ก็เพราะชีวิตประจำวันมันน่าเบื่อ ก็เลยอยากเป็นอินฟลูกับเขาสักคน
ชาย-ชาย,ตลก,ไทย,เล่าประสบการณ์,ยุคปัจจุบัน,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
แปะจะเป็นอินฟลูฯก็เพราะชีวิตประจำวันมันน่าเบื่อ ก็เลยอยากเป็นอินฟลูกับเขาสักคน
โลกยุคนี้ มันเป็นยุคของ อินฟลูเอ็นเซอร์ นั่นก็คือบุคคลที่มีผู้ติดตามบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย
อินฟลูเอ็นเซอร์ จะมีผู้ติดตามมากมายซึ่งส่วนใหญ่มักจะมีส่วนร่วมในเนื้อหาที่พวกเขาพูดเป็นประจำ อินฟลูฯ มีมากมายหลายหมวด ไม่ว่าจะเป็นหมวดการท่องเที่ยว สายทำอาหาร สายวิชาการ สายบันเทิง สายสุขภาพ
แต่ผมจะเป็นอินฟลูฯ สายไหนกันดีนะในเมื่อตัวผมเองก็ไม่เก่งอะไรสักอย่าง....เห้อ
โดย Chavaroj
ตัวของธรรมถูกผลักออกเบา ๆ ไอ้หนุ่มตรงหน้ามองหน้าธรรมเขม็งจนคิ้วขมวด ธรรมเริ่มกลับมามีสติ มองเจ้าคนที่อยู่ตรงหน้าให้ชัด ๆ พอมีสติก็เห็นว่าเจ้านี่มันคนหน้าคล้ายจิมมี่แค่นั้นเอง
ทั้งรูปร่างที่เตี้ยเล็กกว่า ผิวที่คล้ำดูกรำแดด ผมนั้นเกือบเกรียน แต่ใบหน้านั้นคล้ายกับจิมมี่เหลือเกิน ตากลมแบ๊วแต่แฝงแววดื้อดึง จมูกโด่งรั้น และริมฝีปากที่เม้มสนิทมองธรรมอย่างกำลังชั่งใจ ผิดกับจิมมี่ที่มักจะมีแต่รอยเศร้า ๆ ในดวงตาอย่างคนละคน
"พี่คือเฮียธรรมใช่ไหม?" เจ้านั่นถามและธรรมก็พยักหน้ารับ เสียงก็ไม่คล้ายกับจิมมี่ด้วยเพราะดูยังเด็กกว่า น่าจะหลายปี
"ทำไมรู้จักเรา ?" ธรรมถามอย่างสงสัย ยกมือขึ้นปาดน้ำตา หน้าแดงนิดหน่อยด้วยความอาย เพราะจู่ ๆ ก็ไปกอดเขาแล้วร้องไห้ ผู้ชายตัวโต ๆ ร้องไห้ดูจืดเสียที่ไหน
"พี่จี๋เคยบอกไว้ ว่าเฮียธรรมของเค้าตัวใหญ่ ๆ มีกล้ามล่ำ ๆ แล้วก็หล่อ ๆ" พูดอย่างนี้ค่อยยังชั่วหน่อยแต่เอ๊ะ ว่าแต่จี๋นี่ใครกันหว่า
"จี๋ไหน ?" ธรรมถามกลับ
"ก็พี่จี๋ไง พี่จี๋น่ะ พี่ของข้าเอง" เจ้านั่นตอบทำคิ้วขมวดเพราะดูท่าว่าอธิบายแล้วธรรมจะไม่เข้าใจ
"จิมมี่ ?"
"อืมจิมมี่แหละใช่ ๆ"
"แล้วเราล่ะชื่ออะไร เป็นอะไรกับจิมมี่ เอ่อ...เป็นอะไรกับบจี๋" ธรรมถามกลับ
"ข้าเอ่อ...เป็นน้องพี่จี๋"
"แล้วเขาไปไหน ทำไมเขาไม่กลับมา แล้วเขาพูดถึงพี่ว่ายังไงบ้าง แล้ว..." ธรรมพยายามจะถามต่อ เบาะแสเดียวที่เขารอมาหลายปีมายืนอยู่ตรงหน้าแล้ว ธรรมอยากจะรู้ให้หมดว่า ที่ผ่านมาจิมมี่หายไปไหน กำลังจะถามต่อ แต่ไอ้หนุ่มนี่ก็เริ่มเม้มริมฝีปากอย่างพยายามกลั้น อกสะอื้น และในดวงตาก็เริ่มตื้น
"จิมมี่...จี๋...สบายดีไหม ?" ธรรมบอกตัวเองว่าให้ค่อย ๆ ถาม แต่พอเจ้าเด็กนี่จะตอบ ก็กลายเป็นร้องไห้โฮ ร้องไห้อย่างหนักจนตัวโยน ทิ้งตัวลงนั่งอย่างหมดเรี่ยวแรง เอาล่ะสิวะ มันยังไงกันล่ะนี่ ธรรมเปลี่ยนความสงสัยเป็นเริ่มหงุดหงิด แต่จะทำอะไรรุนแรง ลงไปเช่นเขย่าตัวเขาให้กลับมามีสติก็ดูจะไม่เข้าเรื่อง ธรรมก็เลยเปลี่ยนเป็นค่อย ๆ ทรุดตัวลงนั่ง ยื่นมือไปแตะไหล่ของเจ้านี่เบา ๆ
แต่ไอ้เด็กนี่ก็ยื่นมือของธรรมมาคว้าไว้ แล้วก็เอาไปปิดที่หน้า ร้องไห้สะอึกสะอื้นเหมือนกับญาติเสีย...เอ๊ะ อย่าบอกนะว่าจิมมี่ไม่อยู่แล้ว ธรรมใจหายวาบ จากที่นั่งยอง ๆ ธรรมก็รู้สึกหมดแรง จนทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ ไอ้เด็กนี่ข้าง ๆ กัน
"จิมมี่...เขาไปแล้วหรือ เขาไปยังไง ?" ธรรมเอ่ยปากถาม ลำคอแห้งผาก และไอ้เด็กนี่ทั้ง ๆ ที่ยังเอามือของธรรมไปปิดหน้า แต่ก็พยักหน้ารับด้วย ธรรมหมดเรี่ยวแรง และเริ่มต้นร้องไห้เหมือนกัน แต่ไม่สะอึกสะอื้นเท่าคนที่ร้องไห้ข้าง ๆ
ใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่ ทั้งคู่เริ่มร้องไห้จนเหนื่อย สติเริ่มกลับมาเยือน และเอาแต่นั่งมองผืนดินที่อยู่ข้างหน้า ทั้งสองไม่เอ่ยคำพูดใด ๆ จนบรรยากาศเงียบกริบ พลันเสียงจักจั่นก็พากันร้องจนระงมไปทั่วเพื่อกลบความเงียบงันนั้น
"ไปนั่งคุยกันหน่อยดีไหม ?" ธรรมถามแล้วจึงค่อย ๆ ขยับตัวลุกขึ้น ยื่นมือให้เจ้าเด็กนั่นพอดึงมือมายืนด้วยกัน แล้วทั้งสองก็พากันเดินไปนั่งที่ม้าหินใต้ต้นการเวก
บนแผ่นโต๊ะม้าหิน กลีบการเวก ที่ร่วงหล่น เกลื่อนอยู่ ธรรมยกมือไปหยิบมันมาบีบไว้เบา ๆ บ่ายคล้อยแล้ว กลีบการเวกกลายเป็นสีเหลืองอมส้ม ไร้กลิ่นหอม เพราะหมดวาระของมันแล้ว
"เราชื่ออะไร ?" ธรรมถาม เพราะจะคุยกันสิ่งแรกที่ควรรู้ก็คือชื่อของกันและกัน ธรรมคงไม่ต้องแนะนำตัวเพราะเขาคงรู้อยู่แล้ว
"ข้าชื่อจั่น ...เอ่อผมชื่อจั๊กจั่นน่ะ" จั่นตอบและคงนึกอะไรขึ้นมาได้จึงเปลี่ยนสรรพนามของตนเอง
"แล้วจิมมี่ แล้วจี๋ น่ะเขาไปยังไง ?" ธรรมถามสิ่งที่ตนเองต้องการรู้ เจ้าจักจั่นทำท่าจะร้องไห้อีกครั้งที่ถาม แต่ทำสะอื้นสองสามที เจ้าตัวก็กลั้นไว้ในอก แล้วจึงค่อย ๆ เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ธรรมฟัง ธรรมฟังไปก็ได้แต่ยิ้มบ้าง ถอนหายใจบ้าง และโคลงศีรษะรับฟังอย่างลืมตัว สติของธรรมคล้ายกับพยายามเลื่อนลอย และเรียบเรียงเรื่องราวที่ถูกเล่าอย่างกระท่อนกระแท่น
ธรรมยังจับต้นชนปลายไม่ค่อยถูก เม้มปากจนเรียบ ธรรมกำลังพยายามปะติดปะต่อเรื่องราว จนพอจะเข้าใจได้คร่าว ๆ
"พี่รอข้า เอ๊ย...รอผมเดี๋ยวนึงนะ" จั่นเอ่ยแล้วเดินกลับเข้าไปในบ้าน ธรรมเห็นหลังไว ๆ ว่ากำลังรื้ออะไรสักอย่าง พร้อมกับหยิบเสื้อยืดเก่า ๆ นำมาสวม
"พี่จี๋บอกไว้ว่า ถ้าเจอพี่ก็ให้เอานี่ให้ด้วย" จั่นเอ่ยพร้อมกับยื่นเศษกระดาษมาให้ธรรมที่เบื้องหน้า ธรรมรับแผ่นกระดาษนั้นมาไว้ในมือ ใจของธรรมสั่น เหมือนมือของธรรมที่สั่นน้อย ๆ เขาค่อย ๆ คลี่แผ่นกระดาษที่ยับยู่ยี่ แสดงว่าผ่านการเดินทางมาอย่างสมบุกสมบัน
"เฮียธรรม ฝากน้องด้วย" จิม
ในแผ่นกระดาษเขียนตัวอักษรสั้น ๆ ลายมือของจิมมี่โย้เย้ และขาดช่วง ธรรมเห็นก็น้ำตาไหลอาบลงมาที่แก้มช้า ๆ แต่รอบนี้ธรรมไม่ได้สะอื้นเหมือนทีแรกแล้ว
"แล้วนี่เราอยู่คนเดียวเหรอ ?" ธรรมถามมองหน้าจั่นที่ทิ้งตัวลงนั่งยังที่เดิมอย่างอ่อนแรง
"ใช่...ผมเหลือตัวคนเดียว ผมไม่เหลือใครแล้ว" จั่นตอบ แล้วขยับท่านั่ง เปลี่ยนเป็นนั่งกอดเข่า
"แล้วฟืนไฟ ทำไมมันมืดอย่างนี้" ธรรมถามพร้อมกับหันไปมองรอบ ๆ เพราะฟ้าเริ่มคล้ำสีลงทีละน้อย
"ไม่มีไฟฟ้า" จั่นตอบ
"แล้วอยู่ไปได้ยังไงกัน" ธรรมถามพร้อมขมวดคิ้ว
"ผมไม่รู้ต้องทำยังไง" จั่นตอบซื่อ ๆ และธรรมก็ถามอีกหลาย ๆ คำถาม ทำให้รู้ว่าที่จั่นมาอยู่บ้านนี้ ก็มาได้เพียงสามวันเท่านั้น และเจ้าคนตรงหน้าก็มีอายุเพียงแค่สิบเจ็ดปี ยังเด็กแทบจะไม่ประสา ยิ่งคำพูดกับท่าทาง ก็อ่อนต่อโลก อ่อนต่อสังคมไม่เหมือนเด็กกรุงเทพฯ อย่างเขาเลย
"แล้วกินอยู่ยังไงกัน ?" ธรรมถาม เพราะท้องชักจะร้อง
"ก็เดินไปหาซื้ออะไรกินเอา จะทำกินเอง ก็ไม่มีฟืนไฟ" จั่นตอบและธรรมก็มีคำถามกับตัวเองหลายร้อยคำถาม
"ไปหาอะไรกินกันไป จะมืดแล้ว" ธรรมพูดเท่านี้จั่นก็ยิ้มหน้าบานออกมา ดูเหมือนเขาจะสิ้นไร้แต่มันก็ยังมีอีกหลายคำถามให้ธรรมต้องซักถาม เพียงแต่มันเยอะเกินไปจนธรรมยังเรียบเรียงไม่ถูกว่าจะถามอะไรบ้าง ทั้งเรื่องของจิมมี่และเรื่องของจั่น
"พี่คืนนี้ผมขอไปนอนที่บ้านพี่สักคืนได้ไหม...บอกตรง ๆ ผมกลัว" จั่นพูดเบา ๆ อย่างเกรงใจ ธรรมใคร่ครวญคิดเพียงครู่เดียวแล้วเขาก็พยักหน้า พร้อมกับเอ่ยคำว่า "ก็ได้" คำพูดสั้น ๆ ทำให้จั่นยิ้มออกมาอย่างลืมตัว รอยยิ้มแบบนี้ ฟันแบบนี้ ทำให้ธรรมใจหาย เพราะมันช่างเหมือนรอยยิ้มของจิมมี่ราวกับแกะกันมา ไม่ต้องสงสัยว่าทั้งสองคนเป็นพี่น้องกัน หน้าตาคล้ายกันแบบนี้
ปกติธรรมไม่ค่อยจะกินข้าวนอกบ้าน ก็ในเมื่อม๊ามักจะทำกับข้าวรอท่าอยู่เสมอ แถมธรรมเองก็เป็นคนท้องไส้ไม่ค่อยจะแข็งแรง ถึงตัวจะใหญ่กล้ามล่ำขนาดนี้ก็เถอะ แต่ท้องไส้ของธรรมค่อนข้างเปราะบาง ถ้ากินอะไรเสาะท้องหรือไม่ค่อยสะอาด ธรรมก็จะท้องเสียเอาง่าย ๆ
และไหน ๆ ก็จะพาเจ้าเด็กนี่ไปนอนค้างที่บ้านสักคืน ก็พาไปกินข้าวที่บ้านก็แล้วกัน ธรรมคิดสะระตะ และรอให้จั่นกลับไปเอากระเป๋าใส่เสื้อผ้าเก่า ๆ ติดมือมาด้วย ก็ดีเหมือนกัน เพราะก่อนหน้าที่จะเจอกัน จั่นถางหญ้าจนเหงื่อชุ่ม และน้ำที่นี่ก็โดนตัด ให้ไปอาบน้ำที่บ้านของธรรมนั่นแหละดีที่สุด
"เอ่อ พยายามอย่าโดนตัวพี่ได้ไหมพี่จักจี้น่ะ" ธรรมปด เพราะไม่อยากจะอธิบายอะไร จั่นจึงใช้กระเป๋าที่ตนถือมากั้นระหว่างตัวคนทั้งสอง จั่นนั่งตัวเกร็งไปตลอดทาง ใช้สองมือจับเบาะด้านหลังและนึกภาวนาให้ถึงจุดหมายไว ๆ
เมื่อรถบิ๊กไบค์ของธรรมดับเครื่องที่หน้าบ้าน ป๊าที่เพิ่งถึงบ้านก่อนหน้าธรรมไม่กี่นาที ก็เปิดประตูรถลงมากล่าวทักทาย
"ทำไมกลับเร็วล่ะลูกแล้วนั่นพาใครมา" ป๊าเอ่ยปากทักและยกมือรับไหว้จั่นที่ไหว้อย่างอ่อนน้อม
"ไหว้พระ ลูกเต้าใครล่ะนั่น" ป๊าไม่วายจะถามอีกแต่ธรรมก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง
"เดี๋ยวค่อยไปคุยกันข้างในนะป๊า" ธรรมเอ่ยพร้อมกับพากันเดินเข้าไปในบ้าน ม๊าเอะอะโวยวาย และยกมือรับไหว้จั่นอย่างงง ๆ ก็ร้อยวันพันปี ธรรมเคยพาใครมาที่ไหน ธรรมเป็นคนไม่ช่างพูด เป็นคนเพื่อนน้อย ไม่เหมือนธารกับธง ซึ่งมักมีเพื่อนไปมาหาสู่
"ม๊ามีอะไรกินบ้างไหม ขอน้องเขากินข้าวเย็นด้วยแล้วก็นอนค้างด้วยสักคืน ถ้ากับข้าวไม่พอเดี๋ยวธรรมไปซื้อเพิ่มอีกก็ได้ เด็กมันลำบากน่ะม๊า " ตอนท้ายธรรมพูดกับม๊าเบา ๆ
"มีสิ เดี๋ยวม๊าทำเพิ่มให้อีกอย่างก็ได้ มีหมูแดดเดียวเหลือ ว่าแต่ตัวมอมเชียว ไปอาบน้ำอาบท่าก่อนไป ธรรมพาน้องไปหน่อย เดี๋ยวกับข้าวม๊าทำเพิ่มให้แป๊บเดียวเท่านั้น" ม๊าที่แม้จะดูสงสัย แต่ก็ยังไม่เอ่ยปากถาม
ธรรมพาจั่นขึ้นไปที่ห้องชั้นบน หยิบผ้าขนหนูผืนที่ยังไม่ได้ใช้ของตนเอง ยื่นให้ จั่นเอ่ยปากขอบคุณและยกมือไหว้ แล้วเจ้าตัวก็ยื่นมือล้วงเข้าไปในกระเป๋าเก่า ๆ หยิบเสื้อกับกางเกงของตัวเองออกมาเตรียมผลัดเปลี่ยนหลังอาบน้ำ
"ห้องน้ำอยู่หน้าห้อง ไปอาบน้ำก่อนไป" ธรรมเอ่ยปากและจั่นก็หายไปอาบน้ำอยู่พักหนึ่ง ธรรมยังไม่อาบน้ำแต่เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นกางเกงบอลกับเสื้อกล้าม
ก่อนลงมาข้างล่างธรรมตะโกนบอกจั่นว่า เมื่ออาบน้ำเสร็จแล้วให้ลงมาข้างล่าง ธรรมเห็นม๊ากุลีกุจอ ทำกับข้าว เขาก็เลยเข้าไปช่วยหยิบช่วยจับ
"ใครกันน่ะ ดูเรียบร้อยดี แต่ม๊าว่ามันแปลก ๆ" ม๊ากระซิบ
"น้องชายของเพื่อนธรรมน่ะม๊า ชื่อจั่น คือเพื่อนของธรรมเพิ่งตาย แล้วคนที่บ้านเขาก็ตายกันหมด เพิ่งมาถึงกรุงเทพฯ ได้แค่สามวัน มาอยู่บ้านเก่าของเพื่อนธรรม ที่บ้านถูกตัดน้ำตัดไฟ ธรรมสงสารจะพาไปกินข้าว มันก็เลยขอมานอนค้างด้วยสักคืน ธรรมก็เลยว่ามาก็ดี ทิ้งไว้ก็สงสารมัน อยู่เข้าไปได้ยังไงกันไม่มีน้ำไม่มีไฟ" ธรรมพยายามอธิบาย ป๊าที่นั่งอยู่ไม่ห่าง ฟังไปก็พยักหน้าไปด้วยอย่างใช้ความคิด
มื้อเย็นโดยปกติ บ้านของธรรมกินกันน้อยมากหรือแทบจะไม่กินเลย อาจจะกินแค่น้ำเต้าหู้ แต่วันนี้มีกับข้าวง่าย ๆ ที่ม๊าเสกได้ในชั่วพริบตา ไข่เจียว ผัดผักบุ้ง และหมูแดดเดียวนำมาอุ่น เพราะทอดทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อเช้า
"จั่นใช่ไหมลูก มา ๆ นั่งรอตรงนี้ กินข้าวกินปลาก่อน" ม๊าพูดอย่างใจดี ดึงตัวของจั่นที่ยืนเงอะ ๆ เงิ่น ๆ มานั่งตรงเก้าอี้ จั่นเห็นกับข้าวตรงหน้า พร้อมกับกลิ่นหอมที่ตีจมูก เจ้าตัวก็กลืนน้ำลายอย่างสุดจะกลั้น
"ลุงกับป้าแล้วก็เอ่อ พี่ธรรมไม่กินด้วยกันหรือครับ ?" จั่นถามอย่างแสนสุภาพ
"กิน ๆ กินสิ แต่ลุงกับป้าน่ะแก่แล้วกินกันแค่นิด ๆ หน่อย ๆ ธรรมตักข้าวสิลูก" ม๊าหันไปสั่งธรรม ซึ่งตักข้าวให้ตัวเองและจั่นจนพูนจาน ส่วนของป๊ากับม๊าใส่ข้าวเพียงจานละครึ่งทัพพี
"กินเยอะ ๆ เลยลูก ไม่ต้องเกรงใจ ไม่พอก็เติมใหม่ได้" ม๊าพูดแล้วก็เลื่อนไข่เจียวไปใกล้ ๆ จั่น ก็ตาของจั่นจ้องไข่เจียวจนเขม็ง
จั่นตักข้าวกินอย่างรีบเร่ง ทุกคนเห็นแล้วก็สงสาร ก็ดูสภาพเนื้อตัว ก็ผอมโซจนเสื้อหลวมโพรก ส่วนธรรมค่อนข้างสงสารเพราะรู้เรื่องของจั่นมาคร่าว ๆ
"อิ่มไหมลูกเอาข้าวอีกสิ" ป๊าพูดบ้างเพราะเห็นจั่นกินข้าวจานแรกหมดอย่างว่องไว
"เดี๋ยวผมตักเองก็ได้ครับ" จั่นพูดอย่างเกรงใจ ค่อย ๆ น้อมตัว เดินไปตักข้าว และเมื่อความหิวบรรเทาหาย จั่นเริ่มกลับมามีมารยาท กับข้าวนิดเดียวจั่นกินกับข้าวคำโต ๆ เหมือนกลัวเปลืองกับ
"กินให้หมดเลยลูก เหลือก็ไม่มีใครกินแล้ว" ม๊าพูดแล้วก็ตักหมูแดดเดียวใส่จานให้จั่นตั้งหลายชิ้น จนกินข้าวกันจนอิ่มหนำ จั่นก็ขอเป็นคนล้างจานเอง ม๊ามองอย่างเอ็นดู เจ้าเด็กนี่ถึงจะดูปอน ๆ แต่ก็มีมารยาท คงได้รับการสอนมาดีพอใช้
ท้องอิ่มกันแล้ว ก็ต้องถึงการซักถามล่ะ ไม่ใช่ว่าชอบยุ่งแต่เพราะเป็นห่วง แต่จะถามอย่างละมุนละม่อม ม๊าก็เลยเอามะม่วงในตู้เย็นมาปอก ล้อมวงกินผลไม้ล้างปาก แล้วก็ค่อย ๆ ซักค่อย ๆ ถาม จั่นก็ค่อย ๆ เล่าเรื่องราวให้ฟัง ฟังแล้วม๊าถึงกับแอบเดินหนีไปทำทีว่าจะไปล้างมือ แต่ก็ใช้มือซับน้ำตาเบา ๆ ส่วนจั่นนั้นพอเล่าเรื่องของตัวเองอีกที เจ้าตัวก็นั่งน้ำตาไหล พร้อมกับเรื่องราวที่ถูกถ่ายทอดออกมาด้วย
พูดคุยกันอยู่จนถึงทุ่มกว่า ๆ ธงก็ขับรถกลับบ้านมาพอดี พอเห็นคนแปลกหน้าก็อดจะทักทายไม่ได้ และรีบยกมือขึ้นรับไหว้อย่างประหลาดใจ
ได้เวลาสามทุ่มป๊ากับม๊าขึ้นนอน รวมถึงธรรมกับจั่นด้วย เตียงของธรรมนั้นถึงจะเป็นเตียงขนาดห้าฟุต แต่จั่นก็ขอยืนยันว่าจะนอนที่พื้นข้าง ๆ ห้องของธรรมติดแอร์จนเย็น จั่นอมยิ้มเมื่อหัวถึงหมอน และมีผ้าห่มคลุมตัวจนอบอุ่น
ธรรมยังไม่ทันจะได้ปิดไฟ วันนี้เรื่องราวหนัก ๆ มันมากเหลือเกิน ถาโถมจนธรรมหัวตื้อไปหมด จะถามอะไรจั่นอีก แต่จั่นก็ไม่ตอบเพราะเจ้าตัวหลับไปเสียแล้ว
"เด็กเอ๊ย" ธรรมพูดพร้อมกับส่ายหน้าไปมา คนเดียวที่ธรรมน่าจะพูดคุยได้อยู่ชั้นล่างจากธรรมไปแค่ชั้นเดียว ธรรมปิดไฟ แล้วจึงค่อย ๆ เดินลงมาหาธงที่ด้านล่าง เคาะประตูเบา ๆ สองสามที แล้วก็เปิดประตูเข้าไปที่ห้องของพี่ชาย
"อะไรยังไง?" ธงถาม ตัวเองนั่งอยู่ที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานซึ่งมีแต่เครื่องสำอาง ครีมหลาย ๆ ตัวก็เป็นของที่ธรรมนี่ล่ะยกให้ หรือซื้อมาเผื่อ
ธรรมถอนหายใจ ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนอนของธงอย่างถือวิสาสะ ดึงหมอนข้างมากอด แล้วจึงค่อย ๆ เล่าเรื่องราวที่ได้ซักถามจากจั่นปะติดปะต่อ ส่วนธงก็ฟังไปซักไป พร้อมกับออกความเห็นในแบบของตน
"แล้วเราต้องไปรับผิดชอบอะไรกับเขาขนาดไหนวะ เพื่อนมึงก็ตายไปแล้วนะ" ธงถามและธรรมก็เม้มปากตัวเองอย่างชั่งใจ
"นั่นสิ แล้วเขาก็ฝากฝังเอาไว้แล้วด้วย เดี๋ยวพรุ่งนี้กูว่าจะหยุดงาน แล้วไปช่วยทำเรื่องน้ำกับไฟให้มันก่อน อย่างน้อยให้บ้านมันน้ำไหลไฟสว่าง เรื่องอื่นค่อยว่ากันอีกที" ธรรมเอ่ยและกำลังใช้ความคิดว่าต้องทำอะไรบ้าง
คุยกับธงอยู่ราว ๆ ชั่วโมงกว่า ธรรมก็ขอตัวกลับขึ้นไปนอน ย่องเบา ๆ ขึ้นเตียงและมองเงาทะมึนของจั่นที่นอนอยู่ตรงพื้น พลางคิดถึงจิมมี่ขึ้นมาอย่างสุดหัวใจ คำถามว่าจิมมี่หายไปไหนถูกเฉลยแล้ว ธรรมทั้งดีใจ ทั้งสงสาร ก่อนนอนคืนนั้นธรรมซึ่งปกติ ไม่ใช่คนธรรมะธรรมโม เอาเสียเลย แต่ธรรมก็ยังขอสวดมนต์บทอิติปิโสง่าย ๆ สามรอบ แล้วก็แผ่เมตตาให้จิมมี่ ธรรมทำได้เท่านี้
คืนนั้นธรรมฝันเห็นจิมมี่ ที่เดินมาหาธรรมอย่างเศร้า ๆ ธรรมพูดอะไรไม่ออก ใจของธรรมรับรู้แล้วว่าจิมมี่ไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว แต่ธรรมก็ไม่ได้คิดกลัว จิมมี่ไม่ได้พูดอะไร ยืมอย่างเศร้า ๆ ให้ธรรม และมองธรรมด้วยสายตาวิงวอน
ธรรมคิดในใจว่าธรรมจะช่วยดูแลจั่นให้ และเหมือนจิมมี่จะรับรู้ รอยยิ้มผุดที่ริมฝีปาก และจิมมี่ก็กำลังจะเดินจากธรรมไปช้า ๆ
ธรรมพยายามวิ่งตามจิมมี่แต่จะเร่งฝีเท้ายังไง ธรรมก็ตามจิมมี่ไม่ทัน ลมพัดช้า ๆ จนปลายผมของจิมมี่ปลิวไสว ห่างกันแค่เอื้อม ธรรมยื่นมือไปจนคล้ายกับจะได้สัมผัสกับปลายผมลื่นที่ธรรมเคยสัมผัส ธรรมตะโกนเรียกจิมมี่จนสุดหัวใจ แต่พอจะตะโกนอีก และยื่นมือคว้าไหล่ของจิมมี่ได้ ธรรมก็สะดุ้งพร้อมกับตื่นลืมตาขึ้นมามองเพดานห้องของตัวเอง
พยายามทบทวนเรื่องราว และหันไปมองที่พื้นแต่จั่นก็ไม่ได้นอนอยู่ตรงนั้น ที่นอนและผ้าห่มถูกพับอย่างเป็นระเบียบ จั่นรีบหยิบโทรศัพท์มือถือ ส่งข้อความขอลากิจกับเฮีย และเมื่อเดินลงมาข้างล่าง ก็เห็นม๊า อีธง และจั่นที่ง่วนกันอยู่ในครัว อีธงที่เอาแต่เตือนจั่นให้ระวังคนแปลกหน้า แต่ดูเอาสิ ตอนนี้มันคุยกับจั่นอย่างออกรส และจั่นก็หัวเราะเสียงดัง ไหนมึงให้กูวางตัวห่าง ๆ แต่มึงเสือกสนิทซะเอง อีผีเอ๊ย
"ตื่นแล้วหรอลูก ม๊าทำกับข้าวตักบาตรไว้แน่ะ ไปกับน้องไปตักบาตรกันหน่อยไป๊เดี๋ยวหลวงพ่อก็น่าจะกำลังมาพอดี" ม๊ายิ้มให้อย่างใจดี พร้อมกับบุ้ยหน้าให้ธรรม
หน้าบ้านของธรรมปกติมีหลวงน้าหลวงพี่มารับบาตรทุกวัน ธรรมรับคำ และหยิบเสื้อแจ็กเกตมาสวม ธรรมยกถาดที่มีกับข้าวและข้าวเปล่าร้อน ๆ ใส่ถุงไว้สองชุด ม๊าก็ช่างรู้ใจ
ทั้งสองพากันเดินไปเพียงเล็กน้อย ห่างจากบ้านของธรรมไม่กี่ก้าว มีหลวงพ่อที่ธรรมพบท่านบ่อย ๆ ยืนให้ศีลให้พรญาติโยมที่ตักบาตร
"นิมนต์ด้วยครับ" ธรรมพูดเพราะท่านหันหน้ามามองธรรมกับจั่นพอดี ทั้งสองหนุ่มตักบาตรอย่างเงอะ ๆ เงิ่น ๆ ธรรมซึ่งพอจะนึกถึงพระ ก็ดันมีเสียงจากอีธงที่นินทาพระให้ธรรมฟังเมื่อวันก่อน แต่ละเรื่องดี ๆ ทั้งนั้น แต่ตอนนี้ธรรมจะทำบุญ ต้องไม่นึกถึงพระแย่ ๆ พระก็คนนี่แหละ ดีมั่งไม่ดีมั่ง
แต่หลวงพ่อท่านนี้ก็ดูไม่น่ามีพิษมีภัย ธรรมพยายามทำใจให้ไม่คิดอะไร และพยายามคิดว่ากับข้าวที่ตักบาตรไปให้จิมมี่ อย่างน้อย เจ้าตัวคงชอบ เพราะมีทอดมันแสนอร่อยของม๊ารวมอยู่ด้วย
"ไปกินข้าวกินปลากันดีกว่า" ธรรมพูดอย่าธรรมชาติ พยายามทำตัวให้สนิท ก็จั่นได้ชื่อว่าเคยนอนห้องเดียวกับธรรม ถึงจะนอนที่พื้นก็เถอะ
"อือ" จั่นรับคำพร้อมกับอมยิ้มแป้น พยักหน้าอย่างซื่อ ๆ แล้วทั้งสองคนก็พากันเดินกลับเข้าไปในบ้าน กลิ่นอาหารเช้าลอยอวลจนธรรมชักจะหิว มื้อนี้ต้องกินเยอะ ๆ เพราะท่าทางเดี๋ยวธรรมมีเรื่องต้องทำอะไรที่มันไม่ใช่แค่การซ่อมแอร์
และเมื่อเข้าไปในบ้านแล้ว เสียงจักจั่นก็ดังแว่วมาจากที่ไกล ๆ กำลังจะเข้าฤดูฝนแล้ว นี่คงเป็นเสียงสุดท้ายของจักจั่นที่ธรรมจะได้ยินสำหรับปีนี้