ชายหนุ่มแสนธรรมดาใช้ชีวิตกับเพื่อนสาวสมัยเด็กมาเนิ่นนาน แต่ฝันประหลาดชักนำให้เด็กหนุ่มพานพบกับเหตุการณ์อันเป็นจุดพลิกผันและแยกจาก ความทรงจำ สงคราม กาลเวลา การลืมตาตื่นแห่งการเดินทางเพื่อทวงคืนสิ่งที่สำคัญจึงเริ่มต้นขึ้นบนหน้ากระดาษของยุคสมัยใหม่อันเป็นปฐมบทของมหากาพย์นี้
แฟนตาซี,แอคชั่น,ดราม่า,ดาร์ค,สงคราม,แอ็คชั่น ,แอ็กชัน,แอ็คชั่น,พระเอก,แฟนตาซี ,พล็อตสร้าง,ผจญภัย,แอคชั่น,เวท,เวทมนต์,เวทมนตร์,ดาร์กแฟนตาซี,ดราม่า,แฟนตาซี,พล็อตสร้างกระแส,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
บันทึกกาล เทพไร้นามชายหนุ่มแสนธรรมดาใช้ชีวิตกับเพื่อนสาวสมัยเด็กมาเนิ่นนาน แต่ฝันประหลาดชักนำให้เด็กหนุ่มพานพบกับเหตุการณ์อันเป็นจุดพลิกผันและแยกจาก ความทรงจำ สงคราม กาลเวลา การลืมตาตื่นแห่งการเดินทางเพื่อทวงคืนสิ่งที่สำคัญจึงเริ่มต้นขึ้นบนหน้ากระดาษของยุคสมัยใหม่อันเป็นปฐมบทของมหากาพย์นี้
ตารางอัพนิยายจะอัพทุกวัน 18.00 น. และวันเสาร์อาทิตย์เวลา 19.00 น. เวลาอาจปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสมต่อไปในอนาคตนะครับ
เรื่องย่อ : ลิซชายหนุ่มมัธยมปลายธรรมดาที่ในอดีตประสบอุบัติเหตุปริศนาจนเสียพ่อแม่และความทรงจำไป ตอนนี้ได้อาศัยอยู่กับเพื่อนสมัยเด็กนาม “ธิน่า” ในทุกคืนลิซจะฝันเห็นถึงเรื่องประหลาด ตัวตนของบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ประสบการณ์ ความทรมานและอีกหลาย ๆ อย่าง เขาเก็บเป็นความลับกับธฺิน่าและใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุขเรื่อยมา แต่ทว่า
วันหนึ่งธิน่าก็ถูกจับตัวโดยตัวตนปริศนาและลิซก็ถูกสังหาร เขาดำดิ่งลงสู่มิติปริศนาที่เขาคอยเห็นผ่านฝันมาตลอด เขาได้รู้ความจริงบางส่วนและเลือกลืมตาตื่นในฐานะ “เทพเจ้า” สายเลือดพิเศษครึ่งหนึ่งที่ไหลเวียนในตัวเขามาตลอด เพื่อเข้าต่อสู้ต่อมาเขาได้รู้จักกับพรรคพวกของธิน่าและเลือกออกเดินทางไปช่วยธิน่า แต่ก่อนจะไปถึงเขาจะต้องเดินทางผ่านอาณาจักรทั้ง 9 เสียก่อน กระแสกลียุคครั้งใหม่ เปลิวเพลิงแห่งหวังอันมืดมิดถูกจุดประกาย ณ ห้วงลึกของกาลเวลา
ท้ายที่สุดการเดินทางแสนยาวนานจะจบลงที่ตรงไหน ก็คงมีแต่ผู้ที่ไปถึงเท่านั้นจะรู้ได้…
#คำเตือน# เนื้อหาในนิยายบางตอนมีการบรรยายถึงดราม่าที่อาจทำให้รู้สึกหดหู่หรือซึมเศร้า เลือด โศกนาฏกรรม การตาย และการ depress ของตัวละครหรือกระทั่ง อาการ PTSD ก็ตาม โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน เรื่องนี้ไม่เหมาะกับผู้มีอาการซึมเศร้า หดหู่หรือพึ่งประสบเจอสิ่งแย่ ๆ ในชีวิตมา โปรดหลีกเลี่ยง
จากนี้เชิญสนุกกับนิยายได้เลยครับ
“อาวุธที่ข้าใช้คือหอก 2 เล่มนี้ชื่อว่า Gáe Buide (สีดำแห่งการุณย์) และ Gáe Dearg (สายฟ้าโหมแห่งพันธะ)”
อยู่ดี ๆ ทำไมถึงเปิดเผยความสามารถโต้ง ๆ แบบนี้กันเนี่ย!?
“สีดำแห่งการุณย์สามารถฆ่าคนภายในการแทงครั้งเดียวได้แต่ก็ไม่เช่นกัน ส่วนสายฟ้าโหมแห่งพันธะสามารถใช้พลังสายฟ้าหรือไฟที่ทรงพลังได้อีกทั้งยังสามารถปิดผนึกบางสิ่งตามใจข้าได้ด้วย”
“ทำไมถึงพูดออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติอย่างงั้นล่ะ!?”
ลิซถามเดียร์มุดถึงเหตุผลที่เปิดเผยความสามารถตนทั้งที่หากกุมความได้เปรียบนี้ไว้ก็คงสามารถฆ่าเขาได้อย่างง่ายดาย
ทำไมกัน??
ความสงสัยและไม่เข้าใจค่อย ๆ กลืนกินจิตใจของเขา หากลองย้อนกลับไปตั้งแต่ที่ธิน่าถูกจับตัวไป ปริศนา…ไม่สิ ความจริงที่เขาไม่เคยได้รับรู้มาก่อนก็ค่อย ๆ ถูกเปิดเผยออกมา แต่กระนั้นสิ่งที่เขาสงสัยก็ยังคงไม่ได้รับคำตอบอยู่ดี…
สุดท้ายแล้ว…ชายตรงหน้าเขากำลังคิดอะไรกันแน่ ลิซนั้นก็ไม่สามารถรู้ได้เลย
“ที่ข้าบอก…”
เสียงของเดียร์มุดดังขึ้น ดึงลิซออกจากภวังค์
“ที่ข้าบอก…ก็เพื่อความยุติธรรมของทั้งสองฝ่าย ถึงข้าจะไม่มีสิทธิ์พูดแบบนี้ก็ตาม”
เดียร์มุดพูดทั้งทำหน้าเศร้าสร้อยราวกับว่าเขากำลังสำนึกผิดจากใจจริง ซึ่งต่างจากครั้งแรกที่ลิซได้เจอกับเขา
“เดียร์มุด…นายสู้ไปเพื่ออะไร?”
เดียร์มุดได้ยินก็ทำหน้าอึ้งกับคำถามที่ลิซยิงใส่ แต่เขาก็ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะตอบ
“ชนะให้ได้แล้วข้าจะบอก”
“เข้าใจแล้ว…”
สิ้นสุดการสนทนาของทั้งสอง ต่างฝ่ายก็ตั้งท่าต่อสู้ ทันใดนั้นหอกของเดียร์มุดก็พุ่งเข้าหน้าลิซแต่เขาหลบได้ แต่เดียร์มุดก็ไม่ให้ลิซตั้งตัวใช้หอกอีกด้ามแทงเข้าช่องว่างของลิซ แต่เขาก็ใช้ดาบกันไว้ได้เช่นกัน
บัดนี้…การสนทนาทางวาจาจะไม่มีอีกต่อไป มีเพียงการสนทนาผ่านการต่อสู้เพียงเท่านั้น
เดียร์มุดเก็บสีดำแห่งการุณย์ลงและเอามือที่ว่างวางลงพื้น ขาข้างหนึ่งเหยียดไปด้านหลังจนสุด ทั้งตัวโน้มต่ำลงจวนจะติดพื้นพร้อมกับมือข้างที่ถือสายฟ้าโหมแห่งพันธะดึงเข้าหาตัวให้มากที่สุด
ลักษณะของเขาตอนนี้ราวกับนักวิ่งที่กำลังเตรียมตัวเพื่อทะลวงออกไปให้สุดแรงเกิดเพื่อเข้าเส้นชัย ลิซเห็นท่าไม่ดีจึงพยายามตั้งท่าที่ปิดช่องว่างของเขาให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ แม้จะเคยได้รับการสอนการรับมือกับผู้ใช้อาวุธอื่น ๆ นอกจากดาบมาบ้าง แต่กระนั้นด้วยสรีระทางกายภาพของอาวุธที่ทั้งสองมีอยู่นั้น ทำให้ลิซเสียเปรียบอย่างมาก แต่ว่าเขาก็รู้ดีว่าไม่ใช่เวลามาคร่ำครวญ เขาเพ่งสมาธิทั้งหมดไปที่เดียร์มุดเพื่อคอยจับวิถีของเขาแม้สักนิดก็ดี
พรึ่บ!!
เสียงเคลื่อนที่ดังขึ้นพร้อมกับอากาศที่ถูกแหวกออก ลิซตั้งท่าเพื่อรับการโจมตีของเดียร์มุดจากด้านหน้าแต่ว่าเขาคิดผิด!!
ไม่ทันไรหอกของเดียร์มุดก็แทงเข้าข้างลำตัวของลิซทำเขาร้องออกมาเสียงดัง แต่เขาก็ผลักเดียร์มุดออกจากระยะการโจมตีได้และตั้งท่าใหม่โดยเร็ว
“โห…ไม่คิดว่าจะตอบสนองได้ดีขนาดนี้”
“แฮ่ก ๆ”
เสียงหอบของลิซดังขึ้น พร้อมกับเลือดที่ไหลออกมาจากแผลแม้ดูคร่าว ๆ จะไม่หนักมากแต่ลิซได้รับความเสียหายแน่นอน
การโจมตีที่รวดเร็ว ประสบการณ์ที่ต่างกัน ทักษะ พลัง ฉันขาดมันหมดเลยสินะ
‘ฮะ…ฮ่า’
ลิซหัวเราะให้กับสถานการณ์เลวร้ายตรงหน้า ในหัวเขาตอนนี้รู้ได้ทันทีเลยว่าเขาไม่สามารถชนะคนคนนี้ได้ในตอนนี้ ระดับระหว่างทั้งสองมันห่างชั้นเกินไปที่จะชนะ! แต่กระนั้นเขาก็ไม่คิดจะยอมแพ้ เปลวเพลิงแห่งความหวังยังคงลุกโชนในนัยต์ตาของเขา เดียร์มุดเองก็สัมผัสมันได้เช่นกัน
“ช่างเป็นแววตาที่วิเศษยิ่งนัก!!”
เดียร์มุดกล่าวชมพร้อมยิ้มมุมปาก ในฐานะนักรบแล้วเดียร์มุด ไม่สิ ทุกคนที่เป็นสักขีพยานในการต่อสู้ครั้งนี้ต่างรู้ดีว่าแววตานั้นมันช่างงดงามยิ่งนัก ร่างกายที่จะบาดเจ็บแต่ก็ลุกขึ้น การใช้อาวุธที่แม้จะยังไม่ชำนาญแต่ก็สัมผัสได้ถึงความพยายามของผู้ใช้ ร่างกายที่ผ่านการขัดเกลาพร้อมกับจิตใจดั่งใบดาบ และที่สำคัญ…แววตาแห่งความหวังและความดื้อด้านที่จะแสวงหาซึ่งชัยชนะ มิใช่เพื่อเกียรติหรือความมั่งคั่ง แต่เพื่อผู้หญิงผู้เป็นที่รักเพียงหนึ่ง
เดียร์มุดก็สัมผัสถึงสิ่งเหล่านั้น คนคนหนึ่งก็โผล่เข้ามาในความทรงจำของเขา
ความอบอุ่นดั่งแสงต้องยามเช้า ทั้งความบริสุทธิ์ดั่งดอกลิลี่ที่ผลิบานยามหน้าร้อนและความสัตย์ตรงเหมือนดอกไอวี่ผลิบานยามใบไม้ร่วงโรย ภาพของคนคนนั้นทับซ้อนกับลิซจนเดียร์มุดเห็นเป็นคนเดียวกัน แม้ใจอยากจะไขว่คว้ามากอดข้างกายเพียงใด แต่เขาก็รู้ว่าในตอนนี้มันเป็นไปไม่ได้หากเขาไม่ฆ่าคนที่อยู่ตรงหน้านี้
ข้าล่ะเสียใจเหลือเกิน…ที่ต้องมาฆ่าคนที่เคยมีดวงตาเดียวกับข้าและเหมือนคนคนนั้น….
แม้เขาจะไม่ได้พูดออกมาแต่สีหน้า สายตา บรรยากาศรอบตัวได้ถ่ายทอดคำพูดนั้นออกมาอย่างชัดเจน ซิกฟรีดและซาฮาเห็นต่างก็เข้าใจในสิ่งที่นักรบผู้ใช้หอกที่ทั้งเก่งกาจและเปี่ยมด้วยเกียรติเช่นนี้ต้องสูญเสียและจมลงสู่หนทางแห่งความมืดอันต่ำทราม
“ไม่มีทางเลือกแล้วสินะ…”
เดียร์มุดพูดขึ้นเบา ๆ ก่อนจะชักหอกสีดำแห่งการุณย์ที่มีความสามารถในการสังหารศัตรูในการแทงเพียงครั้งเดียวออกมา ออร่าแห่งความตายอันกรุณาแผ่ซ่านออกมาจนบรรยากาศรอบข้างเย็นยะเยือกราวกับเทือกเขาสูง ลิซเองก็สัมผัสได้แม้จะอยู่ไกลก็ตาม เขารู้ได้ทันทีว่าการโจมตีครั้งถัดไปอาจจะเป็นการดิ้นรนครั้งสุดท้ายของเขาก็ได้
เดียร์มุดตั้งท่าเตรียมเข้าประชิดฉับพลันแบบครั้งก่อน ลิซก็ใช้พลังอัดเข้าไปในดาบจนมันเปร่งแสงท้องฟ้ายามราตรีออกมา พลังของทั้งสองเข้าปะทะกันจนเกิดสายลมโหมกระหน่ำรุนแรง พลังสมาธิขั้นสุดยอดต่างจ้องมองซึ่งกันและกันไร้คำโกหก วินาทีหลังจากนี้ใครกัน…ที่จะมีชัย
เสียงหยดน้ำแห่งจิตใจตกกระทบลงบนผิวน้ำแห่งดวงจิต
เดียร์มุดพุ่งใส่ลิซตรง ๆ ไร้การหักหลบ เขาใช้สายฟ้าโหมแห่งพันธะแทงเข้าไปตรงกลางอกของลิซ แต่เขาก็ใช้ดาบปัดป้องมันออกไป แต่ก็กำลังจะถูกสีดำแห่งการุณย์แทงซ้ำตรงจุดเดิม ลิซเห็นก็ใช้จังหวะหลบไปยังด้านข้างของเดียร์มุดตรงข้ามกับวิถีหอกและใช้ดาบฟันเข้าหลังของเดียร์มุด แต่เขาก็หลบได้แต่ก็ได้รับบาดแผลเช่นกัน
ลวดลายวิถีแห่งการต่อสู้ถูกระบายออกมาไม่สิ้นสุดราวกับศิลปะอันบ้าคลั่ง เส้นทางของดาบและหอกเสียดสีกระทบกันจนเกิดเสียงแสบแก้วหูไปมาไม่หยุด
ซิกฟรีดและซาฮาที่ยืนมองอยู่ก็รู้เลยว่าลิซกำลังเสียเปรียบและแรงของเขากำลังจะหมดเพราะอาการบาดเจ็บก่อนหน้า
“เจ้าเด็กนั้น…ไม่ปลดผนึกพลังหรือไง!?”
ซาฮาพูดพร้อมกัดเล็บนิ้วมือพลางคิดไปว่าดาบที่เธอให้ไปแม้จะวิเศษมากเพียงไหน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคู่ต้องสู้ที่ได้เปรียบด้านอาวุธแบบนี้แล้วก็ไม่ต่างจากท่อนเหล็กเลย
“คงเพราะมันยังไม่ถึงเวลาก็ได้…”
“เวลา…เวลาอะไรเล่า!? ใกล้ตายเต็มทนแล้วเนี่ย!?”
ซาฮาได้ยินก็ตวาดใส่ซิกฟรีด แต่เขาก็ยังมองไปที่ลิซกำลังปัดป้องการโจมตีและสวนกลับเดียร์มุดเท่าที่เขาทำได้อย่างเอาเป็นเอาตาย
“เชื่อในตัวเขาซะซาฮา!! สิ่งที่เราทำได้ตอนนี้มีเพียงแค่นั้น”
“ชิ…”
ซาฮาทำหน้าเจ็บใจพร้อมกำหมัดแน่น เธอรู้ว่าควรเชื่อใจเขาแต่อีกใจเธอก็อดกังวลไม่ได้เลย แต่ตอนที่เธอคิดอย่างงั้น เธอก็สบกับมือของซิกฟรีดที่กำแน่นจนเลือดไหลออกมา
เขาเองก็กังวลสินะ…
ซาฮามองไปยังลิซที่กำลังสู้อย่างเอาเป็นเอาตาย
“ชนะให้ได้ล่ะ ลิซ!!”
เสียงเบา ๆ ของเด็กสาวเปล่งออกมาแม้มันจะไม่ดังพอที่จะส่งไป แต่เธอก็หวังว่าเขาจะสามารถได้ยินและทะลวงอุปสรรคนี้ไปได้
“ใกล้ถึงขีดจำกัดแล้วสินะ…”
คนที่พูดคือเดียร์มุดที่อยู่ดี ๆ ก็ลดความถี่ในการโจมตีลงกะทันหัน ลิซเห็นก็มองไปยังเขาด้วยสายตาและร่างกายที่เหนื่อยล้าอย่างถึงที่สุด
“ละ…แล้ว แฮ่ก แฮ่ก คิดว่าไม่ใช่หรือไง”
ลิซตอบกลับแต่ร่างกายของเขาก็มาถึงขีดจำกัด เขาล้มลงและสั่นเทาไม่หยุด เดียร์มุดเห็นก็ค่อย ๆ เดินมาหาเขาเรื่อย ๆ และเมื่อเขายืนอยู่หน้าลิซ เขาก็ใช้สีดำแห่งการุณย์ชี้มาที่หน้าของลิซ
“รุกฆาตแล้วสินะ”
ชายรูปงามผู้มีไฝตรงหางตาพูดขึ้นพร้อมใช้หอกชี้ที่หน้าเด็กหนุ่มตรงหน้า แม้วินาทีนี้อาจเป็นวินาทีแห่งชัยชนะของชายรูปงาม แต่ว่าเด็กหนุ่มกลับยิ้มออกมา
ทันใดนั้นลิซก็สว่างขึ้นและเกิดแรงกระแทกจนเดียร์มุดต้องถอยห่าง
“นะ…นี่มัน!?”
โซ่นับร้อยพันปรากฎบนตัวลิซพร้อมกับหอกข้างกายของเขา และโซ่นับร้อยพันก็แตกออกอย่างง่ายดายพร้อมกับรูปลักษณ์ของลิซที่เปลี่ยนไป
เรือนผมปลิวไสวพร้อมกับสีผมที่เปลี่ยนไปเหมือนกับท้องฟ้ายามค่ำคืน ปีกอัครทูตปรากฎออกมาทั้งสองข้าง และแรงกดดันมหาศาลที่ถูกปล่อยออกมาที่ไม่ว่าใครเจอต่างก็รู้สึกต้องก้มหัวให้
“นี่เจ้าหรือว่า!?”
“ที่นี่อีกแล้วเหรอ?”
ลิซรู้สึกตัวขึ้นในสถานที่ที่อิกดราซิลอยู่ แม้เขาจะไม่ได้มานานแต่ก็รู้สึกว่ามันไม่นานเลย
“ดูเหมือนว่าเจ้ากำลังเจอบททดสอบอันยากเข็ญอยู่สินะ”
“อิกดราซิลงั้นเหรอ!? นายเนี่ยชอบพูดแบบไม่ให้สุ่มให้เสียงตลอดเลยนะ”
ลิซพูดพร้อมหันไปหาเขา ท่าทีของลิซในครั้งนี้กลับไม่รู้สึกกังวลหรือระแวงแต่อย่างใด
“เจ้าไม่สามารถชนะเขาได้โดยไร้ซึ่งการใช้พลังหรอก”
อิกดราซิลตอกย้ำความจริงที่ลิซกำลังเผชิญอยู่แม้ลิซจะทำหน้า ‘ไม่ต้องบอกก็รู้ก็ตาม’
“เพราะอย่างงั้นไง ฉันถึงทำให้เขาลดการป้องกันให้มากที่สุดและปลดผนึก”
“แต่กระนั้นแล้วการปลดผนึกในช่วงที่เจ้าบาดเจ็บนั้นก็ใช่ว่าจะเป็นตัวเลือกที่ดี เจ้าจำไม่ได้เหรอ”
อิกดราซิลย้ำเตือนถึงสิ่งที่ลิซกำลังจะทำว่าเขาอาจจะทำให้เกิดเหตุการณ์แบบเดิมก็ได้ แต่ลิซตอบพลางยิ้มออกมา
“เพราะอย่างงั้นไง ครั้งนี้น่ะฉันจะควบคุมมันให้ได้ไงล่ะ”