ก็เพราะชีวิตประจำวันมันน่าเบื่อ ก็เลยอยากเป็นอินฟลูกับเขาสักคน
ชาย-ชาย,ตลก,ไทย,เล่าประสบการณ์,ยุคปัจจุบัน,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
แปะจะเป็นอินฟลูฯก็เพราะชีวิตประจำวันมันน่าเบื่อ ก็เลยอยากเป็นอินฟลูกับเขาสักคน
โลกยุคนี้ มันเป็นยุคของ อินฟลูเอ็นเซอร์ นั่นก็คือบุคคลที่มีผู้ติดตามบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย
อินฟลูเอ็นเซอร์ จะมีผู้ติดตามมากมายซึ่งส่วนใหญ่มักจะมีส่วนร่วมในเนื้อหาที่พวกเขาพูดเป็นประจำ อินฟลูฯ มีมากมายหลายหมวด ไม่ว่าจะเป็นหมวดการท่องเที่ยว สายทำอาหาร สายวิชาการ สายบันเทิง สายสุขภาพ
แต่ผมจะเป็นอินฟลูฯ สายไหนกันดีนะในเมื่อตัวผมเองก็ไม่เก่งอะไรสักอย่าง....เห้อ
โดย Chavaroj
เวลาตอนนี้น่าจะตีสามกระมัง จิมมี่แทบจะเลิกสนใจที่จะมองเวลาจากนาฬิกาโบราณ ที่มันตั้งตระหง่านมาตั้งแต่ครั้งไหนรู้แค่ว่าเกิดมาก็เห็นมันตั้งอยู่ตรงนั้นไม่ขยับไปไหน เรือนไม่ใหญ่โตเรือนนี้ได้รับเป็นมรดกมาจากท่านที่ดินที่เหลือของท่านทวด
จนได้ยินเสียงกึงกังแว่วมาจากนาฬิกาเรือนที่ว่านั่นแหละ ซึ่งมันจะตีบอกเวลาทุก ๆ หนึ่งชั่วโมง จิมมี่แทบจะไม่ได้ใส่ใจ จนอดจะเลิกคิ้วเล็กน้อยด้วยความฉงน เพราะเขาเข้าใจว่ามันเลิกทำงานไปเสียนานแล้ว ด้วยว่าไม่ได้ใส่ใจอะไรกับมันเลย
"คงเป็นฝีมือเฮียสินะ" จิมมี่เปรยเบา ๆ กับนเองและมองไปยังท้องฟ้าที่ปรากฏเงาเมฆบังดวงจันทร์ มันตั้งเค้าอยู่เนิ่นนานและลมก็พัดแรงจนกระดิ่งซึ่งแขวนอยู่ข้างบ้านดังกรุ๋งกริ๋งแว่วมาแต่ไกล ๆ
จิมมี่ชอบช่วงเวลาอย่างนี้ มันมืดมิดดีนัก และเย็นเยียบ แต่ธรรมชาติก็กำลังจะแสดงความบ้าคลั่ง ใช่...ใช่แล้ว จิมมี่นึกถึงข่าวสั้น ๆ ของช่องพยากรณ์อากาศว่าจะมีพายุเข้าซึ่งฝนก็คงจะตกหนัก ๆ อีกหลายวัน
ร่างของจิมมี่เปล่าเปลือย มีเพียงผ้าแพรผืนบาง ๆ ที่เคยมีสีม่วงเข้ม และถ้ามีไฟสว่างสักหน่อย ก็จะเห็นว่ามันเริ่มมีสีที่ซีดจางลงเพราะอายุการใช้งานที่ผ่านมาหลายลมฝน จิมมี่ชอบผ้าผืนนี้ จนเกือบจะเรียกว่าทั้งรักและผูกพัน
จิมมี่ชอบสัมผัสลื่น ๆ และเนื้อเย็นผิวของมันเมื่อสัมผัสในหน้าร้อน แต่ในยามหน้าหนาว เมื่อห่มคลุมมันแล้วกลับอุ่นสบายอย่างประหลาด แต่ที่จิมมี่ปฏิเสธตัวเองว่าทำไมเขาถึงรักผ้าผืนนี้นัก แท้จริงแล้วมันเป็นผ้าที่แม่เคยห่มนอน ถ้าในยามกำลังจะนอนหลับฝันดี แล้วผ้าแพรผืนนี้มันเกิดเลื่อนมาโดนจมูก ถ้าสูดหายใจลึก ๆ ดูเหมือนคุณมานอนกอดจิมมี่ทีเดียว ...เหมือนเมื่อครั้งจิมมี่ยังเป็นเด็กตัวน้อย
ลมยิ่งทวีความแรงจนต้นไม้ที่ปลูกอยู่รอบ ๆ บ้านของจิมมี่ไหวเอนลู่ ถ้าใจแข็งเสียหน่อย ก็จะมองได้ว่ามันกำลังเริงระบำ และจิมมี่ก็เป็นคนใจแข็งเสียด้วย
จริง ๆ ช่วงนี้มันเป็นหน้าร้อน และนี่ก็เป็นพายุฤดูร้อน ก็ดีเหมือนกัน จิมมี่แอบคิดในใจ เพราะถึงยามหน้าร้อนบรรดาดอกไม้ดอกไร่ที่จิมมี่สรรหามาปลูก มันจะเบ่งบานออกดอกกันสลอน แต่มันก็ทำให้ต้นไม้ของจิมมี่ไม่สดชื่น บางต้นที่ยังรากไม่แข็งแรง ก็แห้งตาย น่าเสียดาย
จิมมี่กระชับผ้าแพรจนมันรัดผิว อุ่น...เหมือนได้รับอ้อมกอด กลิ่นดอกไม้ที่บานยามค่ำคืน พากันกำจายมาตามสายลม คลุ้งตลบจนคนที่ไม่คุ้นชินกับต้นไม้คงงงว่ามันเป็นกลิ่นของต้นอะไรกันบ้างหนอเพราะมันผสมปนเปกันไปหมด ด้วยว่าต้นไม้ในสวนบ้านของจิมมี่นั้นมีมากมายและพวกมันก็แข่งกันผลิดอกเพื่อโอ้อวดกัน
แต่จิมมี่รู้ว่ากลิ่นที่ได้สัมผัส มันเป็นกลิ่นจากดอกของต้นอะไรบ้าง เพราะจิมมี่โตมากับท่านย่าซึ่งท่านรักดอกไม้หอม ๆ จนเรียกได้ว่าเป็นความรักเดียวของท่าน
ดอกพุดสารพัดชนิด กรรณิการ์ ก้านสีแสดอมส้ม ที่ท่านย่ามักจะให้จิมมี่ไปเก็บดอกร่วง ๆ ของมันยามเช้า เพื่อนำก้านของมันมาทำสีย้อมขนม กลิ่นของมันหอมอ่อน ๆ คล้าย ๆ กลิ่นน้ำผึ้ง
พอลมพัดไหวอีกครั้ง กลิ่นหอมของดอกพุทธชาติ ซึ่งมันเป็นช่อเล็ก ๆ มองไกล ๆ จะคล้าย ๆ ดอกมะลิ แต่กลิ่นของมันหอมหวาน แน่นอนว่าหน้าร้อนที่มีฝนตกแบบนี้ บรรดามะลิทั้งหลาย ทั้งมะลิลา มะลิซ้อน มะลิฉัตรพิกุลที่จิมมี่ค่อนข้างโปรด เพราะมันสามารถถอดออกมาเป็นปล้อง ๆ และกลีบดอกของมันปลายแหลมเล็ก คล้ายดอกพิกุล สำหรับจิมมี่มันเป็นดอกไม้พิเศษเพราะแยกร่างได้
หรือต้นปีบต้นใหญ่ ที่จิมมี่จ้างคนให้มาตัดด้วยว่ามันสูงไวเกินไป เผลอเพียงแป๊บเดียว มันแตกกิ่งแตกยอดแล้วก็ออกดอกอีกแล้ว จิมมี่เดินไปใต้ต้นของมันหยิบดอกของมันมาดอมดมแล้วก็แซมที่ข้างหู กลิ่นของมันทำให้นึกไปถึงตอนที่ท่านยายให้จิมมี่เก็บดอกปีบร่วง ๆ เหล่านั้นนำมาตากแห้ง
"จะเอาไปทำอะไรหรือคะท่านย่า" จิมมี่ในตอนเป็นเด็กน้อยถามเพราะไม่เห็นว่ามันจะเอาไปทำอะไรได้
"เอาไปมวนบุหรี่ ย่าเอาไปผสมกับยาฉุน จากเพชรบูรณ์ ใช้ดอกปีบนี่ เกล็ดพิมเสน เกสรบัวหลวง ใบกระวาน อบเชย แล้วก็ใช้กลีบดอกบัวหลวงงาม ๆ นำมารีดจนแห้ง แล้วก็มวน แต่ถ้าเป็นช่วงไม่มีดอกบัว ก็ใช้ใบตองก็ได้เหมือนกัน" ท่านย่าเล่าของท่านไปเรื่อย แม้ว่าจิมมี่จะอยากพูดว่า ยุคนี้ใครเขาดูดบุหรี่กัน แต่ในวัยเจ็ดขวบ จิมมี่ก็รู้ความพอจะกลั้นใจกัดริมฝีปากตัวเองไม่ให้พูดอะไรออกมา ที่สำคัญ ช่วงเวลาที่ท่านย่าอารมณ์ดีจนสามารถพูดกับจิมมี่แบบย่ากับหลานมันมีไม่ค่อยบ่อย
คำพูดบางคำไม่พูดจึงดีกว่า
คิดอะไรเพลิน ๆ และเดินเอามือลูบไล้ทักทายกับบรรดากลีบดอกไม้ทั้งหลายอยู่ ฝนก็เริ่มตกลงเม็ด จากทีละหยดสองหยด มันก็เริ่มถี่ขึ้น จนท้ายที่สุด ฝนก็ตกแรงจนเหมือนฟ้ารั่ว แต่ถ้าคิดว่าจิมมี่จะรีบวิ่งหนีเข้าบ้าน ก็เข้าใจคนอย่างจิมมี่ผิดไปเสียแล้ว จิมมี่ยังคงตากฝน และเล่นน้ำฝนอยู่อย่างนั้น น้ำฝนเย็นฉ่ำ เวลามันกระทบหน้า เจ็บนิด ๆ แต่ก็สนุกดีเหมือนโดนเกาเบา ๆ
แล้วยิ่งเท้าเปล่าเปลือยย่ำไปบนผืนดินเปียกชื้น มันก็ยิ่งลื่นจนน่าสนุก จิมมี่เตะไปยังหลุมตื้น ๆ ที่เริ่มมีน้ำขัง และบางทีก็กระโดดโลดเต้นไปมา
ใช้เวลาเล่นน้ำฝนอยู่พักใหญ่ แต่เมื่อรู้สึกหนาวด้วยว่าทั้งร่างกายของจิมมี่นั้นเปลือยเปล่า และผ้าแพรของแม่ก็เปียกจนลู่ไปกับผิวไม่พลิ้วไหวเหมือนตอนลมพัด จิมมี่เริ่มเบื่อและอยากเข้าไปในบ้านแล้วล่ะ
เมื่อเข้าบ้านก็อดจะต้องอาบน้ำสระผม ซึ่งมันก็กินเวลาอยู่ไม่น้อย จิมมี่ไม่ชอบอาบน้ำ และสิ่งที่เกลียดไปยิ่งกว่านั้นจิมมี่ก็ไม่ชอบสระผมด้วย เพราะผมที่ยาวจนถึงกลางหลัง กว่าจะสระให้มันสะอาด ไหนจะต้องชโลมครีมบำรุงผม และที่สำคัญ กว่าจะรอให้มันแห้ง ใช้เวลาอีกเนิ่นนาน
คิดแล้วก็ขำ ท่านย่าเคยเล่าให้ฟังว่าสมัยเด็ก ๆ ท่านได้ยินแม่ของท่านเล่าว่าสาวชาววังจะอาบน้ำหรือจะสระผม ดูเป็นพิธีรีตอง ใช้ของยุ่งยากมากมาย แต่ยังดีมีบ่าวไพร่บริวารที่จะคอยรองมือรองตีน อย่างการสระผมนี่ ก็ต้องให้บ่าวนำลูกมะกรูดที่สุกจนนิ่ม เอาไปเผาไฟ แล้วก็นำน้ำที่คั้นจากลูกมะกรูดมาชโลมผม ต้องบี้ให้กลิ่นน้ำมันหอมระเหยจากเปลือกของมันออกมาด้วยนะ ของดีมันอยู่ตรงนี้
หรือจะทำให้เรียบไม่กระดิก ก็ต้องเชยน้ำมันใส่ผมเอง เริ่มจากใช้หัวกะทิที่สะอาดดี ตั้งกระทะทอง ยีกลีบกระดังงาลนไฟกวนให้กลิ่นหอมของมันซึมซาบออกมา จากนั้นก็โยนขี้ผึ้งแท้ ๆ ลงไป เท่านี้ก็ได้น้ำมันใส่ผมแล้ว ซึ่งแน่นอนจิมมี่ไม่คิดจะลองทำอย่างท่านย่าว่าแน่ ๆ
ท่านย่าเคยอยู่ในวังตั้งแต่ยังเด็ก ถึงจะเป็นหม่อมหลวง แต่ก็เป็นลูกหลานสายตรง เพราะท่านทวดนั้นทำงานรับใช้เจ้านายอยู่ในวัง จนเมื่อท่านทวดย้ายออกมาอยู่บ้านของตนเอง ท่านย่าก็ถูกเลี้ยงดูอย่างตามใจ ด้วยว่าท่านเป็นลูกหลง เป็นลูกสาวคนเล็กที่เกิดเมื่อตอนท่านทวดมีอายุถึงห้าสิบสองปี
แต่กรรมก็ชักพา เพราะเมื่ออายุเพียงสิบสองปี ท่านทวดก็มาจากไป และสมบัติต่าง ๆ ก็ถูกบรรดาพี่ ๆ ของท่านแย่งชิงไปจนหมด เหลือไว้บ้างก็เป็นสมบัติชิ้นเล็ก ๆ เท่านั้น ท่านย่าถูกพี่สาวคนใหญ่ของท่านนำไปเลี้ยงดูจนเติบโตเป็นสาว แต่ท่านก็บ่นว่าอึดอัดใจเสียเหลือเกิน เพราะถึงจะเป็นพี่น้องกันแท้ ๆ แต่ก็ห่างกันจนพูดคุยกันไม่รู้เรื่อง
การมีสามีจึงเป็นทางเดียวที่จะทำให้ท่านย่าอยู่รอด ซึ่งก็คือคุณปู่ท่านเป็นญาติห่าง ๆ กัน ถึงจะไม่ใช่สายตรงแบบท่านย่า ด้วยว่าเป็นลูกของเมียน้อย แต่คุณปู่ก็นับว่ามีทรัพย์มาก นับว่าเป็นเศรษฐีเชียวแหละ ถึงจะแก่กว่าท่านย่าหนึ่งรอบ เคยผ่านการแต่งงานมาแล้ว แต่ลูกเมียของท่านก็มาเสียชีวิตไปเสียก่อน ชีวิตของท่านย่าจึงกลับมามีชีวิตที่บริบูรณ์อีกครั้ง
"งานแต่งของย่านะ คนเขาเอาไปนินทากันทั้งบ้านทั้งเมือง หาว่าหม่อมหลวงตกยาก แต่งงานกับตาแก่หวังสมบัติ" ท่านย่าพูดแล้วก็หัวเราะลงลูกคอน้ำเสียงเย้ยหยัน
แต่คำนินทาของชาวบ้านก็ไม่ถึงกับพูดผิดนักหรอก ตอนท่านย่าแต่งงานจิมมี่ก็เดาว่าแทบจะเหลือแต่ตัวจริง ๆ
"สมัยเด็ก ๆ เวลาย่าไปไหนต้องมีบ่าวผู้หญิงไปด้วยสองคน แล้วก็บ่าวผู้ชายไปด้วยอีกสอง"
"ทำไมต้องไปกันเยอะแยะเล่าคะ?" จิมมี่ถามอย่างสงสัย และที่ต้องพูดคะขา ก็เป็นเพราะว่าท่านย่าสอนมาอย่างนี้
"กลัวจะถูกลักตัวไปเรียกค่าไถ่น่ะสิ ก็คุณทวดท่านให้ย่าใส่เพชรใส่ทองเสียจนแดงทั้งตัวอย่างนั้น" ท่านย่าเล่าอย่างอารมณ์ดี และแน่นอน จิมมี่ไม่ค่อยเชื่อเท่าไร
แต่งงานกันถึงสิบสองปีท่านย่าถึงมีลูก แต่เมื่อพ่ออายุสิบเอ็ดปี คุณปู่ก็เสียชีวิตไป ท่านย่าก็เลี้ยงพ่อมาด้วยตัวคนเดียวมานับแต่นั้น
ถ้าจะว่ากันตามตรง ท่านย่านั้นก็เป็นคนอย่างที่สมัยนี้เรียกว่าเป็นคน "เฟียส" กล่าวคือ ท่านเป็นคนเอาแต่ใจตัวเองอย่างที่สุด ไหนจะทิฐิมานะ ไหนจะการเลี้ยงดูที่ถูกตามใจมาทุกสิ่ง ไหนจะความหยิ่งทะนงในฐานันดรอันสูงของวงศ์ตระกูล
คนที่รับกรรมคนต่อมาก็คือคุณพ่อ การที่มีเลือดของเจ้าอยู่ในกาย ทำให้ทุกสิ่งที่พ่อทำ และเป็น จะต้องดีที่สุด ข้อดีอย่างหนึ่งของท่านย่าก็คือ ท่านต้องเลือกแต่ของที่ดีที่สุดเท่านั้น
แต่มันก็ต้องแลกมาด้วยกับการที่พ่อต้องเรียนให้เก่งที่สุด ต้องเป็นเลิศในทุกด้าน และโชคดีที่พ่อก็ทำตัวได้ตามใจของท่านย่าในเกือบทุกด่าน
สิ่งเดียวและเป็นสิ่งที่ท่านย่าผิดหวังที่สุดก็เห็นจะเป็นการที่พ่อรักกับแม่ ไม่ว่าจะถูกคัดค้านถึงเรื่องความเหมาะสมใด ๆ แต่พ่อซึ่งรักแม่เสียแล้วก็ยังยืนยันที่จะรักและอยู่ด้วยกันกับแม่
แต่อย่าลืมว่าพ่อก็เป็นลูกของท่านย่า ได้เลือดของท่านย่าในเรื่องของความเก่งกาจมาก็จริง แต่พ่อก็ได้เลือดของความดื้อรั้นของท่านย่ามาเช่นกัน
ในที่สุด แม่ก็เข้ามาเป็นหนึ่งในสมาชิกของบ้าน และเรื่องราวของแม่ผัวกับลูกสะใภ้ก็เกิดขึ้นอยู่เนือง ๆ แม่ซึ่งถ้าพูดกันตรง ๆ ก็เป็นชาวบ้านธรรมดาสามัญนี่ล่ะ แถมฐานะก็ไม่ใช่จะดิบดี ดังนั้น ด้วยฐานะของแม่ จึงถูกท่านย่ากลั่นแกล้งชิงชังรังเกียจสารพัด จิมมี่รู้ดีเพราะถ้าท่านย่าท่าน "ขึ้น" เมื่อไร คำพูดเหน็บแนมอย่างเจ็บแสบ จะหลุดจากปาก มันร้ายกว่าการด่าด้วยคำหยาบคายด้วยซ้ำ
โชคดีที่แม่ตั้งท้องจิมมี่ นั่นทำให้ท่านย่าคลายความเกลียดชังแม่ลงสักหน่อย แต่ถึงอย่างนั้น แม่ก็ยังไม่ได้มีความสุขเท่าที่ควร
จนวันที่จิมมี่ลืมตาดูโลก ถ้าจะให้นึกไป จิมมี่ว่าแม่นั้นก็มีสถานะเหมือนบ่าวคนหนึ่งในสายตาของท่านย่า มีหน้าที่ให้นมและคอยเลี้ยงดูหลานคนเดียวของท่าน และจิมมี่ต้องอยู่ในสายตาของท่านย่าเกือบตลอดเวลา
ความเชื่อเก่า ๆ สารพัดถูกนำมาเป็นข้ออ้างในการเลี้ยงดูจิมมี่ แม้ว่าแม่จะคัดค้าน ข้อห้ามแสนน่าตลก และความเชื่อที่ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ใด ๆ แต่แม่ก็จะต้องทำตามท่านย่าบอกและสั่ง จะให้เอาไม้ซีกมางัดไม้ซุงนั้นอย่าได้หวัง พ่อที่ตลอดมาเป็นเด็กดี แต่เมื่อมีครอบครัวและรับรู้ว่ายิ่งวันฐานะของครอบครัวก็อยู่ในสถานะยอบแย่บเต็มที เพราะท่านย่าเป็นผู้ที่เคยแต่ใช้ ไม่เคยเป็นผู้หา
พ่อจึงต้องทำงานหนัก ถึงอย่างนั้นก็ยังถูกท่านย่า บ่นเปรียบเปรยกระทบกระเทียบว่า "ไปเป็นขี้ข้าฝรั่งจะไปดิบดีอะไรเธอน่ะมันลูกหลานพระยานาหมื่นทีเดียวนะ" ครั้นจะแยกบ้านออกไป ท่านย่าก็ตัวคนเดียว พ่อก็ไม่ใจดำพอจะทำ
จนจิมมี่อายุได้ห้าปี ท่านพ่อก็ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต จิมมี่แทบจะจำท่านพ่อไม่ได้ด้วยซ้ำ จำได้อย่างเลือนรางว่าพ่อเป็นคนตัวสูงใหญ่ ถึงจะไม่ใจดีไม่ช่างพูด แต่พ่อก็ชอบอุ้มจิมมี่เดินเล่นในสวน
เมื่อหมดพ่อไป แม่จึงต้องรับภาระทั้งหมด แต่มาถึงขนาดนี้แล้ว ท่านย่าก็ยังไม่ได้ปราณีแม่ และเมื่อฟางเส้นสุดท้ายทำให้ความอดทนของแม่ขาดลง แม่ก็จากไป ทิ้งให้จิมมี่อยู่กับท่านย่าสองคน
จิมมี่เสียใจนักและเอาแต่เฝ้าร้องไห้ทุกค่ำคืน แต่เมื่อในวันหนึ่ง จิมมี่รู้ว่า ถึงจะร้องไห้จนตาย แม่ก็ไม่กลับมา คนที่รักจากจิมมี่ไปหมด และถ้ามีคนเถียงว่ายังเหลือท่านย่าอีกหนึ่งคนอย่างไร จิมมี่ก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าท่านย่านั้น "รัก" จิมมี่หรือเปล่า เพราะจิมมี่คิดว่า คนเดียวที่ท่านย่ารักนั้น ก็คือตัวของท่านเอง
ตอนนี้บ้านของจิมมี่เหลือคนเพียงแค่สามคน คือท่านย่า จิมมี่ และยายแย้ม บ่าวของท่านย่า ซึ่งภักดีกับท่านย่าไม่เสื่อมคลาย จิมมี่เคยแอบสงสัยว่าทำไมยายแย้มถึงทนกับอารมณ์อันขึ้น ๆ ลง ๆ ของท่านย่าได้ตั้งแต่เล็กจนโต
"ยายแย้มไม่มีที่ไหนให้ไปแล้วนี่คะ เกิดมาก็ถูกเลี้ยงเป็นเพื่อนเล่นของท่าน พ่อแม่ก็ไม่มี ลูกผัวก็ไม่มี ญาติพี่น้องของก็ไม่มี ยายแย้มก็มีท่านนี่แหละค่ะเป็นร่มโพธิ์ร่มไทร" แกเล่าไปแล้วก็ยิ้มอย่างปลง ๆ
บางคืนที่เหงาเปล่าเปลี่ยวจิมมี่ก็แอบขอไปนอนห้องของยายแย้ม เพราะถึงอย่างน้อย ก็ดีกว่านอนคนเดียว
แต่ยายแย้มก็อยู่กับจิมมี่ได้ไม่นาน วันหนึ่งยายแย้มก็จากไปอย่างสงบ น่าขำที่แขกที่มาร่วมงานศพของยายแย้มกลับมากกว่างานศพของท่านย่า ในวันที่ท่านจากไปเสียอีก
อยู่กับท่านย่าเรื่อยมา สิ่งเดียวที่พอจะทำให้จิมมี่มีความสุขอยู่บ้างก็คือการได้ไปเรียน แต่จิมมี่ก็ไม่ได้เป็นคนเรียนเก่งเหมือนพ่อ และเวลาก็ผ่านไปรวดเร็วจนเกินฝัน แต่สิ่งที่เวลามอบให้ด้วยคือการเปลี่ยนแปลงของท่านย่า
บ้านที่เคยสะอาดสะอ้าน บัดนี้มันสกปรกจนจิมมี่ไม่รู้จะเรียกที่ซุกหัวนอนของตนเองว่าอะไรดีไปกว่าจะเรียกว่ากองขยะ
จิมมี่แอบเห็นท่านย่าเมื่อว่าง ๆ จะเดินออกไปตามซอกซอย เปิดถังขยะ และเก็บขยะติดมือมาทุกครา ของอะไรในบ้านก็ไม่ยอมทิ้ง เรียกว่าไม่ยอมให้ทิ้งจริง ๆ ถึงมันจะแตกหักเสียหาย
จนจิมมี่มารู้ในภายหลังว่าอาการนี้เรียกว่า Hording Disorder หรือที่เรียกว่าโรคสะสมของ มันเป็นโรคที่ผู้ป่วยจะรู้สึกอยากเก็บของทุกอย่างไว้ไม่สามารถตัดใจทิ้งได้ และการจะพาท่านย่าไปหาหมอ ก็ดูจะยากเย็นกว่าการเอาขยะพวกนั้นไปทิ้งเสียอีก
จิมมี่หนีด้วยการย้ายไปนอนเรือนหลังบ้าน เรือนเล็ก ๆ ของยายแย้ม เพราะมันเป็นที่เดียวที่รอดพ้นจากการสะสมสมบัติของท่านย่า
ทุกตารางนิ้วในบ้าน มีของสะสมมากมาย จนแม้แต่ในห้องนอนของท่านย่าเอง บนเตียงไม้สักเก่า ก็มีเพียงที่ให้นอนได้เพียงพลิกตัวเท่านั้น
ยามจิมมี่เดินออกจากบ้าน คนในซอย จะมองจิมมี่ด้วยสายตาแปลก ๆ มันแยกไม่ออกว่าเป็นสายตาของความชิงชังรังเกียจ สายตาของความไม่เข้าใจ หรือสายตาของความสงสาร แต่จะเป็นสายตาและความคิดอย่างไรก็เถอะ จิมมี่ไม่ชอบมันเลย
"จี๋เอ๊ยมากินข้าวมา" เสียงของท่านย่าดังแว่ว มาในห้วงความคิด และจิมมี่ก็แทบจะสะดุ้งด้วยความตื่นกลัว
ตอนนั้นท่านย่าซึ่งแทบจะเรียกได้ว่า ไม่ใช่คนปกติ แต่ถึงอย่างนั้นท่านก็ยังมีแก่ใจจะทำอาหารให้ตนเองกับหลาน และจริง ๆ ตอนเกิด จิมมี่ไม่ได้ชื่อจิมมี่อย่างทุกวันนี้ ท่านย่าและใคร ๆ เรียกจิมมี่ว่า "จี๋" แต่จะด้วยสาเหตุอะไรและแปลว่าอะไร จิมมี่ไม่อยากจะถามเพราะท่านย่ามักจะเอ็ดอึงอย่างโกรธเกรี้ยว ถ้าจิมมี่ถามอะไรที่ท่านคิดว่าไม่เข้าท่า จิมมี่เดาอารมณ์ของท่านย่าไม่ออก ถ้าอยู่ดี ๆ ท่านครึ้มใจ ก็เล่าเรื่องสมัยท่านยังเด็ก ๆ ให้ฟัง แต่ถ้าหงุดหงิดขึ้นมา ก็บ่นและด่าให้รกหัวใจได้ไม่มีหยุดหย่อน
จนจิมมี่อายุเข้ายี่สิบ จิมมี่ไม่ได้เรียนต่อ เพราะรู้ว่าท่านย่าไม่มีเงินพอจะให้ส่งเสีย หรือถ้ามีเงินมากพอ จิมมี่ก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะมีปัญญาเรียนจนจบหรือไม่เพราะจิมมี่ไม่ใช่คนหัวดีอะไรเลย
เมื่ออยู่บ้านเฉย ๆ จิมมี่ก็ไม่ได้มีความสุข ข้ออ้างที่ดีก็คือการออกไปหางานทำ ซึ่งท่านย่าก็ดูจะเป็นเดือดเป็นร้อนกับการทำงานของจิมมี่ ด้วยว่างานอะไรก็ดูจะไม่สมศักดิ์ศรีกับนามสกุลของท่านย่าเลย
แต่บ้านของเราไม่มีเงินแล้วจริง ๆ จิมมี่ได้งานที่ร้านสะดวกซื้อใกล้บ้าน ไม่ใช่งานมีเกียรติ มีศักดิ์ศรีอะไรมากนัก แต่จิมมี่ก็พอใจ และคิดว่าดีกว่าอยู่บ้านกองขยะ
เพื่อนร่วมงานของจิมมี่ก็มีดีบ้างไม่ดีบ้าง แต่ถ้าลองได้ทนอยู่กับท่านย่ามายี่สิบปี ก็คงไม่มีใครพูดจาหรือทำกิริยาอะไรให้จิมมี่ทุกข์ใจได้แล้ว
แต่ความสุขอยู่กับจิมมี่ได้เพียงสองปี ท่านย่าเริ่มป่วย และจิมมี่ก็ต้องเสียเวลาระหว่างที่ทำงานกับที่บ้าน เพราะต้องไปจัดการท่านย่าซึ่งเรียกได้ว่า นอนในกองขี้กองเยี่ยว
แต่จิมมี่ก็พยายามจะทำให้ดีที่สุด ดีเท่าที่เวลาจะจัดสรรได้ และคืนวันแห่งการหมดเวรหมดกรรมมก็มาถึงจิมมี่ก็ไม่รู้ว่าตนเองควรจะดีใจหรือเสียใจดีที่ท่านย่าหมดลมหายใจ หมดกรรมสักทีของหม่อมหลวงผู้นี้ รวมถึงจิมมี่ก็หมดกรรมที่ต้องใช้ให้กับท่านย่าด้วย
จิมมี่นอนคิดอะไรเพลิน ๆ และในความมืดตรงปลายเท้า จิมมี่ก็เห็นเงาตะคุ่ม ๆ แต่เมื่อพระอาทิตย์เริ่มส่องแสงสว่างมีส้มจนผืนฟ้าสีครามซึ่งถูกระบายด้วยเมฆน้อยใหญ่จนฟ้ากลายเป็นสีหม่น ภาพลวงตาที่จิมมี่เห็นก็หายไปเพราะจิมมี่เลื่อนมือไปขยับผ้าม่านตรงหัวนอน
"เห้อ" จิมมี่ถอนหายใจออกมายาว ๆ อย่างโล่งใจ