ก็เพราะชีวิตประจำวันมันน่าเบื่อ ก็เลยอยากเป็นอินฟลูกับเขาสักคน
ชาย-ชาย,ตลก,ไทย,เล่าประสบการณ์,ยุคปัจจุบัน,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
แปะจะเป็นอินฟลูฯก็เพราะชีวิตประจำวันมันน่าเบื่อ ก็เลยอยากเป็นอินฟลูกับเขาสักคน
โลกยุคนี้ มันเป็นยุคของ อินฟลูเอ็นเซอร์ นั่นก็คือบุคคลที่มีผู้ติดตามบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย
อินฟลูเอ็นเซอร์ จะมีผู้ติดตามมากมายซึ่งส่วนใหญ่มักจะมีส่วนร่วมในเนื้อหาที่พวกเขาพูดเป็นประจำ อินฟลูฯ มีมากมายหลายหมวด ไม่ว่าจะเป็นหมวดการท่องเที่ยว สายทำอาหาร สายวิชาการ สายบันเทิง สายสุขภาพ
แต่ผมจะเป็นอินฟลูฯ สายไหนกันดีนะในเมื่อตัวผมเองก็ไม่เก่งอะไรสักอย่าง....เห้อ
โดย Chavaroj
พายุฤดูร้อนผ่านพ้นไปแล้ว ฝนไม่ตกมาสองวันจนเชื่อว่าบรรดาแม่บ้านทั้งหลายเมื่อโผล่หน้าออกไปมองท้องฟ้าแล้วมีความสุข ด้วยเชื่อมั่นว่าเสื้อผ้าบรรดามีที่นำไปตากรับแดดซึ่งแม้จะไม่จ้านัก แต่มันก็จะแห้งสนิทและหอมแดดอย่างแน่นอน
หน้าร้อนนั้นดีที่มีจะมีผลไม้มากมายแข่งกันสุกงอม รวมไปถึงบรรดาดอกไม้ดอกไร่ ก็จะแข่งกันออกดอกเพื่อแข่งขันกันสร้างทายาทลูกหลานของมันผ่านเมล็ดพันธุ์
แต่ก็มีดอกไม้อยู่สองอย่างที่จิมมี่รู้จักเพราะมันปลูกอยู่ที่บ้านมานานตั้งแต่จิมมี่ยังจำความได้ หนึ่งในนั้นก็คือต้นประดู่ ซึ่งเมื่อผ่านพ้นฝนเทลงมา ไม่กี่วันเท่านั้นแหละ มันก็จะผลิดอกสีเหลืองเต็มไปหมดทั้งต้น แต่ที่เหนือไปกว่านั้นก็คือกลิ่นของมันที่หอมฟุ้งตลบไปจนถึงปากซอย
ดีเหลือเกินที่มันออกทีเดียวพร้อม ๆ กัน แต่มันก็บานเพียงไม่กี่วันเท่านั้น และพากันพร้อมใจทิ้งดอกของมันจนพื้นดินรอบ ๆ ใต้ต้นของมันกลายเป็นสีเหลืองราวกับใครเอาผืนพรมมาปูลาด
จิมมี่ที่ชอบอยู่แล้วกับดอกไม้หอม ๆ ถึงกับยอมลงทุนเปิดหน้าต่างข้างบ้าน เพื่อให้ลมอ้าว ๆ ได้พัดพากลิ่นหอมของดอกประดู่ ให้เข้ามาฉมจมูกจนชื่นใจได้เนิ่นนาน ยามเย็น ๆ ที่แสงแดดกำลังจะโพล้เพล้
ต้นไม้อีกต้นที่จะพร้อมใจกันออกดอกหลังจากฝนตก นั่นก็คือต้นแก้ว ต้นแก้วต้นนี้ดูเหมือนจะเริ่มปลูกตอนจิมมี่อายุแค่ห้าขวบกระมัง จนตอนนี้จิมมี่อายุปาเข้าไปยี่สิบกว่า ต้นแก้วต้นนี้จึงสูงท่วมหัวท่วมหู แต่ต้นของมันไม่ใหญ่โตเท่าต้นประดู่อีกฝั่งของบ้านหรอกนะ แต่ถึงอย่างนั้น ใต้ต้นของมันก็ร่มครึ้มกันแสงแดดได้เป็นอย่างดี ด้วยว่าใบมันเงาของมันนั้นครึ้มแน่นขนัด
แถมมันยังปลูกอยู่เยื้องกับหน้าต่างห้องนอนของจิมมี่เสียอีก กลิ่นหอมยวนใจลอยฟุ้งจนจิมมี่นึกเคลิ้มขึ้นมา จึงตัดสินใจส่งข้อความหาเฮียธรรม เพราะจู่ ๆ ก็นึกอยากได้ภาพศิลปะ ที่มีผู้ชายเปลือยเปล่า ยืนโพสต์ท่าสวย ๆ โดยมีเบื้องหลังเป็นต้นไม้ใบครึ้ม ซึ่งกำลังทยอยออกดอกสีขาวจน พราวไปทั้งต้น
จนการถ่ายภาพจบไป รวมถึงความสัมพันธ์ทางกายเนื้ออย่างที่เรียกว่าภายนอกจบฉากลง จิมมี่เดินไปส่งเขาที่หน้าประตูบ้านในตอนเกือบค่ำของวันนั้น ส่งยิ้มลาให้เขา และออกจะรู้สึกใจหายเมื่อภาพเงาลิบ ๆ กับมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์คันนั้นหายลับไปจากสายตา...ไม่น่าเชื่อเลยว่าเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ จิมมี่กับเขาจะกอดก่าย และมีความสุข...มันช่างอบอุ่น...และจิมมี่ไม่เคยได้รับการสัมผัสแบบนี้จากใคร
ลิ้นของเขาโลมเลียผิวกายของเขาตั้งแต่ปลายเท้าราวกับทาส แทบจะไม่มีตารางนิ้วส่วนใดของร่างกายจิมมี่ที่ไม่ถูกเขาสัมผัสและโลมเลีย
สายลมพัดมาเอื่อย ๆ จนกลิ่นดอกแก้วลอยมาเตือนให้จิมมี่รีบกลับเข้าบ้าน ครั้นทิ้งตัวลงนั่งที่ของหน้าต่าง พอสายลมพัดวูบ กลิ่นหอมก็ลอยฟุ้งมาปะทะจมูก พร้อมกับกลีบของดอกแก้วนับร้อยนับพันกลีบที่ปลิดร่วงจากขั้วดอก บ้างก็ทิ้งตัวลงกับผืนแผ่นดินจนพราวราวกับใครสักคนนำผืนพรมสีขาวมาปูวางไว้
บางส่วนก็ปลิวมาจนกระทบกับมือและผิวหน้าของจิมมี่เบา ๆ จนเมื่อลมร้อนหยุดพัดและหันเหพัดไปทิศทางอื่น จิมมี่ก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ
"นี่เราต้องอยู่ตัวคนเดียวอีกแล้วหรือนี่" จิมมี่รำพึงเบา ๆ ราวกับเพ้อ
แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อจิมมี่เลือกแล้วที่จะเป็นอย่างนี้ เพียงเพราะจิมมี่ไม่ชอบให้ใครมาอยู่ใกล้ ๆ ด้วยนาน ๆ มันทำให้จิมมี่อึดอัด และสิ่งที่ทำให้อึดอัด ก็ทำให้จิมมี่ย้อนคิดไปถึงความอึดอัดตั้งแต่วัยเด็กที่ต้องทนอยู่กับ ท่านย่า
"ก็เราไม่มีทางไหนให้ไปนี่หว่า...ตอนนั้นน่ะ" จิมมี่เพ้อคิด จนต้องเผลอตอบตัวเองออกมา พลันมือของจิมมี่ก็เอื้อมจนสุดมือ เพื่อคว้าเด็ดช่อดอกแก้วช่อโต ปลิดมันให้เบาที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นกลีบดอกไม้แสนบอบบาง ในช่อดอกแก้วช่อนั้นก็พากันร่วงพรูไปเสียกว่าครึ่งค่อน
จิมมี่ยกมันขึ้นมาดมที่จมูกอย่างแผ่วเบา เพ้อคิด และทันใดนั้น จิมมี่ก็เหม่อมองไปยังพื้นที่โล่ง ๆ ใต้ต้นแก้ว ซึ่งมีพรมสีขาวปูลาดอยู่ ฉับพลัน จิมมี่ก็เห็นหนอนแก้วตัวใหญ่ ตัวของมันเป็นสีชมพู ขนาดของมันเท่าหมอนข้าง ใบหน้าของมันคล้ายกับใบหน้าของเด็กทารก หันมามองจิมมี่พร้อมกับส่งยิ้มให้เสียด้วย
จิมมี่ไม่ได้มีทีท่าตกอกตกใจกับภาพตรงหน้าที่เห็น เขาเพียงแค่ขยับตัวออกมาเพราะความขยะแขยงหวาดกลัว หนอนตัวเท่าหมอนข้าง ใครจะไม่กลัวกันเล่า แล้วจิมมี่ก็หับบานหน้าต่างให้ปิดลง และดึงผ้าม่านมาปิดแต่ไม่สนิท เรียกว่าพอจะมองออกไปเห็นพุ่มดอกแก้วอยู่รำไร จิมมี่วางช่อดอกแก้วบนหัวเตียง ทิ้งมันไว้ แล้วเดินไปเปิดตู้เย็น รินน้ำเย็น ๆ ใส่แล้ว แล้วไม่ลืมที่จะหยิบยาเม็ดสีเขียวอ่อนเล็ก ๆ โยนมันใส่ปาก แล้วก็ดื่มน้ำตามมาก ๆ
ถ้าใครสงสัยว่าสิ่งที่จิมมี่เห็น นั้นมันคืออะไร ก็ตอบได้เพียงว่า มันเป็นเพียงภาพหลอกตา มันเป็นสิ่งที่ในหัวของจิมมี่สร้างขึ้นมาเอง ไม่มีใครเห็นกับจิมมี่ด้วยหรอก
มันเป็นภาวะที่เรียกว่า "ภาพหลอน" หรือที่คุณหมอแจ้งกับจิมมี่ว่ามันคือ ความผิดปกติของสมองจากการกระทบกระเทือน ซึ่งมันเกิดขึ้นตอนจิมมี่อายุสิบห้าหรือสิบหกนี่ล่ะ จิมมี่ก็ชักจะเลือน ๆ มันไปเสียแล้ว
เรื่องมันเกิดขึ้นตอนที่จิมมี่คิดจะปีนขึ้นไปเก็บดอกจำปีมาให้ท่านย่า บังเอิญพลาดตกลงมา หัวของจิมมี่ไปกระแทกกับกระถางต้นไม้จนหัวแตก
ท่านย่าโวยวายเสียใหญ่โต ถึงท่านจะไม่ได้รักเอ็นดูจิมมี่มากนัก ถ้าจะรักก็น่าจะอยู่ในหมวดหมู่ "ทั้งรักทั้งเกลียด" แต่จะอย่างไรจิมมี่ก็คือหลาน คือคนที่ท่านย่าเห็นมาแต่เล็กแต่น้อย คนเราเลี้ยงหมาเลี้ยงแมวยังมีเมตตา นี่หลานทั้งคน
จิมมี่หัวแตก และท่านย่าก็พาจิมมี่ไปคลินิกปากซอยเพื่อเย็บแผล ด้วยแผลเป็นยาวน่าเกลียดหลังจากที่ท่านย่าเสียจิมมี่ก็เลยไว้ผมยาวเสียเลยเพื่อปกปิดมัน อีกอย่างจิมมี่รู้สึกอยากจะกบฏ ก็ในเมื่อไม่มีคนมาคอยบอกว่าห้ามทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ เริ่มตั้งแต่หัวจรดเท้าที่ผมก็ต้องตัดให้เรียบร้อย จนถึงเล็บมือเล็บเท้าที่ต้องตัดอย่าไว้ยาว
ผลจากการนั้นจิมมี่ตาบอดชั่วคราว เป็นอยู่เจ็ดวัน มันไม่ใช่อาการตาบอดแบบมืดมองไม่เห็นอะไรเลย แต่มันคือการเห็นอย่างราง ๆ พอจะเดินไปไหนมาไหนได้ แต่ไม่ถนัด ท่านย่าคงทั้งโกรธคงทั้งเสียใจ แต่จิมมี่สิใจเสีย ไม่นึกว่าตัวเองจะต้องมาเป็นคนตาบอดเสียตั้งแต่ยังอายุน้อย ๆ
โชคดีที่หลังจากวันที่สี่ภาพต่าง ๆ ก็ค่อย ๆ ชัดเจนขึ้น จิมมี่ดีใจเสียแทบแย่ แต่จะดีใจที่กลับมาเหมือนเดิม จิมมี่ก็พูดได้ไม่เต็มปากเพราะจิมมี่ได้ของแถมมาด้วย นั่นก็คืออาการภาพหลอนนั่นเอง
อาการของจิมมี่นั้นคืออาการเห็นภาพแปลก ๆ ต่าง ๆ นานา แต่จะไม่ได้ยินเสียงหรือได้กลิ่น ในความโชคร้ายก็มีโชคดี เพราะการไปหาหมอเพื่อรักษา นั่นจึงเป็นจุดที่ทำให้จิมมี่ได้เจอกับเฮียธรรม ...นับเป็นความโชคดี
แต่กว่าจิมมี่จะได้ไปหาหมอ ได้ไปรักษาตัวเองจริง ๆ นั่นมันก็คือเมื่อสามสี่ปีก่อน หลังจากท่านย่าตายจากไป
ลมอ้าวพัดเข้ามาจากทางหน้าต่าง แม้จะพาเอากลิ่นหอมชื่นใจมาด้วย แต่มันก็อ้าวพาให้อึดอัด ยิ่งพอฟ้าเริ่มมืด ความร้อนที่ถูกดูดซับไว้จากผืนดินเริ่มคลายตัวออกมา ลมจึงพาเอาความร้อนอ้าว ความร้อนแบบที่ทำให้เหงื่อซึมไม่ยอมแห้งสักที เหนอะหนะ น่ารำคาญ จิมมี่ไม่ชอบเลย
พอหับบานหน้าต่างปิดเข้ามา และเข้าไปอาบน้ำให้ชื่นใจ พอมาเช็ดเนื้อเช็ดตัว จิมมี่เปิดแอร์เย็นเฉียบ เย็นจนสะท้าน...ชื่นใจ แต่แว่บหนึ่งจิมมี่เห็นเงาของใครบางคนที่หน้าบ้าน พอเดินไปแย้มผ้าม่านที่เผยอ ก็เห็นบรรดาคนอินเดียนแดง มีขนนกเสียบหัวเสียบหัวรุงรัง กำลังเต้นรำรอบกองไฟอยู่ราว ๆ แปดคน
"เห้อ" จิมมี่เผลอถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายแล้วก็ปิดผ้าม่านลง เพราะไอ้ภาพแปลก ๆ อย่างนี้ มันคือภาพหลอน จิมมี่เห็นเสียจนเบื่อระอา อะไรที่มันดูไม่จริง จิมมี่เห็นบ่อยจนแยกแยะมันได้แล้ว
นึกครึ้มอะไรก็ไม่รู้ เรือนของท่านย่าที่จิมมี่ทำความสะอาดไปได้เกือบครึ่งห้อง และจิมมี่ก็ไม่คิดจะย่างเข้าไปเพราะความกลัวท่านย่าแต่เล็ก ยังคงกัดกินหัวใจ
ท่านย่าก่อนที่จะเสียชีวิตเป็นโรคเก็บสะสมของ และเมื่อเข้าสู่ภาวะติดเตียง จิมมี่ในตอนนั้นทั้งทำงานทั้งต้องมาดูแลคนป่วย จึงเหนื่อยแทบขาดใจ ในที่สุดจิมมี่จึงต้องพาท่านย่าไปอยู่โรงพยาบาล อย่างน้อยก็มีคนดูแลท่านบ้างยามจิมมี่ต้องไปทำงานหาเงินตัวเป็นเกลียว
จะผิดไหมนะ ถ้าจิมมี่รู้สึกโคตรดี รู้สึกเป็นอิสระ และแอบภาวนาให้ท่านย่าเสียชีวิตไปเลยก็จะดีมาก ๆ จิมมี่แอบคิดยามเมื่อตัวเองอยู่ว่าง ๆ ซึ่งมันไม่ค่อยจะมีบ่อยนัก
แต่วันหนึ่งซึ่งเป็นวันหยุด และคุณหมอก็แจ้งว่าท่านย่าคงไม่ได้กลับมาอยู่ที่บ้านหลังนี้อีกแล้ว จิมมี่ใจหาย และอยากจะทำอะไรบางอย่าง บางอย่างที่ตลอดมาจิมมี่อยากทำและไม่เคยทำ
นั่นก็คือการเก็บรวบรวมขยะในเรือนของท่านย่าไปทิ้ง ทิ้งไปให้ไกล มันน่าขยะแขยง และน่ารังเกียจเสียเหลือแสน
"อี๋สกปรก" จิมมี่บ่นไป ลงมือเก็บไป นี่ขนาดจิมมี่สวมแมส สวมถุงมือแล้ว จิมมี่ก็ยังรู้สึกแสนขยะแขยง กองขยะสูงท่วมหัวท่วมหู ถูกขจัดไปทิ้งวันละเล็กวันละน้อยจนในที่สุดก็ถึงห้องนอนของท่านย่า
เตียงนอนไม้มะเกลือสีดำ ฝังมุกซึ่งท่านคุยอวดนักหนาว่าเป็นของเก่าตกทอดมาจากท่านอาของท่านที่เคยเป็นคุณในวัง ท่านไม่มีบุตรธิดา จึงมอบมรดกของท่านให้ท่านย่าซึ่งเป็นหลานสาวคนเล็ก
"เอาไปทำฟืนแม่ง" จิมมี่เผลอบ่น และรีบเม้มปากอย่างรวดเร็ว เพราะเผลอสบถออกมา ถ้าท่านย่ารู้ว่าจิมมี่พูดจาหยาบคาย คงบ่นจิมมี่เสียค่อนวัน เผลอ ๆ อาจจะหยิกเอาเจ็บ ๆ
ฟูกเก่าที่มอมดำ เหม็นคลุ้ง ไหนจะกลิ่นอุจจาระ กลิ่นปัสสาวะ และคราบไคลจากการไม่ได้อาบน้ำอีกเล่า จิมมี่ถึงจะใส่ถุงมือก็ยังจับมันด้วยอาการรังเกียจ แต่เมื่อเลิกฟูกแสนเก่านั้นออกมา จิมมี่กลับพบว่าใต้เตียงนั้นมีช่องลับอยู่
แรกทีเดียวก็ไม่ได้สนใจ แต่เมื่ออยากลองเปิดดู จิมมี่เห็นสิ่งที่อยู่ในนั้นก็แทบจะล้มทั้งยืน
กล่องไม้ฝังหนาเตอะเก่าคร่ำถูกนำขึ้นมาวางข้างเตียง และเมื่อเปิดออกดู ภายในนั้นบรรจุเครื่องเพชร เครื่องประดับ เครื่องทองมากมาย มากจนจิมมี่ตกใจ คงจะเป็นเพราะเจ้านี่สินะ ที่ท่านย่าไม่ได้ทำงานการอะไร แต่ก็ยังสามารถใช้จ่ายเงินอย่างมือเติบ
"สมบัติของย่าน่ะมีเยอะแยะ ตกทอดมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ไหนจะสมบัติของคุณปู่อีก ใช้อีกชาติก็ไม่มีหมดดอก" ท่านย่าเคยคุยอวด และจิมมี่ก็แอบนินทาหญิงชราว่าขี้โม้
จริงสินะ จิมมี่พยายามนึกคิดว่าตั้งแต่ท่านย่าป่วย ก็ดูเหมือนฐานะทางบ้านของจิมมี่แย่ลงมากทีเดียว จิมมี่ต้องไปทำงานหนัก อดหลับอดนอน โดนโขกสับสารพัด
จะดีใจก็ดีใจได้ไม่เต็มที่ แต่จะรู้สึกอย่างไรจิมมี่ก็ยากจะบอกเพราะมันระคนกันไปหมด แต่ที่แน่ ๆ ท่านย่าคงไม่ต้องนอนห้องผู้ป่วยอนาถาอีกแล้ว และจิมมี่ก็คิดภาพของไอ้หัวหน้าของจิมมี่ที่มันคอยดูถูก คอยบูลลี่จิมมี่เสมอ ๆ ถ้าจิมมี่ลาออก ออกแบบไม่สนใจว่ามันจะรู้สึกอย่างไร มันจะดีสักแค่ไหนกันนะ
สองวันนับจากวันที่จิมมี่เจอสมบัติเก่า จิมมี่ลาออก เสียงก่นด่าสาปแช่งดังไล่หลัง แต่จิมมี่กลับไม่ได้ทุกข์ใจอะไรเลย กลับสะใจเสียด้วยซ้ำ ทองคำแท่ง แท่งละสิบบาทเป็นสิ่งแรกที่ถูกเปลี่ยนเป็นเงิน และจิมมี่ก็ทำเรื่องย้ายท่านย่าไปอยู่ชั้นพิเศษ รวมถึงมีนางพยาบาลคอยผลัดเปลี่ยนกันดูแล
จะอย่างไรนี่ก็เป็นเงินของท่าน จะอย่างไร ถึงท่านย่าจะไม่ได้รักจิมมี่อย่างที่ควร แต่ท่านก็เลี้ยงดูจิมมี่มา จะอย่างไร ถึงแม้ท่านย่าจะคอยเอาแต่ด่าว่าแม่ให้จิมมี่ฟัง และบ่นเพ้อถึงพ่อที่เสียชีวิตไปก่อนวัยอันควร แถมยังโทษแม่ต่าง ๆ นานา ว่าแม่เป็นสาเหตุของความโชคร้ายทั้งหมด
แต่จิมมี่ก็คิดว่า ในบั้นปลายท่านย่าก็น่าจะสะดวกประมาณหนึ่ง แต่จิมมี่ใจดำพอที่จะไม่ไปเยี่ยมท่านย่าอีกเลย การไปโรงพยาบาลอาทิตย์ละหน เพียงเพื่อไปชำระค่าค่าใช้จ่าย จิมมี่ตัดใจไปเยี่ยมท่านย่าแค่หน้าประตู แต่เมื่อมือของจิมมี่จับลูกบิดประตู จิมมี่ก็เลือกที่จะปล่อยมือและเดินจากไป...จิมมี่ขี้ขลาด และอยากจะหนี
จนท่านย่าเสียชีวิตจากไป จิมมี่เลือกที่จะเผาท่านอย่างเงียบ ๆ ไม่เอิกเกริก น่าขำที่คนที่ถือยศถือศักดิ์ที่สุด แต่ในงานศพของตัวเอง กลับไม่มีใครเป็นแขกเลยสักคน
จู่ ๆ วันนี้จิมมี่นึกอยากเอาชนะ จิมมี่ที่ขี้กลัวและเอาแต่หนีปัญหา แต่ในวันนี้จิมมี่อยากเอาชนะตัวเองสักนิด สักนิดก็ยังดี ท่านย่าจากไปสามปีกว่า แต่จิมมี่ยังเก็บเรือนของท่านย่าไม่เสร็จสักที
จิมมี่เดินไปเรือนของท่านย่าพร้อมกับเปิดยูทูป ฟังเรื่องตลก ๆ เปิดเสียงดัง อย่างที่ท่านย่าเกลียด แล้วจึงค่อย ๆ ทำความสะอาดด้านหนึ่งของเรือน
กล่องหลายใบที่ยังกองสุมอยู่ จิมมี่แอบคิดว่าไม่แน่นะ อาจจะมีเอกสารเป็น โฉนดที่ดินให้จิมมี่อีกก็ได้ใครจะไปรู้ คิดเพ้อไปเล่น ๆ และลงมือเปิดลังพวกนั้น แยกว่าจะเอาอะไรเก็บไว้ และเอาอะไรไปทิ้ง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นอย่างหลัง
"ฮึบ...เยอะชิบหาย" จิมมี่สบถ เม้มปาก และเบ้ปาก จะทำไมกันเล่า ก็ในเมื่อไม่มีใครแล้ว จิมมี่จะพูดอะไรก็ได้ทั้งนั้นนั่นแหละและถ้าจะมาถามว่าจิมมี่กลัวผีท่านย่ามาหลอกหลอนหรือเปล่า จิมมี่ก็ต้องบอกว่าไม่กลัว เพราะอาการเห็นภาพหลอนของจิมมี่ที่เป็นมาตั้งแต่ประสบอุบัติเหตุ มีภาพที่สวยงามก็จริง แต่ภาพที่น่ากลัวก็มีมากมาย จิมมี่เห็นจนไม่รู้สึกรู้สาอะไรเสียแล้ว
จนถึงกล่องใบสุดท้าย มันเป็นกล่องธรรมดา ๆ นี่ล่ะแต่หนักอึ้ง จิมมี่เปิดมันออกก็เป็นพวกเอกสารอะไรมากมาย แต่พอเห็นห่อจดหมายที่ถูกเชือกมัดไว้ จิมมี่ก็อดจะแปลกใจเพราะ ยุคสมัยนี้ไม่มีใครเขาส่งจดหมายกันแล้ว แต่นี่มันจดหมายของใครกันนะ
ตัวของจิมมี่เย็นวาบ เมื่อเห็นว่าที่หน้าซองจ่าชื่อของจิมมี่ว่าเป็นผู้รับ ทั้งชื่อ ทั้งนามสกุล ถูกต้องแน่แล้ว ว่าแต่ใครกันที่ส่งมากันหนอ ซองจดหมายเก่าคร่ำจนมีคราบสีเหลืองเกาะไปทั้งหมด จิมมี่มือสั่นและหยิบมันมาคลี่ด้วยหัวใจที่เต้นแรงจนอกแทบระเบิด
เมื่ออ่านจดหมายฉบับแรกจบ จิมมี่ก็หยิบกองจดหมายที่เหลือเพื่อกลับไปที่เรือนด้านหลัง เรือนที่จิมมี่อยู่ เปิดไฟให้สว่าง และค่อย ๆ อ่านจดหมายเหล่านั้นทีละฉบับ
บางครั้งขณะอ่านจิมมี่ก็ร้องไห้จนสะอึกสะอื้น ถึงกับทิ้งฟุบหน้าลงกับโต๊ะ ร้องไห้จนสุดหัวใจ จดหมายบางฉบับจิมมี่ก็ยิ้มออกมา และในฉบับหนึ่งที่จิมมี่เปิดเจอ มีรูปแม่ติดมาด้วย
"แม่" จิมมี่เผลอรำพึงเบา ๆ เลื่อนมือไปแตะรูปแม่อย่างแผ่วเบาและใจลอย ภาพของแม่เก่าจนสีซีด แต่มันก็ยังค่อนข้างชัดเจน และปะติดปะต่อภาพของแม่ที่จิมมี่จำได้จากวัยเด็ก
แม่อวบขึ้น และรอยยิ้มของแม่จากในรูป ทำให้จิมมี่รู้ว่าแม่น่าจะมีความสุขกว่าตอนที่อยู่ที่บ้านหลังนี้ จนในที่สุดจิมมี่ก็อ่านจดหมายได้ทั้งหมด และเมื่อเดินไปล้างหน้าล้างตา เนื่องจากหน้าของจิมมี่เลอะน้ำตาจนเหนียบหนับไปหมด
จิมมี่เลือกที่นั่งนุ่ม ๆ ตรงโซฟาตัวโปรด เอาผ้าแพรของแม่มาคลุมตัว กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของผ้าแพรโชยออกมาจนเหมือนมีแม่มากอด หยิบจดหมายของแม่มาอ่านอีกครั้ง อ่านอีกรอบ อ่านออกเสียงให้เหมือนกับแม่มาพูดกับจิมมี่ที่ข้างหู
จิมมี่อ่านจดหมายของแม่ทวนไปทวนมาอยู่อย่างนั้น และทุกครั้งจิมมี่ก็ยังมีการร้องไห้บ้าง และมีรอยยิ้มบ้าง สลับกันไปมา
ท้ายที่สุด จิมมี่ก็หยิบซองจดหมายของแม่มาพลิกไปพลิกมา ความคิดอะไรบางอย่างของจิมมี่ผุดขึ้นมาในหัว ไวเท่าความคิด จิมมี่เก็บจดหมายของแม่ไว้อย่างเดิม เดินกลับเข้าไปในห้องนอน หยิบกระเป๋าเดินทางออกมา และเลือกเสื้อผ้าหลายตัวออกมาวางบนเตียง
จิมมี่จะไปหาแม่ จิมมี่แทบจะทนไม่ไหวแล้ว แต่นี่มันเป็นเวลาตีสองกว่า ๆ เท่านั้น เท้าทั้งสองเดินพล่านราวกับหนูติดจั่น จิมมี่เดินไปมาราวกับการก้าวเท้ายาว ๆ จะทำให้เวลาลุล่วงเร็วขึ้น
จนในที่สุด แสงสีชมพูอ่อน ๆ ก็ส่องขึ้นมาที่ปลายฟ้า จิมมี่ที่แต่งเนื้อแต่งตัวรัดกุม มีกระเป๋าเป้ใบโตที่ด้านหลัง และมีกระเป๋าสะพายกะทัดรัดสะพายข้างตัว ส่วนมือขวามีกระเป๋าเดินทางขนาดย่อม ๆ อีกหนึ่งใบ
ประตูหน้าบ้านถูกปิด จิมมี่มองไปทางต้นขนุนที่โคนของมันมีขนุนที่กำลังโต ขนาดเท่าลูกฟุตบอล อีกนานกว่ามันจะสุก เพราะขนุนต้นนี้มีลูกใหญ่โตและหวานนัก แต่บนต้นขนุนนั้นสิ มีกินรีบินไปบินมา ไหนจะยอดต้นปีบที่มีมังกรตัวสีส้มเลื้อยไปเลื้อยมาอีก
จิมมี่ไม่ได้นอนทั้งคืน อาการเห็นภาพหลอนเลยกำเริบหนักกว่าปกติ แต่จิมมี่ไม่สนใจแล้ว เพราะให้เอายาสลบมาให้กิน จิมมี่ก็ตื่นเต้นเกินกว่าจะหลับได้
จิมมี่เดินเร็ว ๆ จนมาถึงกลางซอย ไอ้หมาจรจัดตัวอวบเดินมาหาจิมมี่และมองจิมมี่อย่างคุ้นเคย สีหน้าของมันฉงนและคงนึกสงสัยว่าไอ้ผมยาวนี่จะไปไหนกันหนอ
"ฝากบ้านด้วยนะ ไม่รู้อีกนานไหมกว่าจะกลับ" จิมมี่บอกมันและเดินสับเท้าออกมาปากซอยให้ไวที่สุดเท่าที่เท้าของจิมมี่จะเดินได้ ครั้นหันหลังกลับมองไปในซอย ภาพหลอนของสัตว์ประหลาด และคนประหลาดก็เต็มไปหมด แต่จิมมี่ไม่สนใจแล้วล่ะ