ชายหนุ่มแสนธรรมดาใช้ชีวิตกับเพื่อนสาวสมัยเด็กมาเนิ่นนาน แต่ฝันประหลาดชักนำให้เด็กหนุ่มพานพบกับเหตุการณ์อันเป็นจุดพลิกผันและแยกจาก ความทรงจำ สงคราม กาลเวลา การลืมตาตื่นแห่งการเดินทางเพื่อทวงคืนสิ่งที่สำคัญจึงเริ่มต้นขึ้นบนหน้ากระดาษของยุคสมัยใหม่อันเป็นปฐมบทของมหากาพย์นี้
แฟนตาซี,แอคชั่น,ดราม่า,ดาร์ค,สงคราม,แอ็คชั่น ,แอ็กชัน,แอ็คชั่น,พระเอก,แฟนตาซี ,พล็อตสร้าง,ผจญภัย,แอคชั่น,เวท,เวทมนต์,เวทมนตร์,ดาร์กแฟนตาซี,ดราม่า,แฟนตาซี,พล็อตสร้างกระแส,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
บันทึกกาล เทพไร้นามชายหนุ่มแสนธรรมดาใช้ชีวิตกับเพื่อนสาวสมัยเด็กมาเนิ่นนาน แต่ฝันประหลาดชักนำให้เด็กหนุ่มพานพบกับเหตุการณ์อันเป็นจุดพลิกผันและแยกจาก ความทรงจำ สงคราม กาลเวลา การลืมตาตื่นแห่งการเดินทางเพื่อทวงคืนสิ่งที่สำคัญจึงเริ่มต้นขึ้นบนหน้ากระดาษของยุคสมัยใหม่อันเป็นปฐมบทของมหากาพย์นี้
ตารางอัพนิยายจะอัพทุกวัน 18.00 น. และวันเสาร์อาทิตย์เวลา 19.00 น. เวลาอาจปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสมต่อไปในอนาคตนะครับ
เรื่องย่อ : ลิซชายหนุ่มมัธยมปลายธรรมดาที่ในอดีตประสบอุบัติเหตุปริศนาจนเสียพ่อแม่และความทรงจำไป ตอนนี้ได้อาศัยอยู่กับเพื่อนสมัยเด็กนาม “ธิน่า” ในทุกคืนลิซจะฝันเห็นถึงเรื่องประหลาด ตัวตนของบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ประสบการณ์ ความทรมานและอีกหลาย ๆ อย่าง เขาเก็บเป็นความลับกับธฺิน่าและใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุขเรื่อยมา แต่ทว่า
วันหนึ่งธิน่าก็ถูกจับตัวโดยตัวตนปริศนาและลิซก็ถูกสังหาร เขาดำดิ่งลงสู่มิติปริศนาที่เขาคอยเห็นผ่านฝันมาตลอด เขาได้รู้ความจริงบางส่วนและเลือกลืมตาตื่นในฐานะ “เทพเจ้า” สายเลือดพิเศษครึ่งหนึ่งที่ไหลเวียนในตัวเขามาตลอด เพื่อเข้าต่อสู้ต่อมาเขาได้รู้จักกับพรรคพวกของธิน่าและเลือกออกเดินทางไปช่วยธิน่า แต่ก่อนจะไปถึงเขาจะต้องเดินทางผ่านอาณาจักรทั้ง 9 เสียก่อน กระแสกลียุคครั้งใหม่ เปลิวเพลิงแห่งหวังอันมืดมิดถูกจุดประกาย ณ ห้วงลึกของกาลเวลา
ท้ายที่สุดการเดินทางแสนยาวนานจะจบลงที่ตรงไหน ก็คงมีแต่ผู้ที่ไปถึงเท่านั้นจะรู้ได้…
#คำเตือน# เนื้อหาในนิยายบางตอนมีการบรรยายถึงดราม่าที่อาจทำให้รู้สึกหดหู่หรือซึมเศร้า เลือด โศกนาฏกรรม การตาย และการ depress ของตัวละครหรือกระทั่ง อาการ PTSD ก็ตาม โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน เรื่องนี้ไม่เหมาะกับผู้มีอาการซึมเศร้า หดหู่หรือพึ่งประสบเจอสิ่งแย่ ๆ ในชีวิตมา โปรดหลีกเลี่ยง
จากนี้เชิญสนุกกับนิยายได้เลยครับ
“นี่ล้อฉันเล่นใช่ไหมเนี่ย?”
ลิซบ่นออกมาเพราะความเบื่อหน่ายที่โดนดึงไปดึงมา แถมครั้งล่าสุดเขาเองก็ยังไม่ได้คำตอบจากสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเลย
"ครั้งนี้เจ้าไม่ต้องกังวลไป ครั้งนี้ข้าจะไม่รบกวนเจ้ามาก”
“วันนี้เป็นวันที่หนักหนาสำหรับคนคนหนึ่งเช่นเจ้า”
ต้นไม้ตรงหน้าลิซกล่าวราวกับว่าเขาเข้าใจทุกอย่างและคอยเฝ้ามองมันอยู่ไกล ๆ
“เรื่องนั้นช่างเถอะ ที่นายพาฉันมาที่นี้เพราะมีอะไรจะบอกใช่ไหม?”
ลิซตัดบทและถามสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขาออกไป
“ก่อนอื่นก็ขอแสดงความยินดีด้วยที่เจ้าได้รับพลังกลับคืนมาแล้ว”
“กลับคืน? หมายความว่ายังไง?”
“เดิมทีพลังของเจ้านั้นอยู่ในสถานะที่ถูกปิดผนึก”
“ แต่พอเจ้าถึงฆาตผนึกจึงบังคับเปิดออกเพื่อให้เจ้ามีชีวิตต่อไป”
“และเมื่อทุกอย่างสงบลงก็อย่างที่เจ้าเห็นไป”
ต้นไม้ตรงหน้าลิซพูดถึงสถานการณ์ให้ฟัง แม้จะไม่ละเอียดมากนัก แต่ความสงสัยอย่างหนึ่งของลิซก็ได้รับการแถลงไข
“งั้นเหรอว่าแต่…นายชื่ออะไรเหรอ? ให้เรียกนายว่าต้นไม้มันก็ยังไงอยู่ เพราะนายพูดได้ด้วยสิ”
“นามของข้าคือ…อิกดราซิล พฤกษาที่คอยค้ำจุนโลกและสรรพสิ่งเอาไว้ บ้างก็ถูกเรียกว่าเทพแห่งปฐมกาล บ้างก็พฤกษาแห่งความรู้ แม้ข้าจะมีชื่อแตกต่างไป แต่ตัวตนของข้าก็ยังคงเช่นเดิม”
อิกดราซิลกล่าวแนะนำตัวเอง น้ำเสียงที่เขาเปล่งออกมานั้นช่างสุขุม นุ่มลึกดุจนักปราชญ์ชื่อก้องโลกที่ใคร ๆ ต่างรู้จัก
ทั้งการวางตัวดั่งผู้อาวุโสที่เฝ้ามองโลกนี้มานานแสนนาน และวาจาที่แม้จะล้าสมัยแต่บ่งบอกถึงความเป็นผู้ใหญ่ พูดได้เลยว่าสมแล้วที่ถูกกล่าวขานว่าเป็นพฤกษาที่คอยค้ำจุนสรรพสิ่งเอาไว้
“อิกดราซิลสินะ เข้าใจแล้ว”
“เรื่องที่เจ้าอยากถามข้ามีเพียงแค่นี้หรือ?”
อิกดราซิลถามลิซกลับ แม้ในใจลิซเขาคาดว่าอิกดราซิลรู้ว่าเขายังมีเรื่องที่จะถามอยู่ แต่ที่เขาพูดแบบนี้คงเป็นการรักษามารยาทอย่างหนึ่ง
“ฉันมีเรื่องที่อยากจะได้คำตอบหลายอย่างมากเลยล่ะ แต่ว่า…ตอนนี้ฉันยังไม่ได้อยากเอาอะไรมาใส่หัวมากแล้ว แต่ถ้า…นั้นสินะ”
ลิซเอียงหัวคิดครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเปิดปากพูดออกไป
“ที่ว่า ‘พลังที่ยิ่งใหญ่มาพร้อมกับความรับผิดชอบและราคาที่ใหญ่ยิ่ง’ หมายความว่าไง?”
ลิซถามในสิ่งที่อิกดราซิลได้บอกเขาก่อนที่ลิซจะโดนดึงกลับไปอีกครั้ง ทางอิกดราซิลที่ได้ยินก็ตอบรับอย่างเปิดเผย
“คำพูดนั้นมิได้มีความหมายที่ลึกซึ้งแต่อย่างใด เส้นทางที่เจ้าเลือกนั้นล้วนเต็มไปด้วยขวากหนามและการสูญเสีย”
“นั้นคือราคาทั้งหมดที่ฉันต้องจ่ายงั้นเหรอ?”
“เรื่องนั้นข้าไม่สามารถบอกเจ้าได้”
ความเงียบเข้าปกคลุมทั้งสองโดยพลัน ไอความสงสัยระแวดระวังกระจายไปทั่วบริเวณ แม้ลิซเขาอยากจะรู้ไปมากกว่านี้ก็ตาม แต่สำหรับเขาตอนนี้ที่สำคัญที่สุดคือ
“งั้นเหรอ…งั้นฉันไปก่อนนะ”
ลิซพูดขึ้นก่อนโบกมือไปมาเบา ๆ อิกดราซิลก็ไม่ได้พูดอะไรตอบ จากนั้นไม่นานใบไม้ที่ประดับอยู่ที่กิ่งก้านของอิกดราซิลก็ร่วงหล่นลงและรวมกันจนเป็นพายุ
พายุนั้นโอบล้อมลิซและเขาก็หายไป โดยทิ้งความเงียบงันไว้เบื้องหลัง
'อึก…’
ลิซลืมตาตื่นขึ้น ก็พบกับเพดานห้องที่คุ้นเคย ความเงียบสงบและอุ่นใจอันน่าคิดถึง
“นี้มัน…กี่โมงแล้วเนี่ย”
ลิซหานาฬิกาบนหัวเตียง หลังจากเจอเขาก็หยิบขึ้นมาดู
“2 ทุ่มเกือบ 3 ทุ่มงั้นเหรอ?”
หลังจากที่เจอกับเมดาเรียสก็ประมาณ 5 โมงเย็นนี่ก็ 3-4 ชั่วโมงได้แล้วสินะ? จะว่าไปฉันกลับมาได้ไง? แล้วคนที่ชื่อว่าซิกฟรีดล่ะ? ไม่สิ…ก่อนเรื่องพวกนั้นลงไปเช็กข้างล่างก่อนดีกว่า
เมื่อคิดได้ดังนั้นลิซก็ลุกขึ้นและออกจากห้องนอน เดินลงไปยังห้องรับแขก แล้วเขาก็พบเข้ากับ
“ตื่นแล้วเหรอ? ลิซ”
คนที่พูดออกมานั้นคือชายวัยกลางคน ผมสีเทา ดวงตาสีเทา ผิวคล้ำออกไปทางแทนที่ข้าง ๆ เขา มีเด็กสาวอายุประมาณ 15-16 ปี เรือนผมสีแดง หน้าตาไม่รับแขกนั่งอยู่ไม่ไกลมากนัก ทั้งสองนั่งอยู่บนโซฟาในห้องรับแขกอย่างสบายใจ
“อ่า…ครับ ถ้าจำไม่ผิดคุณคือคุณซิกฟรีดใช่ไหม?”
“มารยาทดีจังนะ ใช่แล้วฉันคือซิกฟรีด ส่วนข้าง ๆ ฉันคือซาฮา”
ซิกฟรีดแนะนำซาฮาให้ลิซได้รู้จัก แต่ทางซาฮาก็ยังทำหน้าไม่รับแขกเหมือนเดิม แถมส่งสายตาแปลก ๆ มาที่ลิซด้วย
“เดี๋ยวเถอะ!! ซาฮา ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าเขาแตกต่างน่ะ”
ซิกฟรีดต่อว่าซาฮาที่ทำตัวไร้มารยาทแม้จะอยู่ในบ้านของคนอื่น ซาฮาที่รำคาญก็ตอบปัดกลับมา
“ฉันซาฮา เรียกซาฮาเฉย ๆ ก็ได้”
“ครับซาฮา แล้วคุณซิกฟรีด…”
“แค่ซิกฟรีดก็ได้”
“งั้นซิกฟรีด…ทั้งสองคนเข้ามาบ้านผมได้ไง?”
ลิซถามออกไปอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ แม้จะพอรู้ว่าทั้งสองไม่ใช่คนเลวร้าย แต่สายตาที่จ้องมาราวกับจะทิ่มแทงของซาฮานั้น ทำลิซลำบากใจไม่น้อย
“ไม่ต้องกลัวซาฮาขนาดนั้นก็ได้ เด็กคนนี้พอดีมีหลายเรื่องเกิดขึ้นเลยไม่ถูกกับพวกเทพน่ะ”
“งั้นเหรอครับ เดี๋ยวนะครับ!? ผมเป็นเทพเหรอครับ!?”
คำถามนั้นทำให้ทั้งสองมองมาที่ลิซ และจ้องมองอยู่ครู่หนึ่ง
“ดูท่าธิน่าจะไม่ได้บอกอะไรมาเลยสินะ”
ซิกฟรีดถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนลุกขึ้นจากโซฟา
“ก่อนที่จะไปถึงเรื่องนั้นเรามาทานอาหารกันก่อนดีกว่านะ”
“ครับ…ว่าแต่พวกคุณยังไม่ตอบผมเลยว่าเข้ามาได้ไง?”
“เรื่องนั้นมันแน่นอนอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ เจ้าโง่”
คนที่พูดขึ้นคือซาฮาที่ยังคงนั่งอยู่บนโซฟาและเธอก็จ้องมองมาที่ลิซด้วยสีหน้าที่ไม่สบอารมณ์
“พวกเราพานายกลับมา นอนจูบพื้นอยู่อย่างนั้นจะไม่ให้พากลับหรือไงยะ!”
“ซาฮา…”
เพียงคำพูดสั้น ๆ ของซิกฟรีดก็ทำให้บรรยากาศสงบลง ซาฮาที่ได้ยินก็ทำหน้าเจ็บใจ ส่วนลิซก็ยังคงงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่
“มาทานอาหารก่อนดีกว่านะ”
“เข้าใจแล้ว”
“ครับ”
ซาฮาและลิซเดินไปยังโต๊ะอาหารที่มีจานอาหารหลากหลายเรียงรายอยู่ ทั้งสองต่างตาลุกวาว ต่อหน้าอาหารระดับภัตราคารหรูวางเป็นแถวยาว โต๊ะที่ถูกปูด้วยผ้ารองชั้นดี จาน ช้อนส้อม และเครื่องดื่มถูกวางมาอย่างพิถีพิถัน ทำเอาทั้งสองต่างลืมว่าที่นี้คือบ้านธรรมดาหลังหนึ่งเท่านั้น
“เอาล่ะ มาทานกันเถอะ”
“อ่า!!”
ทั้งสองต่างพูดพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย และวิ่งไปนั่งลงบนเก้าอี้ จากนั้นทั้งสามต่างพูดพร้อมกันว่า
“จะทานแล้วนะครับ/ค่ะ!!”
ช่วงเวลาหลังจากนั้นคือการลิ้มรสอาหารอันโอชะ และการสนทนาที่ราวกับงานเลี้ยงคืนสู่เหย้า
และเวลาก็ล่วงเลยไปจนทั้งสามรับประทานอาหารเสร็จ
“ขอบคุณสำหรับอาหารครับ/ค่ะ”
ทั้งสามกล่าวขอบคุณมื้ออาหารพร้อมกัน จากนั้นซิกฟรีดก็นำแก้วที่ใส่โกโก้ร้อนสำหรับสามคนมาวางไว้ให้ และนั่งลงอีกครั้ง
“ฮู่ว…ว่าแล้วจบมื้ออาหารต้องโกโก้ร้อนนี่แหละ”
“เห็นด้วยเลย ซิกฟรีด”
“อร่อยจังเลยนะครับ”
จากนั้นซิกฟรีดก็วางแก้วลงแล้วมองมาทางลิซแล้วพูดกับเขาว่า
“เอาล่ะลิซ เรามาคุยเรื่องที่นายต้องรู้และต้องตัดสินใจก่อนดีกว่า”
เอื้อก
ลิซกลืนน้ำลายเสียงดัง เขาสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไปรอบ ๆ ตัวของซิกฟรีด ทั้งที่ปรกติเขาจะมีบรรยากาศที่เป็นกันเองและอบอุ่นดูน่าพึ่งพาราวกับพี่ชาย แต่ตอนนี้ทุกอย่างกลับหายไปราวกับโกหก
“อย่างแรกเลยคือสถานการณ์ในตอนนี้…ต้องบอกเลยว่าเลวร้ายขั้นสุดเลย”
“ทำไมเหรอครับ?”
“เพราะนายได้ลืมตาตื่นแล้วไงล่ะ”
“หมายถึงพลังของผมน่ะเหรอครับ?”
“ใช่แล้ว…แม้จะเพียง 1 ใน 2 แต่นายก็เป็นผู้มีสายเลือดของเทพเจ้า”
“ผมเป็นเทพเจ้าเหรอ!?”
“ถ้าจะพูดให้ถูกคือครึ่งมนุษย์ครึ่งเทพเจ้ามากกว่านะ เจ้าเด็กเทพ”
ซาฮาพูดขึ้นกลางวงสนทนาก่อนที่จะนำเครื่องบางอย่างออกมาแล้วโยนให้กับซิกฟรีด
ซิกฟรีดรับอย่างง่ายดายและเปิดเครื่องขึ้น จากนั้นไม่นานแสงสีฟ้าก็สว่างขึ้นร้อยเรียงเป็นแผนที่รูปต้นไม้
“นี้คือแผนที่โลกทั้ง 9”
“โลกทั้ง 9 ?”
“ใช่แล้ว โลกเขาเราอยู่ประมาณลำต้นค่อนไปรากคือตรงนี้”
“ส่วนโลกที่ธิน่าถูกพาไปแน่นอนว่าต้องเป็นที่นี้”
จากนั้นซิกฟรีดก็ชี้ให้เห็นโลกที่อยู่บนกิ่งก้านของต้นไม้ ซึ่งอยู่ห่างจากโลกที่ลิซอยู่มาก และชื่อนั้นมีชื่อว่า
“Olympia??”
“ถูกต้อง สรวงสวรรค์ของเทพเจ้าและธิน่าเธอก็คือองค์หญิงของที่นั้นไงล่ะ”
ภาพกลับมาที่หญิงสาวเรือนผมสีม่วงแกมน้ำเงินเดินมายังประตูทองคำขนาดใหญ่ พร้อมกับทหารที่เฝ้าอยู่หน้าประตู ทั้งสองต่างก็ทำความเคารพต่อหญิงสาว
“ข้ามาเข้าเฝ้าองค์ฝ่าบาทเพื่อรายงานภารกิจ เปิดประตูซะ!”
สิ้นสุดคำพูดของหญิงสาวเรือนผมสีม่วงแกมน้ำเงิน ประตูทองคำขนาดใหญ่ที่มีลวดลายสวยงามก็เปิดออกอย่างช้า ๆ เผยให้เห็นถึงการตกแต่งอันสวยงาม ทุกอย่างล้วนเป็นทองคำแท้ ภาพวาดที่สื่อถึงอารยธรรมและการพิชิตถูกวาดไว้เต็มฝาผนังยันถึงเพดานที่สูงใหญ่
และตรงหน้าของหญิงสาวคือชายรูปร่างชราภาพแต่งองค์ทรงเครื่องเต็มยศนั่งอยู่บนบังลังก์ทองคำ ข้างกายคือภรรยาหลวงและอีกด้านคือยุทธภัณฑ์ที่มีรูปร่างเป็นสายฟ้าวางอยู่
“มาแล้วสินะ เมดาเรียส”
“เพคะ องค์ฝ่าบาท”
“แม้ข้าจะดูตั้งแต่ต้นยันจบแต่ข้าอยากฟังจากปากเจ้าถึงเรื่องของมนุษย์นั้นและสิ่งที่เจ้าเผชิญมา”
“เพคะ”
จากนั้นเมดาเรียสก็เล่าทุกอย่างตั้งแต่ต้นยันถึงตอนที่เธอล่าถอยออกมา ราชาที่นั่งฟังก็ลูบคางเบา ๆ ทำหน้าระคนสงสัย ส่วนภรรยาข้าง ๆ ก็ดูไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก
“อย่างนี้นี่เอง เชื้อไขของเจ้าคนทรยศนั้นยังมีอยู่บนโลกนี้สินะ”
“ที่รัก ข้าว่าเราควรกำจัดเจ้านั้นทิ้งให้เร็วที่สุด”
“ข้าเห็นด้วยกับองค์ราชินีเพคะ ฝ่าบาท เจ้ามนุษย์นั้นมันอันตรายมากเพคะ”
ภรรยากล่าวบอกสามีของเธอ เมดาเรียสเองก็เสริมให้เพราะนางรู้ถึงความอันตรายของลิซ
“ข้าว่าเราไม่ต้องรีบร้อนหรอก มนุษย์นั้นต่อให้ถ่อมาที่นี้ก็คงตายกลางทางแล้ว เรื่องนี้ข้าจะยกให้เด็กคนนั้นก็แล้วกัน”
“เด็กคนนั้น? หมายถึงคู่หมั้นของธิน่าใช่ไหม!?”
“ใช่แล้ว หากเขาปรามเจ้ามนุษย์นั้นได้ การรับเขามาเป็นส่วนหนึ่งของเราก็จะง่ายขึ้น”
องค์ราชาตรัสอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว ราชินีเองก็เห็นดีเห็นงามไปกับการกระทำของสามี แต่มีเพียงเมดาเรียสที่รู้สึกกังวลต่อเหตุการณ์นี้
“เจ้าไปได้แล้วล่ะ เมดาเรียสแล้วก็ภารกิจของเจ้าจบแล้ว จากนี้จงไปอารักขาธิน่าเสีย!!”
“เพคะ”
เมดาเรียสโค้งคำนับก่อนที่จะออกไปจากห้องบังลังก์ องค์ราชาและราชินีก็สนทนากัน
“ข้าว่าเจ้ามนุษย์นั้นมัน…”
“ข้ารู้เจ้ากำลังจะบอกอะไรแต่เราก็ไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด อีกทั้งเราก็ไม่ควรจะลงแรงไปกับมนุษย์เพียงคนเดียว”
“หากท่านว่าอย่างงั้น ข้าก็จะไม่พูดอะไรต่อแล้วล่ะ”
ทั้งสองต่างกอดกันอย่างอบอุ่น แต่ว่าสีหน้าขององค์ราชานั้นกลับรู้สึกกังวลอย่างเห็นได้ชัด
‘หากเจ้าจะมาก็มาเสียเถิด หากเจ้ามาถึงจริงล่ะก็…’
“ธิน่าเป็นเทพแล้วก็เป็นเจ้าหญิงนี่นะ!?”
ลิซมือทาบหัวและคิดหนักต่อความจริงที่เขารับรู้
ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าธิน่าจะมีความลับที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้…ไม่สิ เราเองก็ไม่ควรพูดแบบนั้นสินะ
“ใช่แล้ว…แต่เพราะมีเรื่องหลายอย่าง เธอจึงมาอยู่โลกนี้”
ลิซที่ได้ยินก็ทำหน้าตาไม่สู้ดี คงเพราะเรื่องราววันนี้ที่มาแบบไม่หยุดหย่อนจนทำให้สมองประมวลผลไม่ทัน ตอนนี้เขา…ไม่รู้เลยว่าจะทำอย่างไร?
‘ฉันควรทำยังไงดี?’
“เอาล่ะ ก่อนที่จะทำหน้าตาแบบนั้นไปมากกว่านี้มาฟังความเห็นฉันก่อนดีกว่า”
“ครับ?”
“นายจะเดินทางไปกับพวกเราไหม?”
“ครับ??”
ซิกฟรีดยื่นข้อเสนอต่อลิซที่นั่งอยู่ตรงข้ามตน ทางซาฮาแม้จะดูเหมือนไม่สบอารมณ์เท่าที่ควรแต่ก็ไม่แสดงผ่านสีหน้ามากนัก
“พวกเรามาที่นี้เพราะคำขอของธิน่า แต่เราเองก็มีภารกิจที่ต้องทำอยู่”
“หมายความว่า”
“หมายความว่านายมีเวลาคิดอีกไม่นานไงล่ะยะ พวกเราเองก็ไม่ได้อยากเสียเวลากับเด็กเหลือขออย่างนายด้วย”
ซาฮาที่นั่งเงียบมานานก็พูดขึ้น พร้อมกับยกโกโก้ร้อนที่ตอนนี้เย็นชืดจนหมดมาดื่ม และวางลงเสียงดัง
“นายมีตัวเลือก 2 ทางคือ จะมากับเราหรืออยู่ที่นี้แล้วลืมทุกอย่างไปซะ”
ลิซกลืนน้ำลายเสียงดัง ไม่คิดเลยว่าเขาจะถูกยัดเหยียดให้เลือกอีกครั้ง เขากำหมัดแน่น วัน ๆ นี้เขาตระหนักถึงความไร้เดียงสา ความอ่อนแอไร้ซึ่งพลัง ความไม่รู้ และที่สำคัญคือความอัปยศที่ไม่สามารถปกป้องคนสำคัญของตนได้
เขารู้ดีว่าเขาควรจะทำอะไร แต่ถึงกระนั้น
“ช่วยมาในวันพรุ่งนี้จะได้ไหมครับ? ขอเวลาคิดสักคืนหนึ่งเถอะครับ”
ลิซอ้อนวอนต่อทั้งสอง แววตาของเขาสะท้อนถึงความสับสนและความเหนื่อยล้าอย่างยิ่ง ตอนนี้เขาควรได้รับเวลาพักผ่อนเพื่อพักฟื้นร่างกาย จิตใจ และเรียบเรียงความคิดใหม่อีกครั้ง
“นายนี่นะยะ!! ตอนนี้ยังจะมา…”
“ซาฮาพอแล้ว”
ซิกฟรีดหยุดเอาไว้ก่อนที่ซาฮาจะพูดอะไรไปมากกว่านี้ ทางซาฮาจิ๊ปากเสียงดังก่อนที่จะเงียบอีกครั้ง
“งั้นเอาตามที่นายสะดวกเลย พรุ่งนี้ไว้เจอกัน”
จากนั้นซิกฟรีดและซาฮาก็จากไปอย่างเงียบ ๆ ทิ้งบรรยากาศที่ตึงเครียดไว้ แม้ตอนนี้บรรยากาศตึงเครียดยังคลุกกรุ่น แต่ตอนนี้ลิซไม่มีเวลามคิดเรื่องแบบนั้นแล้ว
เขาเหนื่อย เหนื่อยมากเหลือเกิน แม้จะหลับไปแล้ว แต่สิ่งที่เขาเจอมามันก็หนักหาเกินกว่าจะพักฟื้นภายใน 3-4 ชั่วโมง เขาเก็บของ ปิดไฟก่อนเดินกลับเข้าห้องนอน แต่ก่อนหน้านั้น
แกร๊ก
เสียงเปิดประตูดังขึ้น แต่ไม่ใช่ประตูของลิซแต่เป็นประตูห้องของธิน่า
ลิซเดินเข้าไปมองสิ่งของที่เป็นเสมือนความหลังที่มีร่วมกับคนสำคัญ เขาหยิบจับอย่างถะนุถนอมราวกับสมบัติของตน
“ฉันจะได้เจอเธออีกไหมนะ?”
ลิซพร่ำเพ้อถึงธิน่าด้วยความคิดถึงระคนเสียใจ เขาได้แต่สงสัยว่าชีวิตนี้จะได้เจอคนสำคัญของเขาอีกสักครั้งหรือไม่? เขาเดินวนและจับสิ่งของไปมาอยู่นาน จนกระทั่ง
แกร๊ก
บนลิ้นชักของธิน่า มีเสียงบางอย่างดังออกมาจากในลิ้นชัก ก่อนที่ลิซจะเปิดออก ก็พบกับเครื่องมืออะไรสักอย่างรูปทรงกระบอก
“นี้มัน…”
ลิซหยิบขึ้นมาก่อนจะคิดในใจว่า
‘รูปทรงคล้ายกับกระบอกแต่ว่ามีปุ่มอยู่ ลองกดแล้วกัน’
เมื่อลิซกดปุ่ม แสงสว่างวาบปรากฎขึ้น ลิซตกใจจึงทำมันตก แต่ว่าเครื่องมือรูปทรงกระบอกนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นเครื่องฉาย ก่อนที่ภาพของคนที่เขารู้จักดีที่สุดในโลกนี้จะปรากฎออกมาต่อหน้าเขา
“นี้คือสิ่งที่ฉันจะหลงเหลือไว้ให้นาย ลิซ”
“ธะ…ธิน่า!?”