ก็เพราะชีวิตประจำวันมันน่าเบื่อ ก็เลยอยากเป็นอินฟลูกับเขาสักคน
ชาย-ชาย,ตลก,ไทย,เล่าประสบการณ์,ยุคปัจจุบัน,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
แปะจะเป็นอินฟลูฯก็เพราะชีวิตประจำวันมันน่าเบื่อ ก็เลยอยากเป็นอินฟลูกับเขาสักคน
โลกยุคนี้ มันเป็นยุคของ อินฟลูเอ็นเซอร์ นั่นก็คือบุคคลที่มีผู้ติดตามบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย
อินฟลูเอ็นเซอร์ จะมีผู้ติดตามมากมายซึ่งส่วนใหญ่มักจะมีส่วนร่วมในเนื้อหาที่พวกเขาพูดเป็นประจำ อินฟลูฯ มีมากมายหลายหมวด ไม่ว่าจะเป็นหมวดการท่องเที่ยว สายทำอาหาร สายวิชาการ สายบันเทิง สายสุขภาพ
แต่ผมจะเป็นอินฟลูฯ สายไหนกันดีนะในเมื่อตัวผมเองก็ไม่เก่งอะไรสักอย่าง....เห้อ
โดย Chavaroj
เช้าวันนี้แม้ว่าจะไม่ใช่เวรของผมที่จะต้องตื่นมาช่วยม๊าจ่ายกับข้าวก็เถอะ แต่เมื่อคืนอากาศดีนอนหลับตั้งแต่สี่ทุ่มครึ่ง เช้าวันนี้หกโมงตรงเผงผมก็ตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่นที่สุด
อากาศดีเพราะเมื่อคืนดันมีพายุเข้า ฝนฟ้ามันเป็นใจ ผมชอบนอนฟังเสียงฝน จำได้ว่าสมัยเด็ก ๆ พวกเราลูก ๆ จะปูฟูกนอนกันที่พื้น บางครั้งม๊าก็ลงมานอนเขลงกับพวกเรา ยิ่งคืนวันฝนตกด้วยล่ะก็ ทั้งป๊าทั้งม๊า ก็จะลงมานอนกับพวกเราด้วยเพราะกลัวว่าพวกเราจะตกใจเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่า
ป๊าก็จะเล่านิทานเรื่องเมขลากับรามสูร ตำนานที่นางฟ้าชื่อเมขลามีแก้ววิเศษโยนเล่นไปมาจนไปเจอะกับอีตายักษ์รามสูร ฝ่ายอีตายักษ์นี่ซึ่งตอนเด็ก ๆ ผมก็ไม่ค่อยจะเข้าใจว่าจะอยากได้ลูกแก้วที่ว่านั่นทำไม ก็เลยขอกับยายเมขลา
แน่ล่ะยายนางฟ้าขี้งก คนขอก็ไม่ให้ ตายักษ์ก็เลยโมโห ไล่จับ เอาขวานเฝี้ยงจนเกิดเสียงเปรี้ยงปร้าง แล้วประกายจากลูกแก้ววิเศษ ก็จะทำให้เกิดประกายเป็นสายฟ้า นั่นเอง
นั่นก็เลยทำให้พวกเราพี่น้องสามคนไม่ค่อยกลัวฟ้าฝนอีกในเวลาต่อมา แต่ถ้าฟ้าร้องดัง ๆ ก็สะดุ้งตกใจเหมือนกันถ้าไม่ทันตั้งตัว
ผมบิดขี้เกียจชะโงกไปดูตรงระเบียงห้อง ซึ่งมีกระถางต้นโป๊ยเซียนหกกระถาง พวกมันได้น้ำใบก็เลยเขียวดีจัง แถมออกดอกเป็นพวงเป็นช่อสวยชะมัด ผมปลูกดอกไม้ไม่เก่งไม่เหมือนพ่อกับไอ้ธรรม
แต่พ่อขอฝากต้นโป๊ยเซียนไว้ตรงระเบียงห้องนอนของผมเพราะมันได้แดดดีที่สุดในช่วงเช้าถึงเที่ยง ผมก็เลยมีหน้าที่ต้องรดน้ำมันบ้างสองสามวันครั้ง เพราะต้นโป๊ยเซียนไม่ได้ชอบน้ำมากเท่าไร ยิ่งแล้งก็ยิ่งออกดอกสวย แต่ก็ไม่ใช่ใจดำไม่ให้น้ำเลยไม่งั้นมันก็ตายแน่ ๆ ไม่ต้องสงสัย ให้น้ำมันแบบให้มั่งไม่ให้มั่ง นึกได้ก็ให้อะไรทำนองนี้
ครั้นเดินลงมาข้างล่างป๊าซึ่งวุ่นวายอยู่หลังบ้าน ก้ม ๆ เงย ๆ ปลูกต้นไม้ในกระถาง ซึ่งพักหลัง ๆ ท่าจะอิน ลงทุนซื้อเมล็ดผักมาปลูกเสียหลายอย่าง ม๊าเห็นก็รำคาญนินทาป๊าว่าซื้อกินง่ายกว่า บ้านเราก็อยู่หลังตลาดแค่นี้ จะปลูกให้เหนื่อยยากไปทำไมกัน แต่ผมก็ห้ามม๊าว่าปล่อยแกให้สนุกของแกไปเถอะ คนเรามันก็ต้องมีงานอดิเรกกันบ้าง
ผมเดินไปยืนกอดอกมองป๊าที่กำลังสาละวน รดน้ำต้นผัก ดูแกจะชอบอกชอบใจกับต้นผักบุ้ง ต้นผักกาดอะไรของแกนั่น
"แหมไอ้ดินที่ซื้อมาท่าทางจะไม่ค่อยดี ป๊าอุตส่าห์ปลูกผักคะน้า หวังจะเอามาให้ม๊าผัดน้ำมันหอยให้กิน ดูสิ มันแกร็นจัง" ป๊าหันมาบ่นแต่อมยิ้ม
"สงสัยต้องใส่ปุ๋ยเพิ่มมั้งป๊า" ผมพูดเอาใจ
"ทำปุ๋ยหมักดีกว่า ปุ๋ยเคมีไม่ดีหรอก" ป๊าพูดเหมือนบ่นกับตัวเอง เอาล่ะ คงจะมีอะไรสนุก ๆ ให้ป๊าได้ลองทำ ส่วนผมได้ยินเสียงม๊าเข้าบ้านมากับไอ้ธรรมแล้ว หอบหิ้วอะไรมาเสียเยอะแยะ
"ได้อะไรมากินบ้างอ่ะม๊า?" ผมยิ้มประจบและเดินไปช่วยถือถุงเล็ก ๆ ในมือม๊าสามถุงมาถือแทน
"ก็เดิม ๆ แหละ แต่ม๊าได้มันแกวมาสองโล แหมมันสดดีจัง ราคาก็ถูกอย่างกับได้เปล่า เอามาผัดกับหมูกินสักหน่อยเป็นยังไง แล้วพรุ่งนี้เดี๋ยวม๊าทำ ทับทิมกรอบ หนูดีมันชอบกิน" ม๊าที่หลงรักหลานสาวสุดหัวใจ หายใจเข้าหายใจออกก็เป็นของโปรดของหลานสาวพูดแล้วก็หันมาแยกของที่จะใช้ทำกับข้าว ผมก็เลยมีหน้าที่เอามันแกวมาปอกเสียเลย
ม๊าต้มน้ำซุปไก่ไว้ตั้งแต่เมื่อวานหม้อโต ๆ ใส่ผักเสียมากมาย ทั้งมะเขือเทศราว ๆครึ่งสวน มันฝรั่งลูกเล็ก ๆ ซึ่งซื้อมาจากร้านขายอาหารพม่า หัวหอมใหญ่อีกพะเรอเกวียน หัวแครอทที่ถูกหั่นเป็นแว่นอวบ ๆ ตั้งสี่หัวกับโครงไก่ที่มีเนื้อติดให้แทะเล่นสามโครง ม๊าต้มเป็นมื้อเย็นเมื่อวาน ก็อร่อยดีอยู่หรอก แต่พอผ่านการเคี่ยวด้วยไฟอ่อน ๆ แล้วตอนเช้ายังเคี่ยวต่ออีก น้ำซุปก็เลยหวานสนิท
ยิ่งม๊าใส่พริกไทยดำเป็นเม็ด ๆ เวลากินจะอุ่นร้อนในปากในท้อง น้ำซุปจะหอมนำด้วยผักขึ้นฉ่าย เวลากินก็ได้น้ำซุปที่ได้ความหวานทั้งจากมันฝรั่ง หัวหอมใหญ่ และมะเขือเทศเปื่อยยุ่ยจนน้ำซุปมีสีส้มแดงอมส้มเพราะผสมจากหัวแครอทที่เปื่อยจนนิ่มเข้าปากละลายโดยไม่ต้องเคี้ยว
ส่วนโครงไก่น่ะใครใคร่จะแทะเศษเนื้อก็แทะไป ก็สนุกเหงือกสนุกฟันดีเหมือนกัน พวกเราขี้เกียจกินเนื้อเพราะชอบกินผักนุ่ม ๆ มากกว่า
"กินน้ำซุปไก่ตอนอากาศชื้น ๆ จะได้ไล่หวัด" ม๊าให้เหตุผล ซึ่งเป็นเมนูที่บ้านเราจะได้กินตอนมีฝนตกเป็นประจำ
ส่วนมันแกวครึ่งหนึ่ง ผมก็ใช้มีดปอกเปลือกผลไม้ปอกจนได้หัวมันแกวขาวจั๊วะ มันเป็นมันแกวอ่อน หัวไม่ใหญ่มาก ปอกยากนิดหน่อย ผมกับไอ้ธรรมช่วยกันปอกสองคน ได้ตามที่ม๊ากะไว้ให้ ม๊าก็เอามาหั่นเป็นท่อนขนาดประมาณนิ้วก้อย แล้วก็เอามาผัดกับหมู ผัดแบบเดิม ๆ นี่แหละ ใส่ซีอิ๊ว ใส่พริกไทย ไม่ใส่น้ำตาลเลยเพราะมันแกวปกติก็หวานอยู่แล้ว ยิ่งโดนความร้อนก็ยิ่งหวานเข้าไปใหญ่
เช้านี้เราก็กินกับข้าวกันสองอย่างคือ ซุปไก่ กับผัดมันแกว และไม่ลืมไข่ลวกที่จะต้องกินทุกเช้าเพื่อให้ร่างกายได้โปรตีน
ผมล่ะติดใจขอตักมันแกวผัดใส่กล่องอาหารของตัวเองมากหน่อยเดี๋ยวจะเอาไปกินตอนมื้อเที่ยง
วันนี้คงจะค่อนข้างน่าเบื่อเพราะคนอื่น ๆ ในทีมออกไปทำงานข้างนอกหมด เหลือผมที่ต้องเคลียร์เอกสาร แต่ถึงอย่างนั้น ออฟฟิศของผมก็ไม่เงียบเหงาหรอกนะ
ติดกับแผนกการตลาดของผม ปีกหนึ่งของชั้นสาม ถูกแยกเป็นห้องซาลอน หรือห้องทำผม ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่เทคนิคเชียล ประจำการกันอยู่สามคน
พี่มนัส หรืออาจารย์มนัส คือหัวหน้าของแผนกนี้ มีนางเล็ก ๆ อีกสองคนคือ ช่างอั๋นกับช่างต้อม ซึ่งผมเรียกพวกมันว่าอีอั๋น กับนังต้อง
อีอั๋นเด็กกว่าผมหลายปี ส่วนนังต้องนั้นเกิดปีเดียวกัน สองสาวคือช่างทำผมมีฝีมือซึ่งพี่อังเล็งไว้ตั้งแต่สมัยยังเป็นช่างมือรอง ตอนไปออกอีเว้นท์ต่าง ๆ รับงานเป็นช่างผมฟรีแลนซ์ เห็นหน่วยก้านดี หน้าตาไปวัดไปวาได้ ก็เลยจีบให้มาอยู่บริษัทเดียวกันเสียเลย
อันว่าแผนกซาลอนนี้สำคัญนักหนาเพราะบริษัทของเราเป็นบริษัทที่ทำผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับผม ดังนั้นต้องมีช่างผมไว้สาธิตการใช้ รวมถึงคอยเทสสินค้า ซึ่งแผนกอาร์แอนด์ดี จะให้เฮียตี๋ขับรถเอามาส่งทุกบ่อย
ดูไปก็น่าสนุกเหมือนการทดลองในห้องวิทยาศาสตร์สมัยเรียนชั้นมัธยม เพราะปอยผมที่ทำมาจากผมจริง จะถูกจำมาฟอกจนเป็นสีเหลืองซีด แล้วก็เอาปอยผมไปเทสสี อย่างเช่นเทสสีน้ำตาลคาราเมล หมู่สาว ๆ ก็ต้องทำเป็นแผ่นรายงาน ว่าปอยผมที่ทำการทำเคมีจากของบริษัทเรา แล้วก็บริษัทคู่แข่ง แตกต่างกันอย่างไร แค่คิดก็สนุกแล้ว แต่ไม่เวลาทำไม่สนุกเพราะต้องคอยจับเวลาอย่าให้พลาด
ทั้งการเทสจากผมที่ล้างสีผมออก และสีผมจริงที่ยังไม่ผ่านเคมีใด ๆ เพื่อเทียบกันว่าผลิตภัณฑ์ไหนให้สีได้สวยที่สุด แน่ละของบริษัทของผมน่ะ ทำเม็ดสีได้ติดดีพอ ๆ กับของนอก หรือบางตัวดีกว่าด้วยซ้ำไป
แต่ผลิตภัณฑ์ที่ขายดีอันดับแรกซึ่งเป็นเจ้าใหญ่ที่สุดของตลาดก็คือครีมหมักผม กระปุกสีเขียวตุ่น ๆ มีลูกโจโจบาร์ ติดอยู่ด้านข้าง เพราะมีส่วนผสมของน้ำมันจากโจโจบาร์ออย ทำให้ผมที่แข็งเหมือนแปรงขัดส้วม กลายเป็นนุ่มลื่นดุจเส้นไหมได้ในชั่วพริบตา ที่สำคัญไม่ต้องอบต้องเอิบให้มันยุ่งยาก หลังสระผมก็เอามาชโลมที่ปลายผมทิ้งไว้ครู่หนึ่งก็ล้างได้เลย แค่นี้คุณลูกค้าก็จะได้ผมนุ่มสลวยราวกับแพรไหม
ตามธรรมดาอยู่เองที่พอไม่ค่อยมีคนอยู่งานก็ไม่เยอะ แถมบรรดาหัวหน้าก็ไม่ค่อยเยื้องกรายไปแผนกอื่น ๆ เพราะการไปแผนกอื่น ๆ ไม่ใช่อยู่ดี ๆ จะเดินเทิ่ง ๆ เข้าไปได้หรอกนะ ต้องมีบัตรผ่าน
หรือต้องเรียกคนของแผนก นั้น ๆ ให้กดเปิดประตูให้เราไม่อย่างนั้นเข้าไม่ได้ อีทีนี้ก็หวานหมู แมวไม่อยู่หนูระเริง แผนกของผมที่ชั้นสามเหลือผมกับน้องแผนกแบรนด์ซึ่งยุ่ง ๆ กับงานของหล่อน อีกสามคน ผมที่จัดการเอกสารจนเสร็จตั้งแต่สิบโมงครึ่งเก๊าะเลยไม่มีอะไรทำ
อย่ากระนั้นเลยเดินไปเม้ามอยที่ห้องซาลอนดีกว่า เพราะนังอั๋นก็ถูกทิ้งไว้ให้ได้ออกไปข้างนอก เพราะต้องทำเทสปอยผมอย่างที่เคยเล่า
"ว่าไงอีนี่" ผมทักพร้อมกับเดินเข้าไปในห้องซาลอน ทิ้งตัวตรงเก้าอี้ทำผม ส่วนนังอั๋น ก็นั่งเท้ากะเอว เปิดดูคอมพิวเตอร์หาแบบผม แล้วก็เซฟเก็บไว้ ทำเป็นงานอดิเรก ไม่ได้ทำเพื่อเอาไปเสนอกับนายอะไรทั้งนั้น
"เบื่ออ่ะเจ๊ธง หนูโดนทิ้งอยู่คนเดียวอีกแล้ว" นังอั๋นบ่น
"ชั้นก็โดนทิ้งไว้คนเดียวเหมือนกันย่ะ" ผมครวญบ้าง
"นี่เจ๊ ได้ข่าวป่าวเมื่อวันก่อนพี่นัสโดนปล้นแหละ" นังอั๋นนินทานาย แล้วก็หัวเราะกิ๊ก
"ว้ายอะไรยังไง?" ผมตาลุก แล้วนังอั๋นก็เล่าเป็นฉาก ๆ ประหนึ่งเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ เรื่องราวก็ไม่มีอะไรมาก ก็คือพี่มนัสไปสำเริงสำราญ ที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่ง แล้วก็โดนโจรจะมาจี้ แม่ไม่รู้จะหนีไปทางไหนก็เลยโดดลงไปแอบในบ่อข้างสวนที่ว่า นึกแล้วก็ดูไม่จืด
คุยอะไรกันอยู่ครู่หนึ่งนังอั๋นก็คงนึกคันไม้คันมือ เห็นหัวของผมมันอยู่ว่าง ๆ หล่อนก็วางมือจากคอมตรงหน้า แล้วก็เดินมาขยี้หัวผมเล่น เอาหวีของหล่อนปัดซ้ายมั่งปัดขวามั่ง
"เจ๊ทำสีผมดีกว่า เดี๋ยวหนูทำไฮไลท์ให้" นังอั๋นว่า ซึ่งผมก็คิดว่าน่าสนุกดี จะยังไงผมก็มั่นใจในผลิตภัณฑ์ของบริษัทตัวเองอยู่แล้ว แล้วก็เชื่อใจฝีมือของนังอั๋นด้วย
ว่าแล้วนังอั๋นก็ไปตัดฟลอยด์เป็นชิ้นขนาดประมาณฝ่ามือ พร้อมกับละลายผงกัดสีผม และละลายไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ 9% ซึ่งต้องผ่านการช่างตวงวัดไม่ใช่กะเอาตามใจเด้อสาว ๆ ผู้รักความสวยงามแต่ไม่รักที่จะเสียเงินมาก ๆ ช่างผมล่ะเบื่อนักพวกอยากสวยแต่อยากประหยัดเนี่ย สุดท้ายเสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย เพราะเมื่อทำผมเองอย่างไม่รู้หลัก ผลที่ได้คือผมด่างเป็นขนหมา
หัวของผมมีปอยไฮไลท์สามสี่ปอย ก็ได้เวลาเที่ยงพอดี ผมก็เลยชวนนังอั๋นไปกินข้าวด้วยกัน
"ไม่เอาอ่ะ เจ๊ก็รู้หนูกินยาก" นังอั๋นผู้ซึ่งตัวเท่านักมวยปล้ำ เรียกตัวเองว่าหนูพูดพร้อมกับคำค้อนควักไปมา
นังอั๋นนั้นตัวสูงกว่าผมอีก น่าจะราว ๆ ร้อยแปดสิบ ผิวเข้มอมเหลือง เพราะชอบดูดบุหรี่ เวลายิ้มเหงือกดำปิ๊ด แต่ถึงแม้จะเป็นคนแดกยาก แต่ตัวก็อัวนจนพุงกลม อาหารที่เป็นอาหารต้องห้ามของอีนี่คือ ปลาทุกชนิด จะต้มจะทอด จะนึ่งแม่เกลียดหมด แต่ปลาสวรรค์ทาโร่เสือกแดกได้ เอากับมันสิ
"งั้นก็ไปซื้อข้างนอกแล้วมานั่งกินข้างบนด้วยกันก็ได้ข้างนอกแดดร้อน" ผมต่อรอง เป็นอันว่าผมที่มีฟรอยด์มัดติดหัวกบาลสี่อันเดินผ่าแดดเปรี้ยง ๆ ไปร้านขายอาหารใกล้ ๆ ออฟฟิศ
ผมน่ะมีกับข้าวอย่างหนึ่งแล้ว แต่ไม่มีข้าว ก็เลยเดินไปซื้อข้าวเปล่าหนึ่งห่อ กับไข่ต้มอีกสองฟอง กะว่าเอามาแบ่งกันกินกับนังอั๋นคนละฟอง แล้วก็ซื้อน่องไก่ทอดอีกสองชิ้นแต่อันนี้แดกเองไม่แบ่งใครเด้อ
นังอั๋นเดินทำหน้าเซ็ง ๆ ไปสั่งแม่ค้าเอาข้าวราดแกงซึ่งสาบานว่าดูหน้าตาไม่น่าอร่อยเลยสักนิด พร้อมกับไข่ดาวโปะหน้าซึ่งทอดซะมันย่อง
เราเดินกลับเข้ามาในออฟฟิศ พอขึ้นลิฟต์ไปชั้นบนสุดซึ่งใช้สำหรับพนักงานใช้รับประทานอาหาร ก็เจอคนนั่งกินอยู่หลายคน ทักทายกิ๊วก๊าวแล้วเราก็แกะข้าวมานั่งกินกัน
"บ้านพี่ธงนี่ก็ทำของมากินเก่งเนอะ ทำมาแต่ของแปลก ๆ" อีอั๋นพูดแบบวอนโดนตบ
"แปลกยังไงยะ ?" ผมหันไปถาม
"ก็มันแกวอ่ะ เอามาผัด หนูเกิดมาไม่เคยกิน" นังอั๋นพูดและทำหน้าเบื่อโลก
"กูแดกตั้งแต่ยังเด็ก แม่กูทำ ใคร ๆ เขาก็กินกันอีควาย" ผมว่าพร้อมกับยื่นไข่ต้มให้แม่งหนึ่งฟอง ทีแรกว่าจะปอกให้มันแต่ปากหมาอย่างนี้ปอกเองก็แล้วกันอีผี
เริ่มต้นกินได้สองสามคำ ก็มีคนมานั่งกินด้วยอีกคน นังข้าวตู แผนกต่างประเทศ ซึ่งเจ้าหล่อนเป็นคนบ้าจี้ขั้นสุดพูดอะไรนิดอะไรหน่อย ก็ขำเสียแทบตาย
"ว้าย เจ๊ธงกับพี่อั๋นไม่ออกไปงานกับเขาหรอ?" อีข้าวตูทักแล้วก็หยิบจานมานั่งข้าง ๆ ผม
"ไปแล้วหล่อนจะเห็นชั้นหรอยะนังข้าวตู" อีอั๋นผู้กวนประสาทหันไปบ่นแล้วก็ยื่นหน้าไปดูนังข้าวตูว่ามันจะแดกอะไรสำหรับเที่ยงนี้
"ข้าวกะเพราไก่ไข่ดาว" ผมกับนังอั๋นพูดพร้อมกัน เพราะเจอนังข้าวตูทีไรกินแต่อีพรรแบบนี้ทุกที
"ตูไม่เบื่อหรอ ?" ผมหันไปถามทำหน้าเบื่อแทน
"ฮึ...ไม่อ่ะ...ตูชอบกินได้ทุกวันไม่เบื่อเลย" นังข้าวตูว่าแล้วก็โซ้ยเอา ๆ ด้วยท่าทางอร่อยเต็มที่ ผมก็มองอย่างระอาใจนิด ๆ เพราะข้าวตูถึงจะเป็นน้องที่น่ารักแต่หล่อนก็เป็นคนแปลก ๆ
อาจเพราะเป็นเด็กเนิร์ด ก็ดูจากแว่นตาหนา ๆ ของหล่อน แล้วก็การแต่งเนื้อแต่งตัว ซึ่งขาดกับบุคลิกของบริษัทเราอย่างสิ้นเชิง ก็บริษัทเราน่ะ มันเป็นบริษัทแฟชั่นแต่ข้าวตูแต่งตัวเหมือนครูเทศบาลที่ต่างจังหวัดอันไกลโพ้น
กล่าวคือถ้านางไม่ได้ใส่เสื้อบริษัท เสื้อตัวประจำ ๆ ที่เราเห็นก็คือเสื้อเชิ้ตแขนสั้นตัวโคร่ง ๆ ลายขวางสีตุ่น ๆ กับกางเกงทรงลุงพอง ๆ ตัวข้าวตูมันก็อวบ ๆ ค่อนไปทางอ้วนแต่ไม่ได้ตัวสูงเหมือนอีอั๋น แว่นตาหนา ๆ กับรอยยิ้มใสซื่อ เห็นแล้วก็โกรธไม่ลง
ผมเคยไปพูดเปรย ๆ อ้อม ๆ ว่าข้าวตูน่าจะแต่งตัวให้ทันสมัยกว่านี้แต่นางก็อือ ๆ ออ ๆ รับปากไปส่ง ๆ พูดอยู่สองรอบผมก็ไม่เสือกเรื่องของเขาดีกว่า ความชอบและรสนิยมคนเรามันไม่เหมือนกัน เราว่าดีเขาอาจว่าไม่ดีก็ได้ เก็บความหวังดีของเราไว้ในใจถ้าเขาไม่ได้ขอความช่วยเหลือดีกว่า
ข้าวตูดูเหมือนจะเป็นคนกินน้อยแต่หล่อนติดหวาน และชอบกินฟาสต์ฟู้ดที่สุด
"เวลาที่ตูมีความสุขที่สุดนะพี่ธง ก็คือ ตอนเลิกงานแล้วตูก็ไปนั่งกินเฟรช์ฟราย กินไก่ทอด แล้วตูก็อ่านหนังสือไปด้วย" นังข้าวตูเคยเล่า ซึ่งหนังสือของหล่อนก็ล้วนแต่เป็นภาษาต่างประเทศ นอกจากนี้ข้าวตูผู้แสนน่ารักยังมีของสะสมอีกหนึ่งอย่างก็คือ ไพ่ธาโร่ต์ประเภทต่าง ๆ
"วันนี้ออฟฟิศเงียบ ๆ" ผมบ่นลมบ่นฟ้า เพราะเราก็รู้กันหมดแหละว่าวันนี้ใคร ๆ ก็ไปงานกับเกือบหมดเฮียโหงวยังไปเลย เหลือคนไว้เฝ้าแผนก แผนกละคนเท่านั้น แผนกของข้าวตูก็ไม่เว้น
"งั้นเดี๋ยวกินข้าวเสร็จเราไปดูหมอกัน" นังข้าวตูว่าแหมถูกใจผมเสียนัก ก็เลยยกน่องไก่ให้ข้าวตูมันไปเลยหนึ่งชิ้น ...ข้าวตูน้องรัก
กินข้าวเสร็จอย่างว่องไว ข้าวตูผู้ไม่ชอบลองอะไรใหม่ ๆ ก็ลองกินผัดมันแกวแล้วหล่อนก็ค่อนข้างจะติดใจกินอยู่หลายคำ ส่วนนังอั๋นผู้แดกยากที่สุดในโลก เจอนังข้าวตูเคี้ยวตุ้ย ๆ ท่าทางน่าอร่อยก็เลยอดไม่ได้ขอลองไปหนึ่งคำ ซึ่งเจ้าหล่อนก็ทำปากเบ้ ไม่กินอีก ดีไม่เปลือง อีผี
เราลงมานั่งรอข้าวตูที่ห้องซาลอน ครู่เดียวข้าวตูก็เดินหน้าเริดมาพร้อมห่อผ้าสำคัญ ในนั้นมีไพ่ทาโรต์อะไรของหล่อน ผลัดกันดูกับนังอั๋นซึ่งสารภาพตรง ๆ ก็ดูกันไปสนุก ๆ อย่างนั้นแหละ เพราะผมก็ไม่เห็นวี่แววว่าชีวิตของตัวเองจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปกี่มากน้อย เหมือนฟ้าขึ้นทางทิศตะวันออกและตกทางทิศตะวันตกฉันใด ผมก็ยังคงมาทำงานเลิกงานก็กลับบ้าน
ปีใหม่นั้นผ่านมาแล้วบางบริษัทก็เลี้ยงตั้งแต่ปลายปี แต่บริษัทผม จะมีกินเลี้ยงรวมของบริษัทเอาหลังปีใหม่ เพราะผ่านอะไรวุ่น ๆ มาแล้ว แต่จะต้องจัดก่อนตรุษจีนนะ เพราะบรรดาพนักงานไม่มีแก่จิตแก่ใจจะทำอะไรอยากจะรอรับแต๊ะเอีย หรือโบนัสกันมากกว่า
"ปีนี้เขาจัดเลี้ยงปีใหม่ที่ไหนอ่ะ?" ข้าวตูถามเพราะวัน ๆ หล่อนยุ่งอยู่กับแผนกไม่ค่อยได้ออกไปไหน
"ที่เดิมมั้ง" ผมว่าและนังอั๋นก็มีแต่ความว่างเปล่าในแววตา
ผมนั่งเปิดไพ่ขณะที่นังอั๋นก็ใช้ไดร์เป่าผมของผมไปด้วย เพราะเมื่อกี้ก็นอนบนเตียงสระล้างผงกัดจนเห็นเส้นปอยผมสีเหลืองซีดบนหัวผ่านกระจก
"เจ๊ธง ลงสีด้วยเนอะ" นังอั๋นถามไม่รอความเห็น มันก็ไปบีบแม่สีอะไรของมันไปตามเรื่อง แล้วก็ลงสีน้ำเงินที่ช่อผมซึ่งถูกกัดจนเม็ดสีถูกล้างออกไปหมดแล้ว
ลืมเล่าไปว่าระหว่างกระบวนการ นังอั๋นก็จะถ่ายรูป ก่อนและหลังไว้ด้วย ไม่อย่างนั้นก็จะหาว่าเรามาทำสีผมกันเล่น ๆ จริง ๆ มันก็เล่นแหละ แต่ได้งานได้การไปด้วยในตัว
ย่างเข้าบ่ายโมง ข้าวตูหนีกลับขึ้นไปที่แผนกต่างประเทศของนาง ส่วนผมก็ยังอยู่กับนังอั๋นในห้องซาลอนนังอั๋นก็นั่งมองหน้าจอคอมพิวเตอร์อะไรของมันไป ผมก็หยิบหนังสือประเภทที่มีในร้านทำผมมาอ่านเล่น ๆ
"เจ๊ธง ปีนี้แผนกเราแต่งตัวงานบริษัทธีมอะไรดี?" นังอั๋นหันมาถาม ส่วนผมก็ทำปากยู่
"ได้ข่าวว่า ปีนี้แผนกบุคคลเขาให้แต่งตัวธีมย้อนยุค" ผมตอบเพราะได้ยินนังอุ๋มกับนังเจี๊ยบพูดอยู่เมื่อเช้า เจ้าหล่อนจะแต่งแบบออเจ้า เป็นแม่หญิงการะเกด แต่ผมกลัวว่าพี่นุ้ยจะเป็นแม่การะเกดแทนเสียไม่ว่า ส่วนสองสาวชะนีขาวชะนีดำ คงไม่แคล้วเป็นพี่ผินพี่แย้มเสียมากกว่า
"ธีมสุรีโยทัยดีมั๊ยมึง ให้หม่อมแม่เป็นพระสุริโยทัย พวกเราก็เป็นคุณข้าหลวง" ผมเสนอความเห็น เพราะจะมีอะไรเหมาะไปกว่าการได้ประจบนายแบบนี้กันเล่า
"เออดีเนอะ เดี๋ยวหนูหาข้อมูลก่อน" นังอั๋นว่าแล้วเจ้าหล่อนก็ดาวน์โหลดรูปจากหนังสุริโยทัยของท่านมุ้ย แหมมันจะเหมาะเหม็งอะไรอย่างนี้ ไอ้ช่อผมนี่ก็หาเช่าเอาได้ไม่ยาก ทาแป้งให้หน้าขาวจ๋อง วาดคิ้วโก่ง ๆ เหมือนตอนวรรณาถวายตัว อันนี้มันความใฝ่ฝันของเก้งน้อยหอยสังข์อย่างพวกเราอยู่แล้ว ส่วนหม่อมพี่เจี๊ยบ เล่นง่าย ๆ ให้แต่งตัวเป็นโขลน รวมผมแล้วเอาปอยผมปลอมมาติดข้าง ๆ เพราะหุ่นหม่อมเจี๊ยบน่ะมันโขลนวังชัด ๆ
"ส่วนนังจอยนี่ต้องถามความสมัครใจของมันอีกทีว่าอยากแต่งชุดอะไร" ผมพูดเมื่อปรึกษากันว่าใครควรใส่ชุดไหน
"โอ๊ยพี่ธง เอาให้แน่เถอะ มันจะมางานหรือเปล่า อีนี่มันผีเข้าผีออก" นังอั๋นบ่น
"มันงานสังสรรค์ ไม่ใช่งานจริง ๆ ที่ไหนเล่า" ผมหันไปตอบและถอนหายใจ ก็เพราะนังจอยมันโดดงานอีกแล้ว วันนี้ผมถึงต้องอยู่เฝ้าออฟฟิศแทนมันนี่แหละ
"ส่วนอีพี่ชีพ จะให้แต่งตัวเป็นขุนวรวงศา หรือจะให้แต่งตัวเป็นพระเธียรดี" นังอั๋นพูดไปหัวเราะไป
"กูว่าแต่งเป็นทหารเลวดีที่สุด...สภาพค่ะสาว...สภาพ" ผมเปรยพลางนึกภาพอีพี่ชีพไปด้วย
เรื่องมันก็เลยกลายเป็นว่า หลังจากผมได้ช่อผมสีน้ำเงินแปร๊ดสวยสด ผมกับนังอั๋นก็ต้องเซฟรูป พร้อมหาข้อมูลเช่าชุดจากร้าน เพื่อเสนอนายแม่อังคณาอีกที เนื่องจากงานนี้ไปข้างนอกกันหมด ไม่มีเวลาหา คิดแล้วก็น่าสนุกอยากให้ถึงวันงานไว ๆ ซึ่งมันก็อาทิตย์หน้าแล้ว
นังอั๋นโทรศัพท์ไปแจ้งกับพี่มนัส พร้อมกับพูดคุยราวละเอียดคร่าว ๆ ซึ่งผมก็ได้ยินเสียงพี่มนัสพูดมาจากอีกฝั่งเพราะนังอั๋นเปิดสปีกเกอร์โฟน
"เออ ๆ เริด ๆ เจ๊อังก็อยู่ตรงนี้ อีเจ๊ก็ว่าดี หล่อนหาชุดให้เจ๊อังเลย ส่วนกูเอาชุดคุณข้าหลวงด้วยชุดนึงเหมือนกัน" พี่มนัสพูดส่วนผมกับนังอั๋นพยายามกลั้นหัวเราะ
"อรั๊ยของหนูด้วยค่ะคุณแม่ อีอั๋นของกูด้วยชุดนึง เอาสีเด่น ๆ นะมึง" เสียงนังต้องที่อยู่แถว ๆ นั้นเติมมาอีกหนึ่ง
จบจากพี่มนัสก็ถึงคิวของหม่อมพี่เจี๊ยบ ซึ่งแน่ล่ะ เจ้าหล่อนของ่าย ๆ ราคาประหยัด ๆ และที่สำคัญ สามารถไปเต้นหน้าลำโพงได้
"พี่ธงล่ะแต่งชุดอะไรดี?" นังอั๋นหันมาถาม พร้อมกับเตรียมสมุดปากกา จดว่าใครจะแต่งชุดอะไร
"ชุดสาวชาววังธรรมดา ๆ เหมือนหม่อมพี่เจี๊ยบก็แล้วกัน ไปทำสวยเกินหน้าเกินตาเขา น่าจะไม่เหมาะ ที่สำคัญเสียดายเงินว่ะ" ผมว่าแล้วก็อั๋นก็ทำปากสระอิ ยักไหล่หนึ่งที แล้วก็จดตามที่ผมสั่ง
พอโทรถามอีจอยนางถามถึงผมกับพี่เจี๊ยบ นางก็เลยว่าเลือดสุพรรณไปไหนไปด้วยกันเราก็เลยแต่งเป็นนางกำนัลชาววังด้วยกันสามคน
"เหลืออีพี่ชีพ" ผมนึกขึ้นมาได้เลยให้พี่เจี๊ยบหยิบโทรศัพท์เดินไปถามเจ้าตัวด้วยซะเลย พี่เจี๊ยบคุยกับอีพี่ชีพอยู่พักใหญ่ คุยไปหัวเราะไปด่าไป จนสุดท้ายอีพี่ชีพก็จะแต่งชุดเดียวกับพวกเรา แค่คิดก็สนุกแล้ว
อยากให้ถึงงานปีใหม่เร็ว ๆ แผนกของผมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันขนาดนี้แผนกอาร์ตเรอะ อย่าหวัง ปีนี้รางวัลชุดแต่งกายดีเด่นแบบกลุ่มต้องเป็นของพวกเราแผนกการตลาดจ๊ะ