ก็เพราะชีวิตประจำวันมันน่าเบื่อ ก็เลยอยากเป็นอินฟลูกับเขาสักคน
ชาย-ชาย,ตลก,ไทย,เล่าประสบการณ์,ยุคปัจจุบัน,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
แปะจะเป็นอินฟลูฯก็เพราะชีวิตประจำวันมันน่าเบื่อ ก็เลยอยากเป็นอินฟลูกับเขาสักคน
โลกยุคนี้ มันเป็นยุคของ อินฟลูเอ็นเซอร์ นั่นก็คือบุคคลที่มีผู้ติดตามบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย
อินฟลูเอ็นเซอร์ จะมีผู้ติดตามมากมายซึ่งส่วนใหญ่มักจะมีส่วนร่วมในเนื้อหาที่พวกเขาพูดเป็นประจำ อินฟลูฯ มีมากมายหลายหมวด ไม่ว่าจะเป็นหมวดการท่องเที่ยว สายทำอาหาร สายวิชาการ สายบันเทิง สายสุขภาพ
แต่ผมจะเป็นอินฟลูฯ สายไหนกันดีนะในเมื่อตัวผมเองก็ไม่เก่งอะไรสักอย่าง....เห้อ
โดย Chavaroj
หลังเมฆฝนมีสายรุ้งซ่อนอยู่ คำพูดนี้เห็นจะเป็นจริงสำหรับชีวิตของจิมมี่ ต่อไปนี้สักทีแล้ว
เพราะหลังจากพบเจอทุกข์โศกมาสารพัด เนิ่นนานนับปี จนหลายครั้ง จิมมี่แทบคิดอยากจบชีวิต ชีวิตเฮงซวย ชีวิตที่มีแต่ความโชคร้าย ครั้งแล้วครั้งเล่า
และเมื่อตื่นลืมตา ภาพใบหน้าของคนแปลกหน้าที่มองเขาอย่างเป็นห่วงที่พากันรุมล้อม และเสียงเอะอะเมื่อจิมมี่ค่อย ๆ ปรือตามองช้า ๆ
"เป็นอะไรมากไหม?" เสียงพูดภาษาภาคกลางค่อนข้างชัด พูดก็ไม่พูดเปล่า ใช้ผ้าชุบน้ำค่อย ๆ เช็ดหน้าเช็ดตา แต่เมื่อโดนเนื้อตัวของจิมมี่บางจุด จิมมี่ก็สะดุ้ง เพราะความเจ็บปวด
"ไม่มีตรงไหนหัก ทนเจ็บหน่อยนะพ่อหนุ่ม" เสียงใจดีของป้าที่โพกหัวด้วยผ้าฝ้ายสีแดงสด เช็ดเนื้อเช็ดตัวให้จิมมี่อย่างทะนุถนอม แต่ถึงอย่างนั้นแกก็มือหนักชะมัด แต่จิมมี่รับรู้ได้ถึงความปรารถนาดี ความเป็นห่วงผ่านการสัมผัสจากมือหยาบกร้านแม้จะแรงไปสักหน่อย
"ขอกินน้ำหน่อยได้ไหมครับ?" จิมมี่พูดด้วยเสียงที่แหบพร่า ไม่รู้ว่ากี่ชั่วโมงแล้วที่จิมมี่ไม่ได้ดื่มน้ำสักหยด ได้มะม่วงสุกเปรี้ยวปรี๊ดค่อยบรรเทาความกระหาย แต่การเร่งฝีเท้าเดินจนเหงื่อซึมจนเสื้อผ้าของจิมมี่เปียกซก
แก้วน้ำพลาสติกเก่า ๆ ถูกยื่นมาจนถึงริมฝีปาก ไม่มีความรังเกียจอะไรทั้งนั้น จิมมี่พยายามดื่มน้ำเพื่อดับความกระหาย ลำคอของจิมมี่แห้งผากราวกับจะเป็นผุยผง
"ค่อย ๆ ไม่ต้องรีบ" เสียงคุณป้าใจดีพูดพร้อมกับกลั้วหัวเราะ จนจิมมี่ดื่มน้ำจนหมดแก้ว เขาก็ขออีกแก้ว และดื่มแก้วที่สองจนหมด
ปวดหัวตึบจนร้าวไปทั่ว ไข้ของจิมมี่เริ่มขึ้น ตัวของเขาร้อนราวกับไฟ และพิษไข้ก็ทำให้จิมมี่หลับใหลไปโดยไม่รู้ตัว จะมีบ้างที่จิมมี่ตื่นขึ้นมาอย่างพร่าเลือน ได้ยินเสียงคนพูดโวยวาย และรู้สึกของการสัมผัสเนื้อตัว แต่จิมมี่คล้ายหลุดเข้าไปอยู่ในห้วงฝัน
จนผ่านไปอีกวันหนึ่งจิมมี่เริ่มรู้สึกตัวและค่อย ๆ ลืมตา สายตามองไปรอบ ๆ และกำลังประมวลผลว่าจิมมี่อยู่ที่ไหน หลังคาที่กรุด้วยใบไม้ น่าจะเป็นใบจาก ไม้ข้างฝาทำจากไม้ไผ่ตีแผ่เป็นแผ่น รวมไปถึงพื้นบ้านด้วย
"ตื่นแล้วเรอะ หิวมั๊ย ?" ป้าน่าจะเป็นเจ้าของบ้านเดินเข้ามาพอดี พอเห็นจิมมี่นอนตาแป๋ว ก็ร้องทัก จิมมี่พูดว่าไม่หิว แน่ล่ะตามธรรมเนียม แต่พอแกมานั่งยอง ๆ เอามืออังที่หน้าผากของจิมมี่ แต่ไอ้ท้องเจ้ากรรมก็ไม่ไว้หน้า ร้องจ๊อกเสียงดังจนจิมมี่หน้าแดงซ่านด้วยความเขิน
"หิวแล้ว ท้องร้องแล้ว" ป้าแกพูดแล้วก็หัวเราะร่วน
"รออีกเดี๋ยวเดียว ข้าวสุกแล้ว รอไอ้ตะหลู่หน่อยมันเข้าป่าไปตั้งแต่เช้าเดี๋ยวก็กลับมา เอ้านั่นไง พูดแล้วก็มาพอดี" ป้าแกพูดไป แล้วก็ตะโกนไปข้างนอก เป็นภาษากะเหรี่ยง แน่นอนว่าจิมมี่แปลไม่ออก แต่เสียงเด็กชายที่ตะโกนกลับเข้ามา รู้แน่ ๆ ว่าเถียงอะไรกันสักอย่าง
จนได้ยินเสียงเท้าเดินย่ำขึ้นบ้านดังตึง ๆ ป้าแกบ่น คงประมาณว่า เดินเสียงดัง กระมังจิมมี่เดาเอา จนเจ้าของเสียงเท้าเดิน ย่องเข้ามาในบ้าน เอาข้าวของวางโครมตรงหน้าประตู แล้วก็เดินตรงมาหาจิมมี่
"หายไข้แล้วเนอะ" เจ้าเด็กนั่นพูด แล้วก็เอามือแตะที่หน้าผากของจิมมี่ ทำท่าแก่แดดเหมือนผู้ใหญ่ แต่จิมมี่พยายามจ้องหน้าเจ้าเด็กนั่นก็นึกตกใจเพราะใบหน้าของเขาเหมือนของจิมมี่เหลือเกิน
จะได้พูดคุยอะไรกันต่อก็ไม่ทันเสียแล้ว เจ้าเด็กที่ว่องไวอย่างกับทโมน กระโดดแผล็ว ลุกไปสมทบกับป้าช่วยกันทำกับข้าวที่นอกชายคาเรือน จิมมี่วางตัวไม่ถูก นึกอยากจะไปช่วย แต่พอทำท่าจะลุก หลังของเขาก็เจ็บปวด และท้องก็ยังเจ็บจุก
ครู่ใหญ่ ๆ กลิ่นอาหารหอม ๆ ลอยคลุ้งจนจิมมี่ต้องแอบกลืนน้ำลาย พอมองออกไปที่หน้าประตูบ้าน ใบหน้าของป้าใจดีก็โผล่มาเพียงเสี้ยวหน้า แกยิ้มจนเห็นฟันหลอ แล้วก็รีบเดินกุลีกุจอ มาพยุงจิมมี่ให้ลุกนั่ง
"นอนมาตั้งสองวัน มีแรงแล้วก็ลุกขึ้นมากินข้าวกัน" แกว่าแล้วก็ค่อย ๆ พยุงจิมมี่ให้ลุกขึ้นมาช้า ๆ
ข้าวสุกหอมฟุ้ง ถูกเทใส่ภาชนะเหมือนกระจาด ข้าวถูกเทอยู่ตรงกลาง และมีกับข้าวสี่อย่างรายล้อมข้าวสุกสีมอ ๆ สลับแดง
"กินได้ไหม กินเป็นไหมล่ะ ?" เจ้าเด็กหน้าทะเล้นถาม ไม่รอให้จิมมี่ตอบเขาก็กระโดดอีกแล้ว ไปตักไข่ต้มจากหม้อเก่า ๆ บุบบู้บี้ ด้วยความร้อนของไข่ต้ม เจ้าเด็กนั่นก็ร้องโวยวาย โยนไข่ไปมาสลับกันด้วยมือทั้งสอง
"เดี๋ยวไข่ตกแตกนะจะตีให้ตาย" ป้าแกเอ็ดเป็นภาษาภาคกลาง คงอยากให้จิมมี่รู้ว่าพูดอะไรกันอยู่ จิมมี่อมยิ้ม และนึกขอบคุณไข่ต้มที่คงจะกินง่ายกว่าอาหารที่กองสุม ๆ กันอยู่ในกระจาดสาน
พื้นของกระจาดรองด้วยใบตอง ด้านหนึ่งเป็นกบหรือเขียดตัวเล็ก ๆ ทอดกรอบ นอนขาชี้ ถัดมาเป็นคล้าย ๆ ยำอะไรสักอย่างจะว่าแตงกวามันก็ดูลูกใหญ่กว่าแตงกว่าใหญ่กว่าแตงร้านด้วยล่ะมั้ง อย่างที่สามเป็นแกงอะไรก็ไม่รู้สีข้นคลัก ใส่ถ้วยใบเล็ก ๆ และอย่างที่สี่ดูเหมือนจะเป็นคล้าย ๆ น้ำพริก มีผักต้มวางเคียงสี่ห้าอย่าง
"กินข้าวกันเถอะ" ป้าใจดีพูดแล้วแกก็ยื่นมือไปเปิบข้าว พร้อมกับหยิบเขียดตัวเล็ก ๆ เข้าปากเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย พอมองหน้าจิมมี่ แกก็หัวเราะ แล้วให้เจ้าเด็กนั่นไปหยิบช้อนให้จิมมี่หนึ่งคัน
ได้ช้อนสักกะสีเก่า ๆ แถมมีสนิมขึ้นเล็กน้อย แต่เอาเถอะ ความหิวทำให้จิมมี่กินอะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละตอนนี้
แรกทีเดียวจิมมี่ว่าจะกินแค่ข้าวกับไข่ต้ม แต่กลิ่นหอม ๆ ของอาหารที่เหลือ ก็ยั่วยุให้จิมมี่อยากจะลองมัน อย่างน้อยถ้าอะไรไม่อร่อย จิมมี่ก็จะไม่กินต่อเป็นคำที่สอง
แต่กลายเป็นว่ากับข้าวอร่อยทุกอย่าง เขียดตัวเหี่ยว ๆ รสเค็ม ๆ มัน ๆ เคี้ยวได้ทั้งกระดูก จิมมี่ไม่ใช่คนกินยากอยู่แล้ว ท่านย่ายังเคยเล่าว่าคนในวังสมัยก่อน ถูกผู้ใหญ่บังคับให้กินด้วยสาคู กินไม่เป็นกินไปอ้วกไป แต่ก็โดนบังคับเคี่ยวเข็ญบางคนก็โดนตี จนกินเป็น
กลายเป็นว่า มีจิมมี่กับไอ้เด็กนั่นนั่งกินข้าวเคี้ยวตุ้ย ๆ กันอยู่สองคน ป้าแกกินข้าวแค่ไม่กี่คำ แล้วแกก็เดินไปปลิดกล้วยป่าที่แขวนตรงชายคา เอามานั่งกินคงเหมือนกินของหวานล้างปาก แกอมยิ้มนั่งมองจิมมี่กินไปอย่างดูมีความสุข
จนอาหารถูกกินไม่เหลือหลอ จิมมี่อิ่มท้องจะแตก แต่ก็ยังมีแก่ใจกินกล้วยป่าอีกสามลูก เพราะไอ้เด็กผีนั่นปลิดมาเผื่อให้จิมมี่ หน้าตามันก็คล้าย ๆ กล้วยน้ำว้านี่แหละ แต่ลูกโตจนเกือบจะเหมือนกล้วยหักมุก เนื้อหวานหอมแต่เคี้ยวไปก็ต้องคอยคายเม็ดกล้วยออกมา
"อย่าเอาไปทิ้ง เอามาใส่ชามนี่" ไอ้เด็กนั่นร้องเตือนแล้วก็ยื่นชามเก่า ๆ มีรอยแตกมาตรงหน้า ทั้งสองคนกินกล้วยไปคายเมล็ดกล้วยไป
"เอาไปทำอะไร ?" จิมมี่อดจะถามด้วยความสงสัยไม่ได้
"เอาไปทำสร้อยไง" เขาตอบแล้วก็ชี้ไปที่คอป้าใจดี จิมมี่เห็นแล้วก็พยักหน้าพร้อมกับอมยิ้ม ที่คอของป้าแกมีสร้อยคอดูเผิน ๆ เหมือนลูกประคำ หรือลูกปัด หน้าตาเหมือนกับเมล็ดกล้วยที่นอนแอ้งแม้งในชามไม่มีผิด
กินข้าวเสร็จ ทีนี้ก็ถึงเวลาของการพูดคุยซักถามกันละ พอได้กินอิ่มท้องจิมมี่ก็มีเรี่ยวมีแรง แต่นึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองไม่ได้กินยาก็รีบขอตัวไปกินยาต้านไวรัสอย่างรีบเร่ง เพราะคุณหมอเตือนนักเตือนหนาว่าต้องกินให้ตรงเวลาทุกวัน ไม่อย่างนั้นเชื้อมันจะดื้อยา ทีนี้ล่ะ เรื่องใหญ่
กินยาเสร็จจิมมี่ก็กลับมานั่งตรงนอกชาน แล้วการพูดคุยซักถามก็เริ่มขึ้น
"มาทำอะไรที่นี่ล่ะ ?" นี่คือคำถามที่คนทั้งหมู่บ้านอยากรู้
"เอ่อ...ผม...ผมมาหาแม่ครับ แม่ผมเป็นคนที่นี่ ผมตามจดหมายของแม่มาครับ" จิมมี่ตอบพร้อมกับเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าเป้ ในนั้นเหลือสมบัติไม่มากแล้ว แต่สิ่งที่จิมมี่คิดว่ามีค่าที่สุดก็คือ ซองจดหมายหลายสิบฉบับจากแม่
"อ่านให้แม่ฟังหน่อยซิ" ป้าแกว่า และไอ้เด็กนี่ก็อ่านอย่างแคล่วคล่อง
"เอ๊านั่นมันแม่เอ็งไม่ใช่รึ ?" ป้าแกพูดโวยวายและมองหน้าเจ้าเด็กอย่างแสนพิศวง
"พี่คือพี่จี๋ใช่ไหม?" เจ้าเด็กนั่นถามและจิมมี่ก็ได้แต่พยักหน้าหงึกหงัก
"แม่นี่ไง พี่จี๋ พี่ของข้าน่ะ" ไอ้เด็กนั่นตะโกนแล้วก็กระโดดมากอดจิมมี่ซะแรง อะไรกันเนี่ย จิมมี่งงไปหมดแล้ว
"ข้าเป็นน้องพี่ไง เป็นน้องแท้ ๆ ข้าคิดอยู่แล้วว่าพี่ต้องเป็นพี่จี๋แน่ ๆ เพราะหน้าเราเหมือนกัน พี่หน้าเหมือนแม่อย่างกับแกะ รอหน่อยนะพรุ่งนี้แม่ก็กลับมาแล้ว" ไอ้เด็กนั่นพูดรัวจนจิมมี่ได้แต่งุนงง
เขาหันไปพูดกับป้าใจดี แล้วป้าก็ค่อย ๆ ขยับตัวมากอดจิมมี่ ร้องไห้ร้องห่มราวกับได้พบเจอคนที่เฝ้ารอมานานแสนนาน จิมมี่งุนงงไปหมดแต่พอจะปะติดปะต่อเรื่องได้แล้ว จิมมี่ถูกทั้งสองคนกอดจนแรง ยิ่งแรงกอดมากเท่าไร จิมมี่กลับไม่ได้รู้สึกอึดอัด แต่เขากลับรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย น้ำตาแห่งความดีใจ ปลื้มปีติ หลั่งไหลจนจิมมี่ถึงกับร้องไห้โฮ
ไอ้เด็กทะเล้นหยุดร้องไห้ก่อน ใช้สองมือปาดน้ำตาแล้วก็ปาดขี้มูกที่ไหลย้อย ตะโกนบอกป้าแกว่าจะไปบอกใครก็ไม่รู้ แล้วก็วิ่งจู๊ดลงจากเรือนไปเลย
จิมมี่มองอย่างสงสัย ป้าแกยิ้มให้อย่างใจดี ดึงจิมมี่มากอดอีกแรง ๆ แล้วจึงเล่าว่า แกเป็นพี่สาวแท้ ๆ ของแม่ แต่ให้จิมมี่เรียกแกว่า แม่ อีกคน
"แล้วแม่ไปไหนหรอครับ ?" จิมมี่เก็บความสงสัยไว้ไม่ได้
"ไปในเมืองน่ะไปขายของแล้วก็ซือของเข้าบ้าน พรุ่งนี้ก็กลับแล้วล่ะ" ป้าพูดอย่างใจดี พร้อมกันนั้นเสียงเด็กชายก็ตะโกนโวยวาย พร้อมกับคนรุ่นลุงรุ่นป้าสี่ห้าคน เดินขึ้นเรือนกันมาตึง ๆ แต่ละคนร้องห่มร้องไห้ บ้างก็ดึงจิมมี่มากอด บ้างก็ลูบหัวลูบหลัง ราวกับจิมมี่คือคนรู้จักที่จากไปไกล และได้หวนกลับคืนสู่บ้าน
เย็นนั้นจิมมี่ถูกพาไปบ้านหลังใหญ่กว่าบ้านหลังอื่น ๆ ตะเกียงน้ำมันถูกจุดหลายดวงจนสว่างไสว คนนับสิบบ้างก็อยู่บนบ้าน บ้างก็อยู่ที่ลานใต้ถุนบ้าน กองไฟถูกก่อจนสว่าง เสียงพูดคุยเซ็งแซ่ และจิมมี่มีจักจั่น หรือจั่น น้องชายแท้ ๆ คอยประกบ
จั่นคอยเล่าให้จิมมี่ฟัง ว่าไอ้กิริยาแปลก ๆ นั่นเขากำลังทำอะไร จั่นอธิบายอย่างแคล่วคล่อง พร้อมกันนี้จั่นก็คอยพูดตอบ ราวกับเป็นล่ามมืออาชีพ หลาย ๆ คนพูดภาษากลางได้ชัดเจน มีสำเนียงแปร่งนิด ๆ เท่านั้น แต่หลายคนก็พูดภาษากลางสลับกับภาษากะเหรี่ยง น่าเวียนหัวอยู่ไม่น้อย
กับข้าวมื้อใหญ่ถูกเลี้ยงเพื่อต้อนรับเมื่อจิมมี่กลับมา ไม่ถึงกับล้มหมูล้มวัว แต่งานนี้เสียไก่ไปถึงสามตัว จิมมี่กินไก่แทบจะไม่ลง เพราะเห็นกระบวนการฆ่าและถอนขนตั้งแต่เริ่มต้น แต่จะไม่กินก็ไม่ได้ เพราะโดนเคี่ยวเข็ญ
คืนนั้นจิมมี่นอนกับแม่ ซึ่งจริง ๆ คือพี่สาวของแม่ และจั่น ทั้งสามคนนอนมุ้งเดียวกัน จั่นเอาแต่ซักถามเรื่องที่กรุงเทพฯ จิมมี่ซึ่งเป็นคนพูดไม่ค่อยเก่ง ก็เล่าเท่าที่ตัวเองพอจะนึกออก
จากการซักถาม คืนนั้นหลังจากที่จิมมี่ใกล้จะถึงหมู่บ้านอยู่แล้ว ชาวบ้านเห็นแสงไฟจากแฟลตโทรศัพท์มือถือ พูดคุยและปรึกษากันว่าน่าจะไม่ใช่คนในหมู่บ้านเพราะแสงไฟแบบนั้นไม่มีใครมีแน่ ๆ แสงจากไฟฉายก็จะเป็นลำตรง ๆ และชาวบ้านก็ไม่ค่อยใช้ไฟฉายเสียด้วยสิ ถ้าจะต้องเดินทางตอนกลางคืนก็ถือตะเกียงกันไป
ดังนั้นจั่นจึงรับอาสาไปกับอาผู้ชายคนเล็ก ขี่มอเตอร์ไซค์คันเก่าไปตามเส้นทางซึ่งคนหมู่บ้านนี้ไม่ค่อยได้ใช้กันแล้วนอกจากจะเข้าป่าเพื่อไปหาของกิน ทางที่ราบเรียบสะดวกกว่าถูกตัดจากอีกด้านของภูเขา มันอ้อมกว่าแต่ปลอดภัยและสะดวก ชาวบ้านก็เลยแยกย้ายไปใช้เส้นทางนั้นกันหมดแล้ว จิมมี่จึงเดินมาตามเส้นทางนั้นเพียงลำพัง
"ยังดีข้าน่ะตาไว เห็นเงาของพี่จี๋แล้วก็จำได้ว่าแสงไฟมันน่าจะดับลงแถว ๆ นั้น" จั่นคุยโม้
"งั้นพี่ก็ต้องขอบคุณมาก ๆ นะ" จิมมี่พูดพร้อมกับยื่นมือไปบีบมือของน้องชายแรง ๆ จนจั่นหัวเราะ
เช้าวันรุ่งขึ้น จิมมี่ตื่นมาก็ไม่เจอใครอีกแล้ว กลิ่นควันไฟและกลิ่นอาหารลอยเข้ามาปลุก ป้าตะโกนบอกให้จิมมี่นอนอีกเยอะ ๆ แต่จิมมี่คิดว่าตัวเองนอนน่าจะเพียงพอแล้ว จึงพับผ้าห่มให้เรียบร้อย ป้าเดินเข้ามาเก็บมุ้ง แล้วก็ค่อย ๆ พยุงจิมมี่ให้ไปล้างหน้าล้างตาตรงนอกชาน
นอกชานด้านหนึ่งของบ้านถูกเจาะเป็นพื้นที่ว่าง ๆ สี่เหลี่ยม ข้าง ๆ กันมีตุ่มน้ำพร้อมกับขันพลาสติกสีฟ้าเก่า ๆ จิมมี่วักน้ำมาล้างหน้า มองตัวเองที่เอาเสื้อของจั่นมาใส่มันรัดติ้วทีเดียว
ถึงเสื้อผ้าพื้นเมืองของชาวกะเหรี่ยงจะเป็นผ้าฝ้าย ตัวหลวม แต่จั่นนั้นตัวผอมกะหร่อง จิมมี่นั้นถึงจะผอมลงเพราะพิษไข้แต่ก็ยังถือว่าตัวใหญ่อยู่ดี จั่นบอกว่าเดี๋ยวกินข้าวเสร็จแล้วจะพาจิมมี่ไปซื้อเสื้อใหม่สักตัว
กินข้าวเสร็จแล้ว จิมมี่ก็เดินเคียงข้างกับจั่น ในมือทั้งคู่ถือไม้ที่โยงกับสุ่มไก่ ในนั้นมีไก่รุ่น ๆ สองตัว เดินลัดเลาะไปตามหมู่บ้าน จนถึงบ้านหลังหนึ่ง จั่นก็เจ้ากี้เจ้าการ บอกยายแก่ ๆ ที่กำลังนั่งทอผ้า ให้แกลุงมาขายเสื้อให้จิมมี่
เลือกจนได้เสื้อตัวหลวม ๆ สีแดงครั่งตัวหนึ่ง ใส่แล้วคันชะมัดเพราะยังไม่ได้ซัก แต่จิมมี่ก็รู้สึกว่าเขาเริ่มเป็นส่วนหนึ่งของหมู่บ้านนี้ทีละน้อย
ผมที่ยาวถึงกลางหลังของจิมมี่ถูกป้า มวยให้อย่างชำนาญจนมันเป็นมวยอยู่ตรงหน้าผาก แล้วป้าก็ใช้ผ้าผืนเล็ก ๆ มัดพันให้ แถมยังทาทานาคาที่หน้าให้จิมมี่ด้วย มองตัวเองในกระจกบานเล็ก ๆ แตกไปเสี้ยวหนึ่งจิมมี่เห็นแล้วก็นึกขำตัวเอง แต่จิมมี่สวมกางเกงตัวเก่า ถึงจะมอมสักหน่อย แต่มองชาวบ้านทั่วไปแล้วก็สวมกางเกงมอม ๆ พอ ๆ กับของจิมมี่ไม่ผิดกัน
จิมมี่ได้แต่ชะเง้อคอคอยแม่ ก็คงจะต้องรอจนถึงเย็น ป้ากับจั่นก็เลยชวนจิมมี่ไปไร่เสียเลย
"ไปก็ไปครับ" จิมมี่นึกสนุก และทั้งสามคนก็สะพายสุ่มไก่ไว้ที่หลัง จิมมี่ที่ยังไม่ค่อยชำนาญและยังไม่แข็งแรงดีพอ จึงมีสุ่มไก่ที่หลังซ้อนกันสองอัน ส่วนจั่นกับป้า ก็สะพายสุ่มไก่ที่หลังคนละสามอัน
ชาวกะเหรี่ยงนั้นเลี้ยงไก่กันทุกบ้าน และไก่พวกนี้ก็เชื่องแถมยังพูดรู้ภาษา เวลาจะพาไก่ไปไร่ ก็ตะโกนเรียก แล้วก็โรยข้าวเปลือกล่อมันนิดหน่อย มันก็กรูกันวิ่งลงสุ่ม ใช้ไม้ไผ่ขัดสานปากสุ่ม แล้วก็พาไก่ไปไร่
"เอาไก่ไปทำไมกัน?" จิมมี่ถามเพราะความสงสัย
"เอามันไปเลี้ยงไง ตอนกลางวัน ไม่มีใครอยู่บ้าน ไม่มีคนดูแลไก่ ก็เอามันไปไร่ด้วย ให้มันกินพวกหนอน พวกแมลง" จั่นอธิบาย
"แล้วมีตัวไหนดื้อไม่ยอมกลับบ้านบ้างไหม ?" จิมมี่ถามอย่างนึกสนุก
"มีสิ แต่เดี๋ยวมันก็บินกลับมาบ้านเองแหละ เพียงแต่ตอนกลางคืนมันจะไม่ได้นอนในสุ่ม นอนเกาะเอาตามคอนไม้ ไก่มันชอบนอนในสุ่ม เพราะปลอดภัย" จั่นอธิบาย
ไร่ที่มากันเป็นไร่ของที่บ้าน พื้นที่ไม่มาก เพราะแบ่งสันปันส่วนกันในครอบครัวของลุงป้าน้าอา พื้นที่ตรงนี้ปลูกข้าวโพด มีพื้นที่ทำนาผืนเล็ก ๆ ซึ่งข้าวกำลังเขียวสด จั่นคุยอวดว่าเดือนหน้ามันจะตั้งท้อง แล้วเราก็จะมีข้าวไว้กินเยอะแยะ กินได้ตลอดปี
ทำไร่กันจนบ่าย โดยที่จิมมี่ก็ไม่ค่อยช่วยอะไรเป็นชิ้นเป็นอันนัก ก็พากันกลับ จั่นถูกใช้ให้ตำข้าว จิมมี่ก็เลยรับอาสาจะช่วยตำ ครกกระเดื่อง มีอยู่ใต้ถุนเรือนทุกบ้าน จั่นสอนอย่างขมีขมัน และจิมมี่ก็ทำอย่างเงอะ ๆ เงิ่น ๆ แต่ก็สนุกชะมัด ป้าก็ทำกับข้าวของแกไป
"จั่นเรียนหนังสือจบชั้นไหน ?" จิมมี่ถามน้องชายด้วยความเป็นห่วง
"จบมอสาม" จั่นตอบและทำหน้าเหนื่อย
"ทำไมไม่เรียนต่อล่ะ" จิมมี่ถาม
"ไม่เอาไม่ชอบเรียน เรียนไปทำไมเยอะแยะ เรียนไปก็มาทำไร่ทำสวน เสียเวลาทำงาน" จั่นตอบและจิมมี่ก็ได้แต่เม้มริมฝีปาก จิมมี่คิดว่าไม่น่าใช่เหตุผลที่ดี มองเรือนของแม่ของป้า จิมมี่คิดว่า น่าจะเป็นเพราะไม่มีเงินเรียนมากกว่า จั่นดูฉลาดเฉลียว และดูคล่อง ไม่ใช่คนหัวทึบแน่ ๆ เดี๋ยวถ้าเจอแม่ ค่อยคุยเรื่องน้องอีกทีก็แล้วกัน จิมมี่มีเงินเยอะแยะ ส่งน้องเรียนให้มีการศึกษาสูง ๆ คิดว่าไม่ใช่เรื่องยากอะไร
จิมมี่ช่วยตำข้าวได้ไม่เท่าไร สุดท้ายจั่นก็ต้องรับหน้าที่นั้นกลับไปทำต่อ จิมมี่ก็เลยไปช่วยป้าทำกับข้าวซึ่งก็ไม่ค่อยถนัดอีกเช่นกัน แต่อย่างน้อยก็ได้ช่วยแหละน่า จนได้ยินเสียงหมาเห่า และเสียงรถแล่นไปจอดที่ข้าง ๆ บ้าน จั่นก็ตะโกนเรียกจิมมี่
"พี่จี๋ ๆ แม่มาแล้ว พี่จี๋ แม่ แม่ แม๊" จั่นตะโกนโหวกเหวก จิมมี่มือสั่นแทบหมดเรี่ยวแรง ใจของจิมมี่เต้นแทบจะกระเด็นออกมาจากทรวงอก
ไม่รู้ว่าลงมาจากเรือนได้อย่างไร เพราะแทบไม่มีสติ แต่จิมมี่พาตัวเองมายืนที่หน้าบันไดบ้านจนได้ แม่ยืนอยู่ตรงนั้นถือข้าวของพะรุงพะรัง และทำหน้างง ๆ มองมาที่จิมมี่
จั่นวิ่งปรี่ไปคว้าแขนแม่และอธิบายว่าจิมมี่มาหาแม่ มาหาพวกเราแล้ว แม่มือไม้อ่อน ทิ้งข้าวของหลุดจากมือ ทั้งสองค่อย ๆ ก้าวเท้าเร็ว ๆ เข้าหากัน จิมมี่กอดแม่จนสุดหัวใจ แม่ก็กอดจิมมี่รัดแน่นจนจิมมี่แทบจะหายใจไม่ออก แต่จิมมี่ไม่อยากให้กอดนี้หายไปไหน
"แม่...แม่คับ" จิมมี่ครางในลำคอพูดพร่ำซ้ำ ๆ ไม่ต่างจากแม่ที่เอาแต่เรียกชื่อจิมมี่ซ้ำ ๆ เช่นกัน
"จี๋ ...จี๋...จี๋ลูกแม่"
จั่นปล่อยให้แม่กับจิมมี่กอดกัน ตัวเขาเดินไปยืนข้าง ๆ ป้า จนป้าโอบไหล่ของจั่นเบา ๆ และเอาแต่ยิ้มเห็นฟันหลอ ทั้งสี่คนน้ำตาไหลพราก จนสุดท้ายทั้งสี่คนก็รวมตัวมากอดกันจนแน่น กอดแน่นจนไม่รู้ว่ามือไม้เป็นของใคร กอดจนแน่นเหมือนก้อนกลม เหมือนผสานหัวใจของทุกคนรวมเข้าไว้เป็นหัวใจดวงเดียว
ต่อไปนี้จิมมี่ได้พบแม่แล้ว จิมมี่จะไม่ยอมให้แม่จากไปไหน จะไม่ยอมห่างจากแม่แม้แต่ลมหายใจเดียว