ก็เพราะชีวิตประจำวันมันน่าเบื่อ ก็เลยอยากเป็นอินฟลูกับเขาสักคน
ชาย-ชาย,ตลก,ไทย,เล่าประสบการณ์,ยุคปัจจุบัน,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
แปะจะเป็นอินฟลูฯก็เพราะชีวิตประจำวันมันน่าเบื่อ ก็เลยอยากเป็นอินฟลูกับเขาสักคน
โลกยุคนี้ มันเป็นยุคของ อินฟลูเอ็นเซอร์ นั่นก็คือบุคคลที่มีผู้ติดตามบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย
อินฟลูเอ็นเซอร์ จะมีผู้ติดตามมากมายซึ่งส่วนใหญ่มักจะมีส่วนร่วมในเนื้อหาที่พวกเขาพูดเป็นประจำ อินฟลูฯ มีมากมายหลายหมวด ไม่ว่าจะเป็นหมวดการท่องเที่ยว สายทำอาหาร สายวิชาการ สายบันเทิง สายสุขภาพ
แต่ผมจะเป็นอินฟลูฯ สายไหนกันดีนะในเมื่อตัวผมเองก็ไม่เก่งอะไรสักอย่าง....เห้อ
โดย Chavaroj
เช้าวันรุ่งขึ้น ธรรมที่ปกติจะตื่นตั้งแต่เช้ามืด แต่เมื่อลงมาข้างล่างแล้วไม่เห็นใครก็นึกแปลกใจ จนป๊าตื่นลงมาดูแลแปลงผักจิ๋วของป๊านั่นล่ะ ธรรมก็เลยไปยืนดูเป็นกำลังใจให้ ไม่กล้าไปช่วยเพราะปลูกต้นไม้ไม่เป็น
ได้ยินเสียงเอะอะ จนมาถึงเสียงเปิดประตู เสียงม๊าหัวเราะลงลูกคอ เสียงอีธงที่คุยอย่างออกรส สลับกับเสียงไอ้จักจั่นนั่นที่ต่อล้อต่อเถียงกับอีธง สนิทราวกับรู้จักกันมาเป็นสิบ ๆ ปี
"ตื่นแล้วหรือลูก แหมไม่อยากจะเชื่อว่าจั่นน่ะรู้จักอะไรเยอะแยะเชียว" แม่เอ่ยปากชม เอาของทำกับข้าววางบนโต๊ะ
"ก็ของพื้น ๆ น่ะป้า" จั่นพูดห้วนแต่น้ำเสียงอ้อน เหมือนไอ้หมอนี่เคยชินกับการอยู่กับผู้ใหญ่มาตลอด
จะคุยอะไรกันต่อก็ไม่รู้ละ ธรรมกลับขึ้นไปอาบน้ำ พอลงมาก็ไล่ให้ไอ้จั่นไปอาบน้ำบ้าง แต่พอจักจั่นเดินลงมากลับสวมเสื้อผ้าของอีธงซะอย่างนั้นธรรมจำได้แต่ธรรมก็ไม่ได้ถามอะไร
ครั้นกินข้าวมื้อเช้าเสร็จ ธรรมก็พาไอ้จั่นไปบ้าน คุยกับอีธงเมื่อคืนเรื่องการจัดจัดการต่อน้ำต่อไฟว่าต้องทำอย่างไรบ้าง และวันนี้ธรรมก็ยุ่งไปทั้งวัน ก็หน่วยงานราชการน่ะ จะทำอะไรให้มันง่าย ๆ นี่มันช่างยากเย็น
และถึงจะทำเรื่องแล้ว เขาก็ไม่ได้จะดำเนินการให้ทันดีที่ไหนกัน ดังนั้นไอ้จั่นก็ต้องมานอนค้างที่บ้านของธรรมอีก เพียงแต่คืนนี้จั่นถูกอีธงลากไปนอนค้างด้วย สนิทกันจริงจริ๊ง สนิทกันไว สนิทกันมากกว่าธรรมที่เป็นน้องแท้ ๆ เสียอีก แล้วก็ตีสนิทกับม๊าช่วยทำกับข้าว แลมันทำครัวเก่งกว่าตอนอีธงช่วยม๊าอีก
ดึกคืนนั้นธรมได้ยินเสียงคุยดังแว่ว ๆ มาจากข้างล่าง ธรรมฟังแล้วก็อมยิ้ม ไอ้จั่นมันก็โม้ของมันไปเรื่อย บางทีก็หลุดภาษากะเหรี่ยง แล้วก็ต้องมาแปลกันให้วุ่นวาย ยิ่งยายหนูดีมานอนค้างด้วย ก็เลยเกิดรายการ "ภาษากะเหรี่ยงวันละคำ" แต่นี่คงจะหลายคำ และยายหนูดีคงถามคำแปลก ๆ หรือทะเล้น ๆ มันหลานใครกันหนอ
ธรรมนอนฟังเสียงแว่ว ๆ และไพล่ไปคิดถึงจิมมี่อีกแล้ว เพียงแต่นึกแล้วก็ใจหาย เรื่องราวบางส่วนธรรมพอจะปะติดปะต่อได้ แต่ในบางเรื่องธรรมก็ไม่อาจรู้ เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นกับจิมมี่เมื่อราว ๆ สามปีก่อน มันตายไปพร้อมกับจิมมี่เสียแล้ว
สามปีกว่า ๆ ก่อนหน้านี้ จิมมี่ที่เก็บเสื้อผ้าข้าวของ หลังจากที่รู้เรื่องราวของแม่ จิมมี่ก็ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวว่าจะพาแม่กลับมาอยู่ด้วย อยู่ด้วยกันสองคน แต่ที่พิเศษก็คือ จะมีสมาชิกเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคนคือน้องชายชื่อ "จักจั่น"
แม่เขียนมาเล่าให้ฟังว่า หลังจากแม่ถูกท่านย่าไล่ออกจากบ้านมา แม่ก็ซมซานกลับไปอยู่บ้านที่แม่ฮ่องสอน แม่พาน้องติดท้องไปด้วย ก็เพราะสาเหตุนี้นี่เองที่ทำให้แม่ต้องจากกับจิมมี่
ท่านย่าเข้าใจว่าหลังจากที่พ่อตาย แม่คงแอบไปมีชู้ ผัวตายแล้วเมียจะตั้งท้องนั้น จะเป็นไปได้อย่างไร
"คนบ้า" จิมมี่ด่าอย่างที่ตนเองคิดว่าหยาบคายที่สุด คนเรามันท้องกันในวันสองวันเสียเมื่อไร คนนะไม่ใช่ปลากัด แม่มีอาการแพ้ท้องหลังจากที่พ่อตายได้ประมาณสามเดือน จิมมี่ไม่รู้เรื่องหรอกเพราะตอนนั้นยังเด็กนัก ราว ๆ ห้าขวบเพิ่งจะเข้าเรียนโรงเรียนอนุบาล
แต่จิมมี่เมื่อกลับมาแล้วไม่พบแม่ ใจของจิมมี่ก็แตกสลาย ไม่มีคำอธิบาย แม้แต่ยายแย้มก็ไม่ยอมเล่าว่าเกิดอะไรขึ้น คงจะโดนท่านย่าห้ามไว้เด็ดขาด
จะมีหลุดออกจากปากท่านย่าในยามท่าน "ขึ้น" และท่านย่าก็ด่าว่าแม่ว่าเป็นผู้หญิงสำส่อน ไร้เกียรติ คบชู้สู่ชายราวกับเป็นผู้หญิงแพศยา ท่านย่าพยายามสอนให้จิมมี่เกลียดแม่ แต่จิมมี่ไม่สามารถทำอย่างนั้นได้หรอกเพราะแม่เป็นเพียงรักเดียวของจิมมี่เท่านั้น
กับท่านย่า จิมมี่ก็ไม่ได้สัมผัสถึงความรัก ถ้าจะรักก็เหมือนท่านย่ารักหมารักแมว แต่ไม่ใช่อีกนั่นแหละ กับหมากับแม่ท่านย่าก็เกลียด ถ้าเจอเป็นต้องไล่ ถ้าใกล้หน่อยก็เอาอะไรใกล้มือขว้าง ถ้าไกลหน่อยก็ตะโกนไล่เลยทีเดียว ท่านย่าไม่รักใคร ไม่รักอะไรทั้งนั้น นอกจากต้นไม้ดอกไม้
จิมมี่ซึ่งโตมาด้วยการขาดรัก จึงรักไม่เป็น และกลัวความรักอีกด้วย แต่ที่น่ากลัวที่สุดคือ จิมมี่กลัวการทรยศหักหลัง แต่มันแฝงอยู่ลึก ๆ ในจิตใต้สำนึกจนจิมมี่ไม่รู้ตัว
จิมมี่ชอบเฮียธรรมมาก มากเสียจนไม่รู้จะบรรยายเป็นคำพูดออกมาอย่างไร แต่จิมมี่ก็จะพยายามสร้างกำแพงความสัมพันธ์ไว้เพียงเท่านั้น จิมมี่คิดว่าตัวเขาเองไม่มีรักให้ใครอีกแล้ว และที่สำคัญจิมมี่ต้อยต่ำเกินกว่าความรักของใครได้ จิมมี่สกปรก และแปดเปื้อน ไม่มีค่าสำหรับความรักดี ๆ คนดี ๆ
ครั้งแรกที่จิมมี่พบเฮียธรรม ก็คือตอนไปโรงพยาบาล จิมมี่มีอาการภาพหลอน เมื่อเจอเฮียธรรม จิมมี่เห็นเทวดาตัวน้อย ๆ เหมือนคิวปิด บินรอบ ๆ หัวเฮียธรรม ปกติจิมมี่จะเห็นแต่อะไรแปลก ๆ และค่อนข้างน่ากลัว แต่เทวดาตัวจิ๋ว ๆ ที่หัวเฮียธรรมน่ารัก แถมยังยิ้มและโบกมือโบกไม้ให้จิมมี่อย่างใจดีอีกด้วยจิมมี่จึงเผลอมองจนลืมตัว
นั่นทำให้เกิดการพูดคุยและรู้จักกัน เฮียธรรมเข้าใจว่าจิมมี่มาพบหมอเพราะอาการนี้แต่จริง ๆ มันมีเบื้องหลังมากไปกว่านั้นอีก จิมมี่มารับยาด้วย เป็นยาร้านไวรัส HIV ซึ่งเป็นยาที่หมอกำชับให้จิมมี่ต้องกินทุก ๆ วันและกินให้ตรงเวลาด้วย
"จริง ๆ ผลเลือดของคนไข้ ค่าVL ก็ต่ำจนไม่สามารถแพร่เชื้อได้แล้วแต่ถึงอย่างนั้น ถ้าจะมีเพศสัมพันธ์กับใครจะให้ปลอดภัยก็ต้องป้องกันอยู่ดีนะ" คุณหมออบรม และจิมมี่มารับยาทีไร เจอหมอไม่ค่อยซ้ำหน้าคุณหมอก็กำชับอย่างนี้ทุกที
สาเหตุที่จิมมี่ต้องติดเชื้อร้าย นั่นก็เป็นเพราะความโชคร้ายที่ดูเหมือนจะเป็นมิตรของจิมมี่เสียจริง ๆ เพราะมาบ่อยกว่าที่คาดคิด
เมื่อจิมมี่เรียนจบและเริ่มทำงาน ท่านย่าเริ่มล้มป่วยและบ้านของจิมมี่ก็ไม่มีรายได้ การทำงานเป็นพนักงานร้านสะดวกซื้อจึงเป็นทางเลือกแต่แน่นอนว่ารายได้มันไม่ได้พอสำหรับการเลี้ยงคนสองคน ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นคนป่วยเสียด้วย
คนชักนำจิมมี่ให้ลองไปใช้ร่างกายแลกเงิน ในครั้งแรกจิมมี่กลัวจนแทบจะหนีกลับ แต่ตระหนักได้ว่า ถ้ากลับไป จิมมี่ก็จะไม่มีเงินอีกแล้ว จิมมี่ไม่ใช่คนหน้าตาดี แต่ก็ไม่ได้ขี้เหร่ จริง ๆ มันคือประโยชน์
เพราะถ้าหน้าตาดีมาก ๆ คนก็จะมองว่าเข้าถึงยาก และการที่จิมมี่ดูจ๋อง ๆ เซื่อง ๆ ใครจะกดขี่ข่มเหงได้นี่แหละคือจุดที่ทำให้คนที่ไม่เชื่อมั่นในตนเองเลือกจิมมี่
ครั้งแรกของจิมมี่นั้นเจ็บปวดจนแทบขาดใจ มันไม่ใช่การร่วมรัก เพราะเป็นการใช้ร่างกายแลกเงิน จิมมี่เอาแต่อดทน และเฝ้ามองนาฬิกาเพื่อมองเวลา จนเมื่อจุดประสงค์ของลูกค้าถึงฝั่ง นั่นล่ะ จิมมี่ถึงจะได้รับเงิน
"ชื่อจี๋มันเชย อย่าใช้ชื่อนี้เลยเรียกชื่ออื่นเถอะ" เพื่อนที่ขายตัวด้วยกันบอก และนั่นก็เลยทำให้จากจี๋กลายเป็นจิมมี่ ยี่ห้อการค้าใหม่ที่ดูน่าสนใจกว่าเดิม
โชคชะตาเล่นตลก จิมมี่ที่ต้องยอมขายศักดิ์ศรี ขายตัวเพื่อแลกเงินมาประทังชีวิต แต่ในวันหนึ่งกลับพบว่าที่แท้ท่านย่าได้แอบซ่อนทรัพย์สิน เครื่องประดับมูลค่ามากมายเอาไว้ จิมมี่ทั้งดีใจทั้งเสียใจ แต่จิมมี่ก็รู้สึกว่ามันสายไปเสียแล้ว เพราะแม้จะมีเงินมากมายเท่าไร จิมมี่ซื้อเวลาให้ย้อนกลับมาไม่ได้
ยาที่จิมมี่กิน นอกจากยาต้านเชื้อเอชไอวี ยังมียาที่ช่วยควบคุมสารสื่อประสาทหลายตัว ส่งผลให้จิมมี่แทบจะกลายเป็นเจ้าชายนิทราเพราะวัน ๆ เอาแต่นอนหลับ และในเมื่อมีเงินชนิดกินทั้งชาติก็ไม่หมด จิมมี่ก็ไม่ต้องทำงานใด ๆ อีกแล้ว อยู่บ้าน และเฝ้ารอวันที่พร้อมเพื่อจะได้เจอเฮียธรรม
ตัดภาพมาที่จิมมี่ซึ่งใช้เวลานอนอยู่บนรถทัวร์ จุดหมายปลายทางคือแม่ฮ่องสอน มันใช้เวลายาวนานกว่าที่จิมมี่คิด ถ้าเป็นคนอื่นที่มีเงินเท่าจิมมี่ก็คงเลือกจะขึ้นเครื่องบิน เพราะประหยัดเวลาชีวิตไปอักโข
แต่จิมมี่ที่มีเงินติดตัวมากมาย แต่สิ่งที่จิมมี่ไม่มีคือประสบการณ์การใช้เงินอย่างคนร่ำรวย ตั้งแต่เล็กก็รู้แค่ระยะทางจากบ้านไปโรงเรียน จนโตมาก็คือจากบ้านไปที่ทำงาน ไอ้เรื่องเที่ยวเตร่นั้นอย่าได้หวัง และการกล้าออกมาโดยลำพัง ออกเดินทางไปยังที่ที่จิมมี่ไม่รู้จักจุดหมาย มันต้องใช้ความกล้าทั้งชีวิตของจิมมี่ทีเดียว
รถจอดที่สถานีขนส่งแม่ฮ่องสอนแล้ว แต่นี่ก็ยังห่างไกลจากแม่อีกมากนัก จิมมี่ทำใจกล้า ๆ กลัว ๆ สอบถามรถสองแถวและว่าจ้าง โดยถูกฟันราคา มหาโหด แต่จิมมี่ก็ไม่ได้สน เงินแค่นี้แลกกับการได้พบแม่ มันคุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม จิมมี่ที่มีเงิน แต่ขาดความกล้าในการต่อราคาเพราะใช้ความกล้าไปหมดแล้วในการเดินทางมาหาแม่ ตาลุงว่าเท่าไรจิมมี่ก็ตกลงไปเท่านั้น
แต่อย่างที่บอกว่าความโชคร้ายดูเหมือนจะเป็นมิตรของจิมมี่โดยแท้ นอกจากเฮียธรรมแล้วจิมมี่แทบจะไม่ได้พบคนดี ๆ เลยสักคน
ขับรถถึงห้าชั่วโมง ผ่านโค้งแล้วโค้งเล่า เพราะเส้นทางต้องไต่ไปตามภูเขา แรก ๆ มันก็สวยดีเพราะบรรยากาศภูเขา มีเมฆและหมอกไล่กันบาง ๆ ดูเพลินตาสำหรับคนที่ไม่เคยได้พบเจอกับสิ่งที่ธรรมชาติสรรค์สร้างจนสุดลูกหูลูกตา
แม่ฮ่องสอนนั้นได้ชื่อว่าเมืองสามหมอก จนเข้าชั่วโมงที่สองนั่นแหละที่ความสวยงามก็ไม่ช่วยอะไรอีกแล้วจิมมี่เมารถ และขับของเก่าออกมาจนหมดไส้หมดพุง จิมมี่หมดเรี่ยวแรงและปวดท้องราวกับถูกบิดไส้ไปหมด
จนเมื่อรถสองแถวจอดลงและบอกว่าตนมาส่งได้เพียงเท่านี้แล้ว จุดหมายของจิมมี่ต่อจากนี้เป็นทางลูกรังเล็ก ๆ ซึ่งรถธรรมดาไม่สามารถผ่านเข้าไปได้ ยิ่งเมื่อคืนฝนตก ถนนเป็นบ่อเป็นหลุมราวกับทางจากดวงจันทร์
แต่ป้ายไม้เก่า ๆ ซึ่งเขียนชื่อหมู่บ้านกอมูเดอ กลับทำให้จิมมี่ไม่เสียใจเสียทีเดียว ชื่อหมู่บ้านนี้คือหมู่บ้านที่แม่อยู่ ทางลูกรังสีแดงส้ม ทอดตัวยาวลับหายไปจนสุดสายตา คดเคี้ยวไปตามแนวราบจนเห็นไกลลิบ ๆ ไต่ไปตามภูเขา
"แม่" จิมมี่รำพึงกับตนเองเบา ๆ นึกมีกำลัง แม่อยู่ไม่ห่างไปจากนี้แล้ว และแม่จะดีใจแค่ไหนนะที่ได้เจอจิมมี่ ไม่รู้ว่าแม่สบายดีหรือเปล่า เพราะจดหมายจากแม่ฉบับสุดท้าย มันก็คือเมื่อเจ็ดปีก่อน
ไม่รู้ว่าน้องของจิมมี่จะเป็นยังไง จะซน จะดื้อให้แม่ลำบากไหม แม่ใจดีคงไม่ว่าไม่ตีน้องหรอก จิมมี่ที่จากแม่มาตั้งแต่ห้าขวบ ภาพจำของแม่จึงพร่าเลือนเต็มที
ข้าวของที่แบกมาด้วยจิมมี่คิดว่ามีแต่ของจำเป็น แต่เดินมาตามถนนเปลี่ยวร้างได้สองชั่วโมง จิมมี่ก็ตัดสินใจใหม่กับข้าวของที่ จำเป็นสำหรับจิมมี่นั้น เริ่มเป็นภาระ จิมมี่จึงค่อย ๆ ปลดปล่อยมันทีละอย่างสองอย่าง จนสุดท้ายเหลือตัวจิมมี่ที่มอมเลอะเทอะไปด้วยโคลนกับกระเป๋าเป้เหี่ยว ๆ อีกใบเดียวสะพายหลัง
ถนนไม่ดี และจิมมี่ที่มีปัญหาเรื่องภาพหลอน ทำให้จิมมี่เดินสะดุดเดินตกหลุมน้ำ เนื้อตัวเปื้อนไปทั้งตัวตั้งแต่หัวจนจรดเท้า แต่จิมมี่ก็ไม่ได้รู้สึกวังเวงอะไร เพราะภาพหลอนที่มันเวียน ๆ วน ๆ อยู่ตามทางทำให้จิมมี่เหมือนมีคนร่วมทางอยู่ด้วย และโชคดีว่ามันไม่ได้น่ากลัวนัก จิมมี่เห็นภาพกวางตัวสีเขียวบ้าง ตัวสีฟ้าบ้าง รวมไปจนถึงนกแปลก ๆ ซึ่งไม่มีอยู่จริง
ผ่านมาสี่ชั่วโมง พระอาทิตย์เริ่มจะลบเหลี่ยมเขา จิมมี่ใจหาย และกลัวว่าถ้าท้องฟ้ามันมืดจิมมี่จะทำอย่างไร ในเมื่อเส้นทางนี้ไม่มีไฟฟ้าคอยส่องสว่างเลย แต่สิ่งที่ทำให้พออุ่นใจคือ ไกล ๆ สายตามีควันไฟลอยอ้อยอิ่งอยู่หลายจุด ที่ไหนมีควันแสดงว่าที่นั่นย่อมมีผู้คน จิมมี่คิดและกัดฟันเดินต่อไป เพราะหยุดนั่งพักมาหลายครั้งแล้ว
บางครั้งระหว่างเดิน ทั้งความเหนื่อย ความกระหายน้ำ และเนื้อตัวที่บอบช้ำจากการหกล้ม ทำให้จิมมี่ร้องไห้ไปด้วย แต่ถึงจะเศร้าขนาดไหน แต่จิมมี่ก็บังคับให้สองเท้าต้องเดินต่อไป
น่าแปลกใจว่าตลอดทางหลายกิโลเมตรที่ผ่านมา จิมมี่ไม่เจอใครเลยสักคนจริง ๆ ก็แน่สิ ถ้าจิมมี่ไม่มีแม่คือจุดหมาย จ้างให้ก็ไม่มาหรอก
จิมมี่เกือบจะท้อใจหลายหน ร้องไห้จนไม่มีน้ำตา ปากแห้งผากจนน้ำลายไม่เหลือสักหยด แต่โชคร้ายก็ไม่ได้เกาะตามจิมมี่ตลอดเวลา เหลือบมองระหว่างทาง จิมมี่เจอต้นมะม่วงอยู่ข้างทาง ลูกของมันห้อยระย้า ลูกเล็ก ๆ ไม่โตไปกว่ากำมือเด็ก แต่สีของมันเหลืองจัด และหล่นอยู่ใต้ต้นมากมาย
จิมมี่ดีใจแทบโห่ร้อง เดินลุยหญ้าซึ่งสูงแค่เข่า ไม่มีอะไรให้กลัวอีกแล้ว จะเปื้อนจะเปรอะ อะไร จิมมี่เดินไปด้วยขาที่แทบจะอ่อนแรง มือสั่นเทาของจิมมี่เห็นมะม่วงหล่นที่ตูดของมันช้ำจนเน่านิดหน่อย อย่างน้อยนี่ก็คือของจริงไม่ใช่ภาพลวงตา กลิ่นมะม่วงสุกหอมฟุ้ง แต่ก็ปนเปไปด้วยกลิ่นเน่าเปรี้ยวของมะม่วงที่หล่นมาก่อนหน้านั้น
จิมมี่เลือกมะม่วงลูกที่ช้ำแต่ยังไม่เสียมาได้สามสี่ลูกแค่นี้ก็พอ กะเอาด้วยสายตา จากควันที่เริ่มมองเห็นไกล ๆ เพราะมีต้นไม้ปกคลุมอยู่ จิมมี่รีบลอกเปลือกมะม่วงออก กัดเข้าไปคำแรก กลิ่นหอมฟุ้งไปทั้งปาก มะม่วงป่ามันไม่เหมือนมะม่วงน้ำดอกไม้ที่ไหนกันเล่า
ม่วงป่าถึงจะสุกแต่ก็เปรี้ยวปรี๊ด จิมมี่หยีตาและสูดปากดังซี๊ด แต่ก็ดีเหมือนกัน ได้มะม่วงเนื้อเปรี้ยวแต่มันก็อมหวานเล็กน้อย น้ำลายที่เหือดแห้งกลับสอไปทั้งปาก รสหวานและน้ำฉ่ำจนไหลมาถึงคอทำให้จิมมี่มีเรี่ยวแรงและพลัง กินไปสองลูกจิมมี่ก็รู้สึกว่าจะสามารถเดินต่อไป ระหว่างทางก็กินที่เหลือไปจนหมด
แต่อนิจจาฟ้าก็เริ่มจะมืดลงทุกที แต่เงาไม้ที่สูงจนสุดลูกตาก็ทำให้มันมืดกว่าปกติ อาศัยยังพอมองเห็นจิมมี่รีบจ้ำเดินให้ไวที่สุด ถ้ามืดกว่านี้จะยิ่งลำบาก โชคยังดีหน่อยว่าไม่ค่อยมีหลุมบ่อแล้ว แต่พื้นถนนกลับกลายเป็นดินเปียกอุ้มน้ำ จิมมี่ต้องค่อย ๆ ก้าวอย่างระมัดระวัง แต่สามครั้งที่พลาดและมันก็เป็นทางลาดขึ้นเขาเสียด้วยจิมมี่ล้มกลิ้งจนได้แผลถลอก
น้ำตาไหลอีกครั้งแต่จิมมี่ได้แต่สะอื้น สองเท้ายังคงก้าวไปเพราะสายไปที่จะหันหลังกลับ และรางวัลคือการได้เจอแม่มันก็คุ้มกับความยากลำบากที่ผ่านมา จิมมี่พยายามนึกหน้าของแม่ไว้ ไม่เจอกันเป็นเวลานานเป็นสิบปี แม่จะยังสวยเหมือนเดิมไหนนะ จิมมี่จำหน้าแม่ได้เลือนราง
อนุมานเอาจากการที่จิมมี่ส่องกระจก และท่านย่าชอบด่าว่าจิมมี่หน้าเหมือนแม่ ถ้าอย่างนั้นจิมมี่ก็คิดว่าแม่น่าจะสวย อย่างน้อยก็รอยยิ้มของแม่แหละนะ เพราะจิมมี่มักจะมีคนชมว่าเขายิ้มสวย และยายแย้มก็เคยพูดว่าเวลายิ้ม ยิ้มของจิมมี่เหมือนแม่ แต่ในชีวิตนี้กี่ครั้งกันนะที่จิมมี่ยิ้มได้ น้อยเต็มที น้อยเหลือเกิน จิมมี่เคยแอบคิดว่าชาติภพนี้ของจิมมี่นั้นเกิดมาเพื่อใช้กรรม เกิดมาเพื่อให้โชคชะตาลงโทษและกลั่นแกล้ง
แม้จะเร่งจนสุดฝีเท้าแล้ว ไม้ในมือที่จิมมี่เก็บได้จากข้างทางช่วยพยุง เท้ายังคงก้าวไปอย่างสม่ำเสมอ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังเร็วไม่พอ ฟ้ามืดลง และเสียงแมลงราตรีก็เริ่มกรีดร้องจนสั่นป่า จนความมืดเข้าครอบงำจนแทบไม่เห็นทาง
ไม่คิดเลยว่าความมืดอย่างนี้จะมีจริง แต่มันก็รายล้อมอยู่รอบ ๆ เขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว โทรศัพท์มือถือของจิมมี่จึงเป็นทางเลือกสุดท้าย ไหน ๆ มันก็ไม่มีสัญญาณอยู่แล้ว จิมมี่เลือกที่จะเปิดแฟลต และส่องไปตามทาง
จะว่าไปก็ดีเหมือนกัน พอมันมืดแบบนี้ ภาพหลอนหัวต่าง ๆ กลับหายไปสนิท จิมมี่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าพอได้พบกับความมืดแบนี้ ภาพหลอนจะหายไปเป็นปลิดทิ้ง หายไปจนจิมมี่นึกแปลกใจจนเกือบจะเข้าข้างตัวเองว่าเขาหายสนิท
เสียงแมลงร้องดังแสบถึงแก้วหู ไม่รู้ว่าอีกไกลแค่ไหน แต่จิมมี่นึกดีใจที่ไกล ๆ จิมมี่เห็นแสงไฟ ผ่านเวลาไปเท่าไรก็ไม่รู้แล้ว แต่เพื่อนสนิทของจิมมี่กลับมาอีกหนเพราะกลัวจิมมี่จะเหงา แบตตารี่โทรศัพท์หมดลง ท้องฟ้ามืดสนิทจนไม่รู้จะก้าวไปข้างหน้าตรงไหน จิมมี่หมดหนทางและทั้งความเหนื่อยล้า ความท้อถอย เข้ามาเป็นเจ้านายจิตใจที่แสนเปราะบาง
จิมมี่ไม่เหลือใครแล้ว ฟ้ามืดสนิท และเสียงแหลมแสบแก้วหูก็ดังลั่นไปจนหัวแทบระเบิด จิมมี่ไม่รู้จะไปทางไหนเพราะไม่มีแสงสว่างใด ๆ ให้เห็นทาง หมดแรงใจจนจิมมี่ต้องทิ้งตัวลงนั่งกับพื้น หมดแรง หมดกำลังใจ และคิดว่าถ้าตายลงตรงนี้ก็คงจะง่ายกว่า
จิมมี่นั่งกอดเข่าอยู่ครู่ใหญ่ ๆ จะร้องไห้แต่น้ำตาก็ดูเหมือนจะเหือดแห้งไปจากร่างกายแล้ว ร้องไม่ออก ถ้าไม่ใช่ว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมาจิมมี่เจอแต่ภาพหลอนน่ากลัวจนเขาชาชิน ตอนนี้อย่างน้อยก็ไม่มีอะไรให้จิมมี่กลัวอย่างเช่นภูตผีเพราะเขาเห็นภาพหลอนของพวกมันบ่อย ๆ
แต่พอสายตาปรับกับความมืดได้ จิมมี่ก็นึกดีใจว่าเริ่มจะมองเห็นเส้นทางได้อย่างเลือนราง ไม่ชัดเจนแต่ก็พอมองเห็น คืนนี้จริง ๆ มันก็มีพระจันทร์แต่เงาไม้ร่มครึ้มก็มาบังเสียจนแทบจะมองไม่เห็น แสงจันทร์ไม่สามารถช่วยอะไรจิมมี่ได้เลย
ทั้งมืดมน และเส้นทางยากลำบาก จิมมี่ไม่รู้ว่าก้าวย่างของจิมมี่ก้าวต่อไปมันคือความผิดพลาด จิมมี่ใจหายวาบ และร่างของจิมมี่ที่กำลังไต่ทางชันก็หล่นร่วงกลิ้งหลุน ๆ เสียงกระแทกดังอัก จุกจนจิมมี่พูดไม่ออก ไม่สามารถลุกขึ้นมาได้ มันปวดไปหมดทั้งเนื้อตัวราวกับร่างของจิมมี่ถูกแยกออกเป็นส่วน ๆ
เจ็บปวด จุก และดูเหมือนจิมมี่จะต้องมีแผลแน่ ๆ กลิ่นคาวเลือดคลุ้งและความปวดแปลบที่หน้าผากก็คลอดคลุมจนจิมมี่ได้แต่ร้องโอดโอย แต่จิมมี่ไม่มีเสียงร้อง อ้าปากร้องไปแต่ไม่มีเสียงออกมาสักนิด เป็นแค่เสียงแหบ ๆ พร่า ๆ ดังออกมาสายตาที่เริ่มชินกับความมืดกลับมองไม่เห็นชัดอีกแล้วเพราะเลือดไหลจนเข้าตา จิมมี่ไม่เสียใจเท่าไรนัก
ดีเหมือนกัน ถ้าตายมันซะตรงนี้ มันก็จะได้จบ ๆ จริง ๆ จิมมี่ก็ไม่ได้มั่นใจว่าแม่จะยังอยู่ไหม และถ้าเจอแม่จริง ๆ แม่จะดีใจหรือรักจิมมี่เหมือนเดิมไหม แม่อาจจะเกลียดจิมมี่เพราะจิมมี่โตมากับย่าหรือเปล่านะ หรือร้ายกว่านั้นแม่อาจจะตายจากจิมมี่ไปแล้วเหมือนพ่อ เหมือนท่านย่าก็ได้ ลึก ๆ จิมมี่ดีใจที่จะไม่ได้เจอแม่เพราะกลัวว่าถ้าเจอแม่แล้วแม่จะไม่ได้ดีใจที่ได้พบจิมมี่ก็ได้
สมองของจิมมี่ตีกันไปมา แต่เหมือนหูแว่ว ว่ามีเสียงคนตะโกน เนิ่นนานจนเริ่มกลับมามีแรง จิมมี่ค่อย ๆ คืบคลานทีละน้อย จนกลับมาอยู่บนถนนได้อีกหน มือที่พาดไปเปะปะ จนถูกเป้ของจิมมี่ เขาคว้ามันไว้อย่างรวดเร็ว เพราะในเป้มีของมีค่า
หูเหมือนได้ยินเสียงแว่ว ๆ และตาของจิมมี่ก็ยังลืมมองได้ไม่ชัดเจน ผนวกกับท้องฟ้าที่มืดสนิท แต่จู่ ๆ จิมมี่ก็รับรู้ได้ถึงแสงที่แยงเข้ามาในตา
"เห้ย คนนี่หว่า" เสียงคนพูดภาษากลาง จิมมี่ดีใจจนพูดไม่ออก แต่จิมมี่หมดแรงแล้ว และเหมือนจิมมี่จะเป็นลม เพราะหมดสติไปในทันทีทันใด