ชายหนุ่มแสนธรรมดาใช้ชีวิตกับเพื่อนสาวสมัยเด็กมาเนิ่นนาน แต่ฝันประหลาดชักนำให้เด็กหนุ่มพานพบกับเหตุการณ์อันเป็นจุดพลิกผันและแยกจาก ความทรงจำ สงคราม กาลเวลา การลืมตาตื่นแห่งการเดินทางเพื่อทวงคืนสิ่งที่สำคัญจึงเริ่มต้นขึ้นบนหน้ากระดาษของยุคสมัยใหม่อันเป็นปฐมบทของมหากาพย์นี้
แฟนตาซี,แอคชั่น,ดราม่า,ดาร์ค,สงคราม,แอ็คชั่น ,แอ็กชัน,แอ็คชั่น,พระเอก,แฟนตาซี ,พล็อตสร้าง,ผจญภัย,แอคชั่น,เวท,เวทมนต์,เวทมนตร์,ดาร์กแฟนตาซี,ดราม่า,แฟนตาซี,พล็อตสร้างกระแส,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
บันทึกกาล เทพไร้นามชายหนุ่มแสนธรรมดาใช้ชีวิตกับเพื่อนสาวสมัยเด็กมาเนิ่นนาน แต่ฝันประหลาดชักนำให้เด็กหนุ่มพานพบกับเหตุการณ์อันเป็นจุดพลิกผันและแยกจาก ความทรงจำ สงคราม กาลเวลา การลืมตาตื่นแห่งการเดินทางเพื่อทวงคืนสิ่งที่สำคัญจึงเริ่มต้นขึ้นบนหน้ากระดาษของยุคสมัยใหม่อันเป็นปฐมบทของมหากาพย์นี้
ตารางอัพนิยายจะอัพทุกวัน 18.00 น. และวันเสาร์อาทิตย์เวลา 19.00 น. เวลาอาจปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสมต่อไปในอนาคตนะครับ
เรื่องย่อ : ลิซชายหนุ่มมัธยมปลายธรรมดาที่ในอดีตประสบอุบัติเหตุปริศนาจนเสียพ่อแม่และความทรงจำไป ตอนนี้ได้อาศัยอยู่กับเพื่อนสมัยเด็กนาม “ธิน่า” ในทุกคืนลิซจะฝันเห็นถึงเรื่องประหลาด ตัวตนของบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ประสบการณ์ ความทรมานและอีกหลาย ๆ อย่าง เขาเก็บเป็นความลับกับธฺิน่าและใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุขเรื่อยมา แต่ทว่า
วันหนึ่งธิน่าก็ถูกจับตัวโดยตัวตนปริศนาและลิซก็ถูกสังหาร เขาดำดิ่งลงสู่มิติปริศนาที่เขาคอยเห็นผ่านฝันมาตลอด เขาได้รู้ความจริงบางส่วนและเลือกลืมตาตื่นในฐานะ “เทพเจ้า” สายเลือดพิเศษครึ่งหนึ่งที่ไหลเวียนในตัวเขามาตลอด เพื่อเข้าต่อสู้ต่อมาเขาได้รู้จักกับพรรคพวกของธิน่าและเลือกออกเดินทางไปช่วยธิน่า แต่ก่อนจะไปถึงเขาจะต้องเดินทางผ่านอาณาจักรทั้ง 9 เสียก่อน กระแสกลียุคครั้งใหม่ เปลิวเพลิงแห่งหวังอันมืดมิดถูกจุดประกาย ณ ห้วงลึกของกาลเวลา
ท้ายที่สุดการเดินทางแสนยาวนานจะจบลงที่ตรงไหน ก็คงมีแต่ผู้ที่ไปถึงเท่านั้นจะรู้ได้…
#คำเตือน# เนื้อหาในนิยายบางตอนมีการบรรยายถึงดราม่าที่อาจทำให้รู้สึกหดหู่หรือซึมเศร้า เลือด โศกนาฏกรรม การตาย และการ depress ของตัวละครหรือกระทั่ง อาการ PTSD ก็ตาม โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน เรื่องนี้ไม่เหมาะกับผู้มีอาการซึมเศร้า หดหู่หรือพึ่งประสบเจอสิ่งแย่ ๆ ในชีวิตมา โปรดหลีกเลี่ยง
จากนี้เชิญสนุกกับนิยายได้เลยครับ
หมอกควันที่ค่อย ๆ เลือนหายไป ปรากฎให้เห็นผู้ยืนกำชัยและผู้พ่ายแพ้ในหมอกควันที่เลือนหาย และตัวจริงของผู้ชนะนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน แต่คือ
“ลิซ!!!”
“เจ้าเด็กเทพ!!”
คนคนนั้นคือลิซที่ตามตัวมีแต่แผลจากการปะทะของคลื่นพลังและอาวุธของทั้งสอง ผู้แพ้อย่างเดียร์มุดก็หัวเราะพร้อมกับเลือดที่กระอักออกมา
“เป็นชัยชนะของเจ้าสินะ”
ไม่นึกว่าในช่วงเวลาแค่ 10 วินาที เจ้าสามารถมองและโต้กลับวิชาของข้าออกได้ เจ้าใช้หอกเป็นตัวล่อและแยกดาบมาเพื่อแทงข้า หนำซ้ำยังเร่งความเร็วขึ้นซึ่งเร็วกว่าก่อนหน้ามากจนข้าตอบสนองไม่ทัน
“เยี่ยมยอดมาก ลิซ….”
เดียร์มุดเอ่ยชื่นชมอย่างซื่อตรงและลิซเองก็รับไว้
“นายเองก็เช่นกัน เดียร์มุด”
เขาเองก็ชมเดียร์มุดกลับที่สามารถทวงความยึดมั่นวิถีแห่งนักรบของตนได้ แม้ว่าจะเคยสูญเสียมันมาแล้วก็ตาม
คำพูดสั้น ๆ แต่เอ่อล้นไปด้วยความหมายและความเคารพของนักรบทั้งสองต่างส่งไปถึงอีกฝ่ายโดยที่ทั้งสองต่างรับรู้ทั้งยังสัมผัสถึงมันได้เช่นกัน
ไม่ต้องใช้คำพูดอันสวยหรูหรือคำโกหกอันหอมหวานเพียงแค่ซื่อตรงและถ่ายทอดอารมณ์ที่มีลงไปในคำพูดเป็นพอ
“เดียร์มุด…นายช่วยบอกเหตุผลที่นายทำแบบนี้ได้ไหม?”
เดียร์มุดได้ยินตาของเขาก็เบิกกว้าง เขาใช้แรงที่เหลือพยายามลุกขึ้นมาและบอกกับลิซ
“ที่ฉันทำแบบนี้เพราะ…”
แต่ไม่ทันไรสายฟ้าก็ฟาดลงมาที่เดียร์มุด แต่เดียร์มุดก็สามารถผลักลิซออกไปได้ทันแต่เขาโดนสายฟ้าไปเต็ม ๆ เนื้อหนังถูกเผาไหม้จนส่งกลิ่นออกมาพร้อมกับร่างที่ล้มลงของนักรบผู้ทรงเกียรติ
“เดียร์มุด!!”
เสียงของลิซ ซิกฟรีดและซาฮาประสานกันโดยไม่ตั้งใจ ทั้งสามต่างวิ่งกรูเข้าไปเพื่อดูอาการของเดียร์มุด
ลิซพยายามประคองเขาขึ้นมาและต่อให้ไม่ต้องตรวจแบบละเอียดก็รู้ได้เลยว่า…เขาใกล้จะตายแล้ว
“ละ…ลิซ แค่ก ๆ”
เดียร์มุดพูดชื่อของลิซพร้อมทั้งกระอักเลือดออกมา ร่างกายของเขาเสียหายอย่างหนัก กระทั่งหอกคู่กายยังแตกเป็นเสี่ยง ๆ ซิกฟรีดและซาฮาที่มาทีหลังเมื่อเห็นสภาพร่างกายของเดียร์มุดก็รู้ว่าจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น
“ลิซ ฉันมีเรื่องต้องบอกนาย…”
“หยุดพูดก่อนสิ!! นายต้องรอดนะ!!”
ลิซพยายามห้ามปรามเดียร์มุดแต่ตัวเขาเองก็รู้ว่าชะตากรรมของตนจะเป็นอย่างไร
“คนที่อยู่เบื้องหลังของเรื่องนี้…คนที่ฉันทำงานให้ด้วยคือ…1 ในเทพเจ้าหนุ่มที่แข็งแกร่งที่สุด ผู้กวัดแกว่งค้อนแห่งความยุติธรรม ผู้บงการสายฟ้าฟาด นามนั้นคือ…เทพเจ้าสายฟ้าธอร์!!”
“ธอร์นี่หมายถึงธอร์บุตรแห่งโอดินงั้นเหรอ!?”
ซิกฟรีดได้ยินก็ตกใจและหน้าถอดสี
“ใช่…และเขาเป็นคู่หมั้นของเทพีแห่งสงครามและราตรีมืด อาธีน่าแห่งโอลิมปัส!!”
“เขาเป็นคู่หมั้นของธิน่าด้วยเหรอ!?”
สาเหตุที่ธิน่าถูกจับไปเรื่องนี้ก็มีส่วนสินะ…
“ด้วยเหตุที่โอดินแห่งแอสการ์ดและซุสแห่งโอลิมปัส 2 เทพสูงสุดคิดจะผลิตทายาทเลือดบริสุทธิ์ที่มีพลังมากล้น อีกทั้งซุสยังโปรดปรานธิน่าเป็นพิเศษอีกด้วย…”
เดียร์มุดพยายามพูดออกมาแต่เลือดก็กระอักออกมาไม่หยุดและลมหายใจที่ค่อย ๆ แผ่วเบา
“ลิซ…เจ้าคงรู้ว่าจะทำยังไงถึงจะไปที่ที่ธิน่าถูกจับได้อยู่แล้วสินะ??”
“อ่า…ใช่แล้ว”
“ถ้างั้นอุปสรรคที่เจ้าต้องฟันฝ่ายังคงมีอีกมากมายนัก ยังไม่รวมกับพวกที่แข็งแกร่งกว่าฉันด้วย ฉะนั้นนายต้องควบคุมและใช้พลังของนายให้ได้!!”
“และที่นายให้เวลาฉันคงเพื่อการนั้นสินะ…”
“นายพูดอะไรของนายน่ะ ลิซ?”
“ใช่ เจ้าเด็กเทพนายพูดอะไรออกมาน่ะ?”
ทั้งซิกฟรีดและซาฮาต่างสงสัยว่าทำไมลิซถึงพูดแบบนี้ออกมากับศัตรูที่กะจะฆ่าเขา แต่ลิซก็ยังคงความสงบของตนไว้และพูดต่อ
“ตอนที่ผมใช้พลังความทรงจำบางส่วนผมก็กลับคืนมา ทั้งยังสามารถรับรู้อดีตหรือความรู้สึกของสิ่งที่ต่าง ๆ ได้”
“เป็นไปไม่ได้น่า!? พลังในการหยั่งรู้ในทุกสรรพสิ่งงั้นเหรอ!?”
ซิกฟรีดตกใจกับคำตอบที่ลิซมอบให้ เขาคิดว่าการมีพลังระดับนี้นั้นมันเทียบเท่าหรืออาจจะเหนือกว่าเทพสูงสุดทั้ง 2 ก็เป็นได้
ลูกชายของคุณทั้งสองนี่พิเศษแบบที่พวกคุณเคยว่าจริง ๆ
“ใช่แล้ว…ฉันรู้ดีว่าสิ่งที่อยู่ในตัวนายคือสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง นายคือ******”
‘เอ๊ะ!! ทำไมอยู่ดี ๆ ก็ไม่ได้ยิน…’
ลิซรู้สึกเวียนหัวจนจะล้มหลังจากได้ยินคำพูดของเดียร์มุด
***** งั้นเหรอ? มันคืออะไรกันแน่?
แต่ก่อนที่ลิซจะถามคำถามกับตนไปมากกว่านี้ เดียร์มุดก็สำลักเลือดออกมาอีกครั้ง ลิซดึงสติของตนกลับมาก่อนจะมองไปที่เดียร์มุดด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยราวกับสูญเสียสหายร่วมรบไป
“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ…ตลอดชั่วชีวิตตั้งแต่เสียสิ่งที่รักไปก็หลงผิด ข้าก็ทำทุกอย่างเพื่อจะได้เจอกับคนรัก ทั้งที่รู้ว่านั้นคือการหลอกตัวเองไปวัน ๆ ทำให้เกียรติยศที่ตนเฝ้าทะนุถนอมมาต้องแปดเปื้อนไปด้วยเลือดและคำโกหก….”
เดียร์มุดพยายามพูดในสิ่งที่เขาอยากจะพูด เขารู้ตัวดีว่าอีกไม่นานเขาก็จะตาย…
“แต่ว่านี่คือครั้งแรกในหลายร้อยหรือหลายพันปีที่ฉันได้ซื่อสัตย์ต่อหัวใจตนอีกครั้ง และได้ต่อสู้อย่างสุดความสามารถโดยที่เดิมพันทุกอย่างไว้กับมันเป็นครั้งสุดท้าย ฉันดีใจจริง ๆ ลิซ ที่ฉันได้จบชีวิตลงเพราะการต่อสู้ของเรา…ฉัน…ดะ…ดีใจ…จริง ๆ”
สิ้นสุดคำพูดนั้นเดียร์มุดก็ได้สิ้นใจลงในอ้อมแขนของนักรบหนุ่มที่เอาชนะเขาได้ เขาไม่มีแม้แต่ความโกรธหรือเกลียดชัง มีแต่คำขอบคุณและความปิติที่ถูกสังหารลงด้วยเด็กหนุ่มผู้มีชะตาที่ยิ่งใหญ่คนนี้
“ที่นี่มัน…”
เดียร์มุดตื่นมาอีกครั้งในสถานที่ที่แปลกตา มีแต่สีขาวปกคลุมไกลสุดลูกหูลูกตาและก็ได้มีคนคนหนึ่งปรากฎต่อหน้าเขา คนที่เขารู้จักและรักมากที่สุดในโลก
“กลอเนียงั้นเหรอ…”
อีกฝ่ายไม่ตอบอะไรแต่ก็ยิ้มออกมาตอบรับเสียงเรียกนั้น
“ในที่สุดฉันก็มาถึงแล้วสินะ…แต่ดูเหมือนคงอีกนานกว่าเราจะได้อยู่ด้วยกัน”
เดียร์มุดหันหลังมองก็เจอขุมนรกที่ในนั้นมีแต่คนที่เขารู้จักและไม่รู้จัก คนที่เขาฆ่าไปไม่ว่าจะเด็กหรือคนแก่ ทหารร่วมรบหรือตัวการที่ทำให้เกิดโศกนาฏกรรมแสนสลดนี้ก็ตาม
เขาเลือกที่จะเดินไปยังขุมนรกเพื่อชดใช้บาปที่ตนสร้างขึ้น แม้เขาจะเป็นผู้สูญเสียแต่มันก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะละเลยบาปที่เขาก่อมันขึ้นได้ แต่มือของกลอเนียก็รั้งเขาไว้
“กลอเนีย??”
“ฉันจะไปกับคุณด้วยค่ะ”
มืออันอบอุ่นสัมผัสกับมือที่เย็นเยือกของชายหนุ่ม น้ำตาได้ไหลอาบแก้มของชายหนุ่มโดยไม่รู้ตัว เขาทั้งคิดถึงทั้งรู้สำนึกผิดที่ทำให้ชะตากรรมของเธอคนนี้เปลี่ยนไปตลอดกาล
“แต่ว่า…”
เดียร์มุดพยายามปฏิเสธไปเพราะเขาไม่อยากให้ผู้หญิงที่เขารักมาพัวพันมากกว่านี้แล้ว แต่หญิงสาวกลับส่ายหน้าปฏิเสธกลับพร้อมกับพูดในสิ่งที่ทำให้นักรบหนุ่มเปลี่ยนใจ
“ฉันไม่ขอรอคุณอีกแล้ว ฉันรอคุณมานานเกือบชั่วนิรันดิ์แล้วครั้งนี้คุณกลับไล่ฉันไปเหรอ?”
ใช่แล้ว มันนานมากนานเกือบชั่วนิรันดร์ ทำไมกัน? ทั้งที่อยากจะปฏิเสธแท้ แต่ว่า…
“เข้าใจแล้วกลอเนีย…ไปกันเถอะ ครั้งนี้ข้าไม่สิ…ฉันจะไม่ปล่อยมือเธอไปอีกแล้ว”
จากนั้นเดียร์มุดและกลอเนียก็จับมือเดินไปยังขุมนรก แต่ในระหว่างทางทั้งสองกลับคุยกันอย่างสนุกสนาน โดยที่ไม่คิดถึงสิ่งที่พวกเขาจะเจอต่อจากนี้แม้แต่น้อยเพราะไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นจากนี้…มันต้องไม่เป็นไรแน่นอนเพราะพวกเขาทั้งสองได้อยู่ด้วยกันแล้ว
“เขาไปดีแล้วสินะ”
ลิซพูดขึ้นพร้อมตรวจดูชีพจรของเดียร์มุดและพบว่ามันได้หยุดลงแล้ว เรื่องราวชีวิตของนักรบผู้เปี่ยมล้นไปด้วยเกียรติยศและความรักต่อหญิงที่รักได้จบลง ณ ตรงนี้
“หลับให้สบายนะ ที่เหลือพวกเราจะจัดการเอง”
ลิซใช้มือปิดเปลือกตาที่ยังปิดไม่สนิทของเดียร์มุดลง และทุกคนที่อยู่ที่นั้นก็สวดภาวนาให้วิญญาณของเขาได้พบกับความสงบและการพักผ่อนที่เรียกว่า “ความตาย”
นับพันเกือบหมี่นปีที่เรื่องราวของเขาได้ดำเนินมาพบกับความผิดพลาดครั้งแล้วครั้งเล่า เชยชิมความอัปยศสุดขั้วหัวใจมาแทบนับไม่ถ้วน และท้ายที่สุดนี้แม้ไม่รู้ว่าวิญญาณมีจริงหรือไม่ แต่หากมีจริงก็ขอให้วิญญาณของเขาได้พบกับสิ่งที่ตนได้เฝ้าหวังมาด้วยเถิด
“จากนี้เราจะทำอะไรต่อเหรอครับ?”
ลิซหันกลับไปถามทั้งสามคนที่อยู่ด้านหลังเขา โดยที่ไม่มีท่าทีสงสัยในตัวของหญิงสาวผู้สวมกิโมโนลายหิมะ แม้แต่น้อยจนซิกฟรีดและซาฮาต้องแปลกใจ
“จากนี้เราจะไป ‘อีกด้าน’ กัน”
“อีกด้าน??”
“โลกใบนี้มีโลกอยู่ 2 ฝั่ง คือโลกปรกติที่เราอยู่ตอนนี้และอีกด้าน…”
ซาฮาพูดอธิบายเพิ่มเติมต่อจากซิกฟรีด
“โลกอีกด้านหนึ่งเป็นโลกที่เป็นเวทมนตร์ซะส่วนมาก อีกทั้งยังเป็นอีกด้านที่แย่เอาเรื่อง”
ซาฮาทำสีหน้าไม่ชอบและสื่อว่าไม่อยากจะไป
“มันไม่ดีขนาดนั้นเลยหรือครับ?”
ลิซถามไถ่ซาฮาถึงความแย่ของมัน แต่ซาฮาก็ทำหน้าประมาณว่า “อย่าให้พูดเลย” ลิซเห็นก็ไม่ถามอะไรต่อ
“เอาเป็นว่าเดี๋ยวไปเจอก็รู้เอง ตอนนี้เราต้องจัดการร่างของเดียร์มุดก่อน”
ซิกฟรีดแทรกทั้งสองคนก่อนที่จะยกร่างของเดียร์มุดและใช้ผ้าสีขาวคลุมไว้
“จะว่าไปคนที่ใส่ชุดกิโมโนสีขาวนี่ อาจารย์ยูกิใช่ไหมครับ?”
ซิกฟรีดกับซาฮาได้ยินก็ตกใจว่าทำไมเขาถึงรู้ได้ แต่ซิกฟรีดก็เอะใจว่าลิซมสามารถใช้พลังในการรับรู้ทุกสิ่งได้ คงไม่แปลกที่เขาสามารถรู้ตัวจริงของคนคนนี้ได้
“ใช่ ฉันเป็นหนึ่งในพรรคพวกของสองคนนี้ที่ถูกส่งมาให่ช่วยซัพพอร์ตน่ะ”
“แต่คุณดูไม่เหมือนมาช่วยเลยนะครับ…”
ลิซยิงคำถามเพิ่มใส่ยูกิ เธอได้ยินก็ยิ้มออกมาราวกับว่ายอมรับในความพ่ายแพ้ของเธอ
“ฉันถูกส่งมาเพื่อเฝ้าสังเกตการณ์โลกใบนี้แทนธิน่าด้วย เพราะเธอคนนั้นถูกจับไปทางเราเลยวุ่นวายกันใหญ่เลย ที่นี้หมดคำถามหรือยัง?”
“แค่นี้ก็พอแล้วครับ เพราะตอนนี้ผมต้องการพัก…”
ไม่ทันจบ ลิซก็ล้มสลบไป ทั้งสามเห็นก็พยายามช่วยเหลือและดูอาการเต็มที่ นี่คงเป็นศึกที่หนักหนาสำหรับเขามากแน่นอน จากเด็กธรรมดาที่ไม่รู้ความจริง สู่เทพเจ้าที่จะมาเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้หรือทำลายกันแน่นั้น เรามิอาจรู้ได้
“เจ้านั้นทำพลาดงั้นหรือ…”
เสียงของชายทุ้มต่ำดังขึ้นในห้องขนาดใหญ่ที่ประดับประดาไปด้วยเครื่องเรือนสวยงามมากมายรายล้อมและค้อนขนาดใหญ่ที่วางอยู่ข้างเขา ไม่นานคนรับใช้ของเขาก็เข้ามา
“ท่านธอร์ครับ…ท่านซุสมาขอพบครับ”
“ตาแก่นั้นหูตาไวจริง ๆ เดี๋ยวข้าไป”
“ขอรับ…”
ข้ารับใช้พูดและปิดประตูจากไป ส่วนชายที่ชื่อว่าธอร์ก็สวมเสื้อคลุมและเหวี่ยงค้อนไปมาก่อนจะเดินออกไป
“เฮ้อ…อุตส่าห์ให้เจ้านั้นเป็นมือเป็นเท้าให้แท้ ๆ ช่างเหอะถึงเจ้านั้นจะสำเร็จจริงแต่ความฝันมันก็ไม่มีวันเป็นจริงหรอก”
ธอร์เหวี่ยงค้อนไปมาและเดินไปยังโถงขนาดใหญ่ที่นั่นมีชายแก่สองคนนั่งรออยู่บนบังลังก์สีทองขนาดใหญ่ ทั้งยังทำท่าเบื่อหน่ายต่อท่าทีของธอร์
“เจ้ามาช้านะ ธอร์”
เสียงทุ้มต่ำของชายคนหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความรู้สึกกดดันจากชายคนนั้น แต่ธอร์ก็ไม่มีท่าทีไหว่เกรงแม้แต่น้อย
“ข้าขออภัยท่านพ่อ ท่านซุสมิทราบว่าเหตุใดท่านทั้งสองถึงเรียกข้ามาเช่นนี้?”
ธอร์กล่าวขึ้นพร้อมคุกเข่าคำนับลง แต่ท่าทีของทั้งสองกลับไม่เปลี่ยนเลยแม้แต่น้อย
“คนที่เจ้าส่งไปพ่ายแพ้แล้ว”
“เรื่องนั้นข้าทราบอยู่แล้วครับเพราะข้าฆ่ามันเองขอรับ”
“งั้นเหรอ…”
ชายที่ถูกเรียกว่าท่านพ่อลูบคางพลางคิดบางอย่างไป ก่อนจะหันมาหาธอร์
“เจ้าไปหาธิน่าเสียหน่อยไป…”
“ครับ?”
ธอร์สงสัยกับสิ่งที่ท่านพ่อให้เขาทำ เดิมทีเขาคิดว่าเขาจะโดนดุแล้ว แต่ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นอย่างงั้น
แม้ธอร์จะสงสัยแต่ท่านพ่อก็ไม่พูดอะไรอีก ธอร์เห็นดังนั้นจึงลุกขึ้นและคำนับก่อนจะเดินออกไป
“ดีแล้วหรือ?”
ซุสถาม
“ยังไงสองคนนั้นก็ต้องครองคู่กันไม่มีปัญหาหรอก”
ท่านพ่อตอบอย่างสบายใจและไม่มีท่าทีที่กังวลต่อสถานการณ์ตรงหน้าเท่าไหร่ ซุสที่เห็นดังนั้นก็รู้สึกไม่ดีเท่าไหร่นัก แต่ก็ไม่ได้ขัดอะไรมาก
“ยังเหมือนเดิมเลยนะ โอดิน”
สีหน้าของโอดินที่อยู่ ๆ ก็แสยะยิ้มอันสยดสยองและมีเล่ห์นัยออกมา แม้แต่ซุสที่อยู่ข้าง ๆ ก็ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่กันแน่
“เฮ้อ…ทำไมข้าต้องไปหานางด้วยนี่”
ธอร์เกาหัวพลางเดินครุ่นคิดไปมา แม้ปากจะบอกว่าไม่อยาก แต่จากภาษากายที่สื่อออกมาก็แสดงให้เห็นว่าเขาดีใจเช่นกัน
และในที่สุดเขาก็มาถึงห้องที่ขังธิน่าไว้ ด้านหน้ามีทหาร 2 นายประจำการอยู่
“พวกเจ้าถอยไป…ข้ามาเพื่อพบนาง”
“ครับ!!”
เสียงของทหารดังขึ้นพร้อมทั้งเปิดประตูเพื่อให้ธอร์เข้าไป ส่วนธอร์ก็หยุดยิ้มไม่ได้
“ข้ามาหาเจ้าแล้วนะ ที่รัก…”