ก็เพราะชีวิตประจำวันมันน่าเบื่อ ก็เลยอยากเป็นอินฟลูกับเขาสักคน
ชาย-ชาย,ตลก,ไทย,เล่าประสบการณ์,ยุคปัจจุบัน,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
แปะจะเป็นอินฟลูฯก็เพราะชีวิตประจำวันมันน่าเบื่อ ก็เลยอยากเป็นอินฟลูกับเขาสักคน
โลกยุคนี้ มันเป็นยุคของ อินฟลูเอ็นเซอร์ นั่นก็คือบุคคลที่มีผู้ติดตามบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย
อินฟลูเอ็นเซอร์ จะมีผู้ติดตามมากมายซึ่งส่วนใหญ่มักจะมีส่วนร่วมในเนื้อหาที่พวกเขาพูดเป็นประจำ อินฟลูฯ มีมากมายหลายหมวด ไม่ว่าจะเป็นหมวดการท่องเที่ยว สายทำอาหาร สายวิชาการ สายบันเทิง สายสุขภาพ
แต่ผมจะเป็นอินฟลูฯ สายไหนกันดีนะในเมื่อตัวผมเองก็ไม่เก่งอะไรสักอย่าง....เห้อ
โดย Chavaroj
"อีธรรมลงรีบมากินข้าวมา" ผมตะโกนเรียกน้องชาย เพราะโดยปกติ มันจะตื่นตั้งแต่เช้ามืดเพื่อไปออกกำลังกาย แต่ช่วงเดือนสองเดือนนี้มันแปลกไป
จากที่เป็นคนเงียบ ๆ ก็เงียบหนักกว่าเก่า และที่ผิดจากหน้ามือเป็นหลังมือก็คือ มันไม่คลั่งการออกกำลังกายอีกแล้วแถม ไอ้โรคติดโทรศัพท์มือถือของมันก็หายไปด้วย ขนาดม๊าโทรศัพท์ไปหามัน มันยังไม่ค่อยจะรับเลย
"ธงถามน้องซิว่ามันเป็นอะไร?" ป๊ากระซิบกระซาบกับผม
"ม๊าว่าอาการอีอย่างนี้มันคล้าย ๆ กับอาการของคนอกหักนา" ม๊าพูดเสริม และเมื่อเห็นปลายตีนของไอ้ธรรมมันก้าวลงมาจากบันได เราสามคนก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
"น้องธรรม อยากกินขนมอะไรไหมลูก ม๊านึกอยากทำอะไรอร่อย ๆ แต่นึกไม่ออก" ม๊าพูดเอาใจลูกชายสุดที่รักเต็มที่ แต่รอยยิ้มแห้ง ๆ ของอีธรรมคือคำตอบ มันยิ้มแห้งส่ายหน้าด๊อกแด๊ก และกินข้าวแค่นิด ๆ หน่อย มันก็ออกไปทำงาน
เห้อ/เห้อ/เห้อ เราสามคนพ่อแม่ลูก ถอนหายใจออกมาพร้อม ๆ กัน อีธรรมมันเป็นคนโลกส่วนตัวค่อนข้างสูง และได้ลองมันไม่อยากจะเล่าให้ฟัง เอาอะไรไปงัดปากมันก็ไม่พูด
"ธงว่ามันต้องมีเรื่องไม่ค่อยสบายใจแหละ แต่ธงว่าไว้ให้ไอ้ธารมันสืบดีกว่าม๊า นังนั่นมันปะเหลาะเก่ง" ผมเสนอ และเมื่อกินข้าวล้างจานชามเสร็จ ผมก็ไปซักผ้าต่อ ส่วนป๊ากับม๊าก็ต่างคนต่างไปทำงาน
กลุ้มกับชีวิตของชาวบ้านแล้ว ผมก็กลับมาโฟกัสกับเรื่องของตัวเองบ้าง จะว่าไปชีวิตในช่วงนี้ของผมก็จัดว่าดี ไม่เครียด สนุกเกือบทุกวันกับการทำงาน เพราะฝีมือของผมค่อนข้างจะเข้าที่ เรียกว่าได้มาตรฐานฝีมือช่างผมชายของร้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
งานแบบนี้จะว่าสบายก็สบาย จะว่าน่าเบื่อก็แอบมีบ้างนิดหน่อย อย่างตอนนี้นี่ไง ถ้าเป็นเมื่อก่อนรึ ผมต้องรีบแหกตาแต่เช้า เพื่อจะได้รีบไปทำงานงานให้ไวที่สุด เพราะต้องมีตอกบัตร ขืนตอกบัตรสาย โดนนายแม่กินหัว
แต่ดูตอนนี้สิ เก้าโมงตรงแล้วผมยังวุ่นวายอยู่กับการตากผ้าอยู่เลย พูดถึงเสื้อผ้า จากเสื้อผ้าแฟชั่นจัด ๆ เพราะผมก็ถือว่าทำงานในบริษัทที่เกี่ยวกับความสวยความงาม และแฟชั่น ยิ่งต้องพบเจอกับลูกค้าหลากหลายการแต่งตัวของผมก็ต้องทำให้ดูดี เพราะถือว่าเป็นหน้าเป็นตา
มาตอนนี้น่ะเรอะ ผมสวมแค่เสื้อยืดสีพื้น ๆ กับกางเกงอะไรก็ได้ จะเป็นกางเกงยีนก็มักจะใส่เป็นพื้น แต่ส่วนใหญ่ผมก็ใส่กางเกงสแลกนั่นแหละ มันเบาขาดี เนื่องจากผมต้องสวมเสื้อคล้าย ๆ เสื้อกาวด์สีขาวทับอีกที เพื่อป้องกันบรรดาเส้นผมของลูกค้ามาเปรอะเปื้อนเสื้อผ้า
ที่สำคัญคือต้องสวมแมสด้วย ใครจะไปรู้ว่าไอ้ละอองจากการตัดผมด้วยปัตตาเลี่ยน เราสามารถสูดหายใจมันเข้าไปอยู่ในปอดได้
"มีอยู่ทีนึงลุงก็ไม่ค่อยสบาย มีน้ำมูกแล้วก็มีเสมหะ แล้วพอขากเสมหะออกมา ก็ว่าเอ๊ะมีอะไรหว่าสีดำ ๆ มันตำคอจัง พอเอาอะไรเขี่ย ๆ ดู ที่ไหนได้ ละอองจากเศษผมเต็มไปหมดเลย" ลุงเจ้าของร้านเล่าให้ฟังเหมือนเล่านิทาน นึกภาพแล้วก็น่าสยองไม่ใช่เล่น
บรรดาช่างตัดผมในร้านก็เลยถือกฎต้องสวมแมสเวลาทำงานด้วย ใครไม่สวมก็ไม่ได้บังคับหรอกนะ แต่เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม
ราว ๆ สิบโมงผมถึงขี่มอเตอร์ไซค์คู่ใจเพื่อออกไปทำงาน ใช้เวลาโอ้เอ้จนสิบโมงครึ่งจึงถึงที่ทำงานของผม มีลูกค้าเป็นคุณลุงตัดผมอยู่คนเดียว ผมยกมือไหว้เจ้าของร้าน ทักทายพี่ ๆ น้อง ๆ ช่างผมคนอื่น แล้วก็เลือกจะไปนั่งจุ้มปุ๊กที่หลังเก้าอี้ตัดผมตัวประจำซึ่งอยู่เกือบในสุด
ผมชอบที่ตรงนี้เพราะแอร์มันตกลงมาโดนพอดี คนเราพอยืนนาน ๆ มันเมื่อย แต่พอได้ลมเย็น ๆ มันค่อยชื่นใจหน่อย พอเข้าสิบเอ็ดโมงลูกค้าก็ทยอยกันเข้ามาในร้าน ลูกค้าคนแรกของผมเป็นลูกค้าประจำที่ค่อนข้างจะเป็นวัยรุ่นสักหน่อย ตัดผมกันมาหลายทีจนเรียกว่ารู้อกรู้ใจ เขาว่าชอบตัดผมกับผมเพราะได้ทรงที่ค่อนข้างทันสมัย ก็แหมคนอื่น ๆ ตัดแบบผู้ช๊าย ผู้ชาย ผมว่ามันเติมลูกเล่นนิด ๆ หน่อยได้นะ
ตัดผมเสร็จ ผมก็หยิบกระจกพับขนาดเท่ากระดาษ A4 สองด้าน เพื่อส่องให้เขาดูผมทางด้านหลังว่าพออกพอใจหรือยัง ตบแต่งอีกนิดหน่อยก็เป็นอันว่าถูกใจทั้งช่างและลูกค้า ทำงานมั่งพักมั่ง เพราะไม่มีอะไรต้องรีบ ราว ๆ ทุ่มกว่า ๆ ผมก็กลับบ้าน อาบน้ำนอนให้สบายใจ เท่านี้เวลาหนึ่งวันก็ผ่านไปอย่างสงบ
นี่คือชีวิตประจำวันที่ผ่านมาของผม แต่ความท้าทายก็ย่างก้าวเข้ามาในชีวิต ในวันหนึ่งที่พี่วิ หรือที่พวกผมแอบเรียกแกว่า "เจ๊วิเวียน" ซึ่งเป็นลูกของลุงเจ้าของร้านมาเยี่ยมพ่อกับแม่ของแกที่นี่ ซึ่งส่วนใหญ่จะมาทุกวันพุธ เนื่องจากเป็นธรรมเนียมของช่างผมว่าจะหยุดกันวันนั้น
แต่มันก็ไม่เสมอไปหรอก ใครใคร่หยุดก็หยุด แต่ลุงแกจะเปิดร้านซะอย่างใครจะทำไม เพราะถึงเปิดร้านแกก็ไม่ค่อยจะได้ทำงานเท่าไรนักหรอก แกอ้างว่าแกแก่แล้ว มองไม่ค่อยจะชัด แต่ถึงอย่างนั้นลูกค้าเก่าแก่ก็ยังใช้บริการลุงเสมอ ๆ เพราะเชื่อมือกัน
เอ๊านอกเรื่องไปไกล พี่วินั้นสมกับเป็นลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น คือเป็นช่างทำผมเหมือนกัน แต่ที่สำคัญ แกเปิดร้านซาลอนใหญ่โต แล้วก็มีแต่ลูกค้ากระเป๋าหนัก ๆ เสียด้วย
แกมาเยี่ยมพ่อแม่ทีไร แกก็ชอบมาจีบผมเป็นประจำ อ่ะ...ไม่ใช่ไม่ใช่จีบแบบนั้นสิ แกจีบผมไปเป็นช่างที่ร้านของแกน่ะ ไม่ใช่จีบผมไปเป็นแฟน เพราะเจ๊วิเวียนแกมีผัวแล้ว แถมเป็นซูการ์แด๊ดดี้ซะด้วย หลงเมียเป็นที่สุด ชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้ เห็นว่าแกกว่ากันเป็นรอบ แต่ก็ยังดูดีอันนี้อยู่ที่บุญวาสนา ว่ากันไม่ได้
"ธงวันเสาร์วันอาทิตย์ก็ได้ ไปช่วยงานพี่ที่ร้านหน่อยสิ ลูกค้าผู้ชายชอบพาแฟนมาทำผม จะได้ตัดผมด้วยเสียเลย พี่อยากได้ช่างบาร์เบอร์ฝีมือเนี๊ยบ ๆ แบบธงน่ะไม่ต้องมาทุกวันก็ได้ เดี๋ยวพ่อด่าพี่พอดี" พี่วิวางยาหอมผมเสียแล้ว ผมก็แบ่งรับแบ่งสู้จนในที่สุด ผมก็ลองไปทำงานที่ร้านของแกเพราะเกรงใจ
ก็เจ๊วิเล่นล็อบบี้ให้พ่อกับแม่ของแกมาเกลี้ยกล่อมผมด้วย จะขัดจะขืนก็เห็นว่าไม่งาม เดี๋ยวจะหาว่าเล่นตัว งานนี้จริง ๆ จะว่าไปก็มีแต่ได้ไม่มีเสีย เพราะค่าตัดต่อหัวของร้านลุงกับร้านเจ๊วิ เรียกว่าได้เยอะกว่ากันหลายเท่าตัว
ครั้งแรกที่ไปร้านเจ๊วิ ผมก็ตื่น ๆ หน่อยเพราะเป็นคนใหม่ ส่วนใหญ่ช่างในร้านก็มีแต่ผู้หญิงทั้งนั้น ร้านของเจ๊วินั้นตกแต่งอย่างหรู คนละแบบกับร้านพ่อของแกเลย แถมกลิ่นในร้านก็หอมเสียด้วย หอมแบบที่เรียกว่า ไฮโซ ร้านลุงก็ไม่ใช่เหม็นนะ แต่มันก็มีกลิ่นเฉพาะตัวของร้านบาร์เบอร์ ใครเคยเข้าคงจะนึกออก
ความเป็นคนช่างเจรจา ไม่อย่างนั้นผมจะเป็นสุดยอดพนักงานขายที่บริษัทเก่าได้ยังไง แถมพวกผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ผมก็รู้จักเกือบหมด จริง ๆ ไอ้พวกการทำสารเคมีต่าง ๆ ผมก็พอจะทำได้แต่ไม่ชอบ ยายืดผมสำหรับผม ผมว่ามันเหม็นชะมัด ยิ่งถ้ามือไม่เที่ยงทาเยอะไป โคนผมลูกค้าขาด ช่างก็ซวยเท่านั้น
ยาย้อมผมนั้นไม่เท่าไร เพราะที่ร้านบาร์เบอร์นั้นก็มีบริการย้อมผมให้ลูกค้าเหมือนกัน แต่มักจะเป็นการย้อมผมเพื่อปิดผมขาว ลูกค้าที่มาก็หัวหงอกกระหม่อมบางกันทั้งนั้น แต่ก่อนย้อมผมที หนังหัวดำปี๋เป็นลูกโบว์ลิ่ง
จนผมเข้าไปทำงานที่ร้านของลุง เลยแนะนำให้ลุงใช้ยาย้อมผมจากบริษัทเก่าของผมนั่นแหละ ค่อยดีขึ้นมาหน่อย เพิ่มค่าโสหุ้ยเล็กน้อย แต่ลูกค้าชอบอกชอบใจเพราะไม่เหม็น ไม่ติดหนังหัวอีกด้วย ผมก็รู้สึกเหมือนได้ทดแทนบุญคุณบริษัทเก่าด้วย เพราะได้เพิ่มยอดขาย แต่ว่าก็ว่าของเขาก็ดีจริง แต่ยี่ห้ออะไรก็ต้องถามหลังไมค์ อันนี้ถือเป็นความลับบริษัทจ้า
ส่วนเรื่องดัดผมนั้นผมถึงกับศาลา ไอ้ที่เรียนมาก็ไม่ถนัดแถมใจไม่รักเสียอีก ถ้ามีดัดผมอีธงก็ขอเซย์กู๊ดบายเพราะช่วยไม่ได้จริง ๆ ฝีมือผมไม่ถึงและผมไม่ใจเย็นพอที่จะม้วนแกนเล็ก ๆ พวกนั้น
แต่ไอ้ที่ช่วยได้และช่วยบ่อย ๆ ก็คือช่วยสระผม คิดแล้วก็คิดถึงความหลัง เพราะเป็นมือสระผมตอนไปออกบู๊ทแนะนำผลิตภัณฑ์ ช่างในร้านของเจ๊วิก็เลยค่อนข้างจะชอบใจผมเพราะต่างก็เห็นว่าผมมีน้ำใจ เวลาว่างก็ไม่ดูดาย ช่วยสระผมลูกค้าได้ด้วย
แต่ที่ดีที่สุดก็คือ ไม่ไกลจากร้านเจ๊วิ มีร้านเบเกอรี่อร่อยที่สุดในโลก และเจ้าของร้านก็สนิทกับเจ๊วิ เห็นว่าเป็นลูกค้ากันมาตั้งแต่เจ๊วิยังเรียนทำผมที่สารพัดช่างเลยทีเดียว
ผมมักจะซื้อขนมไปฝากป๊ากับม๊า แล้วก็ยายหนูดีหลานรัก พอเจ้าของร้านเห็นว่าผมเป็นช่างจากร้านของเจ๊วิ เพราะเคยมาตัดผมแล้วก็ได้ผมนี่ล่ะเป็นช่างตัดให้ คราวนี้แกก็ใจดี ทั้งลดทั้งแถม คนที่ดีใจที่สุดคือยาหนูดีเพราะจะได้กินเบเกอรี่อร่อย ๆ แปลก ๆ
ที่สำคัญ ขนมพวกนี้เอาไปถ่ายทำคอนเท้นต์ได้เลยเพราะทั้งสวยทั้งอร่อยที่สำคัญแพงฉิบหาย นี่ถ้าผมไม่มีเน้นสายก็คงไม่ได้ราคาพิเศษแบบนี้
แต่ที่ผมโปรดที่สุดก็เห็นจะเป็น ขนมโมจิไส้ช็อกโกแลต ผมชอบที่เปลือกของมันหนุบหนับสู้เหงือกสู้ฟันดีชะมัด แต่ที่กินแล้วเหมือนขึ้นสวรรค์ก็คือไส้ของมันที่ฉ่ำเยิ้มเป็นลาวา เวลากัดแล้วได้สัมผัสหนึบ ๆ แล้วก็รสหวานนุ่มชื่น ของช็อกโกแลต วิญญาณผมแทบหลุดจากร่างเพื่อจะบินขึ้นสู่สวรรค์ก็ไม่ปาน
ถ้าไม่ใช่ว่าเวลามาช่วยงานร้านเจ๊วิเวียนแล้วผมจะได้มาซื้อขนมล่ะก็ ผมก็ไม่ค่อยอยากจะมาช่วยงานร้านเจ๊วิสักเท่าไรหรอก
ถึงจะได้เงินเยอะกว่าเป็นสองสามเท่าตัวก็เถอะ แต่สิ่งที่ผมเบื่อที่สุดก็คือ ก๊วนช่างผมในร้านนี่ล่ะ
ผมไม่ได้คิดไปเองนะ แต่สังเกตดูเวลาผู้หญิงอยู่รวมตัวกันเยอะ ๆ ปัญหามันมากกว่าผู้ชายแฮะ อิจฉาริษยาเอย นินทากาเลเอย ขี้โกงกันเอย สารพัดสารเพ ไม่รู้เจ๊วิเขาทนได้ยังไง ผมก็พยายามจะสวมวิญญาณของไอ้ธรรม ไม่ยุ่งกับใครมากเกินไป เรียกว่าคุยได้ แต่อย่ามาล้ำเส้นกันก็พอ
มันก็เลยทำให้ผมค่อนข้างเห็นอะไรชัดขึ้นในหลาย ๆ อย่าง ร้านบาเบอร์นั้นถ้าพูดกันตรง ๆ มันค่อนข้างน่าเบื่อทำงานเยอะได้เงินน้อย ถ้าเทียบกับร้านซาลอน
แต่ร้านซาลอนนั้น ได้เงินเยอะก็จริงแต่จุกจิกจู้จี้ และมีต้องเอาอกเอาใจบำเรอลูกค้าจนผมนึกเทียบว่ามันเรื่องมากกว่าร้านบาร์เบอร์เยอะ
อิสระของช่างผมกึ่งฟรีแลนซ์ก็คือถ้าจะเลิกงานตอนไหน ก็ทำได้ แต่ก็ต้องดูสถานการณ์นะ ไม่ใช่ลูกค้าเต็มร้านแล้วเสือกติสแตกอยากจะกลับบ้านนอน แต่วันนี้ผมกลับค่อนข้างดึกล่ะ เพราะลูกค้าร้านเจ๊วิ ไม่รู้เป็นยังไง ชอบแห่กันมาตอนเย็น ๆ ทำให้ต้องเลิกงานกันค่อนข้างค่ำสักหน่อย
กล่าวคือ ถ้ามีงานเราก็ช่วยเขาไป แต่ถ้ามีธุระหรือขี้เกียจแล้วจริง ๆ จะกลับก็ไม่มีใครว่า เดินไปบอกลุงหรือบอกเจ๊วิว่าจะกลับบ้านแล้ว แกก็จะคำนวณว่าวันนี้ได้เงินเท่าไร จ่ายกันตรงนั้นไม่เสียภาษีหัก ณ ที่จ่าย
แต่ที่เสียคือภาษีสังคม โดยเฉพาะภาษีขนมเพราะต้องซื้อขนมไปฝากนังตัวดีย์
"แปะขาอย่าลืมซื้อเอแคร์มาฝากหนูดีนะคะ" นังตัวแสบมันอ้อนตั้งแต่เมื่อวาน ผมก็ต้องตามใจยอดดวงใจของผมสักหน่อย
"เอาโมจิไปอีกสองลูกไป จะได้ให้มันหมด ๆ พี่แถมให้" เจ้าของร้านพูดอย่างใจดี และผมก็ยิ้มแก้มแตก ยกมือไหว้แกปลก ๆ ของอย่างนี้ถึงอ้วนก็ยอม ลาภปากอีธงแท้ ๆ
พอขับรถกลับถึงบ้าน ผมก็รีบเอาขนมไปเข้าตู้เย็น ดึกดื่นอย่างนี้ ไม่มีใครกินขนมกันเพราะกินแล้วเดี๋ยวก็นอน ป๊ากับม๊านั้นห้ามเด็ด ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวภาวะเบาหวานจะกำเริบ
บ้านเรามีหลักอยู่ว่า ถ้าจะกินขนมก็ต้องกินเป็นลำดับคือกินหลังมื้ออาหาร เริ่มด้วยผัก โปรตีน ไขมัน แป้ง แล้วจบด้วยของหวาน
ทั้งนี้ก็เพราะดูยูทูปเรื่องน้ำตาลและอันตรายของน้ำตาล ผมน่ะมันเป็นทาสโดปามีน ซึ่งได้จากการกินน้ำตาลเสียแล้ว ก็เลยต้องหาเหตุให้กินได้โดยไม่รู้สึกผิด
พอจะขึ้นไปอาบน้ำก็เจอไอ้ธรรมซึ่งเดินสวนกันที่หน้าห้องน้ำพอดี
"กลับมาแล้วเหรอ?" ไอ้ธรรมถามและยิ้มแห้ง ๆ มาให้
"เออ เพิ่งถึงบ้าน มีขนมด้วยนะ" ผมชวนมันคุย ถึงจะรู้ว่ามันไม่แดกขนมหวานก็เถอะ
คุยกันเท่านี้ผมก็อาบน้ำอาบท่า พอจะเข้านอน ก็เปิดแอร์เย็น ๆ นอนกระดิกตีนไถมือถือไปตามเรื่อง ผมมีโทรศัพท์สองเครื่อง เครื่องเก่านั้นใช้เปิดฟังยูทูป ต้องใช้คำว่าเปิดฟังเพราะ เลือกจะฟังเรื่องจากช่องประจำ ซึ่งส่วนใหญ่เป็น พอดแคสต์
ช่องผมที่ผมฟังนั้นค่อนข้างหลากหลาย เริ่มตั้งแต่ช่องของคุณหมอ เพื่อจะได้รู้เรื่องสุขภาพ ช่องผี เพื่อฟังเรื่องลี้ลับ ซึ่งส่วนใหญ่ก็รู้แหละว่ามันเรื่องนิยาย แต่ก็สนุกดี
ไล่ไปจนถึงช่องที่เอานิยายโบราณ ๆ สมัยสมบัติเมธะนีเป็นพระเอกล่ะมั้ง เพราะสำนวนและเนื้อเรื่องมันโบราณเกิ๊น ไปจนถึงเรื่องปกิณกะ อย่างเรื่องวิจารณ์หนัง หรือเรื่องสนุก ๆ อย่างเรื่องชีววิทยา อย่างพวกปลาทะเลหรือต้นไม้แปลก ๆ ซึ่งฟังแล้วก็สนุกดี เจ้าของพอทแคสเป็นนักวิทยาศาสตร์ แต่เวลาเล่าเรื่องขำเหมือนเล่นตลก ฟังแล้วไม่เครียด แต่ก็แอบคิดถึง ด๊อกเตอร์เซมเบ้ ในเรื่องหนูน้อยอาราเร่ ยังไงก็อย่างนั้นเลยล่ะ เพราะแกทะลึ่ง ๆ หน่อย
เมื่อหูฟัง แต่ตาและมือของผมก็สนใจอยู่ที่โทรศัพท์อีกเครื่อง แน่นอนว่าไล่ตั้งแต่ดูเฟสบุค แล้วไปต่อที่เอ็กซ์ ดูรูปสวย ๆ จากไอจี แวะเช้าดูแอพช็อปปิ้งนิดหน่อย และที่เสียเวลาค่อนข้างเยอะ ก็คือช่องติ๊กต๊อกเพื่อดูคลิปสั้น ๆ อันหลากหลาย
"มึง" เสียงไอ้ธรรมดัง พร้อมกับประตูห้องนอนของผมที่ถูกเปิดแง้มเข้ามา
"อือ" ผมรับคำ หันไปมองมัน
"เข้าไปได้ป่ะ?" ไอ้ธรรมถามและผมก็วางโทรศัพท์มือถือ ขยับตัวไปนอนที่ริมเตียงติดกำแพง
"มาดิ"
"มึง"
"อาราย" ผมถามและมองไอ้ธรรมซึ่งไม่ใส่เสื้อใส่แต่กางเกงบอลเหี่ยว ๆ ของมันตัวเดียว มันทิ้งตัวนั่งที่พื้นข้างเตียง ในมือถือ โมจิช็อกโกแล็ต ของโปรดของผม
"ขอกินอันนึงนะ อยากกินของหวาน ๆ ว่ะ" ไอ้ธรรมมันพูด ซึ่ง ช้าไปหน่อยมั้งไอ้เวร มึงขอตอนแดกไปแล้วครึ่งอัน
"อือแดกไปเหอะอร่อยเนอะ ว่าแต่แดกตอนดึก ๆ ไม่กลัวอ้วนรึไง?" ผมถามพร้อมกับยกมือขึ้นเท้าคาง มองหน้าของมันที่กินของแสนอร่อยด้วยใบหน้าหงอยเหมือนหมาป่วย
เราสองคนคุยกันเรื่องอะไรเรื่อยเปื่อย ผมก็อดจะนินทาช่างที่ร้านของเจ๊วิไม่ได้ ผู้หญิงอยู่ด้วยกัน ไอ้ประเภทใครไปมีกิ๊กกับใคร ใครแอบได้เสียกับใคร แหมมันคือของหวานชัด ๆ ถ้าจะให้เห็นภาพก็นึกถึงรายการโหนกระแสเลยเชียวล่ะ
ส่วนไอ้ธรรมมันก็นั่งฟังเงียบ ๆ ซักถามบ้างนิด ๆ หน่อย ผมรู้สึกแปลก ๆ เพราะน้องชายของผมมันไม่ค่อยลงมายุ่งที่ห้องนอนของผมหรอก มีแต่ผมนี่ล่ะไปยุ่งที่ห้องนอนของมัน
เงียบกันไปทั้งคู่ ผมรู้สึกได้ว่าไอ้เวรตรงหน้าที่แดกขนมจนหมดมันคงมีเรื่องอยากเล่าอยากระบาย เรื่องไอ้ธรรมหงอย คราวนี้แปลก แม้แต่นังธารก็ง้างปากมันออกไม่ได้ ท่าทางคืนนี้แหละผมจะได้รู้ความจริงสักที
"มึง" ไอ้ธรรมพูด แต่ตาของมันไพล่ไปมองที่หน้าต่าง มันขยับตัวขึ้นมานอนที่เตียงของผม แต่เอาหัวของมันเหน็บไปที่ปลายเตียง เอาตีนวางไปตรงหัวเตียง ขยับหมอนมาหนุนให้สูงจนเกือบเป็นกึ่งนั่งกึ่งนอน ส่วนผมก็ทำเป็นไม่ใส่ใจมัน
"มีอะไรก็ว่ามา" ผมถามแต่ตายังคงโฟกัสกับหน้าจอโทรศัพท์มือถือ
"อีธงมึงว่า คนเรา มันจะหายตัวไป ติดต่อไม่ได้ ไปหาก็ไม่เจอ มันเป็นเพราะอะไรวะ?"
"เขาไม่อยากเจอมึงมั้ง ทะเลาะอะไรกันหรือเปล่าล่ะ?" ผมถามมัน ชำเลืองดูมันนิดหน่อย หน้าของไอ้ธรรมขรึม ๆ เหมือนกำลังนึกถึงเหตุผล
"ไม่มีนา ก็เพื่อนกูคนนึง ก่อนหน้านั้นกูยังไปหาเขาอยู่เลยคนที่กูไปหาบ่อย ๆ น่ะ ก็ยังคุยกันดี พออีกวันกูก็ติดต่อเขาไม่ได้ แต่ทีแรกกูก็ไม่คิดอะไรนะ เพราะคิดว่าเขาคงยุ่ง ๆ จนอาทิตย์นึงผ่านมา กูก็นึกเอะใจว่าเขาเป็นอะไรหรือเปล่าเพราะอยู่บ้านคนเดียว พอไปที่บ้านเขา ก็ปรากฏว่าที่บ้านเขาไม่มีใครอยู่แถมบ้านก็ล็อกไว้อีกต่างหาก" ไอ้ธรรมเล่า เสียงของมันดูร้อนรนขึ้นมานิด ๆ
"เออ ก็แปลกเนอะ" ผมอดจะสงสัยแทนมันขึ้นมาไม่ได้เหมือนกัน คนเราจะดีจะร้ายจะหายกันไปอย่างนี้มันก็น่าแปลกใจอยู่นะ
เพราะอย่างนั้นหรือเปล่า เพราะอย่างนี้หรือเปล่า สารพัดที่ผมจะถามไป เพราะตั้งสมมุติฐานสารพัดขึ้นมาแต่ไอ้ธรรมก็ตอบว่าไม่ เกือบทั้งนั้น
"แล้วเอาอย่างนี้ ตกลงคนที่หายไปกับมึง เป็นอะไรกัน สำคัญกับมึงนักเหรอ?" ผมถามคำถามนี้ไป ไอ้ธรรมกลับเงียบกริบ ผมไม่เซ้าซี้ต่อ ไอ้ธรรมก็ไม่พูดไม่ถามอะไรอีกแล้ว เราสองคนพี่น้อง นอนกลับหัวกลับหางกัน แล้วต่างคนต่างก็เอาแต่สนใจโทรศัพท์มือถือ
"กูไปนอนละนะ" ไอ้ธรรมตอบเสียบเรียบ ๆ แล้วมันก็เดินกลับขึ้นห้องนอนของมันไป
แต่บังเอิญวันนี้ผมเหนื่อยกับการเสือกเรื่องของชาวบ้านมามากเกินไปแล้ว ผมก็เลยเหนื่อยเกินจะไปเสือกเรื่องของไอ้ธรรมอีก แต่เดี๋ยวพรุ่งนี้มะรืนนี้ก่อนเถอะ ผมค่อยรวบรวมเรื่องที่ไอ้ธรรมมันมาปรึกษาแล้วเอาไปคุยกับไอ้ธารอีกที ของอย่างนี้มันก็ต้องช่วยกันคิดสักหน่อย
"คนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตาย สามคนน่าจะบานปลาย"