หัดวาดก่อนเดียวเปลี่ยนปก
ดราม่า,แอคชั่น,ผจญภัย,แฟนตาซี,ดาร์ค,แฟนตาซี,ดราม่า,ผจญภัย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ประกายจากพฤกษาหัดวาดก่อนเดียวเปลี่ยนปก
ขั้นที่ 1: สัมผัสอนูเวท (Basic Anuwet Sense)
ระดับนี้คือการรับรู้เบื้องต้นถึงอนูเวทในสิ่งรอบตัว ซึ่งสามารถแบ่งย่อยได้ตามความละเอียดของการรับรู้:
ขั้นที่ 2: ควบคุมอนูเวท (Anuwet Manipulation)
ระดับนี้เกี่ยวกับการที่จอมเวทเริ่มมีอิทธิพลต่ออนูเวท ตั้งแต่การบังคับเบื้องต้นไปจนถึงการควบคุมได้อย่างเป็นอิสระ:
ขั้นที่ 3: สลักอนูเวท (Anuwet Imbuement)
ระดับนี้คือการฝังอนูเวทลงในวัตถุให้คงอยู่ได้ ซึ่งต้องใช้ความแม่นยำและความเข้าใจอย่างมาก:
ขั้นที่ 4: แปรผันอนูเวท (Anuwet Transmutation)
นี่คือการเปลี่ยนแปลงแก่นแท้ของอนูเวท ซึ่งเป็นขีดสุดของความเข้าใจและการควบคุม:
หลังจากคาลอสได้พักผ่อนจนฟื้นกำลังเต็มที่ในวันรุ่งขึ้น เขาก็เตรียมตัวออกเดินทาง แสงอาทิตย์ยามเช้าสาดส่องลงมาต้องใบหน้าของเขา ดูแตกต่างจากเมื่อวานอย่างสิ้นเชิง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและพลังงานที่ไม่เคยมีมาก่อน เอลล่ามายืนส่งคาลอสหน้าบ้าน ด้วยรอยยิ้มที่ผสมผสานความตื่นเต้นและแววตาแห่งความหวัง
"คุณคาลอส ต้องระวังตัวด้วยนะคะ" เอลล่ากล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
คาลอสคุกเข่าลง แตะเบาๆ ที่ศีรษะของเด็กสาว "ไม่ต้องห่วงฉันหรอก เอลล่า เธอเองก็ต้องตั้งใจฝึกกับลูน่านะ "
เขาเหลือบไปมองลูน่าที่ยืนอยู่ข้างๆ เธอพยักหน้าให้เขาเบาๆ
"ฉันจะเริ่มสอนเอลล่าวันนี้เลย" ลูน่าพูด "ส่วนนาย... โชคดีกับการเดินทางนะคาลอส เส้นทางสู่ดินแดนแห่งพันธะดาบจะไปที่นั้นมันไม่ใช้เรื่องง่าย"
คาลอสรับเหรียญตราจากลูน่าขึ้นมาดูอีกครั้ง สัญลักษณ์ดาบไขว้บนเหรียญนั้นดูเหมือนจะเปล่งประกายจางๆ ภายใต้แสงตะวัน เขารู้สึกถึงพลังบางอย่างที่เชื่อมโยงกับมัน
"ผมจะกลับมาให้ได้" คาลอสพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น "และผมจะตามหาความจริงทุกอย่างให้เจอ"
"ก่อนนายจะไป" ลูน่าพูดพลางยื่นเกราะอกของคาลอสคืนให้ "นี่เกราะนาย ฉันซ่อมแซมให้แล้ว และฉันได้เพิ่มเวทมนตร์เข้าไปบางส่วน เกราะจะแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมพอสมควร" เธอเว้นจังหวะเล็กน้อย "แต่รอยร้าวพวกนี้ นายต้องไปหาช่างตีเหล็กซ่อมเอาเองนะ ฉันซ่อมได้แค่ส่วนเวทมนตร์"
มุ่งหน้าสู่ปริศนาแห่งดินแดนแห่งพันธะดาบ
คาลอสโบกมือลาเอลล่าและลูน่า ก่อนจะหันหลังกลับและก้าวเดินออกไปอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ แสงสีฟ้าจากสร้อยคอของเขาไม่ได้ส่องนำทางอีกต่อไป มันดูเหมือนจะจมดิ่งลงสู่ก้นบึ้งของพลังภายใน เขารู้ว่าหนทางข้างหน้าจะเต็มไปด้วยอันตรายและบททดสอบที่ไม่เคยเจอ แต่ความมุ่งมั่นที่จะแข็งแกร่งขึ้น เป็นแรงผลักดันให้เขาก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างไม่ย่อท้อ
เขาเดินผ่านผู้คนมากมาย ก่อนจะเดินไปทางออกที่เงียบสงัด เสียงลมพัดผ่านยอดไม้เป็นเหมือนเสียงกระซิบของโชคชะตา คาลอสรู้ดีว่าการจะค้นพบดินแดนแห่งพันธะดาบนั้นต้องอาศัยมากกว่าแค่การเดินตามรอยเท้า เขาต้องเชื่อมั่นในสัญชาตญาณ และพลังที่ซ่อนอยู่ในตัวเขาเอง
"เราก็ควรออกเดินทางได้แล้วเหมือนกัน" ลูน่าพูดขึ้นขณะมองไปยังท้องฟ้าอันไกลโพ้น "เราจะไปไหนคะ?" เอลล่าถามด้วยความสงสัย "เดี๋ยวเธอก็ได้รู้เมื่อไปถึง" ลูน่าตอบพร้อมรอยยิ้มลึกลับ "เก็บของใช้ที่จำเป็นใส่ในกระเป๋า แล้วเราจะออกเดินทางกัน"
เด็กสาวตัวเล็ก ๆ แบกกระเป๋าไว้บนหลังและกุมดาบไว้ในอ้อมอกอย่างแน่น เธอหันมองไปยังทิศทางบ้านเกิดที่จากมาด้วยความอาลัยอาวรณ์ ก่อนจะหันกลับมาพร้อมดวงตาที่มุ่งมั่นและเดินตามลูน่าไปอย่างไม่ลังเล
เดินไม่นานนักพวกเธอก็ออกมาจากเมืองเล็กๆ เสียงลมพัดผ่านยอดหญ้า เสียงนก เสียงแม่น้ำไหล เป็นเหมือนเสียงเพลงธรรมชาติที่บรรเลงต้อนรับการเดินทางของพวกเธอ ท้องฟ้าสีครามกว้างใหญ่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา เมฆขาวลอยละล่องเป็นรูปร่างต่างๆ ชวนให้จินตนาการ แสงแดดอ่อนๆ ยามเช้าสาดส่องลงมาต้องใบหน้าของเอลล่า ให้ความรู้สึกอบอุ่นและปลอบประโลมหัวใจที่กำลังสับสนของเธอ
"นี่แหละคือโลกที่แท้จริง" ลูน่าพูดขึ้น น้ำเสียงเต็มไปด้วยความสุข "ไม่ใช่แค่ในกำแพงเมืองเล็ก ๆ นั่น"
เอลล่าพยักหน้าช้า ๆ ดวงตาของเธอเบิกกว้าง มองไปรอบ ๆ อย่างตื่นเต้น เธอไม่เคยเห็นโลกภายนอกเมืองมาก่อน ตั้งแต่เกิดมาเธอก็อาศัยอยู่แต่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ ในป่า ไม่เคยเดินทางไปไกลจากหมู่บ้านเลย แต่วันนี้เธอจะได้ออกเดินทางอันแสนไกล ไม่รู้จะได้เจออะไรบ้าง ความตื่นเต้นท่วมท้นขึ้นมา ทุกสิ่งล้วนแปลกใหม่และน่าค้นหา
หลังจากออกเดินทางไปได้สักพัก เมื่อเห็นว่าเอลล่าเริ่มปรับตัวกับสภาพแวดล้อมภายนอกได้แล้ว ลูน่าก็หันมาพูดด้วยรอยยิ้ม
"ไหนๆ เราก็กำลังจะเดินทางไปในโลกกว้างแล้ว ฉันจะสอนเรื่องพื้นฐานเกี่ยวกับเวทมนตร์ให้เธอฟังก็แล้วกัน" ลูน่าพูดพลางชี้ไปยังป่าเบื้องหน้า "ในโลกนี้ จอมเวทมีระดับพลังแบ่งออกเป็น 4 ขั้นใหญ่ ๆ ขั้นที่ 1กับ 2 เป็นขั้นพื้นฐาน นะเอลล่า"
ขั้นที่ 1: สัมผัสอนุเวท
"ขั้นแรกสุดเลยคือ 'สัมผัสอนุเวท'" ลูน่าอธิบาย "มันคือการที่เราสามารถรู้สึกถึงพลังงานเวทมนตร์เล็กๆ ที่ลอยอยู่ในอากาศรอบตัวเราได้ เหมือนกับที่เราหายใจนั่นแหละ เพียงแต่เราต้องตั้งใจสัมผัสถึงมัน ซึ่งแต่ละคนก็จะรับรู้ได้ต่างกันไป บางคนอาจจะรู้สึกถึงความอุ่น บางคนอาจจะรู้สึกเย็น หรือบางคนอาจจะแค่รู้สึกถึงการสั่นสะเทือนเล็กๆ น้อยๆ รอบตัว"
ขั้นที่ 2: ควบคุมอนุเวท
"พอเราสัมผัสถึงมันได้แล้ว ขั้นต่อไปก็คือ 'ควบคุมอนุเวท'" ลูน่าพูดต่อ "ขั้นนี้จะเริ่มซับซ้อนขึ้นมาหน่อย เพราะเราจะต้องฝึกบงการอนุภาคเวทมนตร์เหล่านั้นให้เป็นไปตามที่เราต้องการได้ เช่น การรวมอนุภาคให้กลายเป็นรูปร่าง การกำหนดทิศทางให้มันลอยไปทางไหน หรือแม้แต่การใช้เวทมนตร์ได้อย่างแม่นยำและละเอียดอ่อนมากขึ้น อย่างเช่นการจุดไฟจากปลายไม้เท้าเล็กๆ แทนที่จะเป็นลูกไฟขนาดใหญ่"
ขั้นที่ 3: สลักอนุเวท
"หลังจากนั้นก็คือ 'สลักอนุเวท'" ลูน่ากล่าว "ขั้นนี้คือการที่เรานำพลังเวทมนตร์ที่เราควบคุมได้ ไปฝังหรือประจุลงไปในวัตถุต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นก้อนหิน ต้นไม้ หรือแม้แต่ตัวคนเองก็ได้นะเอลล่า การทำแบบนี้จะทำให้สิ่งเหล่านั้นมีคุณสมบัติพิเศษทางเวทมนตร์ขึ้นมา อย่างที่เราเห็นนักเวทสร้างเครื่องราง หรือลงอาคมคุ้มครองสถานที่น่ะ"
ขั้นที่ 4: แปรผันอนุเวท
"และขั้นสุดท้าย ซึ่งเป็นขั้นที่ยากที่สุดและต้องใช้พลังมากที่สุดก็คือ 'แปรผันอนุเวท'" ลูน่าอธิบายด้วยน้ำเสียงที่จริงจังขึ้น "ขั้นนี้คือความสามารถในการเปลี่ยนแปลงรูปแบบ หรือคุณสมบัติของพลังเวทมนตร์ได้ตามใจเราเลย จากเวทมนตร์ธาตุไฟ อาจจะเปลี่ยนให้เป็นธาตุน้ำ หรือปรับความรุนแรงของมันได้ตามสถานการณ์ นี่แหละคือจุดสูงสุดของการเป็นจอมเวทเลยก็ว่าได้"
ลูน่ามองหน้าเอลล่าที่กำลังตั้งใจฟัง "ส่วนขั้นที่สูงกว่านี้... มันจะไม่มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการ เพราะมันเป็นระดับที่เกินกว่าคำจำกัดความแล้ว เป็นระดับที่จอมเวทสามารถทำในสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้ คล้ายกับการสร้างกฎเกณฑ์ใหม่ของเวทมนตร์เลยทีเดียวล่ะ"
"เข้าใจมั้ยเอลล่า ไม่ต้องรีบร้อนหรอกนะ ค่อยๆ เรียนรู้ไป"
พวกเธอเดินผ่านลำธารที่น้ำใสไหลเย็น ผ่านป่าไม้ที่เขียวขจี และธรรมชาติอันสวยงามตระการตาที่เอลล่าไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน ท้องฟ้าที่เคยสดใสเริ่มมืดลง แสงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปทีละน้อย ทิ้งไว้เพียงแสงเรืองรองสีส้มอ่อนๆ ก่อนที่ความมืดจะเข้าปกคลุมโดยสมบูรณ์
"เราหยุดพักกันก่อน" ลูน่าพูดขึ้น เธอมองไปยังเอลล่า แม้เอลล่าจะฝึกดาบกับคาลอสมาอย่างหนักหน่วง แต่การเดินมาทั้งวันโดยไม่ได้หยุดพักเลยก็ทำให้เธออ่อนล้า เอลล่าทรุดตัวลงนั่งอย่างอ่อนแรง แทบจะทันทีที่ได้ยินคำอนุญาต
"ไปหากิ่งไม้มา ฉันจะสอนการจุดไฟให้" ลูน่าบอกกับเอลล่าที่กำลังหอบเหนื่อย
เอลล่าพยักหน้ารับอย่างไม่รีรอ พยุงตัวเองลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล ก่อนจะเดินโซเซเข้าไปในป่าที่เริ่มมืดมิดเพื่อหากิ่งไม้ เธอไม่เคยจุดไฟด้วยตัวเองมาก่อน รู้สึกตื่นเต้นและกังวลเล็กน้อยว่าจะทำได้หรือไม่
ไม่นานนักเธอก็กลับมาพร้อมกับกิ่งไม้แห้งกองหนึ่งที่เก็บรวบรวมมาอย่างตั้งใจ ลูน่านั่งลงข้างๆ และยื่นมือออกไปหา "เอาล่ะ ดูนะ"
ลูน่าหยิบกิ่งไม้เล็กๆ มาสองอัน ถูเข้าหากันอย่างช้าๆ พร้อมกับร่ายเวทมนตร์บางอย่างเบาๆ ปลายกิ่งไม้เริ่มมี ประกายไฟเล็กๆ เกิดขึ้นช้าๆ จากนั้นเธอก็เพิ่มพลังเวทลงไปอีกเล็กน้อย ประกายไฟก็ลุกโชนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว กลายเป็นเปลวไฟสีส้มแดงที่อบอุ่น
"นี่คือการ 'ควบคุมอนุเวท' ในการจุดไฟ" ลูน่าอธิบาย "เราไม่ได้แค่เสกไฟขึ้นมาเฉยๆ นะเอลล่า แต่เราใช้พลังเวทของเราไป 'สั่งการ' อนุภาคเวทมนตร์ในอากาศ ให้ไปกระตุ้นโมเลกุลของกิ่งไม้แห้งให้เกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงจนเกิดความร้อน และเมื่อความร้อนถึงจุดที่เหมาะสม ประกอบกับมีออกซิเจนรอบๆ ก็จะเกิดการลุกไหม้ขึ้นมา นี่คือการที่เราควบคุมอนุภาคเวทมนตร์ให้ทำในสิ่งที่เราต้องการอย่างละเอียดอ่อน"
เธอหยิบกิ่งไม้แห้งอีกอันที่ยังไม่ติดไฟขึ้นมา "ตอนนี้ลองทำเองดูสิ"
เอลล่ารับกิ่งไม้มาอย่างระมัดระวัง เธอหลับตาลง พยายามนึกถึงสิ่งที่ลูน่าสอน พยายามสัมผัสถึงพลังเวทมนตร์ที่ลอยอยู่ในอากาศรอบตัว และพยายามควบคุมมันให้มารวมกันที่ปลายกิ่งไม้ในมือ
เอลล่าหายใจเข้าลึกๆ ปลายนิ้วสัมผัสกิ่งไม้ที่เธอกำลังถืออยู่ เธอหลับตา พยายามจดจ่อจิตใจ และสัมผัสถึงสิ่งที่ลูน่าเรียกว่า 'อนุภาคเวทมนตร์'
ในตอนแรก เธอไม่รู้สึกอะไรเลยนอกจากความว่างเปล่าและความเย็นจากกิ่งไม้ แต่เมื่อเธอพยายามมีสมาธิจดจ่อมากขึ้น นึกถึงคำพูดของลูน่าที่ว่ามันเหมือนกับการหายใจ ความรู้สึกบางอย่างก็เริ่มก่อตัวขึ้น มันไม่ใช่ความร้อนหรือความเย็น แต่มันเป็นเหมือนการสั่นสะเทือนที่เล็กมากๆ ราวกับมีประกายระยิบระยับที่มองไม่เห็นลอยอยู่รอบตัวเธอ
เธอพยายามรวบรวมความรู้สึกนั้น นำพามันไปที่ปลายกิ่งไม้ในมือ จินตนาการว่าประกายเหล่านั้นกำลังรวมตัวกัน บีบอัดกันและกันให้แน่นขึ้นเรื่อยๆ หวังให้เกิดความร้อนขึ้นมา
เวลาผ่านไปหลายนาที เอลล่าเหงื่อซึมเล็กน้อยด้วยความพยายาม แต่ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอลืมตาขึ้นมองกิ่งไม้ในมืออย่างผิดหวัง
"ใจเย็นๆ เอลล่า" ลูน่าพูดอย่างอ่อนโยน "มันไม่ง่ายหรอกนะในครั้งแรก เธอต้องใช้สมาธิและความตั้งใจจริงๆ ลองอีกครั้งสิ คราวนี้ลองนึกถึงภาพไฟที่ลุกโชนจริงๆ จินตนาการว่าพลังเวทกำลังจุดไฟให้มัน"
เอลล่าพยักหน้า เธอหลับตาลงอีกครั้ง คราวนี้เธอพยายามจินตนาการเปลวไฟสีส้มแดงที่อบอุ่นที่ลูน่าจุดให้เมื่อครู่ ความร้อนจากเปลวไฟนั้นยังคงติดอยู่ในความรู้สึกของเธอ เธอใช้ความรู้สึกนั้นเป็นตัวนำทาง บีบอัดอนุภาคเวทมนตร์ให้แน่นขึ้นอีก จินตนาการถึงเปลวเพลิงที่กำลังก่อตัวขึ้นที่ปลายกิ่งไม้
วินาทีนั้นเอง... ประกายไฟเล็กจิ๋วก็กระพริบขึ้นที่ปลายกิ่งไม้! มันริบหรี่จนแทบมองไม่เห็น แต่เอลล่าสัมผัสได้ถึงความร้อนเพียงเล็กน้อยที่แผ่ออกมา เธอใจเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น
"ใช่แล้ว! แบบนั้นแหละเอลล่า!" ลูน่าร้องบอก "ตอนนี้พยายามคงมันไว้ เพิ่มพลังเข้าไปอีกนิด!"
เอลล่าพยายามรวบรวมพลังเวททั้งหมดที่เธอสัมผัสได้ อัดฉีดเข้าไปในประกายไฟนั้นอย่างต่อเนื่อง ประกายไฟเล็กๆ เริ่มสว่างขึ้นเรื่อยๆ ค่อยๆ ขยายตัวช้าๆ จนกลายเป็น เปลวไฟเล็กๆ ที่ลุกไหม้อย่างมั่นคง
เธอเปิดตาขึ้นด้วยความประหลาดใจและดีใจ เธอทำได้แล้ว! ไฟกองเล็กๆ ส่องสว่างอยู่ในความมืด ส่องใบหน้าของเธอให้เห็นถึงความภาคภูมิใจ
"เก่งมากเอลล่า" ลูน่ายิ้มกว้าง "เธอทำได้เร็วกว่าที่ฉันคิดไว้เยอะเลยนะ"