ก็เพราะชีวิตประจำวันมันน่าเบื่อ ก็เลยอยากเป็นอินฟลูกับเขาสักคน

แปะจะเป็นอินฟลูฯ - 25 นิทานของแม่ โดย Chavaroj @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-ชาย,ตลก,ไทย,เล่าประสบการณ์,ยุคปัจจุบัน,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

แปะจะเป็นอินฟลูฯ

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-ชาย,ตลก,ไทย,เล่าประสบการณ์,ยุคปัจจุบัน

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รายละเอียด

แปะจะเป็นอินฟลูฯ โดย Chavaroj  @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ก็เพราะชีวิตประจำวันมันน่าเบื่อ ก็เลยอยากเป็นอินฟลูกับเขาสักคน

ผู้แต่ง

Chavaroj

เรื่องย่อ



โลกยุคนี้ มันเป็นยุคของ อินฟลูเอ็นเซอร์ นั่นก็คือบุคคลที่มีผู้ติดตามบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย


อินฟลูเอ็นเซอร์ จะมีผู้ติดตามมากมายซึ่งส่วนใหญ่มักจะมีส่วนร่วมในเนื้อหาที่พวกเขาพูดเป็นประจำ อินฟลูฯ มีมากมายหลายหมวด ไม่ว่าจะเป็นหมวดการท่องเที่ยว สายทำอาหาร สายวิชาการ สายบันเทิง สายสุขภาพ 


แต่ผมจะเป็นอินฟลูฯ สายไหนกันดีนะในเมื่อตัวผมเองก็ไม่เก่งอะไรสักอย่าง....เห้อ

สารบัญ

แปะจะเป็นอินฟลูฯ-1 ลูกสาวท่านฑูต,แปะจะเป็นอินฟลูฯ-2 Good Day,แปะจะเป็นอินฟลูฯ-3 เพื่อนร่วมงาน,แปะจะเป็นอินฟลูฯ-4 เพื่อนร่วมงาน 2,แปะจะเป็นอินฟลูฯ-5 เพื่อนร่วมงาน 3,แปะจะเป็นอินฟลูฯ-6 หวานเป็นลม,แปะจะเป็นอินฟลูฯ-7 ขมเป็นยา,แปะจะเป็นอินฟลูฯ-8 ไม่เที่ยง,แปะจะเป็นอินฟลูฯ-9 รสชาติของการเติบโต,แปะจะเป็นอินฟลูฯ-10 มูฟออน,แปะจะเป็นอินฟลูฯ-11 โอกาส,แปะจะเป็นอินฟลูฯ-12 น้องธรรมของม๊า,แปะจะเป็นอินฟลูฯ-13 ช่างแอร์ในตำนาน,แปะจะเป็นอินฟลูฯ-14 สัมผัสพิเศษ,แปะจะเป็นอินฟลูฯ-15 เผิงโหย่ว,แปะจะเป็นอินฟลูฯ-16 Side,แปะจะเป็นอินฟลูฯ-17 ภาพลวงตา,แปะจะเป็นอินฟลูฯ-18 ภาพหลอกตา,แปะจะเป็นอินฟลูฯ-19 คนเดียวหัวหาย,แปะจะเป็นอินฟลูฯ-20 เบื่อ,แปะจะเป็นอินฟลูฯ-21 รอ,แปะจะเป็นอินฟลูฯ-22 จักจั่น,แปะจะเป็นอินฟลูฯ-23 ตามหา,แปะจะเป็นอินฟลูฯ-24 พบเจอ,แปะจะเป็นอินฟลูฯ-25 นิทานของแม่

เนื้อหา

25 นิทานของแม่

โดย Chavaroj


ในห้องนอนของธง บนเตียงขนาดเตียงเดี่ยวมีร่างของสาวน้อยไว้ผมหน้าม้า ปล่อยผมด้านหลังที่กำลังยาวสลวยระต้นคอ โดยมีแปะธงใจดีคอยหวีผมให้หลังจากทาน้ำมันบำรุงผมให้เงางาม


บนพื้นข้าง ๆ เตียง มีฟูกเล็ก ๆ พร้อมหมอนและผ้าห่มเด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดนั่งกอดเข่าอยู่ ดูสองลุงหลานที่คุยกันกระจุ๋งกระจิ๋งแล้วก็อมยิ้ม


"พี่จั่นหมูเรียกว่าอะไรคะ?" เสียงเจื้อยแจ้วถาม


"หมูก็คือ ถ๊อ" จั่นตอบอมยิ้มเล็กน้อย 


"แล้วไก่ล่ะคะ?" เด็กสาวถามอีก


"ไก่ก็เรียกว่า ชอ" จั่นตอบ


สาเหตุที่ถามและตอบกันเรื่องไก่เรื่องหมู ก็เพราะจั่นคุยโม้ว่าที่บ้านของจั่นเลี้ยงไก่เป็นสิบ ๆ ตัวแล้วก็มีหมูอีกสองตัว หมูกับไก่นี่เป็นสัตว์เลี้ยงที่ชาวกะเหรี่ยงบ้านของจั่นเลี้ยงกันทุกบ้าน ไม่มีบ้านไหนไม่เลี้ยงจะมากจะน้อยก็ต่างกันไปตามกำลัง


"อยากฟังนิทานไหม?" จั่นถามและหนูดีก็พยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว โดยจั่นออกตัวว่านิทานเรื่องนี้เป็นนิทานของแม่ แม่เล่าให้จั่นฟังตั้งแต่จั่นยังเด็ก ๆ เล่าแล้วเล่าอีกเป็นสิบ ๆ รอบฟังเท่าไรก็ไม่เบื่อ


"เรื่องอะไรล่ะ นิทานทะลึ่ง ๆ ไม่เอานา" ธงปรามเพราะที่คุยกันมาตั้งแต่หัวค่ำ ยายหนูดีลากเข้าเรื่องทะลึ่งตึงตังตลอด เช่นถามว่าก้น ถามว่านม ภาษากะเหรี่ยงเรียกว่าอะไร ธงต้องมองหลานจนตาเขียว


"เรื่องหน่อหมื่อเอด๊อซูลอเล" จั่นพูดเร็วปรื๋อจนสองลุงหลานฟังไม่ทัน แต่จะไม่ขัดล่ะเพราะมันไม่ใช่ภาษาบ้านเรานี่เนอะ


เรื่องนั้นก็มีอยู่ว่า มีจระเข้ตัวหนึ่งออกไข่มาหลายฟอง แต่มีไข่อยู่ฟองหนึ่งมีลักษณะผิดแปลกจากไข่ฟองอื่น ๆ มันจึงได้นำไข่ฟองนั้นไปให้งูยักษ์ฟัก (บนภูเขามีจระเข้ด้วยหรอคะแปะ-หนูดี)


งูยักษ์ก็รับเอาไปฟักและดูแลจนถึงวันที่ไข่นั้นฟักออกมา ปรากฏว่าที่ฟักออกมาเป็นมนุษย์ ยักษ์เห็นอย่างนั้นก็เลยเอาไปให้มนุษย์ที่อยู่ในละแวกนั้นเลี้ยงดู เด็กมนุษย์ก็เติบใหญ่ขึ้นมา และมีชื่อว่า "หน่อหมื่อเอ"


เมื่อหน่อหมื่อเอโตเป็นสาว พร้อมที่จะมีคู่ ก็ได้เจอกับผู้ชายคนหนึ่งชื่อว่า "ซูลอเล" เมื่อได้พบเจอต่างก็ตกหลุมรักซึ่งกันและกัน จนในที่สุดก็ได้แต่งงานกัน (ตายแล้วใจง่ายจังแร๊ดแรด-แปะธง)


หลังจากแต่งงานได้ไม่นาน ซูลอเลก็ต้องเดินทางเข้าไปในป่าเพื่อหาของป่า และได้เจอกับงูยักษ์ตัวที่เคยฟักไข่จนเกิดเป็นหน่อหมื่อเอ งูยักษ์ก็เลยขอเสื้อที่ซูลอเลใส่ แต่ซูลอเลก็ปฏิเสธ เพราะเสื้อที่ใส่เป็นเสื้อที่หน่อหมื่อเอทอให้ และเป็นตัวที่ใส่ให้ในงานแต่งงาน


งูยักษ์โกรธมาก แต่ก็ไม่ได้ทำอะไร เมื่อซอลอเลเดินทางกลับบ้าน ตกดึกก็ฝันเห็นงูยักษ์กำลังรัดหมูที่ตนเลี้ยงไว้


ครั้นรุ่งเข้าเมื่อซูลอเลต้องออกไปทำการค้าขายที่เมืองอื่น เมื่อนึกถึงฝันของตนก่อนจะออกจากบ้าน ก็ตัดไม้ไผ่ขนาดยาว เพื่อนำมาทำที่ตักอาหารให้หมูกิน 


ไม้ไผ่ยาวเจ็ดปล้อง และมีอยู่ปล้องหนึ่งที่ข้างในมีสีแดง พลางกำชับกับเมียว่า ระหว่างเจ็ดวันเจ็ดคืน ที่ตนไม่อยู่ ห้ามปล่อยหมูออกไปนอกบ้านเด็ดขาด จากนั้นก็ไปทำการค้าขาย


ซูลอเลเดินทางไปถึงหมู่บ้านเป้าหมายก็ได้เริ่มต้นทำแหวน ทำกำไล ทำหมวก ใช้หยกทำเป็นกำไล ทำสร้อยข้อมือสร้อยข้อเท้าต่าง ๆ ส่วนเมียอยู่ที่บ้านก็ทำตามที่สามีสั่งไว้ ตลอดหกวันไม่มีขาดตกบกพร่อง


จนถึงวันที่เจ็ด เกิดลืมตัว ปล่อยหมูออกไปจากเล้า เมื่อถึงเวลาพลบค่ำ ให้อาหารหมูและไก่แล้ว ก็ใช้ไม้ตีกระบอกไม้ไผ่สำหรับใส่อาหาร แต่หมูที่เลี้ยงไว้ก็ไม่ยอมกลับมา นางตีจนไม้ไผ่แตกไปทั้งเจ็ดปล้อง หมูถึงยอมกลับ


แต่ไม่ได้มีแต่หมูที่กลับมาเท่านั้น กลับมีงูยักษ์ติดตามกลับมาด้วย เจ้างูยักษ์เลื้อยอย่างว่องไวรัดตัวหมูของนางไว้ หน่อหมื่อเอร้องตะโกนให้คนมาช่วย ชาวบ้านก็พากันมาช่วยใช้ไม้ตีงูแต่ไม่จะทำอย่างไร งูก็ไม่ยอมปล่อยหมูของนาง (ใจร้าย-แปะและหลาน)


หน่อหมื่อเอจึงหยิบไม้ที่เอาไว้ตีหมูเข้าไปร่วมตีงูยักษ์ด้วย แต่เมื่อได้โอกาสงูยักษ์ก็คลายตัวแล้วหันมารัดตัวของหน่อหมื่อเอแทน พร้อมกันนั้นมันก็ลากนางไปยังโพรงที่ตนอาศัยอยู่ (ว๊ายยยยยย-แปะธง)


เมื่อชาวบ้านพยายามช่วยแต่ก็ไม่สามารถช่วยได้เพราะงูยักษ์น่ากลัวมาก ทุกคนจึงลงความเห็นว่าต้องรีบแจ้งข่าวให้ซูลอเลซึ่งเป็นผัวของนางรู้แต่จะทำอย่างไรเพราะถ้าให้คนเดินทางไปหาอาจจะไม่ทันการ ดังนั้นจึงลงความเห็นให้ใช้นกเขาไปส่งข่าว


เมื่อนกเขาไปถึงยังหมู่บ้านที่ซูลอเลทำการค้าขาย มันบินไปเกาะที่หลังคาบ้านหลังหนึ่งแล้วก็เอาแต่ร้องเพลงเป็นภาษานก บอกเล่าเรื่องราวที่นางหน่อหมื่อเอถูกงูยักษ์ลักพาตัวไป


ขณะอยู่ในโพรงงูยักษ์ มันได้บังคับให้นางทอผ้า นางได้แกะลวดลายผ้าจากหนังงูจนได้กลายเป็นลวดลายหลักของชาวกะเหรี่ยง เจ็ดวันของการอยู่ในโพรงก็ได้ลายผ้าเจ็ดลาย (นี่มันใช้แรงงานเด็กต้องไปฟ้องกรมแรงงาน-แปะธง)


ให้บังเอิญว่าในตอนนั้นที่หมู่บ้านมีงานแต่งงานอยู่พอดี ทุกคนต่างก็ตีฆ้อง ตีกลองและร้องรำทำเพลงกันอย่างสนุกสนาน แต่มีใครคนหนึ่งได้ยินเสียงนกเขาร้อง ก็บอกให้ทุกคนหยุดเล่นและเงี่ยหูฟัง (หมอลำซิ่งหรือเปล่าคะหนูเคยเห็นเขาเต้นกันลืมตัวลืมตาย-หนูดี)


ทุกคนพร้อมใจกันหยุดและตั้งใจฟัง จึงได้รู้เรื่องราวทั้งหมดแล้วจึงรีบแจ้งข่าวแก่ ซูลอเล ครั้นซูลอเลรู้เรื่องก็รีบเดินทางกลับบ้านทันที


เมื่อถึงบ้านซูลอเลรู้สึกกังวลมาก ๆ แต่ก็โกรธเมียของตนมากเหมือนกันที่ไม่ยอมฟังคำสั่ง แม้ตนจะกำชับเป็นหลายหน


บ่นไปซูลอเลก็คว้าจอบไปด้วย เขาเดินทางไปยังที่อยู่อาศัยของงูยักษ์ พร้อมกับใช้จอบขุดโพรง ขุดไปเรื่อย ๆ จนจอบหักไปถึงเจ็ดด้าม จึงได้เห็นเมียของตนกำลังนั่งปั่นฝ้ายเงินฝ้ายทองอยู่


งูยักษ์อยู่ในรังได้บอกให้ซูลอเลว่า หากอยากจะช่วยเมีย ก็ให้เทเลือดจากคอหอยของซูลอเลลงมา ซูลอเลจึงฆ่าหมา ฆ่าหมู แล้วก็เทเลือดลงไป แต่งูก็บอกว่านี่ไม่ใช่เลือดจากคอหอยของซูลอเล (อีงูนี่รู้มากแฮะ-แปะธง)


จากนั้นซูลอเลก็ฆ่าวัวฆ่าควาย แล้วก็เทเลือดลงไปแต่งูยักษ์ก็บอกว่านี่ไม่ใช่เลือดจากคอหอยของซูลอเลอีก


ซูลอเลก็เลยตัดนิ้วมือของตนเอง แล้วเทเลือดลงไปงูยักษ์ก็บอกว่านี่ไม่ใช่เลือดจากคอหอยของซูลอเลอีกหมดหนทางแล้วซูลอเลก็เลยตัดสินใจเชือดคอของตนเองจนตายงูยักษ์จึงปล่อยนางหน่อหมื่อเอไป


เมื่อนางหน่อหมื่อเอขึ้นมาบนพื้นดิน จึงได้ฆ่าหมูที่ตนเองเลี้ยงไว้ แล้วทอดน้ำมันหมูใส่กระบอกไม้ไผ่ได้ถึง 30 กระบอก นางปิดฝากระบอกแบบหลวม ๆและตักน้ำใส่กระบอกไม้ไผ่อีก 30 กระบอกเช่นกัน แต่ปิดฝาจนแน่นหนา


ในวันที่เผาศพของสามี นางเตรียมกระบอกไม้ไผ่ไปด้วย เมื่อจุดไฟเผาศพแล้ว หน่อหมื่อเอก็ชี้ให้ชาวบ้านดูบนท้องฟ้า บอกว่ามีเหยี่ยวตัวใหญ่บินอยู่ พอชาวบ้านหันไปมองนางก็กระโดดเข้ากองไฟไปในทันที ชาวบ้านตั้งใจจะช่วย ก็พากันเอากระบอกที่บรรจุน้ำจะเอาไปดับเพลิง


แต่กระบอกที่ใส่น้ำก็เปิดไม่ออก ชาวบ้านจึงใช้กระบอกน้ำมันราดลงไปในกองไฟนางหน่อหมื่อเอถูกไฟไหม้ และงูยักษ์ก็จะเข้าไปช่วย แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ แถมส่วนหางยังโดนไฟไหม้จนเป็นสีดำ ลูกหลานของงูยักษ์จึงได้กลายเป็นงูเขียวหางไหม้จนทุกวันนี้ (โถยอมตายตามผัว สงสัยกลัวโดนชาวบ้านประชาทัณฑ์ สรุปนิทานเรื่องนี้คือที่มาของงูเขียวหางไหม้สินะ-แปะธง)




"โอ้โห นิทานเรื่องนี้โหดจังนะครับแม่" จิมมี่หรือจี๋ของแม่โอด ทั้ง ๆ ที่โตเป็นหนุ่มแล้ว แต่ก็ยังนอนมุ้งเดียวกับแม่ แล้วก็อ้อนขอให้แม่เล่านิทานให้ฟังเหมือนตอนที่จิมมี่ยังเด็ก ๆ 


"ฟังเป็นร้อยรอยแล้วไอ้เรื่องหน่อหมื่อเอเนี่ย" จั่นที่นอนมุ้งข้าง ๆ กับป้าบ่น แต่ก็นอนฟังตาแป๋ว


จิมมี่ชอบนักยามเมื่อนอนแล้วแม่เล่านิทานให้ฟัง ยิ่งขาดความรักมากเท่าไร จิมมี่ก็อยากจะอยู่กับแม่ให้สมรักมากขึ้นเท่านั้น 


ปกติที่บ้าน ป้ากับแม่ก็จะไปทำไร่ โดยมีจั่นเป็นหัวเรี่ยวหัวแรง บ้านลุงและน้าอยู่ไม่ห่างกันไป แต่เขาก็มีครอบครัวกันไปหมดแล้ว เมื่อหายเห่อจิมมี่ต่างคนต่างก็ใช้ชีวิตกับครอบครัวของตัวเอง


แม่กับป้าเป็นพี่น้องติดกัน และตกระกำลำบากมาด้วยกันแทบจะไม่ย่อหย่อนกันเลย


แม่เล่าให้ฟังว่าตอนเด็ก ๆ กำลังจะเริ่มสาว พี่น้องของแม่มีด้วยกันห้าคน พี่ชายคนโตของแม่เกิดอยากเข้ารีต เพราะมีวัดคริสต์ ซึ่งมาปลูกและแนะนำเรื่องของพระเจ้าให้แก่คนที่หมู่บ้านของแม่ได้ฟัง


ลุงเกิดอยากลอง เข้าไปเรียนเป็นเณรที่นครปฐม ที่นั่นมีคณะนักบวช และโรงเรียนที่หมู่บ้านนี้ก็เป็นโรงเรียนของคณะนักบวชมาเปิดเพื่อให้ความรู้และเผยแผ่ศาสนา นั่นจึงทำให้คนหมู่บ้านตั้งแต่รุ่นลุง พูดอ่านเขียน ได้ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว


ลุงไปเป็นเณรที่คณะนักบวช จนได้เป็นบราเดอร์ เกิดคิดถึงน้อง ๆ และเห็นว่ามีลู่ทางที่จะให้น้อง ๆ มาอยู่ใกล้ ๆ ตน เพราะห่วงว่าน้องสาวจะถูกตกเขียว ถูกพวกคนใจบาป ซื้อตัวเพื่อเอาไปขายตัวเป็นโสเภณี


ป้ามาถึงก่อนและปีต่อมาแม่จึงตามมาสมทบ ที่คณะนักบวชนั่นเองเพื่อทำงานเป็นคนงาน อย่างน้อยก็ได้อยู่กันพี่น้อง แต่ป้ากลับถูกใจกับชายหนุ่ม แยกย้ายไปอยู่กับผู้ชายที่มาจีบ ส่วนแม่ลุงที่เป็นบราเดอร์ก็ให้แม่ได้รับการศึกษา


แม่ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย แต่เมื่อลุงเกือบจะได้บวชเป็นคุณบาทหลวง ลุงก็กลับเลิกเสียอย่างนั้น แต่ลุงเป็นคนมีความรู้ คุณพ่อเจ้าอาวาสซึ่งรู้จักกับลุงมาตั้งแต่เล็ก ๆ จึงให้ลุงไปอยู่ทำงานที่วัดในกรุงเทพฯ แม่ก็เลยติดตามลุงไปอยู่กรุงเทพฯ ด้วย และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้แม่ได้พบกับพ่อ


แต่งงานอยู่กันได้หกปี พ่อก็มาเสียชีวิต และตอนพ่อตายแม่ก็ไม่รู้ว่าแม่กำลังตั้งท้องอ่อน ๆ จนเข้าเดือนที่สี่แม่เริ่มแพ้ท้องและท่านย่าจึงตีความเอาว่าแม่คงไปมีชู้จึงขับไล่แม่ออกจากบ้าน


แม่กลับมาอยู่บ้าน ก็พบว่าพี่สาวก็ได้เลิกรากับสามี ป้าแต่งงานไปก็เหมือนไปเป็นทาสให้ผู้ชายคนนั้น หญิงชาวเขาไม่มีความรู้ไม่มีการศึกษา ยิ่งฐานะยิ่งไม่ต้องพูดถึง ผัวของป้านั้นมันก็คือแมงดาดี ๆ นี่เอง ป้าไม่ได้เรียนเหมือนแม่เพราะชิงมีสามีไปเสียก่อน แต่จิมมี่เข้าใจเรื่องของหัวใจมันไม่เข้าใครออกใครหรอก


ป้าถูกทำร้ายทั้งกายและใจ แต่ป้าก็ยังทนอยู่กับผัวสารเลวด้วยความซื่อสัตย์ แต่แล้วฟางเส้นสุดท้ายก็มาถึง ผัวของป้าจะทำอะไรก็ได้ จะทุบตี ด่าว่าอย่างหยาบคาย จะเอาเงินที่ป้าทำมาหากินอย่างยากลำบากไปจนหมดป้าก็ยังทนอยู่ แต่เมื่อผัวของแกมีผู้หญิงคนใหม่ ป้าจึงไม่ทนอีก 


เก็บข้าวของมีค่าเพื่อกลับมาอยู่ที่บ้าน ป้ามาแต่ตัว ยังดีเป็นโอกาสที่พี่ชายคนโตของป้า ถือโอกาสกลับมาอยู่ที่บ้าน มาอยู่ที่โรงเรียนเป็นครูสอนหนังสือให้เด็ก ๆ ป้าจึงยังพอจะมีหลักอยู่บ้าน เพราะตากับยายก็เสียชีวิตกันไปหมดแล้ว


จนแม่กลับมาอยู่บ้านอีก สองพี่น้องก็เลยมาอาศัยอยู่ด้วยกัน จนคลอดจั่นออกมา ป้าที่เคยแท้งลูกเพราะถูกสามีทำร้าย หลักฐานที่เหลืออยู่ก็คือฟันหน้าของป้าที่หลอเพราะถูกหมักตรงกระแทกปาก ผู้ชายคนนั้นนอกจากจะเป็นป้าเป็นเมีย เป็นทาน แล้วก็เป็นกระสอบทรายยามเมื่อตัวเองเมาแล้วทะเลาะกับคนอื่นมา


แต่ป้าไม่ได้สนใจแล้ว ป้าไม่อยากให้ผู้ชายที่ไหนมารัก แต่ความรักของป้าได้มอบให้ ตะหลู่ หรือจักจั่น หลานชายที่ป้าเป็นคนทำคลอดมากับมือ


จนถึงวันที่จิมมี่มาอยู่ด้วยอีกคน ป้าก็ยินดีพอ ๆ กับแม่ อย่างน้อยก็มีสมาชิกในครอบครัวที่หายไปได้กลับมาพบเจอกันอีกหน จะชั่งน้ำหนักก็ค่อนข้างยาก ตะหลู่นั้นป้าก็เลี้ยงมาเองกับมือ แต่ดื้อและทำให้ป้าโมโหบ่อย ๆ ส่วนจี๋นั้น มาทีหลังก็จริงแต่ว่าง่าย เรียบร้อย และที่สำคัญหลานคนนี้มีเงินเสียด้วย


จิมมี่ปรับตัวได้ทีละน้อย ยิ่งใบหน้าและทรงผมของจิมมี่ด้วยแล้ว เกิดใครเดินผ่านไปโดยไม่ได้สังเกต ก็จะคิดว่าจิมมี่เกิดและเติบโตที่นี่เลยทีเดียว เสื้อผ้าที่จิมมี่ใส่ก็เป็นเสื้อที่แม่เป็นคนทอให้ 


สมบัติส่วนหนึ่งจิมมี่เอาไปแลกเป็นที่ดินแปลงเล็ก ๆ จริง ๆ จิมมี่จะแลกเป็นที่มากกว่านี้ใหญ่กว่านี้ก็ได้ แต่แม่และป้าปรามว่าเอาแค่พอเราทำไหว มากไปก็ไม่มีใครทำ แม่และป้าไม่โลภ จะเอาไปทำไมมากมาย ผิดกับคนกรุงเทพฯ เสียจริง


ที่ดินที่ได้รับจากพี่ชาย ป้ากับแม่ก็ยกให้น้าชายสองคนไปหมด เราจึงได้ย้ายไปปลูกเรือนใหม่ ห่างไกลจากผู้คนอีกนิดเพราะจิมมี่รู้สึกว่ามันอึดอัด แต่บ้านใหม่ก็ไม่ได้ไกลจากหมู่บ้านมากนัก เรียกว่าพอไปมาหาสู่กันได้ไม่ลำบากแต่ก็ได้ความเป็นส่วนตัว


ที่ดินใหม่ตรงนี้ จิมมี่ปลูกบ้านในที่ของเราเลยทีเดียว ชนิดออกจากบ้านมาก็ทำไร่ทำนาได้เลย ไม่เหมือนบ้านเก่าที่ต้องเดินราว ๆ สองกิโลข้ามเนินเขากว่าจะถึงไร่ที่เขายกให้แม่ อยู่กันที่นี่ไม่ต้องเดินให้เหนื่อยอีกแล้ว สะดวกและไม่เหนื่อย ไม่ต้องแบกสุ่มไก่ให้ลำบาก


กลางที่มีลำธารเล็ก ๆ มีน้ำไหลเย็น มีปลาตัวเล็ก ๆ มีปู มีกุ้ง ให้จั่นจับมาทำอาหารให้พวกเรากินด้วย


แรงงานมีกันสี่คนก็จริง แต่แทบจะต้องตัดจิมมี่ออกไปเพราะจิมมี่ไม่อึดเท่าคนอื่น จิมมี่ก็เลยว่าจ้างน้าชายสองคนขอแม่ให้มาช่วยทำไร่ทำนาด้วย อย่างน้อยเรือล่มในหนองทองไม่ไปไหนจิมมี่คิดแบบนั้น


การจะเข้าเมืองไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ลุงมีรถกระบะเก่า ๆ ซึ่งการจะไปกับเขาก็แสนเกรงใจ ส่วนน้าก็มีรถมอเตอร์ไซค์เก่า ๆ เหมือนกัน จิมมี่จึงซื้อมอเตอร์ไซค์มาหนึ่งคัน ให้จั่นขี่ เพราะจิมมี่ขี่มอเตอร์ไซค์ไม่เป็นหรอก จั่นสอนยังไงก็ขี่ไม่เป็น การเข้าเมืองไม่นั้นไม่บ่อยเพราะจากหมู่บ้าน กว่าจะถึงตัวเมืองขี่มอเตอร์ไซค์ถึงสี่ชั่วโมง ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ เราไม่อยากเข้าเมืองกันแน่ ๆ 


มันเป็นมอเตอร์ไซค์มือสอง จริง ๆ จิมมี่จะซื้อมอเตอร์ไซค์มือหนึ่งก็ได้ ซื้อทีละสี่ห้าคันก็ยังไหว แต่ป้าปรามให้ซื้อเก่า ๆ อย่าโอ้อวด ชาวบ้านนั้นจิตใจดีแต่ เราก็ไม่รู้ใจคนอื่น ยิ่งอยู่กันแต่ผู้หญิงและเด็ก จิมมี่ก็ไม่ได้ดูแข็งแรงจนน่าเกรงขาม การอวดรวยจึงเป็นสิ่งอันตรายอย่างยิ่ง


อยู่ที่นี่จริง ๆ เงินก็แทบจะไม่มีความหมาย ในเมื่อข้าวเราก็ปลูกเอง เอามาตำแล้วก็หุง กับข้าวก็มีมากมายเดินไปทางไหนก็เจอก็คือผักหญ้าที่เทวดาเลี้ยงและผลิดอกออกใบงดงามกินเท่าไรก็ไม่หมด ไก่ก็ออกไข่มากมายทุกวัน แต่นาน ๆ ป้าถึงจะฆ่าไก่สักตัวเพราะสงสารมัน ถ้าจะมีงานต้องฆ่าไก่จิมมี่ต้องหนีไปให้ไกล ไม่อยากรับรู้ว่าไก่ตัวไหนที่ต้องสังเวยชีวิต ในเมื่อจิมมี่ที่ไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง  จึงได้รับหน้าที่เป็นคนเลี้ยงไก่ ไก่บางตัวที่จิมมี่เลี้ยงมาตั้งแต่เล็ก ๆ 


มันลืมตาหลังจากฟักออกจากไข่ก็เจอจิมมี่แล้ว พอโตขึ้นมามันก็เชื่องมาก ๆ ชนิดจิมมี่พูดกับมันรู้เรื่อง เวลาจิมมี่เรียกมัน มันก็จะบินมาเกาที่ไหล่ ยามเมื่อนั่งมันก็จะเดินมานั่งที่ตัก ตัวไหนจะตายลงหม้อจิมมี่ก็เสียใจ แต่ถ้าเป็นไอ้เส่อเคาะ จิมมี่ไม่ยอมเด็ดขาดกำชับกับป้าและจั่น ยิ่งจั่นด้วยแล้วชอบแกล้งไก่ จิมมี่เป็นสั่งห้ามเด็ดขาด


เส่อเคาะแปลว่ามะม่วง จิมมี่เป็นคนตั้งชื่อให้มันเองเพราะขนมันสีเหลือง ๆ เหมือนลูกมะม่วง ไอ้เส่อเคาะเป็นไก่โต้ง มันเชื่องและติดจิมมี่มากถึงขนาดยามจะนอนมันก็ไม่ยอมลงไปนอนในสุ่ม มันบินมาเกาตรงหน้าต่างใกล้ ๆ กับหัวนอนของจิมมี่ อะไรก็ดีหรอก ถ้าไอ้เส่อเคาะจะไม่ขันเสียงดังแสบแก้วหูยามเช้ามืด ยามที่จิมมี่ยังง่วงและกำลังหลับสบายข้าง ๆ แม่ ส่วนจั่นก็ตะโกนด่ามันว่าจะเอาไปลงหม้อด้วยความโมโห


งานหลักของจิมมี่มักจะเป็นงานดูแลบ้านและเลี้ยงไก่ งานสวนงานก็ทำบ้างเท่าที่ทำไหวและป้าสั่งให้จิมมี่ทำ แต่วันหนึ่งขณะที่ไอ้เส่อเคาะมันญาติดีกับจั่น ทั้ง ๆ ที่วันก่อนมันยังถูกจั่นแกล้งเอาน้ำสาดอยู่เลยมันงอนหนีไปนอนที่ระเบียงบ้านหนึ่งคืน แต่วันนี้มันไปนอนหนุนตักจั่นเสียแล้ว


แม่กับป้ากำลังทอผ้า แม่บอกว่าจะทอผ้าทำเสื้อให้จิมมี่ใหม่อีกตัว ส่วนป้าก็จะทอผ้าทำเสื้อให้จั่น สีแดงสดใส มีลายริ้วสีแดง จิมมี่ชอบเสื้อที่แม่ทอให้ชะมัด จั่นเล่นกับไอ้เส่อเคาะไม่เท่าไรก็แกล้งมันอีกแล้ว มันบินหนีจนทำให้จั่นต้องวิ่งไล่ตาม ทุกคนหัวเราะ และจิมมี่ก็หันไปปรึกษากับแม่และป้าว่าอยากจะให้จั่นเรียนให้สูง ๆ 


แม่นั้นเห็นด้วย แต่ป้าดูจะไม่ค่อยเต็มใจ ป้าไม่อยากให้จั่นคลาดสายตา หรือจากไปไหน ส่วนแม่ก็ไม่กล้าค้านเต็มเสียงเพราะป้าก็เลี้ยงจั่นมากับมือ เลี้ยงมากกว่าแม่เสียด้วยและที่สำคัญเจ้าตัวเอง ก็ดูเหมือนไม่ค่อยอยากไปเรียนไม่อยากจากบ้านเสียด้วย 


คืนหนึ่งที่ทั้งสี่ยังไม่ได้นอน คืนนี้ฟ้าใส ตะเกียงถูกจุดตรงชานบ้าน แม่กับป้าง่วนกับการเข็นฝ้ายให้เป็นเส้นด้ายเพื่อจะได้ทอผ้า มีจั่นเป็นลูกมือ และมีจิมมี่คอยสังเกตการณ์ ช่วยอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ 


"แม่ครับเล่านิทานให้ฟังหน่อย" จิมมี่หันไปอ้อนแม่ แม่ยิ้มแล้วก็ละมือมาลูบหัว ในขณะที่จิมมี่พูดกับแม่แสนเพราะ แต่จั่นกลับซนและทโมน แต่แม่ก็รักลูกทั้งสองคน แม่เล่านิทานพื้นบ้านโดยมีป้าเสริม สลับกับจิมมี่ที่คอยซักถาม และมีจั่นคอยอธิบาย


นิทานของแม่สนุก และดูจะมีนิทานได้เล่าให้จิมมี่ฟังได้ไม่รู้เบื่อ จนถึงตอนท้ายก็กลายเป็นว่า จั่นขอให้จิมมี่เล่าเรื่องที่กรุงเทพฯ บ้างว่าวัน ๆ คนกรุงเทพฯ เขาทำอะไรบ้าง จิมมี่ก็เล่าให้ทุกคนฟัง


"อยากไปเรียนที่กรุงเทพฯ ไหมเล่า หรือจะไปเรียนที่เชียงใหม่ก็ได้ไม่ไกลบ้านเราเท่าไร" จิมมี่พูดอย่างอ่อนใจ 


"ไม่เอา ให้ข้าอยู่บ้าน นอนฟังนิทานของแม่ดีกว่า" จั่นตอบอย่างมั่นใจ