ก็เพราะชีวิตประจำวันมันน่าเบื่อ ก็เลยอยากเป็นอินฟลูกับเขาสักคน
ชาย-ชาย,ตลก,ไทย,เล่าประสบการณ์,ยุคปัจจุบัน,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
แปะจะเป็นอินฟลูฯก็เพราะชีวิตประจำวันมันน่าเบื่อ ก็เลยอยากเป็นอินฟลูกับเขาสักคน
โลกยุคนี้ มันเป็นยุคของ อินฟลูเอ็นเซอร์ นั่นก็คือบุคคลที่มีผู้ติดตามบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย
อินฟลูเอ็นเซอร์ จะมีผู้ติดตามมากมายซึ่งส่วนใหญ่มักจะมีส่วนร่วมในเนื้อหาที่พวกเขาพูดเป็นประจำ อินฟลูฯ มีมากมายหลายหมวด ไม่ว่าจะเป็นหมวดการท่องเที่ยว สายทำอาหาร สายวิชาการ สายบันเทิง สายสุขภาพ
แต่ผมจะเป็นอินฟลูฯ สายไหนกันดีนะในเมื่อตัวผมเองก็ไม่เก่งอะไรสักอย่าง....เห้อ
โดย Chavaroj
"แมวสีอะไรไม่สำคัญ ขอให้จับหนูได้ก็พอ" เป็นคำพูดของเติ้งเสี่ยวผิง ซึ่งมีนัยพิเศษ บ่งบอกถึงอะไรก็ไม่รู้แหละ แต่ที่รู้ตอนนี้เวลาเช้ามืด ผมเดินในตลาดพระโขนงกับม๊า มือทั้งสองสะพายของที่ซื้อไว้มากมาย และสายตาของผมก็ให้เจอกับฝูงน้องแมวข้าง ๆ ร้านขายของชำร้านหนึ่ง
ไอ้ร้านที่ว่านี่ บอกไม่ถูกอยู่เหมือนกันว่าเขาขายอะไร เพราะหน้าร้านด้านที่ติดกับถนนสุขุมวิทนั้นปิดอยู่ตลอดไม่เคยเปิดเลยมาเป็นเวลาหลายปีตั้งแต่ผมจำความได้ แต่เลือกจะเปิดที่ประตูด้านข้างเอง ข้าวของที่ขายก็ไม่เอาออกมาวางขายซะด้วย ถึงจะมีโต๊ะใหญ่โตวางอยู่ด้านข้างร้านที่ว่า ประหนึ่งว่าไม่ได้ตั้งใจเปิดร้าน อยากจะเลี้ยงแมวมากกว่า
สิ่งที่มีอยู่บนโต๊ะคือชามใส่อาหารแมวจำนวนหลายใบ กล่องตัดครึ่งปูรองด้านในด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ สำหรับเป็นที่นอนให้แก่แมว
และสิ่งที่ตามมาด้วยก็คือแมวอ้วน ๆ นับได้ไม่ต่ำกว่าห้าตัว แต่ละตัวอ้วนป๋อง พวกมันนอนอย่างเกียจคร้าน ตวัดหางเล่นไปมาอย่างเบื่อหน่าย จนผมกับม๊าเดินผ่านไปนั่นแหละ มันถึงได้ชำเลืองตามามอง แล้วก็หันไปนอนต่ออย่างรำคาญใจ คงนึกด่าผมอยู่ในใจว่ามาเดินเสียงดังให้มันรำคาญ
ตาของผมดี๊ดี เห็นหนูขนแหว่งเดินเอื่อย ๆ ผ่านหน้าอย่างเย็นใจ ไม่มีท่าท่าว่าจะต้องกลัวอะไรทั้งนั้น กูจะเดินเสียอย่าง ถ้าจะว่าแมวเกียจคร้าน อีหนูแก่ ๆ ตัวนี้คงจะขี้เกียจไปเสียยิ่งกว่า เพราะมันไม่ได้วิ่งจู๊ดด้วยความรักตัวกลัวตาย ผิดกับหนูทั้งหลายที่เราเคยพบเคยเจอ ที่เมื่อเจอคนหรือเจอแมว มันจะวิ่งหนีตายให้ไวสุดตีน
"วร๊ายยยย" ม๊าร้องอุทานกระโดดหลบไอ้หนูที่ว่า ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้วิ่งจู้ด ไม่มีทีท่าว่าจะวิ่งมาทางผมหรือม๊าแท้ ๆ มันเดินของมันไปเรื่อย ๆ ม๊าเกาะแขนผมจนแน่น ผมตัวแข็งทื่อเพราะความหยะแหยง แต่พอมันเดินอุ้ยอ้าย หายเข้าไปในซอกใต้แผงอะไรสักแผงซึ่งอยู่ข้าง ๆ กัน ม๊าก็เอาสองมือลูบแขนทั้งสองข้าง ซึ่งขนลุกขนชันเพราะความกลัวเป็นทุนเดิม
"เสียชาติแมวจริง จริ๊ง" ม๊าบ่นอุบอิบ ไม่กล้าพูดเสียงดัง ก็จะไปด่าแมวของใครเขา เกิดเจ้าของเขาสวนด่ากลับขึ้นมา ก็เสียรังวัดกันเท่านั้น
"แมวมันกินดีอยู่ดี เลยไม่ต้องไปไล่จับหนูให้เหนื่อย" ผมบ่นกับม๊ากลาย ๆ และเอาเรื่องแมวอ้วนกับหนูอ้วนซึ่งต่างคนต่างอยู่ ให้ใคร ๆ ฟัง ก็ดูเหมือนไม่ค่อยจะมีคนเชื่อสักเท่าไร จนถึงรอบของการไปช่วยม๊าซื้อกับข้าวตอนเช้าในครั้งถัดมา ผมก็เลยต้องถ่ายคลิปสั้น ๆ เอาไปอวดให้เขารู้เสียเลยว่าผมพูดจริง
"มันกินอิ่มนอนหลับสบาย จะไปวิ่งจับหนูให้เหนื่อยทำไมเล่า" ยายธารน้องสาวของผมพูดทำหน้าปลง ๆ และรีบเบือนสายตาหนีเพราะรังเกียจเจ้าหนูตัวนั้น ส่วนยายหลานสาวของผม ดูคลิปไปก็หัวเราะไป เพราะแมวมันทำท่าไม่อินังขับขอบ และเจ้าหนูอ้วนโกโรโกโส ก็เดินอย่างไม่กลัวว่าใครจะทำร้ายเอาเสียด้วย ท่าทางจะเป็นหนูตัวเดิมนั่นแหละ ผมจำรอยแหว่งขนตรงสะโพกมันได้
นี่สินะ โลกที่มีสันติสุข ผมแอบนึกนินทาในใจ แต่ไพล่ไปนึกถึงเรื่องอื่น ๆ แทนดีกว่า เพราะเรื่องหนูเรื่องแมวนี่มันแสนไร้สาระ
แต่พอจะกลับมาคิดเรื่องแสนเป็นสาระ เอาล่ะสิ พ่อเกิดคิดไม่ออกเสียอย่างนั้น
"เห้ออออออออออ" ผมถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อ ๆ จริงอยู่ว่าการไปทำงานของผม มันสนุก และผมก็ไม่เคยนึกเบื่อกับงานที่ทำเลย เรียกว่า รู้ตัวเองเลยล่ะ ว่าอีธงนี่มันเกิดมาเพื่อเป็นช่างตัดผม และเป็นช่างตัดผมเท่านั้น ถ้าจะจำกัดข้อนิยามให้ชัดไปกว่านั้นอีกนิด ให้ชัดเจนเจาะจงอีกหน่อย อีธงนี่ก็เป็นช่างบาร์เบอร์ด้วย
ผมไม่ชอบทำร้านซาลอน หรือตัดผมแบบผู้หญิงเลย จะเพราะไม่ชอบความเรื่องมาก หรือเพราะผมไม่ชอบทำอะไรนาน ๆ หรือเปล่านะ สรุปทำผมให้ผู้ชายสบายใจกว่า อาจเพราะผมไม่ชอบคนเรื่องมากด้วยมั้ง
ผู้ชายแท้ ๆ น่ะ เขาไม่เรื่องมากกับทรงผมนักหรอก ก็เอาแค่ให้มันยาวถูกใจก็เท่านั้น ไม่ต้องเติมตรงนั้นเสริมตรงนี้ ลบจุดด้อยเสริมจุดเด่น ไม่ต้องทำเคมี จะยืดจะดัด ซึ่งแสนวุ่นวาย ทำเคมีอย่างมากก็แค่ย้อมผมดำ ปิดหัวหงอก ส่วนไอ้เรื่องแคะหู โกนหนวดเดี๋ยวนี้เขาไม่ค่อยทำกันแล้วมีแต่พวกคนแก่ ๆ ซึ่งก็มักจะใช้บริการลุงเจ้าของร้านเพราะเชื่อมือกัน
และการที่เราได้จับหัวผู้ชายหล่อ ๆ มันก็แสนชุ่มชื่นหัวใจ ซึ่งแน่ล่ะ มันก็มีบ้างไม่มีบ้างสุดแต่โชคชะตา แต่ความสัมพันธ์ของผมกับลูกค้าก็จะไม่มีมากกว่านั้น ผมไม่ชอบประจ๋อประแจ๋ สนิทสัมพันธ์กับลูกค้าให้มันมากเกินควร
หนึ่งเพราะช่างตัดผมมีหลายคน ทำประจบลูกค้าเยอะแล้วเดี๋ยวช่างคนอื่นจะหมั่นไส้ สองก็คือ กับลูกค้าถ้าสนิทมากแล้ว มักจะเรื่องมาก
เผอิญด้วยว่าเวลาทำงาน ช่างผมทุกคนมักจะสวมใส่แมส ซึ่งช่วยลดความอยากพูดเพราะมันจะเหนื่อยเนื่องจากหายใจลำบาก สีหน้าสีตาในการสื่อสารมันจะน้อยลง การพูดคุยก็แค่สอบถามว่าอยากได้ทรงประมาณไหน แล้วเราก็มีทรงในใจและตัดให้ออกมาดีก็พอ ช่างบาร์เบอร์น่ะเก็บขอบให้เนี๊ยบ ๆ และทำความยาวความสั้นให้มันดูดี แค่นี้ก็พอ
ถึงจะเป็นงานที่รัก แต่เอาบางที ผมก็นึกเบื่อที่จะไปทำงานทุกวันเหมือนกัน
"งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข" ผมเคยท่องเอาไว้ในใจ ในเมื่อมันเป็นงานฟรีแลนซ์ ยิ่งทำก็ยิ่งได้เยอะ ถึงจะโดนหักครึ่งต่อครึ่งก็เถอะ แต่มันก็เป็นงานสบาย ๆ อยู่ในห้องแอร์เย็น ๆ ไม่ต้องแบกไม่ต้องหาม ไม่มีให้เหงื่อตกจนเปียกซ่กเหมือนอีธรรมมัน รายนั้นกลับมาบ้านแต่ละวัน เสื้อเหม็นเหงื่อเหมือนอย่างไปคลุกกะหมา
บางทีในวันหยุดที่ผมมักจะทำหน้าที่ซักผ้า หยิบเสื้อตัวเองมาดม ๆ ผมก็สงสัยว่าเสื้อตัวนี้มันผ่านการใช้งานมาหรือยังเพราะไม่มีกลิ่นเหงื่อเลยเหมือนเสื้อที่ซักมาใหม่ ๆ แท้ ๆ ถ้าไม่ติดว่าเห็นเศษผมที่ติดอยู่ตามเสื้อ
และวันนี้วันแห่งความเบื่อหน่ายของผมก็คือวันที่ผมจะหยุดพักบ้างล่ะ ทำงานหาเงินทุกวัน ๆ จนชักคิดว่าตัวเองเหมือนหนูถีบจักรเข้าไปทุกที เสื้อผ้าที่สะสมมาประมาณหนึ่งอาทิตย์ ถูกโยนโครมเข้าเครื่องซักผ้า หลังจากแยกเสื้อกับกางเกง และสาย ๆ ของวันนั้นหลังจากตากผ้าเสร็จ บ้านข้างล่างของผมก็สะอาดสะอ้านเพราะระหว่างรอเครื่องซักผ้าทำงานผมก็ถูบ้านเก็บบ้านไปด้วยซะเลย
ข้อเสียอย่างหนึ่งของการเป็นช่างตัดผมก็คือเมื่อยขาเมื่อยเอว เพราะยืนนาน ๆ แต่จะไปนวดบ่อย ๆ ก็เห็นจะไม่เข้าที เพราะเสียดายเงิน และมีอีธรรมเป็นแรงบันดาลใจ ประกอบกับการฟังพอดแคสต์เรื่องเกี่ยวกับสุขภาพ ผมก็นึกสนุกอยากลองทำ HIIT เสียหน่อย
การทำฮิทนี่ก็คือ การออกกำลังกายที่มีความเข้มข้นสูง ซึ่งกระตุ้นการเต้นของหัวใจมากกว่าปกติ 90% โดยเป็นการใช้กล้ามเนื้อและใช้แรงหนักหน่วง สลับกับการพักระยะสั้น ๆ ทำซ้ำไปซ้ำมาจนครบเวลาที่เราตั้งใจ ซึ่งกินเวลาไม่มากอาจจะเริ่มต้นที่สิบนาที
เสิร์ชในยูทูป เลือกเอาที่เจ้าของช่องหล่อ ๆ สักหน่อย เวลากระโดดโลดเต้นเราจะได้มีกำลังใจว่าอย่างน้อยก็เจอกล้ามแน่น ๆ อยู่ตรงหน้า
เสื่อโยคะของอีธรรมผืนเก่า มีอยู่แล้วไม่ต้องไปซื้อไปหา จุ๊บมาใช้ก่อน เดี๋ยวเสร็จแล้ว ค่อยเอาไปคืนมัน อีธรรมมันเตือนว่า จะทำฮิทนี่สิ่งที่ต้องระวังคือข้อต่อเข่าและข้อเท้า ดังนั้นควรใส่รองเท้ากีฬาดี ๆ เพื่อลดแรงกระแทก ก็ดีเหมือนกัน ซื้อรองเท้าตอนเขาเซลล์มา ไม่ได้ใส่เพื่อออกกำลังสักที เอามาใช้เพื่อออกกำลังจริงจังบ้างมันจะได้ไม่เหงา ผมมีรองเท้าผ้าใบดี ๆ สำหรับใส่เดินหลายคู่
เพราะงานของผมมันต้องยืนครั้งละนาน ๆ อุปกรณ์ในการซัพพอร์ตจึงถือเป็นสิ่งสำคัญ ยิ่งไปกว่านั้น อย่างน้อยคนจะได้ชมว่ารองเท้าสวย เพราะตอนทำงานต้องสวมเสื้อคลุมช่างสีขาวตัวโคร่ง ช่างสี่คนยืนทำงานดูเผิน ๆ ก็เลยเหมือนกันไปหมดต่างกันที่ขนาดรูปร่างและความสูง
แต่เหนืออื่นใดก็คือ พอมีรองเท้าดี ๆ แล้วมันไม่เมื่อยขาจริง ๆ แรก ๆ ผมขี้งก ก็ใส่รองเท้าธรรมดา ๆ ไป กลับบ้านไปบ่นทุกวันว่าเมื่อยขาอย่างนั้นอย่างนี้ อีธรรมได้ยินบ่อย ๆ มันก็เลยบอกให้ลงทุนซื้อรองเท้าดี ๆ ใส่
เอาล่ะนะ ผมที่ถือว่าพร้อมเพราะอุปกรณ์พร้อมสรรพ เสื้อไม่ต้องใส่มันละเพราะอยู่บ้านคนเดียว ส่วนกางเกงก็ใส่กางเกงกีฬาที่มีซับใน กางเกงในไม่ต้องใส่มันละ ถุงเท้าและรองเท้าพร้อม โทรศัพท์ถูกตั้งอยู่บนตู้ แล้วผมก็เสริ์ชหา คำว่า "HIIT 10 นาที" เลือกเอาช่องที่เทรนเนอร์หล่อ ๆ เจ้าประจำอย่างที่ว่าแล้วก็เริ่มออกท่าออกทาง
ครบสิบนาที ครบสิบท่า เขาให้ทำท่าละห้าสิบวินาที พักสิบวินาที แม่เจ้า เหนื่อยชิบหายเลยวุ๊ย ไม่น่าเชื่อว่าเหงื่อจะออกเป็นปี๊บได้ขนาดนี้
"โฮ๊ย...ลมจะแดก" ผมทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้เปิดพัดลมจ่อตรง สูดหายใจลึก ๆ ...ค่อยสดชื่นขึ้นหน่อย นั่นคือครั้งแรกเมื่อนานมาแล้ว และการพยายามจะทำให้ได้ติดต่อกันอาทิตย์ละสามครั้งเป็นอย่างน้อย
จนชักจะเบื่อ ๆ ขึ้นมา ประกอบกับการได้ฟังพอดแคสต์ช่องเกี่ยวกับสุขภาพขึ้นมาผมก็เลยเกิดแรงบันดาลใจใหม่คือการ "เดิน"
บ้านของผมอยู่พระโขนง ดังนั้น ในซอยปรีดี ที่ผมอยู่นี่จึงเป็นเหมือนเส้นเลือดใหญ่ และซอยเล็กซอยน้อย ซึ่งสามารถทะลุถึงกันได้ก็คือเส้นเลือดฝอย และการเดินตามซอกซอยก็ออกจะเป็นเรื่องสนุกสำหรับผม ซึ่งผมก็จะเดินในวันหยุดนี่ล่ะ ส่วนวันธรรมดา ถ้าไม่ขี้เกียจก็ทำ ฮิทสิบนาที เพื่อสุขภาพ
การเดินของผมเพิ่มความไกลขึ้นเรื่อย ๆ จากที่แรก ๆ ก็เดินซอกเดินซอย โดยกะเอาเวลา แต่พอเริ่มเดินบ่อย ๆ ผมก็รู้สึกท้าทาย และคิดว่า ถ้ามีมิชชั่น มีจุดหมายปลายทาง มันก็ทำให้การเดินของผมสนุกขึ้น
จุดหมายของผมก็เลยไล่ไปถึงรามคำแหง หรือจะไปทางเส้นกล้วยน้ำไท ไปจนถึงพระรามสี่นั่นทีเดียว ล่าสุดเดินไปจนถึงตลาดอุดมสุข เกือบ ๆ จะถึงแยกบางนา เพราะมีตลาดใหญ่โตของกินเยอะแยะและสิ่งที่ขาดเสียไม่ได้ก็คือ ร้านอาหารที่ดูหน้าตาเข้าที ก็ในเมื่อเดินจนเหนื่อยก็ต้องกินอะไรที่มันน่าอร่อยสักหน่อยสิ
"ไม่ลองเดินเส้นอ่อนนุชบ้างล่ะ?" ป๊าเสนอเมื่อเห็นว่าผมชอบเดิน
"น่าสนใจ" ผมกล่าวกับป๊า แต่คงไม่ไปกับป๊าหรอก เพราะวันหยุดป๊าชอบไปวิ่งที่สวนหลวง ร. ๙ กับไอ้ธรรม หรือไม่บางทีก็ไปกับม๊า เพราะปากซอยทางเข้ามีตลาดนัด ป๊าก็ไปวิ่งออกกำลังส่วนม๊าเดินช็อปปิ้ง
แต่ซอกซอยที่ไม่ค่อยคุ้นตาก็ทำให้ผมหลงบ้างในบางที
"หลงทางเสียเวลา หลงติดยาเสียอนาคต" ผมบ่นเพื่อให้กำลังใจกับตัวเองซึ่งไม่ค่อยเกี่ยวกับเรื่องนี้เท่าไร แต่ก็เอาเถอะ เดินหลงมาตั้งไกล เพราะเซ่อซ่าดูกูเกิ้ลแมพผิด แต่ก็ทำให้ได้เจอร้านข้าวซอยอร่อย ๆ ก็ถือว่าพระเจ้าเปิดทางให้ได้มีโชคชะตาเจอร้านข้าวแปลก ๆ ก็แล้วกัน
การได้เดินเรื่อยเปื่อย ฟังเพลงบ้าง ฟังพอดแคสต์ต่าง ๆ บ้าง มันทำให้ชีวิตของผมผ่านไปอย่างรวดเร็วเหลือเกิน ทำงานบ้างเดินเล่นบ้างเผลอแป๊บเดียว ผมก็ใช้ชีวิตการเป็นช่างตัดผมมาได้สามปีเข้าให้แล้วหรือนี่
วันหนึ่งระหว่างที่เดินเล่นสนุก ๆ ของผมอันเป็นนิสัย วันนี้จุดมุ่งหมายของผมค่อนข้างไกล คือวัดวชิรธรรม ซึ่งอยู่ตรงบีทีเอสปุณณวิถีโน่น
ผมเดินตามถนนสุขุมวิท เพราะขี้เกียจเข้าซอย จนถึงปากซอยวัดที่ว่า จากที่เสิร์ชดูข้อมูล เห็นว่าหลวงพ่อผู้สร้างวัด ท่านได้นิมิตจะทำพระพุทธรูปหยก ก็เลยอยากจะเห็นให้เป็นบุญตาสักหน่อย
เดินตามซอกตามซอย ทั้ง ๆ ที่มันก็ถนนสุขุมวิทเหมือนเป็นเส้นหลักเหมือนกัน แต่ผมรู้สึกว่าผู้คนและการเป็นอยู่ในแต่ละซอยนั้น มันต่างกันชะมัด บางซอยเงียบสงบ เพราะมีแต่บ้านคนร่ำคนรวยซึ่งปลูกเป็นหลัง ๆ
บางซอยอย่างซอยบ้านของผมเนี่ย ผู้คนคึกคักและค่อนข้างพหุวัฒนธรรม เพราะมีตลาดพม่า ข้อดีก็คือไม่เงียบเหงา แต่ข้อเสียก็คือค่อนข้างจะไม่ค่อยเจริญหูเจริญตาสักเท่าไร แต่เขาก็อยู่ของเขากันได้
บางซอยก็ทันสมัยชะมัด ในซอยมีแต่คอนโดชื่อดัง แน่นพรึดไปหมด แต่ที่สังเกตได้ก็คือทุกซอยจะมีร้านตัดผมแทรกเป็นยาดำเสมอ
ถ้าเป็นชุมชนคนมีสตางค์ ร้านตัดผมก็ดูโก้หร่านหน่อย แต่ถ้าเป็นชุมชนคนหาเช้ากินค่ำ ร้านตัดผมก็ดูง่าย ๆ และไม่มีร้านไหนเจ๊งซะด้วยสิ
แล้วจู่ ๆ ความคิดอันนึงก็ดันเกิดขึ้นในหัวของผม
"แล้วถ้าเกิดกูเปิดร้านเองล่ะวะ?" ผมเกิดสงสัยซะอย่างนั้น และความคิดในหัวก็ตีกันยุ่งไปหมด ทั้งด้านสนับสนุนและด้านของการห้ามปราม
ไอ้ฝ่ายที่เห็นว่าดี ก็บอกว่าถ้าผมเปิดร้านจริง ๆ มันก็น่าจะสบายใจ ไม่ต้องไปรบรากับความอิจฉาริษยากับใคร แถมได้เงินเต็ม ๆ ไม่ต้องโดนหักเสียด้วย
แต่ได้ด้านที่ค้าน ก็หาเหตุผลมาหักล้างได้สารพัด ไหนจะเรื่องเงินทุน ไหนจะเรื่องทำเล ไหนจะภาระอะไรต่าง ๆ อีกร้อยแปดล่ะ
สรุปมันก็คือไอ้เมล็ดพันธุ์ ความอยากเปิดร้านของผมมันได้เริ่มฝังลึกลงในรากเหง้าของใจแล้วล่ะ ผมนอนคิดว่าถ้าผมเปิดร้าน ผมจะเปิดมันยังไง จะเล็กหรือจะใหญ่ จะอยู่ทำเลแถวไหน แล้วในร้านของผมหน้าตามันจะต้องเป็นยังไง ความฝันของผมค่อย ๆ ถูกสร้างภาพให้ชัดขึ้น พร้อมกับปัญหาต่าง ๆ ค่อย ๆ ถูกคลายลงทีละน้อย
ผมกลับมาเป็นอีช่างธงคนขยันอีกครั้ง แน่ล่ะเพื่อเก็บเงิน จะเปิดร้านทำผม ถึงจะใช้เงินไม่มาก เพราะผมอยากทำร้านเล็ก ๆ แต่มันก็ไม่ใช่จะใช้เงินร้อยสองร้อยที่ไหนกันเล่า ยิ่งค่าใช้จ่ายของผมมันก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าเรื่องของกินและของยาใจเล็ก ๆ น้อย ๆ หลักร้อย
สิ่งสำคัญไปยิ่งกว่านั้นก็คือ สายตาสอดส่ายยามผมขับมอเตอร์ไซค์ไปทำงาน บางครั้งผมก็เลือกจะออกนอกเส้นทาง เพื่อเปิดหูเปิดตา และคอยมองหาไปด้วยว่า ที่ตรงไหนที่เขาเปิดให้เช่า
หรือยามเดินไปตามที่ต่าง ๆ ผมก็สอดส่ายสายตามองร้านตัดผมของคนอื่น มองด้วยสายตาของคนนอก มองข้อดีข้อเสียของร้านแต่ละร้าน ผมกำหนดใจแล้วว่าถ้าอะไรที่ไม่ดี หรือผมไม่ชอบ ถ้าผมเปิดร้านเล็ก ๆ ของผมเองผมก็จะไม่ทำมัน อย่างเช่นการโกนหนวด แคะขี้หูอะไรพวกนี้ ผมเบื่อ ถ้าเปิดเองอีธงน่ะ เมินซะเถอะที่จะไปแคะขี้หูให้ใคร ขนาดหูตัวเอง ยังให้ไอ้ธรรมมันแคะให้เลย
เช้าวันหนึ่งในตอนเช้ามืด วันนี้เป็นคิวผมไปซื้อกับข้าวเช้ากับม๊าอีกหน ให้บังเอิญยังไงก็ไม่รู้ ม๊าเกิดอยากไปซื้อหมูหยอง ซึ่งมีเจ้าประจำในตลาดพระโขนงบ้านผมนี่ล่ะ ร้านหมูหยองที่ว่า มีตั้งแต่หมูหยองหมูแผ่น หมูสวรรค์ กินกันมาตั้งแต่เด็ก และม๊าก็จะซื้อเผื่อหลานสาวมากินข้าวที่บ้าน และอีร้านที่ว่ามันก็อยู่ใกล้ ๆ กับร้านเลี้ยงแมว ซึ่งไม่เน้นเอาดีทางการค้าการขาย และแมวก็เป็นแมวบ้าน ๆ ไม่ใช่แมวพันธุ์วิเศษวิโสแต่อย่างใด เรียกว่าเลี้ยงด้วยใจรักแท้ ๆ
ให้ตาของผมมันดี เหลือบมองไปเจอฝูงแมวอ้วน ๆ ที่นอนเขลงอย่างเกียจคร้าน ม๊าที่สนิทกับเจ้าของร้านหมูหยองก็กำลังคุยกันอย่างออกรส จะเรื่องอะไรอีกเล่า ก็เรื่องพระผู้ใหญ่ที่พากันสึกนั่นไง ผมขี้เกียจจะฟัง เพราะตอนอยู่ร้าน ทั้งช่างผม ทั้งลูกค้าแก่ ๆ ก็คุยกันจนผมเอียนจะแย่
ผมก็เลยเลือกจะเดินมาหาฝูงแมวอ้วน และเลือกจะถ่ายคลิปเจ้าแมวอ้วนลายสลิด ที่นอนแกว่งหาไปมา มันแหงนหน้ามามองผม เหยียดตัวบิดขี้เกียจ แต่ไม่ได้ลุกขึ้นมาแต่อย่างใด มันยืดตัวแล้วมันก็ขยับอีกนิดหน่อยแล้วก็นอนต่อ จะว่าน่าเอ็นดูมันก็น่าเอ็นดู แต่จะน่าหมั่นไส้ มันก็น่าหยิกน่าแกล้ง เหมือนกัน เช่นแกล้งตะคอกแฮ่ใส่มันให้มันตกใจจนต้องวิ่งหนี ...ซึ่งได้แต่คิด เพราะตาแก่ที่นอนเหยียดตีนอย่างเกียจคร้านในร้านขายของชำ แกก็ชำเลืองออกมาดูผมทำนองว่ามายุ่งอะไรกับแมวของกู
จนม๊าเรียกผมให้กลับบ้านนั่นล่ะ ผมถึงจากไอ้พวกแมวขี้เกียจนั่นรีบเดินไปเกี่ยวแขนม๊า จะได้พากันกลับบ้านสักที ขืนปล่อยให้ม๊าพูดคุยกับพ่อค้าแม่ค้าที่ทักม๊ามาตลอดทาง กว่าจะได้กินข้าวคงเพลนั่นล่ะ
เราสองแม่ลูกเดินคุยกันกระจุ๋งกระจิ๋ง และจู่ ๆ ไม่รู้ว่าผมคิดอะไร ผมก็โพล่งคำพูดในใจออกไปว่า
"ม๊าธงอยากจะเปิดร้านของตัวเองล่ะ ....ทำร้านเล็ก ๆ ก็พอ" คำพูดตอนท้ายผมพูดอย่างอาย ๆ ไม่รู้สิ ผมโตมาในบ้านที่ไม่มีใครทะเยอทะยาน ไม่เคยถูกสอนให้ต้องร่ำรวย และตัวของผมเองก็คงเหมือนไอ้พวกแมวพวกนั้นที่ไม่เคยลำบาก สุขสบายตามอัธภาพมาตลอด ก็เลยไม่ค่อยตั้งความหวังสูง ๆ ล่ะมั้ง
"คิดยังไงกันล่ะฮึ ?" ม๊าถามและอมยิ้ม
"ธงเบื่อมั้งม๊า เบื่อคนเยอะ ๆ มากคนก็มากเรื่อง" ผมตอบออกไป เพราะคงนึกเบื่อผู้คนจริง ๆ นั่นแหละ
"ก็ดี เอาอย่างนี้ถ้าม๊าถูกหวยงวดหน้า เดี๋ยวม๊าออกค่าใช้จ่ายช่วยนะ" ม๊าพูดพร้อมกับหัวเราะขำตัวเอง
"จ๊ะ ม๊าได้เลขเด็ดมาอีกแล้วเหรอ ?" ผมแซว
"เออสิ งวดนี้มันจั๋ง ๆ เพราะม๊าฝันเองแต่ไม่บอกนะว่าฝันอะไร เดี๋ยวเลขเคลื่อน" ม๊าพูดลอยหน้าลอยตา ผมอมยิ้ม อดจะขำกับม๊าที่แทงหวยได้ไม่รู้เบื่อ ถูกมั่งถูกกินมั่งก็ว่ากันไป หรือว่านี่มันคือความหวังของคนที่ต้องทนใช้ชีวิตกับสภาพบ้านเมืองกันหนอ