ก็เพราะชีวิตประจำวันมันน่าเบื่อ ก็เลยอยากเป็นอินฟลูกับเขาสักคน

แปะจะเป็นอินฟลูฯ - 11 โอกาส โดย Chavaroj @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-ชาย,ตลก,ไทย,เล่าประสบการณ์,ยุคปัจจุบัน,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

แปะจะเป็นอินฟลูฯ

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-ชาย,ตลก,ไทย,เล่าประสบการณ์,ยุคปัจจุบัน

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รายละเอียด

แปะจะเป็นอินฟลูฯ โดย Chavaroj  @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ก็เพราะชีวิตประจำวันมันน่าเบื่อ ก็เลยอยากเป็นอินฟลูกับเขาสักคน

ผู้แต่ง

Chavaroj

เรื่องย่อ



โลกยุคนี้ มันเป็นยุคของ อินฟลูเอ็นเซอร์ นั่นก็คือบุคคลที่มีผู้ติดตามบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย


อินฟลูเอ็นเซอร์ จะมีผู้ติดตามมากมายซึ่งส่วนใหญ่มักจะมีส่วนร่วมในเนื้อหาที่พวกเขาพูดเป็นประจำ อินฟลูฯ มีมากมายหลายหมวด ไม่ว่าจะเป็นหมวดการท่องเที่ยว สายทำอาหาร สายวิชาการ สายบันเทิง สายสุขภาพ 


แต่ผมจะเป็นอินฟลูฯ สายไหนกันดีนะในเมื่อตัวผมเองก็ไม่เก่งอะไรสักอย่าง....เห้อ

สารบัญ

แปะจะเป็นอินฟลูฯ-1 ลูกสาวท่านฑูต,แปะจะเป็นอินฟลูฯ-2 Good Day,แปะจะเป็นอินฟลูฯ-3 เพื่อนร่วมงาน,แปะจะเป็นอินฟลูฯ-4 เพื่อนร่วมงาน 2,แปะจะเป็นอินฟลูฯ-5 เพื่อนร่วมงาน 3,แปะจะเป็นอินฟลูฯ-6 หวานเป็นลม,แปะจะเป็นอินฟลูฯ-7 ขมเป็นยา,แปะจะเป็นอินฟลูฯ-8 ไม่เที่ยง,แปะจะเป็นอินฟลูฯ-9 รสชาติของการเติบโต,แปะจะเป็นอินฟลูฯ-10 มูฟออน,แปะจะเป็นอินฟลูฯ-11 โอกาส

เนื้อหา

11 โอกาส

โดย Chavaroj




คนเรามันจะมีโอกาสเข้ามาในชีวิตสักกี่หน ถ้าไม่อยากพลาดโอกาสงาม ๆ เราก็ต้องกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง กล้าที่จะเสี่ยง จะมัวอยู่แต่ในเซฟโซน ชีวิตก็จะไม่เติบโต


ใครสักคนหรือพอดแคสต์สักอันที่ผมชอบฟังบอกไว้แต่ช่องไหนผมก็จำไม่ได้เสียแล้วเพราะฟังมันมั่วไปหมด สังเกตว่าระยะหลัง ๆ ผมจะไม่ค่อยฟังเพลงแต่ฟังพวกพอดแคสต์พวกนี้เสียมากกว่า


อย่างตอนนี้ที่ผมนอนตีพุงอยู่กับบ้านมาสี่วันเต็ม ๆ แรก ๆ ก็สบายดีอยู่หรอก คนไม่ต้องทำงานทำการ กิน ๆ นอน ๆ เนี่ย แต่พอวันนี้บ้านช่องเงียบกริบ ป๊ากับม๊าไปทำงาน รวมถึงไอ้ธรรมน้องชายของผมด้วย จะเอาหลานสาวมาเล่นที่บ้านให้แก้เหงา นังแม่ก็เอาลูกมันไปเรียนพิเศษเสียนี่


ผมก็เลยเปิดพอดแคสต์เสียลั่นบ้าน ทำความสะอาดบ้านไปตามเรื่อง ย้ายไอ้โน่นมาไว้ตรงนี้ ย้ายไอ้นี่ไปไว้ตรงนั้น ก็ดีเหมือนกัน และอดจะทึ่งไม่ได้ว่าบ้านช่องที่แสนสะอาดสะอ้านของผมมันก็แอบมีฝุ่นสกปรกเหมือนกันตามซอกตู้ซอกเตียงต่าง ๆ รวมถึงพอย้ายเครื่องเรือนไปตรงโน้นตรงนี้บ้านก็ดูโล่งขึ้นเป็นกอง ป๊ากับม๊ากลับบ้านมาถึงกับเอ่ยปากชม


ทำโน่นทำนี่แก้เบื่อไปจนผมอยู่แต่ที่บ้านครบอาทิตย์หนึ่ง ผมตัดสินใจไปสมัครเรียนตัดผมชายคอร์สเดิมซ้ำอีกสักรอบ เพื่อความมั่นใจ ไอ้ของอย่างนี้มันอยู่ที่ทักษะ ไปฝึกมันซ้ำ ๆ จะได้ชำนิชำนาญ 


ความที่มีประสบการณ์อยู่แล้ว ครูที่สอนก็ไม่ได้จ้ำจี้จ้ำไชผมมาก และถ้ามีผู้ใหญ่มาตัดผม ครูก็จะโยนให้ผมเป็นคนตัด ดีมั่งแหว่งมั่ง ก็ว่ากันไป ของฟรีจะมาเรื่องมากไม่ได้ 


พูดไปอย่างนั้นแหละไอ้เรื่องแหว่งนี่ไม่ถึงกับแหว่งหรอ แต่หล่อสมใจคนถูกตัดไหมก็ต้องว่ากันอีกเรื่อง และอันที่จริง การตัดผมชาย มันมีสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งนอกจากปัตตาเลี่ยนนั่นก็คือ กระจก 


ไอ้ผมก็ว่าตัดพอดิบพอดีแล้วนา แต่พอเดินอ้อมไปยืนตรงหน้า ตายละวา ซ้ายกับขวาไม่เท่ากัน ก็พ่อหัวหุ่นของผมหัวเบี้ยว ก็ต้องค่อย ๆ แกะค่อย ๆ แก้กันไป ก็สนุกไปอีกอย่าง


อาศัยเรียนแค่ช่วงเก้าโมงเช้าถึงเที่ยง หลังจากนั้นผมก็ได้รับการแนะนำให้ลองไปฝึกมือกับร้านตัดผมชายเจ้าหนึ่งซึ่งครูที่สอนตัดผมกับเจ้าของร้านเป็นเกลอกัน


แรก ๆ ก็ได้ค่าตัดน้อยหน่อย ผมก็ถือว่าไปเอาประสบการณ์ เจ้าของร้านเป็นลุงใจดี เมียเป็นพยาบาล ลูกชายแกไปเป็นช่างเสริมสวย เปิดร้านโก้หรู ชื่อวิ แต่ผมยังไม่เคยเจอกับพี่วิอะไรนี่สักที ลุงแกอวดว่าร้านลูกแกลูกค้าคิวแน่นจนไม่มีวันหยุด 


แรก ๆ ผมก็ได้รับหน้าที่ให้ตัดผมเด็กเสียก่อน เด็กเดี๋ยวนี้ก็ไม่ธรรมดา ตัดแล้วไม่หล่อหรือดูดีอย่างที่พ่อต้องการก็พาลจะหน้าคว่ำหน้างอ ต้องถามกันดี ๆ ว่าจะเอาสั้นเอายาวเท่าไร ที่สำคัญต้องคุยกับคนพามาซึ่งคือพ่อหรือแม่ด้วยว่าจะเอายาวเอาสั้นเท่านั้นเท่านี่ ซึ่งแม่กับเด็กก็มักจะทุ่มเถียงกัน แม่อยากให้สั้นจะได้ไม่ต้องมาตัดบ่อย ๆ และถูกระเบียงโรงเรียน แต่ลูกก็อยากจะได้ยาว ๆ เพราะกลัวไม่หล่อ แน่นอนว่าเราต้องตามใจคนจ่ายเงิน


มาฝึกมือฝึกงานได้ครึ่งเดือน ผมก็ไม่ไปเรียนอีกแล้ว เลือกที่จะมาทำงานที่ร้านเต็มตัว แต่งานของผมก็ถือว่าเป็นงานพาร์ทไทม์ เพราะได้ค่าแรงเป็นหัว ๆ แบ่งกับทางร้านคนละครึ่ง อย่างตัดหนึ่งร้อยบาท ผมก็ได้ห้าสิบบาท ไม่ถือว่าเอาเปรียบกัน เพราะไหนจะค่าน้ำค่าไฟ ค่าแอร์เย็น ๆ แถมลุงแกยังเลี้ยงข้าวฟรีเสียด้วย แต่กับข้าวต้องหามากินกันเอง


มีผมคนหนึ่ง ที่มาฝึกมือ มีลูกน้องลุงอีกคนซึ่งเป็นคนไม่ค่อยพูดผมเรียกแกว่าน้าเจษ แกออกจะเป็นคนติส ๆ สักหน่อย ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา เวลาตัดผมใช้เวลาเนิ่นนาน แต่คนก็ขึ้นกับแกเยอะ เพราะแกฝีมือดี ถึงจะเป็นช่างตัดผม แต่น้าเจษไว้ผมยาวหยักศกถึงต้นคอ เคยเห็นรูปแกตอนหนุ่ม ๆ มองเผิน ๆ คล้าย ๆ วงคาราบาว คงเพราะแกชอบเพลงเพื่อชีวิตเพราะแกชอบฮำเพลงที่ว่ายามอารมณ์ดี


ส่วนผมได้ตัดผมให้ลูกค้าบ่อย ๆ ผมก็ชักจะก้าวหน้าเรื่องฝีมือ โดยเมื่อตัดผมเสร็จ ลุงก็มักจะเดินมาดูและเก็บงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ ราว ๆ อาทิตย์เดียวแกก็ปล่อยผมให้จัดการโดยไม่ได้มาสนใจอีกเลย 


การมาทำงานนี้ก็ดี กล่าวคือ ร้านแกน่ะเปิดทุกวัน แต่ผมจะมาหรือไม่มาก็ได้ตามใจ เพราะแกถือว่ามาก็ได้เงิน ไม่มาก็ไม่ได้เงิน แถมมาเสียครึ่งวันแล้วกลับ แกก็ไม่ว่าด้วยเงินทองก็แบ่งกันตามหัวที่ได้ตัดให้ลูกค้า สบายเสียไม่มี 


อ้อ มีเพื่อนร่วมชั้นที่เรียนกับผมมาฝึกมือที่นี่ด้วยเหมือนกันสองคน แต่เขาก็มาบ้างไม่มาบ้าง ลุงแกก็ไม่ได้ใส่ใจ อยากมาก็มา ช่างเป็นร้านบาร์เบอร์ที่เย็นใจเสียจริง ๆ


เที่ยงวันหนึ่ง ลูกค้าไม่มากเรียกว่าไม่มีลูกค้าเลยสักคนลุงกับน้าเจษโขกหมากรุกอยู่หน้าร้าน ส่วนผมก็ขอมานั่งกินข้าวอยู่ในครัว นับนิ้วไปมา ผมก็มาทำงานที่นี่ได้สองเดือนเข้าไปแล้ว แถมยังสนิทกับลุงได้อย่างไม่ยากเย็น แกใจดีถึงขนาดเอากับข้าวมาอุ่นในครัวได้ หรือจะทำกับข้าวด้วยแกก็ไม่ว่า แต่เพื่อมารยาทก็ต้องทำเผื่อแกด้วย ซึ่งผมก็มักจะทำอะไรง่าย ๆ ไม่ยากเย็น


เมื่อเช้าผมหอบหิ้วแหนมที่เจอหน้าตลาดดุ้นโต ๆ เจ้านี้เจ้ารู้จักกัน แกทำเอง สะอาดและอร่อย แต่ถึงอย่างนั้นก็อย่าเสี่ยงกินอะไรดิบ ๆ เลยม๊าว่าไว้อย่างนั้น


ผมก็เลยจะทำไข่เจียวแหนมอาหารง่าย ๆ นี่ล่ะ ทำเผื่อลุงกับน้าเจษด้วยเสียเลยเพราะลุงแกบ่นอยากกินอะไรเปรี้ยว ๆ มาสองสามวัน 


"ปากจืดชะมัด อยากกินอะไรรสจัด ๆ แต่ไม่รู้จะกินอะไรว่ะ" แกบ่นในเย็นวันหนึ่งขณะที่เราสามคนต่างยืนตัดผมให้ลูกค้า 


ในร้านของลุงมักจะเปิดโทรทัศน์ไว้ตลอดเวลา จะมีใครดูหรือไม่มีก็เปิดไว้อย่างนั้นล่ะ แก้เบื่อ เผอิญให้มีรายการอาหาร อะไรสักอย่างที่ไปแวะกินอาหารร้านโน้นร้านนี่ แล้วบังเอิญมีไข่เจียวแหนม ผมก็เลยรับอาสาจะทำให้ลุงกับน้าเจษกินเสียเลยเพื่อฉลองศรัทธา


แหนมที่ผมซื้อเป็นดุ้นโต ๆ ขนาดแขนเด็ก ผมจัดมาเสียสองดุ้น เอามาปั่นแฉลบ ๆ สักหน่อย พอมีดฝานจนแหนมทิ้งตัวลงนอนเขลง กลิ่นหอมเปรี้ยวก็กระจายออกมาจนน้ำลายสอ 


แหนมเจ้านี้ไม่ได้ใส่สี มันก็เลยออกสีหม่น ๆ สักหน่อย ไม่เป็นไร ผมเห็นในตู้เย็นมีพริกขี้หนูทั้งสีแดงสีเขียว เอามาใส่ตอนทอดไข่เจียวด้วยเสียเลย ระหว่างนี้ก็หยิบไข่ไก่เบอร์หนึ่งออกมา กินกันสามคนก็จัดไปห้าฟองท่าจะกำลังดี ตีจนไข่แตกเข้ากัน เหยาะน้ำปลานิด ใส่ผงเอลซ่าหน่อย เพราะน้าเจษแกติดผงชูรสอย่างหนัก


ลุงได้ยินเสียงผมตีไข่เจียวเสียงดังขลุกขลิก แกก็เลยแวะเข้ามาดู แกยืนยิ้มเท้ากะเอวสองข้าง ไม่ได้พูดอะไร แล้วแกก็เปิดตู้เย็น หยิบโหลกระเทียมโทนดองออกมา


"ใส่ไอ้นี่ด้วยตาธง จะได้โด๊บไปในตัว" ลุงแกว่าแล้วก็ยิ้มแป้น จัดแจงเอาช้อนแห้ง ๆ ตักกระเทียมโทนดองซึ่งแกว่าแกดองน้ำผึ้งทีเดียว ใส่ไปเสียหลายเม็ด พร้อมกับใช้ช้อนตักน้ำกระเทียมโทนเหยาะลงไปในไข่เจียวอีกหนึ่งช้อน นัยว่าจะได้รสได้ชาติอีกมากโข


กระทะเก่าแก่เป็นโลหะก้นหนา ซึ่งม๊าว่าอย่างนี้ล่ะดีนัก เพราะมันอมความร้อนได้ดี ใช้ทอดใช้ผัดอะไร แล้วของไหม้ล่ะเป็นไม่มี เพราะมันกระจายความร้อนได้ทั่วถึง ที่บ้านผมก็มีกระทะแบบนี้ทั้งหนาทั้งหนักแต่มันดีต่อการใช้งานไม่เหมือนกระทะเทฟล่อนสมัยนี้ที่ใช้ก็ต้องคอยระวัง


จัดแจงใส่น้ำมันลงประมาณหนึ่งไม่ต้องมากเหมือนไข่เจียวที่ผมทำเองที่เพราะไอ้อย่างนั้นเราอยากได้ไข่เจียวฟู ๆ แต่นี่เราเหมือนจะคั่วเสียมากกว่า ได้ไข่เจียวแห้ง ๆ จึงจะอร่อยเหาะ


คะเนว่าน้ำมันร้อนได้ที่ ผมก็ประเดไข่เจียวที่มีแหนมจำนวนมากลงเคล้าไปเตาไฟ พลิกตะหลิวไปมาอย่างรวดเร็ว ให้ไข่จับตามเนื้อของแหนมจนเกาะติด พลิกไปพลิกมาอย่างใจเย็น ดูให้ทั่วว่าไข่สุกทั่วกันหมดก็เป็นอันเสร็จพิธี


ผมเทไข่เจียวแหนมใส่จานใบเล็ก และที่เหลือใส่จานใบใหญ่สำหรับลุงกับน้าเจษ พอดีว่าตอนเช้าม๊าทำมะระยัดไส้ ผมตักมาชิ้นหนึ่ง ก็เลยโจ้มะระยัดไส้ที่ไม่ต้องอุ่นร้อนกันละ กินมันเย็น ๆ นี่ล่ะ ข้าวสวยร้อน ๆ กับไข่เจียวแหนมแสนเอร็ดอร่อย


แหนมเปรี้ยว ๆ ฉ่ำมันเพราะมีไข่เคลือบ หวานเจื้อยด้วยกระเทียมดองหอมฉุน แล้วไม่ลืมต้องมีการกินพริกขี้หนูเข้าไปให้มันเผ็ดร้อนด้วย กินข้าวไปหนึ่งคำเหมือนเข้าไปแดนสวรรค์เสียครึ่งค่อนตัว


กินข้าวใกล้จะเสร็จอยู่แล้วเชียว ลุงก็ตะโกนจากหน้าร้านให้ผมรับแขก เพราะวันนี้ผมมาถึงร้านก่อนน้าเจษ


"รอแป๊บเดียวนะครับช่างกินข้าวเสร็จแล้ว" ผมยื่นหน้าไปบอกลูกค้า พร้อมกับรีบจ้วงข้าวอีกสามคำเข้าปากอย่างว่องไว จัดแจงรีบล้างจานชามให้สะอาด แล้วก็จัดแจงพาลูกค้าขึ้นเก้าอี้ 


เริ่มแรกปูผ้าขนหนูที่บ่า เพื่อกันพวกเศษผมหลุดเข้าไปในเสื้อ แล้วจึงคลุมต่ออีกชั้นด้วยผ้าคลุมซอย รัดให้แน่นสักหน่อย ไม่อย่างนั้นเศษผมได้เข้าเสื้อลูกค้าคันคะเยอ 


ผมสวมเสื้อคลุมสีขาวทับอีกชั้น แล้วจึงใช้แมสปิดปากอีกที นอกจากจะดูสะอาดสะอ้านแล้ว ยังป้องกันเศษผมเข้าไปในจมูกและคออีกด้วย ลุงแกกำชับนัก แต่น้าเจษมักจะไม่ค่อยชอบสวมแมส ถ้าลุงไม่อยู่แกแอบไม่ใส่แมสเป็นประจำ แกว่าหายใจไม่ออกว่ะ


ผมมองหน้า มองทรงกะโหลกของลูกค้าในกระจก จากนั้นก็ใช้กระบอกน้ำฉีดน้ำไปทั่วหัวของลูกค้าเบา ๆ ลองใช้หวีแสกไปแสกมา เพื่อดูตีนผม และทิศทางของเส้นผมว่ามันไปเส้นทางใด ยังดีลูกค้าคนนี้ไม่ได้ใส่ผลิตภัณฑ์แต่งทรง ไม่อย่างนั้นก็ต้องวุ่นวายสระผมกันให้เอิกเกริก 


ถึงตอนผมทำงานที่บริษัทเก่า ผมนี่ล่ะมือสระผมอันดับหนึ่ง แต่อ่างสระผมร้านบาร์เบอร์มันสระผมไม่ได้สะดวกแบบนั้น 


"เอาทรงไหนดีครับ ?" แน่ล่ะผมต้องถามแบบนี้ แล้วลูกค้าก็มักจะตอบว่า "เอาออกนิดเดียว"


"ปัญหาโลกแตก" ผมแอบคิดเหมือนกับถามว่าจะกินอะไรแล้วได้คำตอบว่า "อะไรก็ได้" 


"เห้อ" ผมแอบถอนหายใจเบา ๆ ไม่ให้ลูกค้าจับสังเกตได้ จากนั้นก็ลองพูดคุยกันเพื่อจะได้เข้าใจตรงกัน ไอ้คำว่าเอาออกนิดเดียวของช่าง กับลูกค้านี่ มันระดับไม่เหมือนกันหรอกนะ 


แต่สำหรับผม พอเริ่มมีประสบการณ์ก็จับหลักได้ว่า พยายามให้ตีนผม กลมกลึงสวย และได้สัดส่วน ทีนี้ก็ต้องมาฝึกกันละเพราะบุญกรรมมันก็ทำให้คนเราต่างกัน


บางคนหัวกลมทุยสวยเชียว ถึงหน้าตาไม่หล่อ แต่พอตัดผมออกมาดี ก็ช่วยให้หล่อขึ้นมาตั้งครึ่งตั้งค่อน แต่บางคนสิ หน้าตาหล่ออย่างกับพระเอก แต่หัวแบนแต๊ดแต๋ จนรู้เลยว่าสมัยเด็ก ๆ แม่จับให้นอนหงายอย่างเดียว


นี่ยังไม่นับเส้นผมอีกเล่า บางคนเส้นผมหนาอย่างกับอะไร บางคนก็ผมบ๊างบาง จนแทบจะเห็นหนังหัว บางคนผมหยิกจนคล้าย ๆ คนผิวดำ และศัตรูสำคัญของช่างตัดผมนั่นก็คือ "คนหัวล้าน"


ล้านก็เรื่องของหัวแต่หัวใจไม่ล้าน ดังนั้น เราจึงมักจะเห็นชายกลางคนจนถึงชายชราที่ยังอยากดูดี มีผมทรงบาร์โค๊ด กล่าวคือ มีตะงอยผมข้าง ๆ ที่ลากยาวปาดมาปิดหัวล้านแจ๋งแหว๋ง ผมยังไม่เก่งกล้าที่จะรับมือกับลูกค้าประเภทนี้ มักจะโยนให้น้าเจษ หรือลุงเป็นคนจัดการ


ถ้าเป็นพวกลูกค้าวัยรุ่นก็ดีหน่อย แต่ก็ต้องคอยสังเกตว่าช่วงนี้ดาราวัยรุ่นเขาตัดผมทรงอะไรกันล่าสุดทรงพ่อโฟร์มด เจลบอย ก็มีคนเอามาให้ตัดวันละสองสามคนเป็นอย่างน้อย


ทำงานก็ต้องมีวันหยุดกันบ้าง แต่ผมมักจะไม่ค่อยหยุดหรอก มานั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋อที่ร้าน ถึงไม่มีงานก็ยังไม่ร้อน นั่งตากแอร์เย็น ๆ สบายจะตายไป หรือจะแอบหลับก็ไม่ว่ากันแต่ต้องไปแอบหลับหลังร้าน ลุงก็ไม่เคยจะบ่นจะด่า เพราะน้าเจษเองก็มักจะไปเอนหลังบ่อย ๆ 


จนหกเดือนผ่านไป ผมก็กลายเป็นช่างธง เต็มตัวเสียแล้ว งานที่ได้เงินทีละห้าสิบ ทีละเจ็ดสิบ แต่ครึ่งชั่วโมงถึงสี่สิบห้านาทีก็ได้แล้วนี่มันช่างแสนดี ผมรู้สึกว่าเงินมันหาได้ง่ายชะมัด และที่สำคัญ ทำเยอะก็ได้เยอะ แล้วอย่างนี้ใครมันจะเหนื่อยกันเล่า ขอให้มีลูกค้าเถอะ ยืนตัดจนขาแข็ง ผมก็สู้ตาย ยิ่งตอนกลับบ้านนับเงิน โอ้โหได้เงินเป็นฟ่อน ๆ ว่ากันไม่ได้ทีเดียว


เคยมีวันหนึ่ง ไม่รู้ว่าแม่นางกวักจะคึกหรือเกิดมีใครไปบนบานศาลกล่าว ร้านเปิดแปดโมงครึ่ง ผมสามคนยืนตัดผมกันแทบไม่ได้พัก ลูกค้าเข้า ๆ ออก ๆ จนกว่าจะปิดร้านเอาราว ๆ สองทุ่ม มีลูกค้าตลอดทีเดียว 


"ลุงพรุ่งนี้ผมลาครึ่งวันนะ" ผมบอกพร้อมกับใบหน้าเหนื่อยอ่อน แต่ยิ้มกว้างเพราะยิงฟันจนเห็นเหงือก


"เออ ๆ เมื่อยไหมเล่า วันนี้ยืนกันทั้งวันเลยเน้อ" ลุงแกพูดทิ้งตัวลงนั่ง เอามือทุบต้นขาตุบตับ


"ก็เหนื่อยครับ แต่สนุกดี ผมไปแล้วนะ" ผมบอกพร้อมกับยกมือไหว้ลุงกับน้าเจษ ร่ำลากันแล้วผมก็ขี่มอเตอร์ไซค์คันเก่งกลับบ้าน 


"กลับแล้วเรอะ" เสียงไอ้ธรรมร้องทัก แต่หน้าของมันจ้องแต่หน้าจอโทรศัพท์มือถือ 


"อือ ป๊ากับม๊าล่ะ?" ผมถาม ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ ก็รู้ว่าทั้งสองคนขึ้นเหล่าเต๊งนอนไปเรียบร้อยแล้วล่ะ


"นอนแล้ว กินอะไรป่าว ในตู้เย็นมีน้ำเต้าหู้แน่ะ" ไอ้ธรรมบอก ผมทำเสียงอือ ๆ ออ ๆ พร้อมกับเดินไปเปิดตู้เย็น หยิบถุงน้ำเต้าหู้ใส่งาดำออกมา กัดตูดถุงแล้วก็ดูดอย่างเอร็ดอร่อยชื่นใจ เพราะมันแช่เย็นจนมีเกล็ดน้ำแข็งน้อย ๆ หายเหนื่อยหายเพลียเป็นปลิดทิ้ง


"แล้วทำไมมึงยังไม่ขึ้นนอน" ผมไม่วายจะถามมันบ้าง เพราะปกติ ถ้าป๊ากับม๊าขึ้นนอนไอ้ผีนี่ก็ไม่มีเสียหรอกจะมานั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่ข้างล่าง


"รอมึงไง กูอยากทำสีผม ทำให้กูหน่อย" นั่นไหมเล่าคิดแล้วไม่ผิด


"มึงจะทำสีอะไร?" ผมถามพร้อมกับไอ้ธรรมเดินไปหยิบห่ออะไรมายื่นให้ 


"ไอ้เวรเอ๊ย ทีหลังอยากทำสีไม่ต้องเสือกซื้อสีมานะ เดี๋ยวกูซื้อเอง เอายี่ห้อนี้มันดีที่ไหนกันเล่า ผมก็แห้ง แล้วสีก็ไม่สวยด้วย" ผมบ่นไปตามเรื่อง ไอ้ธรรมมันไม่ได้สนใจ เพราะมันรู้ว่าถึงผมจะลาออกจากบริษัทเก่า แต่ความที่ทำงานที่นั่นมาหลายปีดีดัก ก็มีความรอยัลตี้สูง อะไรยี่ห้ออื่นไม่มีเสียหรอกที่จะดีเท่าของบริษัทกู ถึงจะเป็นบริษัทเก่าก็เถอะนะ


ไล่ไอ้ผีนั่นให้ถอดเสื้อออก ผมจัดการเทผสมสีและไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์แล้วจึงใช้แปรงคนให้ทั่วกัน ไฮโดรเจนนั้นผมใส่ไม่หมด ใส่เพียงสามในสี่แล้วเติมน้ำเล็กน้อย เพราะไฮโดรเจนยี่ห้อนี้มันแรง ผมเสียกันพอดี ไอ้ธรรมมันตัดผมสั้นเข้ารูป และสีช็อกโกแลตเหลือบม่วงของมันก็น่าจะติดสีสวยเพราะก่อนหน้านี้มันทำสีผมน้ำตาลทองมาแล้ว


ผมไล่ทาน้ำยาตั้งแต่โคนผมทางด้านหลัง ไล่มาจนถึงด้านหน้า มือที่สวมถุงมือที่แถมมาให้ จัดแจงนวดเคล้าสีผมให้ทั่วติดกันทุกเส้น จากนั้นก็เอาถุงพลาสติกธรรมดา ๆ นี่ล่ะมาคลุมอีกทีเพื่อให้เกิดความร้อน สมัยทำงานที่เก่า เขาใช้แร็พ แต่นี่เราทำแบบบ้าน ๆ ทำตามมีตามเกิดแต่ได้ผลเท่ากัน 


ไม่ลืมที่จะมองนาฬิกา แล้วบอกไอ้ธรรมให้จับเวลาไว้ยี่สิบนาที ส่วนตอนนี้ผมเหนียวตัวเต็มทน จึงขึ้นไปอาบน้ำอาบท่าให้สบายตัว กำลังจะทิ้งตัวลงนอนให้สบายไอ้ธรรมก็มาเคาะประตูห้องนอน ไม่รอให้ผมพูดมันก็เดินเข้ามายื่นหัวให้ผมดูผลงาน


ผมจัดแจงถอดถุงพลาสติกออก ใช้นิ้วสางที่โคนผม และบี้ที่ปลายผม โอเค สีผมเสมอกันตั้งแต่โคนจรดปลาย


"รออีกห้านาทีแล้วก็ล้าง ไม่ต้องใช้ยาสระผมนะ ล้างน้ำเปล่า แล้วอย่าลืมเอาครีมหมักผมกระปุกขาวนวดแทนครีมนวดไปเลย" ผมกำชับมัน และเดินไปกำกับที่หน้าห้องน้ำซะด้วย จนเสร็จแล้วไอ้รูปหล่อก็เดินโดยมีผ้าขนหนูห่อหัว เข้ามาในห้องผมอีกที ให้ผมเป่าผมให้


"ไม่อยากจะพูดว่าหล่อ แต่ฝีมือกูมันดีมึงเลยดูดี" ผมพูดไปใช้มือสางผมไอ้ผีนี่ไป


"หร๋ออออ" มันลากเสียงยาว เบะปากใส่ ผมมองในกระจก แล้วอยากจะเอาไดร์เป่าผมโขกกะโหลกมันสักที


"ฝีมือมึงเข้าท่า นี่ช่างธง มะไหร่มึงจะเปิดร้านเองวะ เปิดร้านเองไปเลย ไปเป็นลูกจ้างเขา โดนหักครึ่งต่อครึ่งทำเองเห๊อะ" ไอ้ตัวดีขู่


"แหมมึง มันก็ต้องลงทุนหลายอย่าง กูขอเก็บเกี่ยวประสบการณ์อีกสักนิด"  


"เออนี่ ตีเหล็กเขาให้ตีตอนร้อน ๆ หาที่หาทางเอาร้านติดถนนไปเลย จ้างลูกน้องสักสองสามคน สบายใจเฉิบ ทำมั่งไม่ทำมั่ง เก็บเงินจากช่างในร้านครึ่ง ๆ" ไอ้นี่มันพูดง่าย 


"ทำอย่างไทยจากใหญ่ไปเล็ก ทำอย่างเจ็กจากเล็กไปใหญ่ ป๊าเคยสอนไงจำได้ไหม?" ผมย้อนมัน


"มึง...ป๊าน่ะเคยค้าเคยขายกับใครที่ไหน ตลกเนอะ ทั้ง ๆ ที่เป็นลูกหลานคนจีน ที่บ้านก็ค้าขายแท้ ๆ" ไอ้ธรรมบ่นส่วนผมเทน้ำมันบำรุงเส้นผมใส่มือ นวดวอร์มให้ทั่วแล้วค่อย ๆ สางไปบนหัวกบาลของมันจนผมสาก ๆ ของมันนุ่มสวยเป็นมันเงางาม


"ธรรมชาติมันก็ต้องมีผ่าเหล่าผ่ากอบ้างสิวะ ดูกูกะมึงสิก็เหมือนป๊าแหละ ค้าขายไม่เป็น ไม่เหมือนธารมันอีนั่นหน้าเลือด แล้วขายเก่งที่สุด ส่วนม๊าขายเก่งแต่ใจดี ขายไปก็มีแต่เจ๊ง ทั้งลดทั้งแถม" ไอ้ธรรมพล่ามซึ่งมันก็เป็นความจริงทั้งหมดนั่นแหละ


จะว่าไป ผมเคยลองไปฝึกมือร้านพี่มนัส แต่ร้านพี่มนัสเขาเป็นร้านซาลอน ผมลองไปทำงานได้สามวันก็ต้องเปิดกลับเพราะรู้สึกไม่ถนัดไม่ง่ายเหมือนร้านบาร์เบอร์เลย และถึงจะเคยเป็นนักขายมือทองสมัยก่อน แต่ผมกลับไม่เคยขายของให้ตัวเองรวยเลยสักทีแฮะ


คนเราผมคิดว่าเมื่อได้โอกาสก็ต้องลอง ต่อเมื่อลองแล้วชอบไม่ชอบก็จะได้รู้จิตใจของตัวเอง ฉวยมัวแต่กลัวไม่กล้าไม่ลองอะไร มันก็ติดอยู่ในใจ คาอยู่ในใจ แล้วก็มาบ่นเสียดายว่ารู้อย่างนี้ รู้อย่างนั้น 


เออจริงสิ แล้วถ้าเป็นอย่างที่ผมคิด เกิดผมลองเปิดร้านบาร์เบอร์ของตัวเอง มันจะดีไหมหนอ ผมเคยแอบคิดนะ แต่โอกาสมันยังไม่มาถึงก็แค่นั้นเอง โอกาสจ๋ามาหาธงหน่อย