หัดวาดก่อนเดียวเปลี่ยนปก
ดราม่า,แอคชั่น,ผจญภัย,แฟนตาซี,ดาร์ค,แฟนตาซี,ดราม่า,ผจญภัย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ประกายจากพฤกษาหัดวาดก่อนเดียวเปลี่ยนปก
ขั้นที่ 1: สัมผัสอนูเวท (Basic Anuwet Sense)
ระดับนี้คือการรับรู้เบื้องต้นถึงอนูเวทในสิ่งรอบตัว ซึ่งสามารถแบ่งย่อยได้ตามความละเอียดของการรับรู้:
ขั้นที่ 2: ควบคุมอนูเวท (Anuwet Manipulation)
ระดับนี้เกี่ยวกับการที่จอมเวทเริ่มมีอิทธิพลต่ออนูเวท ตั้งแต่การบังคับเบื้องต้นไปจนถึงการควบคุมได้อย่างเป็นอิสระ:
ขั้นที่ 3: สลักอนูเวท (Anuwet Imbuement)
ระดับนี้คือการฝังอนูเวทลงในวัตถุให้คงอยู่ได้ ซึ่งต้องใช้ความแม่นยำและความเข้าใจอย่างมาก:
ขั้นที่ 4: แปรผันอนูเวท (Anuwet Transmutation)
นี่คือการเปลี่ยนแปลงแก่นแท้ของอนูเวท ซึ่งเป็นขีดสุดของความเข้าใจและการควบคุม:
ทันใดนั้นเอง เสียงคำรามอันน่าขนลุก ที่ไม่ใช่เสียงของหมูป่าก็ดังสนั่นไปทั่วป่า เสียงนั้นดุดัน รุนแรง และแฝงไปด้วยพลังงานที่น่าเกรงขามอย่างที่เอลล่าไม่เคยสัมผัสมาก่อน เสียงนั้นสะเทือนไปถึงพื้นดินและกิ่งไม้ที่เธอนั่งอยู่ ทำให้ ฝูงหมูป่าที่กำลังเกรี้ยวกราดเมื่อครู่กลับชะงักงัน พวกมันส่งเสียงครางเบาๆ ด้วยความหวาดกลัว และเริ่มถอยร่นอย่างช้าๆ ราวกับถูกสะกดให้หวาดผวา
เอลล่าแทบไม่เชื่อสายตา หมูป่าที่ดุร้ายกลับกลายเป็นสัตว์ขี้ขลาดในพริบตา สิ่งที่กำลังจะปรากฏตัวออกมาต้องน่ากลัวกว่าพวกมันเป็นไหนๆ เธอรวบรวมสมาธิ สัมผัสอนุเวทของเธอพุ่งไปในทิศทางของเสียงนั้น และสิ่งที่เธอสัมผัสได้คือ พลังงานมหาศาล ที่กำลังเคลื่อนที่เข้ามาใกล้... เธอไม่รอช้า เธอรีบรวบรวมอนุเวทมาอย่างมาก ทำให้ ร่างกายของเธอเกิดการกระตุ้นการทำงานอย่างสุดขีด ด้วยความหวาดกลัว
เธอพุ่งตัวออกจากทิศทางของเสียงนั้นทันที เคลื่อนที่อย่างรวดเร็วราวกับเงา ทิ้งซากหมูป่าและฝูงหมูป่าที่กำลังสับสนอยู่เบื้องหลัง อนุเวทที่เธอรวบรวมไว้แผ่ออกมารอบตัวเธอราวกับออร่าหลากสี ทำให้เธอเรืองแสงจางๆ ท่ามกลางความมืดมิดของป่า พลังที่เร่งเร้าทำให้ใบไม้และกิ่งไม้พุ่งผ่านหน้าเธอไปอย่างรวดเร็ว เธอวิ่งอย่างสุดกำลัง พยายามทิ้งระยะห่างจากเสียงที่น่าสะพรึงกลัวนั้นให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
เธอวิ่งไปเรื่อยๆ จนกระทั่งรู้สึกว่าร่างกายไม่สามารถทนได้อีกต่อไป ความเจ็บปวดแล่นไปทั่วร่างจากการเร่งให้ร่างกายทำงานอย่างสุดขีด เธอหยุดลง หายใจหอบถี่ พิงตัวเข้ากับลำต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ใกล้ที่สุด หวังว่าเธอจะทิ้งห่างจากภัยคุกคามนั้นได้สำเร็จแล้ว
ร่างกายของเอลล่าเจ็บปวดไปทั่วทุกส่วน โดยเฉพาะกล้ามเนื้อที่ถูกใช้งานอย่างหนักจากการวิ่งสุดชีวิต เธอรู้สึกราวกับว่ากำลังจะหมดแรง เปลือกตาหนักอึ้ง แต่เธอก็ยังคงต้องระมัดระวัง เพราะไม่รู้ว่าภัยคุกคามที่น่ากลัวนั้นจะยังตามมาหรือไม่
เธอพยายามฟังเสียงรอบข้าง แต่สิ่งที่ได้ยินมีเพียงเสียงหัวใจของเธอที่เต้นระรัวและเสียงลมหายใจที่หอบเหนื่อย ป่ากลับมาเงียบสงบอีกครั้ง หรืออาจจะเป็นแค่ความเงียบชั่วคราว? เอลล่ารู้ว่าเธอไม่สามารถหยุดพักนานเกินไปได้ เธอต้องหาที่ซ่อนที่ปลอดภัยและฟื้นฟูร่างกายให้เร็วที่สุด
เธอใช้ ดาบของเธอเป็นไม้เท้า ค่อยๆ พยุงร่างที่อ่อนล้าให้ก้าวเดินไปข้างหน้า ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความอ่อนแรง สายตาเธอสอดส่ายมองหาที่พักพิง ไม่ว่าจะเล็กแค่ไหนก็พอ
ไม่นานนัก เธอก็เห็น ถ้ำขนาดเล็ก อยู่ไม่ไกลจากจุดที่เธอหยุดพัก ถ้ำนั้นดูมืดมิดและไม่น่าไว้วางใจ แต่ในสถานการณ์ที่ร่างกายอ่อนล้าเช่นนี้ มันก็ดูเหมือนจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เอลล่าพยายามเดินอย่างเชื่องช้าและอ่อนแรงไปทางปากถ้ำ หวังว่ามันจะปลอดภัยพอที่จะให้เธอได้พักฟื้นร่างกาย
เธอมองสำรวจอย่างรอบคอบจนแน่ใจว่า ไม่มีอะไรที่เป็นอันตราย ซ่อนอยู่ภายใน เธอจึงเดินเข้าไปในถ้ำอย่างช้าๆ ร่างกายของเธอทรุดฮวบลงทันทีที่เท้าแตะพื้นถ้ำ เธอทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดแรง พิงแผ่นหลังที่เจ็บปวดเข้ากับผนังหินเย็นๆ
ความหิวเริ่มโถมกระหน่ำอีกครั้ง เอลล่าหยิบ เนื้อหมูป่าที่ถนอมด้วยอนุเวท ออกมาจากถุงผ้า เธอพยายามรวบรวมอนุเวทเพื่อจุดไฟขึ้นมา แต่ด้วยอาการเหนื่อยล้าอย่างหนัก พลังงานในตัวเธอแทบไม่เหลือ การควบคุมอนุเวทจึงทำไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
เธอจ้องมองเนื้อดิบในมือ เสียงท้องร้องประท้วงทำให้เธอไม่มีทางเลือกอื่น เธอตัดสินใจที่จะกินมันทั้งๆ ที่ดิบ เลือดสีแดงสดซึมออกมาเมื่อเธอกัดลงไป เนื้อที่เหนียวทำให้เธอต้องออกแรงเคี้ยวอย่างหนัก เธอพยายามกลืนลงไปอย่างยากลำบาก แต่ความหิวก็ทำให้เธอฝืนกินต่อไปจนรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย
แม้จะกินเนื้อดิบเข้าไปอย่างยากลำบาก แต่โปรตีนและพลังงานที่ได้รับก็ช่วยให้ร่างกายที่อ่อนล้าของเอลล่ารู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย ความเจ็บปวดที่แผ่นหลังและกล้ามเนื้อยังคงอยู่ แต่ก็ไม่รุนแรงเท่าเดิม เธอพยายามขยับตัวช้าๆ เพื่อยืดคลายกล้ามเนื้อ
ความมืดของถ้ำทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังคงมีความระแวงอยู่ลึกๆ เธอขยับเข้าไปใกล้ผนังถ้ำด้านในที่สุดเท่าที่จะทำได้ กอดดาบไว้แน่น เตรียมพร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น
ตลอดคืนนั้น เอลล่านอนหลับๆ ตื่นๆ ความเหนื่อยล้าทางกายทำให้ร่างกายต้องการการพักผ่อนอย่างหนัก แต่จิตใจก็ยังคงตื่นตัวกับเสียงเล็กๆ น้อยๆ ที่อาจจะมาจากภายนอก เธอรับรู้ถึงเสียงหอนที่คุ้นเคยในยามค่ำคืน และเสียงของสัตว์ป่าที่ออกหากิน แต่คราวนี้เสียงเหล่านั้นไม่ได้ทำให้เธอหวาดกลัวเท่ากับเสียงคำรามปริศนาที่เธอได้ยินเมื่อช่วงบ่าย
เมื่อแสงอรุณรุ่งสาดส่องเข้ามาในถ้ำ เอลล่าก็ลืมตาขึ้น ความเจ็บปวดในร่างกายลดลงไปมาก เธอรู้สึกสดชื่นขึ้นกว่าเมื่อคืนอย่างเห็นได้ชัด พลังอนุเวทที่เคยเหือดแห้งก็เริ่มกลับคืนมาบ้าง แม้จะยังไม่เต็มที่ แต่ก็เพียงพอที่จะให้เธอรู้สึกพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับวันใหม่
"เอาล่ะ... อีกหนึ่งวัน" เธอพึมพำกับตัวเอง พร้อมกับยันกายลุกขึ้นยืนช้าๆ
เอลล่าหลับตาลง นึกถึงคำสอนของคุณลูน่าอีกครั้ง ลูน่าเคยบอกว่า อนุเวทคือกระแสพลังงานที่เชื่อมโยงทุกสิ่งในธรรมชาติ แม้จะมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่ก็สามารถสัมผัสได้ และกระแสพลังงานเหล่านั้นก็มักจะไหลไปตามทิศทางบางอย่าง เช่นเดียวกับกระแสลมหรือกระแสน้ำ
เธอรวบรวมสมาธิ ใช้ สัมผัสอนุเวทของเธอแผ่ออกไปรอบตัว พยายามรับรู้ถึงกระแสพลังงานที่ละเอียดอ่อนที่สุดในป่า เธอรู้สึกถึงการไหลเวียนของอนุเวทที่เชื่อมโยงกับพืชพรรณและสัตว์ต่างๆ คล้ายกับสายน้ำที่มองไม่เห็น แต่มีทิศทางที่แน่นอน
นอกจากนี้ เธอยังสังเกตเห็นว่าแสงแดดยามเช้าที่ส่องลอดลงมานั้น มีความเข้มข้นและทิศทางที่แตกต่างกันไปในแต่ละจุดของป่า แสงแดดอ่อนๆ ที่กระทบกับพื้นดินบ่งบอกถึงทิศทางของดวงอาทิตย์ที่กำลังขึ้น เธอจำได้ว่าดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกเสมอ
เอลล่าเปิดตาขึ้น ด้วยข้อมูลจากทั้งอนุเวทและการสังเกตธรรมชาติ เธอพอจะกำหนดทิศทางได้แล้ว เธอจะเดินมุ่งหน้าไปทางทิศที่เธอรู้สึกว่ากระแสอนุเวทไหลไปอย่างต่อเนื่อง และเป็นทิศทางที่แสงแดดส่องเข้ามามากที่สุด นั่นน่าจะเป็นเส้นทางที่จะนำเธอไปสู่ใจกลางป่าและอีกฝั่งที่ลูน่ารออยู่
ทันใดนั้นความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามาในหัวของเอลล่า "แต่เสียงที่เราได้ยินเมื่อวานนี้ก็มาจากทิศทางที่เราจะไปนี่นา"
ความทรงจำของเสียงคำรามอันน่าสะพรึงกลัวเมื่อวานนี้ยังคงติดอยู่ในใจ พลังงานมหาศาลที่สัมผัสได้นั้นบ่งบอกว่าสิ่งที่อยู่ในทิศทางนั้นไม่ใช่สิ่งที่เธออยากจะเผชิญหน้าด้วยในตอนนี้
เธอหยุดชะงัก ชั่งใจระหว่างความต้องการที่จะไปให้ถึงจุดหมายโดยเร็วที่สุด กับความปลอดภัยของตัวเอง การเดินตรงไปอาจทำให้เธอต้องเผชิญหน้ากับอันตรายที่ไม่รู้จักอีกครั้ง แต่การอ้อมไปก็อาจทำให้เธอต้องใช้เวลาและพลังงานมากขึ้น และอาจหลงทางได้ง่ายขึ้นในป่าที่ไม่คุ้นเคย
ขณะที่เอลล่ากำลังเผชิญหน้ากับการตัดสินใจครั้งสำคัญในป่าลึก ภาพตัดมายังอีกฟากหนึ่งของป่า ที่ริมลำธารใสสะอาด ลูน่า นั่งตกปลาอย่างสบายอารมณ์ ใบหน้าของเธอสงบนิ่งและผ่อนคลาย ราวกับไม่ได้มีความกังวลใดๆ เลย
"เด็กคนนั้นคงรู้แล้วล่ะว่าต้องเจออะไรบ้าง..." ลูน่าพึมพำกับตัวเองขณะที่สายเบ็ดกระตุกเบาๆ เธอหลับตาลงชั่วครู่ สัมผัสอนุเวทของเธอแผ่ขยายออกไป ราวกับใยแมงมุมที่มองไม่เห็น มันไม่ใช่การพยายามค้นหาเอลล่าโดยตรง แต่เป็นการ รับรู้ถึงกระแสพลังงานของป่าทั้งหมด ทิศทางการไหลของอนุเวท ความหนาแน่นของพลังชีวิตที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ และแม้กระทั่งคลื่นพลังงานที่ผิดปกติจากการต่อสู้หรือการเคลื่อนไหวที่รุนแรง
แน่นอนว่าเธอรู้ ทิศทางของป่า อย่างดี เธอรู้ว่าจุดที่เธอนั่งอยู่คือจุดนัดพบที่ปลอดภัยสำหรับผู้ที่ผ่านบททดสอบนี้มาได้ ลูน่าเชื่อมั่นในตัวเอลล่าอย่างเต็มเปี่ยม เธอรู้ว่าศิษย์ของเธอจะต้องเผชิญหน้ากับความยากลำบากนานัปการ แต่สิ่งเหล่านั้นเองที่จะหล่อหลอมให้เอลล่าเติบโตและแข็งแกร่งขึ้น
"อยากจะแข็งแกร่งก็ต้องเจออะไรแบบนี้แหละ" ลูน่าคิดในใจ ดวงตาคู่คมของเธอลืมขึ้นมองไปยังผืนป่าที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา เธอพร้อมที่จะรอคอย ไม่ว่าเอลล่าจะใช้เวลานานแค่ไหนก็ตาม
เอลล่าชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียอย่างถี่ถ้วน แม้ความอยากไปถึงจุดหมายจะแรงกล้า แต่เสียงคำรามเมื่อวานก็ยังก้องอยู่ในหู ลูน่าเคยบอกว่าการทดสอบนี้ใช้เวลาหลายวัน เรายังมีเวลาเหลือเฟือ เราเพิ่งจะเข้าสู่วันที่สองของการเดินทางเท่านั้น
"ไม่... เราจะอ้อมไป" เอลล่าตัดสินใจเด็ดขาด ความปลอดภัยสำคัญกว่า การเผชิญหน้ากับสิ่งที่ยังไม่รู้จักและทรงพลังขนาดนั้นโดยที่ร่างกายยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ เป็นการกระทำที่บุ่มบ่ามเกินไป
เธอปรับทิศทางเล็กน้อย หักเลี้ยวไปทางด้านข้างของเส้นทางที่เธอวางแผนไว้แต่แรก แม้การเดินอ้อมจะทำให้เธอต้องใช้เวลามากขึ้นและอาจเจออุปสรรคใหม่ๆ แต่เอลล่าเชื่อว่าการหลีกเลี่ยงภัยคุกคามที่ใหญ่กว่านั้นคือทางเลือกที่ชาญฉลาดที่สุดในตอนนี้ เธอพยายามใช้สัมผัสอนุเวทนำทางไปพร้อมกับการสังเกตธรรมชาติ เพื่อหาเส้นทางอ้อมที่ปลอดภัยที่สุด
เอลล่าตัดสินใจเดินอ้อมไปเพื่อความปลอดภัย แม้จะต้องเสียเวลาเพิ่มขึ้น แต่เธอก็เชื่อว่ามันคุ้มค่า เธอพยายามก้าวเดินต่อไป แต่ด้วยอาการอ่อนเพลียที่ยังคงอยู่ ทำให้เธอเดินได้ไม่รวดเร็วนัก ทุกย่างก้าวรู้สึกหนักอึ้ง
เธออดคิดไม่ได้ว่า "เราไม่ท้องเสียได้ไงกันนะ ทั้งๆ ที่กินอาหารดิบเข้าไปแบบนั้น" เธอเชื่อว่าน่าจะเป็นเพราะ อนุเวทที่เธอใช้ถนอมเนื้อ ช่วยชะลอการเน่าเสียและลดโอกาสติดเชื้อไปได้มาก
เธอเดินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงช่วงเที่ยงของวัน เมื่อแสงแดดส่องลอดผ่านกิ่งไม้ลงมาเป็นลำแสง ทำให้พอมีแสงสว่างในป่าทึบ เธอก็ตัดสินใจหยุดพัก เธอรู้ว่าต้องเติมพลังให้ร่างกาย
เอลล่ามองหาพื้นที่เล็กๆ ที่ซ่อนตัวได้ดีพอสมควร เธอวางสัมภาระลง และหยิบเนื้อหมูป่าที่ถนอมไว้ขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้เธอไม่เหนื่อยล้าเท่าเมื่อคืน เธอรวบรวมอนุเวทอย่างใจเย็น ก่อนจะมองหา กิ่งไม้แห้งเล็กๆ ที่อยู่รอบตัว เธอจำได้ว่าลูน่าเคยสอนวิธีจุดไฟง่ายๆ ด้วยการใช้พลังอนุเวทกับไม้ที่แห้งสนิท
เธอนำกิ่งไม้แห้งมาวางรวมกันเล็กน้อย จากนั้นใช้ สัมผัสอนุเวท ของเธอส่งผ่านไปยังกิ่งไม้นั้น พลังงานค่อยๆ ก่อตัวขึ้นที่ปลายกิ่งไม้แห้ง จนเกิด ประกายไฟเล็กๆ ขึ้น เปลวไฟเล็กๆ ลุกโชนขึ้นอย่างรวดเร็วจากกิ่งไม้แห้งที่ลุกติดไฟ
เธอนำเนื้อออกมาย่างบนกองไฟ กลิ่นหอมของเนื้อย่างลอยคละคลุ้งไปในอากาศ ทำให้ท้องของเธอร้องประท้วงเสียงดังกว่าเดิม แต่เธอก็ไม่ได้ละความระมัดระวัง หูของเธอยังคงตั้งใจฟังเสียงรอบข้าง อย่างละเอียดถี่ถ้วน เพราะการจุดไฟขึ้นในป่าที่มีแสงแดดเข้าถึงน้อย ก็อาจเป็นจุดสนใจจากสัตว์ร้ายหรือสิ่งมีชีวิตอื่นที่ไม่พึงประสงค์ได้
เอลล่าเฝ้ารอด้วยความอดทนขณะที่เนื้อหมูป่าค่อยๆ สุกบนกองไฟ กลิ่นหอมฟุ้งกระจายไปในอากาศ ทำให้ท้องของเธอร้องประท้วงเสียงดัง แต่เธอก็ไม่ได้ละความระมัดระวังแม้แต่น้อย หูของเธอยังคงตั้งใจฟังเสียงรอบข้างอย่างละเอียดถี่ถ้วน เธอรู้ดีว่าการจุดไฟในป่า แม้จะเป็นช่วงกลางวันที่มีแสงแดดส่องลงมาไม่มาก ก็ยังเป็นจุดที่อาจดึงดูดความสนใจจากสัตว์ร้ายหรือสิ่งมีชีวิตอื่นที่ไม่พึงประสงค์ได้
เธอรับรู้ถึงเสียงป่าที่ยังคงเคลื่อนไหว เสียงกระรอกกระโดด เสียงนกร้อง และเสียงลมพัดผ่านยอดไม้ แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกกังวลเท่ากับความเงียบที่อาจเกิดขึ้น เธอพร้อมที่จะดับไฟและซ่อนตัวได้ทุกเมื่อหากสัมผัสได้ถึงอันตราย
เมื่อเนื้อสุกได้ที่ เอลล่าก็รีบกินอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้กลิ่นค้างอยู่นานเกินไป เนื้อหมูป่าย่างหอมกรุ่นและรสชาติดีกว่าเนื้อดิบที่กินเมื่อคืนนี้มาก พลังงานจากอาหารช่วยฟื้นฟูร่างกายที่อ่อนล้าของเธอได้อย่างดีเยี่ยม
หลังจากกินเสร็จ เธอไม่รอช้าที่จะ ดับกองไฟ อย่างระมัดระวังจนแน่ใจว่าไม่มีประกายไฟเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย เธอเก็บสัมภาระและเตรียมพร้อมที่จะเดินทางต่อ การพักสั้นๆ นี้ช่วยเติมพลังให้เธอได้มาก แต่ความท้าทายในป่าลึกยังรอเธออยู่ข้างหน้า
ขณะที่เอลล่ากำลังเตรียมตัวออกเดินทางต่อ เธอก็ได้ยินเสียงบางอย่างที่แตกต่างจากเสียงป่าทั่วไป มันเป็นเสียงพูดคุยแผ่วๆ ลอยมาตามสายลมจากระยะไกล เอลล่าหยุดชะงักทันที สัมผัสอนุเวท ของเธอเปิดกว้างเพื่อรับรู้ถึงที่มาของเสียง มันไม่ใช่เสียงของลูน่าหรือสัตว์ร้ายที่เธอเคยเจอ พลังงานที่เธอสัมผัสได้นั้นมีความซับซ้อนและแตกต่างออกไป มันมีความคล้ายคลึงกับพลังงานของมนุษย์ แต่แฝงไว้ด้วยความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคย
เสียงนั้นดังขึ้นและชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ราวกับผู้พูดกำลังเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ แม้จะยังจับใจความไม่ได้ชัดเจน แต่เธอก็พอจะรู้ว่ามีบางอย่างที่ไม่ใช่สัตว์ป่ากำลังมุ่งหน้ามาทางเธอ และอาจมาจากทิศทางที่เธอจะอ้อมไป
เธอตั้งใจฟังเสียงนั้นอย่างจดจ่อ พยายามแยกแยะคำพูดที่ลอยมาตามสายลม และแล้วเธอก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังชัดขึ้น "ลีโอนายก็รู้ว่าเราไม่ควรเอาตัวภาระมาด้วย..." ตามมาด้วยเสียงเด็กชายที่ตอบกลับมาว่า "ไม่เป็นไรหรอก"
แล้วเสียงอีกคนก็ดังขึ้นอีกครั้งอย่างชัดเจนกว่าเดิม "ตั้งแต่เข้ามาทำภารกิจ ไม่เห็นเธอทำประโยชน์อะไรเลย"
เสียงพูดคุยของคนในป่าลึกเป็นเรื่องที่ไม่คาดฝันสำหรับเอลล่า พวกเขาคือใคร? เป็นมิตรหรือศัตรู? และบทสนทนานั้นหมายถึงอะไร? มันเป็นบทสนทนาที่บ่งบอกถึงความขัดแย้งภายในกลุ่ม ทำให้เอลล่าต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ