นิยายรักแฟนตาซีดรามา ที่เล่าเรื่องของชายหนุ่มที่ทำหน้าที่ผู้ส่งสารระหว่างคนเป็นและคนตาย แต่ต้องเข้ามาพัวพันกับหญิงสาวสองคนโดยที่ไม่เคยรู้เบื้องลึกมาว่าแท้จริงแล้วทั้งสามคนนั้นเกี่ยวข้องกันมาก่อน
แฟนตาซี,ลึกลับ,ระทึกขวัญ,เกาหลี,รัก,อาคม,รักสามเศร้า,รักข้ามภพ,ลึกลับ,ดราม่า,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
The Promised พรากสัญญานิยายรักแฟนตาซีดรามา ที่เล่าเรื่องของชายหนุ่มที่ทำหน้าที่ผู้ส่งสารระหว่างคนเป็นและคนตาย แต่ต้องเข้ามาพัวพันกับหญิงสาวสองคนโดยที่ไม่เคยรู้เบื้องลึกมาว่าแท้จริงแล้วทั้งสามคนนั้นเกี่ยวข้องกันมาก่อน
The Promised พรากสัญญา
หลายวันผ่านไป
ความสัมพันธ์ของคังยูรีและแทอีนั้นเป็นที่รับรู้ของเหล่านักเรียนในโรงเรียนโดยทั่วกัน หลังจากที่ทั้งสองว่างจากการเรียนก็มักจะหาเวลาอยู่ด้วยกันเสมอ หรือแม้แต่หลังเลิกเรียนชายหนุ่มก็ไปเด็กสาวบ้าน
ถึงจะเป็นเช่นนั้นคังยูรีก็ไม่ได้ทิ้งเรื่องการช่วยเหลือคังเยนาเลย เธอยังคงจับตาดูพัคซานอูครูประจำชั้นของเธอเช่นเคย เด็กสาวสังเกตเห็นว่าพัคซานอูมักจะสวมใส่เสื้อแขนยาวตลอดเวลา ยิ่งเป็นแบบนี้ก็ยิ่งทำให้เด็กสาวแคลงใจมากกว่าเดิม อีกอย่างการจะเข้าหาครูหนุ่มนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเอาเสียเลย
คังเยนาและจองวานช่วงนี้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันบ่อยขึ้น หญิงสาวยังคงไม่ได้บอกจองวานเรื่องที่เธอจำเขาได้แล้ว ตั้งแต่ซอนอินชายสูงวัยปรากฏตัวต่อหน้าเธอในวันนั้น เธอก็เป็นกังวลมากและมีความคิดที่จะไม่อยากให้ใครเข้ามาเกี่ยวข้องกับเธออีก ถ้าวันหนึ่งเธอต้องกลายเป็นดวงวิญญาณอาฆาตร้ายขึ้นมาจริงๆ จะได้ไม่มีใครต้องมาสูญเสียเพราะเธอ ทั้งชาฮีจู คังยูรีและจองวานรู้แค่ว่าหญิงสาวสามารถออกไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระ แต่ไม่ได้รู้ว่าความทรงจำที่กลับมาของเธอคือเรื่องอะไร
ชาฮีจูยังคงทำหน้าที่ของตัวเองในฐานะผู้ส่งสารเป็นอย่างดี ถึงเป็นเช่นนั้นชายหนุ่มก็ยังสืบหาความจริงเรื่องดวงวิญญาณร้ายที่เข้าจู่โจมคังยูรีและคังเยนาเมื่อครั้งก่อนด้วย ยิ่งสืบได้เร็วยิ่งแต่จะทำให้หญิงสาวทั้งคู่ปลอดภัยมากขึ้น มีสิ่งที่ชายหนุ่มมั่นใจอย่างหนึ่งคือ ห้องสมุดที่จองจำดวงวิญญาณคังเยนานั้นต้องมีอะไรซ่อนไว้อย่างแน่นอน เพราะถึงตอนนี้หมอกควันดำพลังความชั่วร้ายก็ยังคงปกคลุมรายล้อมห้องสมุดนั้นเอาไว้
ทั้งชาฮีจู คังยูรี และคังเยนา ถึงจะใช้ชีวิตในแบบตัวเองแต่ก็ยังคงตามสืบเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกันทั้งหมดนี้อยู่ ตั้งแต่ความทรงจำของคังเยนาเริ่มกลับมาก็เหมือนว่าทุกอย่างจะเริ่มชัดเจนขึ้น ถึงแม้ว่าคังเยนาไม่ยอมปริปากบอกใครว่าความทรงจำที่ได้กลับมานั้นเป็นเรื่องอะไรก็ตาม
ช่วงเย็นของวัน
แทอีมายืนรอคังยูรีอยู่ที่หน้าห้องเรียนของเธอเพื่อจะรอกลับบ้านด้วยกัน ความเอาใจใส่ของชายหนุ่มที่มีต่อเด็กสาวทำให้เพื่อนนักเรียนหญิงที่อยู่ในห้องนั้นต่างอิจฉากันอยู่ไม่น้อย ยิ่งซองนาอึนเพื่อนรักของเธอที่ดูจะอาการหนักกว่าคนอื่น ได้เห็นเพื่อนสาวกำลังมีความรักก็อดที่จะเย้าหยอกไม่ได้ เว้นแค่ฮันโซราเท่านั้นที่พะอืดพะอมกับความรักของทั้งสอง เธอไม่ได้ยินดีกับความรักในครั้งนี้ด้วยซ้ำ
“ทำไมเห็นคนรักกันไม่ได้เลยหรือไง อิจฉาสินะเพราะไม่มีใครมารักเธอแบบนี้”
ซองนาอึนตะโกนใส่หญิงสาวที่เอาแต่เบะปากมองไปทางคังยูรีที่พึ่งเดินออกไปพร้อมกับแทอี เธอไม่เข้าใจเอาเสียเลยว่าทำไมฮันโซราถึงได้จงเกลียดจงชังคังยูรีถึงเพียงนี้
“หน้าอย่างฉันดูเหมือนคนอิจฉาหรือไง ฉันว่าเธอเตรียมหาผ้ามาซับน้ำตาให้เพื่อนรักเธอดีกว่า อีกไม่นานคงโดนรุ่นพี่แทอีทิ้งแน่”
“ยัยปากไม่มีหูรูด!”
“ไม่เอานาอึน เธอก็รู้ว่าโซราไม่ปกติจะเสียเวลาไปทะเลาะด้วยทำไม กลับบ้านกันดีกว่า” โดแดอุนเอ่ยสวนขึ้นก่อนจะคว้าแขนซองนาอึนให้เดินออกจากห้องเรียนไปพร้อมกับตัวเอง เด็กหนุ่มไม่อยากให้เพื่อนสาวต้องมาเสียเวลากับเรื่องไร้สาระ
“นายสิไม่ปกติ” ฮันโซราตะโกนตามหลังด้วยความขุ่นเคือง ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้ากลับมายิ้มแย้มอีกครั้งเมื่อนึกถึงเรื่องคังยูรีและแทอี เหมือนเด็กสาวจะมั่นใจเป็นอย่างมากว่าความรักครั้งนี้ของทั้งสองต้องจบลงอย่างแน่นอน เธอจะรอยิ้มเยาะคังยูรีในวันนั้นก็ยังไม่สาย
แทอีมาส่งคังยูรีที่บ้านเหมือนเช่นทุกครั้ง ความสัมพันธ์ทั้งคู่เป็นไปอย่างเรียบง่าย เพราะทั้งคู่รู้ดีว่าความรักในวัยเรียนมันสุ่มเสี่ยงเสมอ เพราะฉะนั้นจะทำอะไรก็ควรอยู่ในกฎเกณฑ์ที่มันควรจะเป็น
“ฉันพึ่งรู้นะว่าพี่เองก็เรียนเก่งเหมือนกัน เมื่อวันก่อนฉันเห็นชื่อพี่ติดอยู่ที่บอร์ดโรงเรียนด้วย ทำไมรอบตัวฉันถึงเจอแต่คนเก่งๆ ล่ะเนี่ย”
“เก่งยังไงก็ยังแพ้พี่สาวเธออยู่ดีนั่นแหละ รายนั้นเขาอยู่จุดสูงสุดไปแล้ว พี่ก็พยายามเอาชนะซูฮวามาตลอดเลยนะ แต่พี่ก็สู้พี่สาวเธอไม่ได้จริงๆ”
“ดีแล้วค่ะ ฉันเองก็อยากให้พี่ซูฮวาเป็นที่หนึ่ง ไม่เชียร์พี่ตัวเองจะเชียร์ใครจริงมั้ยคะ”
“แต่พี่เป็นแฟนเธอนะ เธอต้องเชียร์พี่ด้วยสิ” ชายหนุ่มทำหน้าอ้อนจนเด็กสาวต้องยิ้มด้วยความเอ็นดู
“เว้นไว้สักคนก็แล้วกันนะคะ”
“แล้วที่เธอบอกว่าเจอแต่คนเก่งๆ ผู้ชายคนนั้นเขาก็เรียนเก่งเหมือนกันเหรอ”
“พี่อยากรู้ไปทำไมคะ” คำถามของแทอีทำให้เด็กสาวรู้ได้ทันทีว่าชายหนุ่มหมายถึงนัมจีโฮรักแรกของเธอ
“ก็แค่อยากรู้ว่าเขาเป็นยังไงบ้าง เขาเป็นผู้ชายแบบไหนถึงทำให้เธอชอบได้”
“ถ้าพี่อยากรู้ ฉันก็จะบอกค่ะ พี่จีโฮเขาเรียนเก่งมาก ก็แค่…ว่าที่คุณหมอในอนาคต”
“ว่าไงนะ! หมอเลยเหรอ”
“ค่ะ หมอ ฉันบอกในสิ่งที่พี่อยากรู้แล้วนะคะ ต่อไปเราอย่าพูดถึงพี่จีโฮอีกเลย ฉันกับพี่จีโฮเองก็คงไม่ได้เจอกันแล้ว ขืนพี่พูดถึงเขาอยู่แบบนี้ จากที่ฉันพยายามจะลืมเขาแต่กลับว่ายิ่งขึ้นถึงเขามากขึ้นไปอีก ตอนนี้ฉันตกลงที่จะคบกับพี่ งั้นเราก็พูดถึงแค่เรื่องปัจจุบันเถอะนะคะ"
ชายหนุ่มพยักหน้าตอบรับ เขาเองก็รู้ว่าคังยูรีนั้นก็พยายามปรับตัวเข้าหาเขาเหมือนกัน แทอีมองหน้าเด็กสาวอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะละสายตานั้นออก แววตาของชายหนุ่มดูกังวลเล็กน้อย
“เป็นอะไรหรือเปล่าคะ อยู่ๆ ก็เงียบซะงั้น”
“พี่แค่กำลังคิดว่าทำให้เธอลำบากใจหรือเปล่า”
“ลำบากใจเรื่องอะไรคะ พี่อย่าคิดมากเลยนะ ฉันไม่ได้ลำบากใจอะไรทั้งนั้น”
เมื่อได้เวลาแยกย้ายกัน เด็กสาวก็เดินบ้านขึ้นห้องนอนของตัวเอง เธอนั่งลงที่เตียงนอนล้วงเอาสร้อยผลึกที่ซ่อนไว้ในกระเป๋าเสื้อขึ้นมาดู เด็กสาวนำสร้อยดังกล่าวติดตัวไว้ตลอดแค่ไม่ได้สวมไว้ที่คอเพราะรับปากแทอีไว้แล้ว แต่เธอก็ไม่อยากขัดความต้องการของชาฮีจูด้วยเช่นกัน อย่างน้อยถ้าพกติดตัวเอาไว้ก็ถือว่าเธอได้ทำตามที่ชาฮีจูได้ขอไว้แล้ว
“หรือมันจะจริงอย่างที่ชาฮีจูว่า ตั้งแต่เราพกสร้อยนี้ไว้ติดตัวก็ไม่มีเคยเห็นพวกวิญญาณนั่นอีกเลย เดิมทีสร้อยนี้ก็เป็นของพี่จีโฮ แต่พี่จีโฮก็เป็นแค่คนธรรมดาแล้วจะมีพลังปกป้องเราได้ยังไง”
เด็กสาวเริ่มแคลงใจกับสร้อยผลึกที่นัมจีโฮให้ไว้ สร้อยดังกล่าวปกป้องเธอได้จริง หรือเป็นแค่เรื่องบังเอิญเท่านั้น เด็กสาวยิ่งคิดยิ่งสับสน
ชาฮีจูยืนอยู่บริเวณบ้านของคังยูรีเพื่อจ้องมองใครบางคนที่กำลังเดินอยู่ คนดังกล่าวได้ตามคังยูรีและแทอีมาตั้งแต่โรงเรียนแล้ว แต่ที่ชายหนุ่มไม่ทำอะไรก็เพราะเห็นว่าคนดังกล่าวยังไม่ได้ประสงค์ร้ายกับคังยูรีแค่นั้น
__________________________
ช่วงดึกของวัน
คังเยนานั่งเล่นกับจองวานที่ห้องสมุดในเวลาดึกสงัด ระหว่างที่ทั้งสองคุยกันนั้นจองวานก็เหลือบไปเห็นกลุ่มควันดำลอยฟุ้งอยู่ตรงผนังกำแพงหลังห้อง ชายหนุ่มจ้องไปยังกลุ่มควันดำนั้นด้วยความสงสัย
“นั่นอะไร” จองวานชี้ไปยังกลุ่มควันดำด้วยความแคลงใจ
“อะไรเหรอ”
คังเยนารีบหันมองตามเลยได้เห็นกลุ่มควันดำนั้นเช่นเดียวกับชายหนุ่ม ทั้งคู่จ้องดูด้วยความสงสัย จู่ๆ กลุ่มควันดำนั้นก็ลอยหายวับไปตรงหลังกำแพงห้อง ทั้งคังเยนาและจองวานต่างสบตากันและกัน ทั้งคู่รู้สึกประหลาดใจกับสิ่งที่เห็นนัก จังหวะนั้นเองคังเยนาก็เริ่มรู้สึกร้อนๆ หนาวขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ
“เยนาเป็นอะไรมั้ย”
“ไม่รู้สิ ทำไมมันรู้สึกอึดอัดแบบนี้”
คังเยนาเริ่มรู้สึกกดดัน เหมือนมีบางอย่างบีบอัดร่างของเธอเอาไว้ จนชายหนุ่มต้องเข้ามาถามด้วยความเป็นห่วง แต่จู่ๆ ความรู้สึกนั้นก็ค่อยๆ หายไปและกลับมาเป็นปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ไหวมั้ย ให้ฉันเรียกชาฮีจูมั้ย”
“ไม่ต้อง ฉันไม่เป็นอะไรแล้ว”
คังเยนาสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ หญิงสาวเดินไปหยุดยังกำแพงท้ายห้องนั้น ก่อนจะค่อยๆ ใช้มือขึ้นมาทาบกำแพงตรงที่มีกลุ่มควันดำลอยลับหายไปด้วยความระมัดระวัง คังเยนาพยายามที่จะก้าวเข้าไปในกำแพงนั้นแต่ก็ต้องรีบชักมือออกมา เมื่อรู้สึกถึงความร้อนจัดสัมผัสมาที่มือของเธอ
“หลังกำแพงนี่ต้องมีอะไรแน่ๆ ทำไมฉันถึงผ่านเข้าไปไม่ได้นะ”
“งั้นเธอรออยู่นี่นะเดี๋ยวฉันไปดูให้”
ไม่ทันที่หญิงสาวได้ตอบตกลง ชายหนุ่มก็หายวับไปหลังกำแพงนั้นทันที ยิ่งเห็นแบบนี้ยิ่งทำให้คังเยนาสับสนไปกันใหญ่ ทำไมจองวานถึงข้ามเข้าไปได้ แต่กับเธอทำไมถึงทำไม่ได้
คังเยนายืนรอจองวานเป็นเวลาหลายชั่วโมงด้วยความกังวลเพราะชายหนุ่มไม่กลับออกมาเสียที แสงแดดยามเช้าก็เริ่มสาดส่องลอดผ่านหน้าต่างบานใหญ่เข้ามาในห้องสมุด
คังเยนาคิดมากไปต่างๆ นานา หรือหลังกำแพงนั่นมีอะไรฉุดรั้งชายหนุ่มเอาไว้ทำให้เขาไม่สามารถออกมาได้ หญิงสาวไม่รู้ต้องทำยังไง อย่างน้อยต้องมีใครสักคนที่รับรู้เรื่องนี้ และคนที่เธอเลือกบอกก็คือชาฮีจู เพราะเรื่องในโลกวิญญาณชายหนุ่มน่าจะรู้ดีที่สุด
เมื่อชาฮีจูมาถึง หญิงสาวก็เล่าเรื่องของจองวานให้ชายหนุ่มได้ฟัง ตอนนี้หญิงสาวกังวลและเป็นห่วงจองวานเป็นอย่างมาก เธอหวังแค่ว่าชาฮีจูจะช่วยจองวานได้
ชาฮีจูใช้มือสัมผัสไปที่กำแพงนั้นก่อนจะหลับตาใช้พลังวิญญาณที่มีอยู่สัมผัสถึงบางสิ่งที่อยู่ข้างใน แต่ไม่ว่าเขาจะใช้พลังไปมากเท่าไหร่กลับมองไม่เห็นอะไรสักอย่าง หลังกำแพงนั้นมีแต่ความมืดมิดอย่างเดียว
“เป็นไงบ้าง เห็นอะไรมั้ย”
“แปลกมาก ฉันเองก็ข้ามผ่านเข้าไปไม่ได้เหมือนกัน แสดงว่าที่จินยองเข้าไปได้เพราะมันอยากให้เข้าไป พวกมันต้องการตัวจินยองงั้นเหรอ”
“ไม่ได้นะ ยังไงต้องช่วยจินยองออกมาให้ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะฉันเขาคงไม่ต้องเข้าไปติดอยู่ในนั้น ทำยังไงดีฮีจู” หญิงสาวแสดงท่าทีกังวล
“รู้เมื่อไหร่ว่าจินยองคือจองวาน” ชายหนุ่มถามออกไปตามตรง เพราะเขาเองก็สงสัยกับท่าทีของคังเยนาที่แสดงออกต่อจองวานมาสักพักแล้ว
“ก็สักระยะแล้ว” หญิงสาวยอมรับ เพราะเรื่องนี้สำหรับชาฮีจูแล้วยังไงก็คงปกปิดไว้ไม่ได้อีกต่อไป
“ความทรงจำของเธอกับจองวานสินะ ที่ทำให้พลังวิญญาณเธอแข็งแกร่งขึ้น”
“คุณนี่เรื่องของคนอื่นรู้ดีนัก แต่เรื่องของตัวเองไม่ยักรู้ จะยังไงก็ช่างเถอะหาวิธีช่วยจองวานก่อนได้มั้ย”
“ไม่เห็นจะยากเลย พวกเราเข้าไปไม่ได้ ก็ให้คนปกติเข้าไปสิ อาคมพวกนี้ไม่ได้มีผลกับคนสักหน่อย”
“หมายถึงยูรีเหรอ”
คังเยนาคิดหนัก เหมือนว่าเรื่องที่ชายสูงวัยกล่าวเอาไว้ค่อยๆ เกิดขึ้นแล้ว เพราะไม่ว่ายังไงเธอก็ยังต้องอาศัยและพึ่งพิงคังยูรีอยู่ดีไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้จริงๆ
“ไม่ได้ ให้คังยูรีช่วยไม่ได้” หญิงสาวรีบปฏิเสธ
“ไม่ต้องห่วงหรอก ไม่ว่ายังไงฉันก็ไม่ยอมให้คังยูรีเป็นอะไรแน่นอน”
“จะเป็นคุณ เป็นยูรี ฉันก็ห่วงทั้งหมดนั่นแหละ ฉันไม่อยากให้ใครต้องมาเสี่ยงเพราะฉันอีก”
“เธอเป็นอะไรกันแน่ หลังๆ มานี่ดูเธอแปลกไปมาก ถ้าเป็นเมื่อก่อนเธอคงรีบไปขอความช่วยเหลือจากคังยูรีแล้ว”
“ฮีจู เรามีวิธีอื่นมั้ย”
“ทำไมต้องหาวิธีอื่นเมื่อฉันช่วยได้ล่ะ” คังยูรีที่แอบอยู่ก่อนหน้านี้เผยตัวออกมาเมื่อเห็นว่าคังเยนาจะไม่ยอมให้เธอช่วย
“ฮีจู…นี่คุณรู้อยู่แล้วว่ายูรีอยู่ที่นี่” คังเยนาหันไปเอ็ดให้ชาฮีจูที่ยืนยิ้มอยู่
“ไม่ต้องกลัวหรอกนะเยนา เรื่องช่วยจองวานสำคัญที่สุด เธอรู้ตัวตนของจองวานแล้วทำให้ฉันโล่่งใจขึ้นเยอะเลย แล้วทำไมไม่บอกพวกเราล่ะ ไม่ไว้ใจพวกเราเหรอ”
“เปล่าสักหน่อย เรื่องนี้ไว้ค่อยคุยกัน คุยเรื่องจะช่วยจองวานดีกว่า” หญิงสาวเปลี่ยนเรื่อง
คังยูรีเดินมาที่กำแพงใช้มือสัมผัสไปที่ผนังกำแพงเหมือนคนอื่นๆ เด็กสาวพยายามมองหากลไกต่างๆ ที่อยู่รอบๆ ตัวเผื่อว่าเบื้องหลังผังห้องนี้จะมีห้องลับซ่อนอยู่
“เธอทำอะไร” คังเยนาเลิกคิ้วถามเด็กสาวด้วยความสงสัย
“ก็มองหาพวกกลไกหรือช่องทางลับไง บางทีมันอาจจะมีอีกห้องหนึ่งอยู่หลังผนังนี้ก็ได้”
“ไม่มีห้องลับอะไรทั้งนั้น ถ้ามีฉันคงจะเห็นเป็นคนแรกแล้ว เธออย่าลืมสิว่าฉันอยู่ที่นี่ตลอด”
“หรือว่า….”
คังยูรีนึกอะไรขึ้นมาได้ เด็กสาววิ่งออกจากห้องสมุดไปอยู่ที่หลังอาคารห้องสมุดแทน โดยมีชาฮีจูและคังเยนาตามออกไปด้วย คังยูรีมองสำรวจสิ่งของต่างๆ ที่ถูกวางทับถมอยู่ตรงหลังอาคารห้องสมุด ซึ่งเป็นจุดเชื่อมกันที่คังเยนาเห็นกลุ่มดำนั้นลอยเข้าไป บางทีทางเข้าอาจจะอยู่แถวนี้ก็ได้
ในขณะที่คังยูรีกำลังรื้อค้นสิ่งของอยู่ตรงกำแพงนั้น อยู่ๆ เด็กสาวก็รู้สึกวูบ ตาลาย ใจสั่น ก่อนจะหมดสติโดยไม่ทราบสาเหตุ ระหว่างที่เธอกำลังล้มลงนั้นก็มีมือของแทอีเข้ามาโอบอุ้มร่างเธอเอาไว้พอดี ชายหนุ่มเองก็ตามคังยูรีออกมาตั้งแต่ที่เห็นเด็กสาววิ่งออกมาจากห้องสมุดแล้ว
“ยูรี! ได้ยินพี่มั้ย”
แทอีตะโกนเรียกชื่อให้เด็กสาวได้สติ แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผลเลยตัดสินใจอุ้มร่างของเธอมาไว้ในอ้อมแขนแล้วพาเธอไปยังห้องพยาบาลของโรงเรียนด้วยความร้อนใจ
ชาฮีจูได้แต่มองแทอีอุ้มร่างคังยูรีออกไปด้วยความสั่นไหว เพราะเขาเองก็ไม่สามารถทำหน้าที่ตรงนั้นได้ เลยได้แต่ยืนมองชายคนอื่นทำหน้าที่ตรงนั้นแทน
“เสียใจเหรอ”
“เสียใจเรื่องอะไร” ชาฮีจูหันมาถามคังเยนาที่ยืนอยู่ข้างๆ
“เสียใจเพราะคนที่อุ้มยูรีไปไม่ใช่ตัวเองไง บาดตาบาดใจสินะ”
“คังเยนา เมื่อไหร่เธอจะเลิกล้อเล่นเรื่องพวกนี้สักที ฉันบอกเลยนะว่าเรื่องที่เธอกำลังคิดอยู่มันไม่ใช่ ฉันตายไปแล้ว ใจฉันไม่เต้นแล้ว เพราะฉะนั้นฉันก็ไม่มีความรู้สึกแบบนั้นแล้วเหมือนกัน” ชายหนุ่มตวาดใส่หญิงสาวเล็กน้อยก่อนจะหายตัวออกไปในที่สุด
“พวกไม่ยอมรับความจริง”
คังเยนาบ่นตามหลังก่อนจะหันไปมองที่หลังกำแพงห้องสมุดนั้นอีกครั้ง หรือจะเป็นอย่างที่คังยูรีพูดเอาไว้ บางทีอาจจะมีทางเข้าไปยังห้องลับจากจุดตรงนี้ก็ได้ คังเยนาไม่อยากเก็บความสงสัยเอาไว้จึงตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้หลังกำแพงนั้นเพื่อมองหาทางลับด้วยความตั้งใจ
แต่ไม่ทันที่มือของเธอจะได้สัมผัสไปที่หลังกำแพง ร่างของเธอก็ปลิวลอยล่องออกมากองอยู่ที่พื้น ราวกับว่ามีใครผลักเธอออกอย่างเต็มกำลัง เหมือนภายในกำแพงนั้นมีการร่ายอาคมมนต์ดำไว้ และสิ่งนี้เองทำให้เธอเข้าใจว่าคนที่จะช่วยเธอได้ก็คงมีแค่คังยูรี เพราะคังยูรีเป็นแค่คนธรรมดาที่เข้าไปถึงจุดหลังกำแพงตรงนั้นได้โดยไม่ต้องสนเรื่องมนต์ดำ
____________________________
“คังเยนา!”
คังยูรีตะโกนเรียกคังเยนาหลังจากฟื้นขึ้นมา เสียงของเธอดังก้องทั่วห้องพยาบาลจนแทอีที่นั่งรออยู่ด้านนอกรีบเข้ามาดูเธอด้วยความเป็นห่วง ยิ่งเห็นอาการหอบและหายใจรัวๆ ของเด็กสาวก็ยิ่งทำให้ชายหนุ่มกังวลมากขึ้น
“เกิดอะไรขึ้นยูรี ทำไมเหงื่อโชกแบบนี้”
“พี่ไปส่งฉันที่บ้านได้มั้ย ฉันอยากกลับบ้านแล้ว”
คังยูรีเอ่ยอ้อนวอนต่อชายหนุ่ม เธอไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว ช่วงที่เธอหมดสติไปเธอได้เห็นเรื่องราวบางอย่าง และเรื่องนี้ก็ไม่สามารถบอกกับแทอีได้ คนที่เธอต้องการที่สุดตอนนี้คือชาฮีจูเท่านั้น
แทอีทำตามที่คังยูรีขอร้อง ชายหนุ่มไปส่งเด็กสาวที่บ้านของเธอก่อนจะกลับไปที่โรงเรียน ใจจริงชายหนุ่มก็อยากอยู่กับเธอด้วยเพราะที่บ้านของเธอตอนนี้ไม่มีใครอยู่ และเป็นห่วงที่เธอต้องอยู่คนเดียว แต่ชายหนุ่มก็ไม่สามารถขัดความต้องการของคังยูรีได้เช่นกัน
คังยูรีเดินมาที่ห้องนอนตัวเองก็ล้มฟุบอยู่ที่หน้าประตู เด็กสาวหลับตาลงนึกถึงชาฮีจู ในเวลานี้เธอต้องการชาฮีจูมากที่สุด เธออ้อนวอนเรียกหาชาฮีจูด้วยความหวังทั้งหมดที่มี หวังว่าชายหนุ่มจะมาหาเธอได้ในเวลานี้
สักครู่คังยูรีก็สัมผัสได้ถึงไออุ่นที่คุ้นเคย เด็กสาวมั่นใจว่าถ้าเธอลืมตาขึ้นมาต้องเห็นชาฮีจูอยู่ตรงหน้าเธอตอนนี้อย่างแน่นอน คังยูรีไม่รีรอ เด็กสาวรีบลืมตาขึ้นมามองหน้าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า น้ำตาของเธอก็ไหลรินออกมาอย่างพรั่งพรู เด็กสาวร่ำไห้เข้าไปซบกอดชาฮีจูไว้ในทันที ท่าทางที่คังยูรีแสดงออกมามันทำให้ชายหนุ่มเป็นห่วงและกังวลมาก
“ฮีจู…ฉัน…ฉันเจอเยนาแล้ว”