อย ของสิ่งมีชีวิต เธอตัดสินใจว่านี่เป็นโอกาสที่ดีที่จะทดลองใช้พลังอนุเวทของเธอในทางปฏิบัติ
เอลล่าใช้ดาบของเธออย่างระมัดระวัง แม้มือจะยังสั่นเล็กน้อย เธอพยายามทำตามที่เคยเห็นมา เธอลอกหนังออกอย่างช้าๆ เนื้อของสัตว์ป่านั้นยังอุ่นอยู่ การกระทำที่ดูโหดร้ายนี้ทำให้เธอรู้สึกขยะแขยงเล็กน้อย แต่เธอก็ฝืนใจทำต่อไป เธอแยกชิ้นเนื้อออกจากกระดูกอย่างเป็นระเบียบเท่าที่จะทำได้ พยายามเลือกชิ้นส่วนที่ดีที่สุด เธอนำเครื่องในบางส่วนที่น่าจะกินได้ออกมา เช่น ตับและไต ส่วนที่เหลือก็ทิ้งไว้เป็นอาหารให้กับสัตว์อื่นในป่าตามธรรมชาติ
หลังจากชำแหละเสร็จสิ้น เอลล่าก็แบ่งเนื้อออกเป็นชิ้นเล็กๆ เธอรวบรวมสมาธิ ใช้สัมผัสอนุเวทสร้างสนามพลังบางๆ ล้อมรอบชิ้นเนื้อแต่ละชิ้น อนุเวทที่ไหลเวียนรอบๆ เนื้อนั้นไม่ได้ทำให้มันแข็งเป็นน้ำแข็ง แต่เป็นการ ลดอุณหภูมิโดยรอบ เนื้อลงเล็กน้อย และที่สำคัญกว่านั้นคือ ชะลอการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเน่าเสีย เธอยังใช้อนุเวทเพื่อ ดึงความชื้นส่วนเกิน ออกจากพื้นผิวของเนื้อเล็กน้อยเพื่อลดโอกาสการเสีย
"หวังว่ามันจะได้ผลนะ" เธอพูดกับตัวเองขณะที่ห่อชิ้นเนื้อที่ถนอมแล้วด้วยใบไม้ขนาดใหญ่และนำไปเก็บไว้ในถุงผ้าที่เธอพกมา
การถนอมเนื้อด้วยอนุเวทเป็นเรื่องที่ท้าทายและใช้พลังงานมากพอสมควร แต่เอลล่าก็รู้สึกภูมิใจที่สามารถปรับใช้ทักษะของเธอในสถานการณ์จริงได้ เธอมองซากหมูป่าที่เหลือ และตัดสินใจที่จะดึงเขี้ยวอันแหลมคมออกมาเก็บไว้เป็นเครื่องเตือนใจถึงชัยชนะครั้งนี้
ขณะที่เอลล่ากำลังเก็บสัมภาระ เสียงอื้ออึงบางอย่างก็ดังแว่วมาแต่ไกล มันไม่ใช่เสียงสัตว์ทั่วไปในป่า แต่เป็น เสียงฝีเท้าหนักๆ หลายคู่ ที่กำลังตรงมาทางนี้ ยิ่งไปกว่านั้น สัมผัสอนุเวทของเธอก็รับรู้ได้ถึง พลังงานที่คล้ายคลึงกับพลังงานของหมูป่าตัวนี้ แต่มีจำนวนมากและรุนแรงกว่า
เอลล่าตัวแข็งทื่อ นี่ไม่ใช่เสียงของหมูป่าตัวเดียวแน่นอน เสียงการต่อสู้เมื่อครู่คงดึงดูดอะไรบางอย่างมาแล้วแน่ๆ เธอรีบซ่อนตัวในพุ่มไม้ที่ใกล้ที่สุด คว้าดาบขึ้นมาพร้อมเผชิญหน้า
เธอรวบรวมสมาธิ ควบคุมอนุเวทในร่างกาย ทำให้ร่างกายของเธอมีความต้านทานต่ออากาศน้อยลง รู้สึกเบาราวกับขนนก เอลล่ากระโดดขึ้นไปบนกิ่งไม้ใหญ่ได้อย่างรวดเร็วและเงียบเชียบ เธอซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางใบไม้หนาทึบ จ้องมองลงไปยังพื้นดินเบื้องล่างด้วยความระมัดระวัง
ไม่นานนัก ฝูงหมูป่าขนาดใหญ่ ก็ปรากฏกายขึ้น พวกมันมีขนาดใหญ่กว่าตัวที่เอลล่าเพิ่งสังหารไปหลายเท่า ดวงตาของพวกมันแดงก่ำด้วยความโกรธแค้นและกระหายเลือด พวกมันพุ่งตรงมาที่ซากหมูป่าที่ล้มอยู่ทันที ส่งเสียงคำรามก้องไปทั่วป่า ราวกับกำลังไว้อาลัยให้แก่พวกพ้องที่ล้มตาย
เอลล่ากลั้นหายใจ เธอสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนจากฝีเท้าของพวกมันที่กระทบพื้นดิน พลังงานอนุเวทอันมืดมิดและรุนแรงแผ่ออกมาจากฝูงหมูป่า ทำให้บรรยากาศรอบข้างดูหนักอึ้งและน่ากลัว
ฝูงหมูป่ากำลังคุ้ยเขี่ยซากพวกพ้องอย่างเกรี้ยวกราด ราวกับกำลังตามหาผู้กระทำผิด เอลล่ารู้ดีว่าหากพวกมันพบตัวเธอ เธอจะต้องเผชิญหน้ากับการต่อสู้ที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ และคราวนี้เธออาจไม่โชคดีเหมือนที่ผ่านมา
เอลล่ารู้ว่าการต่อสู้กับฝูงหมูป่าขนาดใหญ่นั้นไม่ใช่ทางเลือกที่ฉลาดนัก เธอต้องใช้ไหวพริบแทนกำลัง เธอหลับตาลงชั่วขณะ นำอนุเวทจากต้นไม้รอบตัวมารวมไว้ใกล้เธอ พลังงานสีเขียวอ่อนๆ จากพืชพรรณเริ่มไหลเวียนเข้ามา เธอไม่ได้ควบคุมต้นไม้ให้เคลื่อนไหว แต่เป็นการ ผสมผสานพลังงานของเธอเข้ากับพลังงานของธรรมชาติ เพื่อให้ตัวเธอเองกลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อม
เธอดึงใยอนุเวทจากใบไม้และกิ่งก้านมารวมตัวรอบๆ ร่างกาย ทำให้เกิด ภาพลวงตา ที่ทำให้รูปร่างของเธอพร่าเลือนไปกับเงาของต้นไม้และใบไม้รอบข้าง สัมผัสอนุเวทของเธอที่เชื่อมโยงกับพืชพรรณ ทำให้เธอสามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของใบไม้และกิ่งไม้เล็กๆ น้อยๆ รอบตัว ให้สอดรับกับการหายใจและจังหวะหัวใจของเธอ เพื่อไม่ให้เกิดการเคลื่อนไหวผิดปกติใดๆ ที่จะดึงดูดความสนใจ
ฝูงหมูป่ายังคงคำรามและค้นหาไปทั่วบริเวณ เสียงพวกมันดังกึกก้องใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แต่ด้วยการพรางตัวจากอนุเวทพืช เอลล่ากลายเป็นส่วนหนึ่งของป่าอย่างแท้จริง ยากที่จะมองเห็นด้วยตาเปล่า ไม่ว่าจะสัตว์หรือมนุษย์ เธอหวังว่าการพรางตัวนี้จะทำให้เธอรอดพ้นจากสายตาอันดุร้ายของฝูงหมูป่าได้