นิยายรักแฟนตาซีดรามา ที่เล่าเรื่องของชายหนุ่มที่ทำหน้าที่ผู้ส่งสารระหว่างคนเป็นและคนตาย แต่ต้องเข้ามาพัวพันกับหญิงสาวสองคนโดยที่ไม่เคยรู้เบื้องลึกมาว่าแท้จริงแล้วทั้งสามคนนั้นเกี่ยวข้องกันมาก่อน
แฟนตาซี,ลึกลับ,ระทึกขวัญ,เกาหลี,รัก,อาคม,รักสามเศร้า,รักข้ามภพ,ลึกลับ,ดราม่า,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
The Promised พรากสัญญานิยายรักแฟนตาซีดรามา ที่เล่าเรื่องของชายหนุ่มที่ทำหน้าที่ผู้ส่งสารระหว่างคนเป็นและคนตาย แต่ต้องเข้ามาพัวพันกับหญิงสาวสองคนโดยที่ไม่เคยรู้เบื้องลึกมาว่าแท้จริงแล้วทั้งสามคนนั้นเกี่ยวข้องกันมาก่อน
The Promised พรากสัญญา
ช่วงหลายวันที่ผ่านมา ชาฮีจูจะรีบออกจากบ้านแต่เช้าด้วยยูนิฟอร์มนักเรียนเพื่อให้พ่อกับแม่เข้าใจว่าไปโรงเรียนตามปกติ แต่ความจริงแล้วชายหนุ่มไปที่บ้านของควอนบินมาตลอด
ชาฮีจูอยากรับผิดชอบที่ทำให้ควอนบินต้องเป็นแบบนี้ ในทุกๆ วันเขาจะเข้ามาคอยช่วยเหลืองานบ้านต่างๆ เท่าที่จะช่วยได้ แม้ว่าจะถูกแม่ของควอนบินต่อว่าและไล่กลับยังไงก็ไม่เคยหวั่นใจสักครั้ง เขายังคงมุ่งมั่นและพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุด รวมถึงการช่วยดูแลควอนบินที่นอนเป็นผู้ป่วยติดเตียงอยู่อีกด้วย
วันนี้ก็เช่นกัน ชาฮีจูรีบมาบ้านควอนบินแต่เช้า หญิงวัยกลางคนเองก็ยอมรับว่าตั้งแต่มีชาฮีจูเข้ามาช่วยก็ผ่อนแรงของเธอได้อย่างมาก แต่ความตั้งใจของเขาก็ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นเลยสักนิด
หญิงวัยกลางคนยืนมองชาฮีจูอยู่ที่หน้าประตูห้องนอนของผู้เป็นลูกชาย เธอมองชายหนุ่มกำลังเช็ดตัวทำความสะอาดให้ควอนบินด้วยสีหน้าเรียบเฉย ต่อให้เขาทำดีมากเท่าไหร่ก็ไม่สามารถชดเชยจสิ่งที่เขาทำผิดไปได้ เว้นเสียว่าชาฮีจูพาลูกชายของเธอกลับคืนสู่อ้อมอกเธอเท่านั้น เธอถึงจะยอมให้อภัย
ทุกเหตุการณ์ของชาฮีจูนั้นมีสายตาของควอนบินและซอนอินชายสูงวัยผู้ส่งสารจับจ้องอยู่ตลอดเวลา หลายวันที่ผ่านมาควอนบินคอยตามติดชีวิตชาฮีจูอยู่ไม่ห่าง บ่อยครั้งที่เกือบทำร้ายชาฮีจูด้วยความโกรธแค้นแต่ท้ายสุดก็หักห้ามใจไว้ได้ ควอนบินเองก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าชาฮีจูนั้นคอยช่วยเหลือแม่ของเขาเป็นอย่างดีมากจริงๆ
“ปล่อยวางเถอะทุกอย่างจะได้เข้าที่เข้าทาง ทุกคนเกิดมาล้วนทำผิดกันทั้งนั้น ความผิดของคนคนนั้นก็ปล่อยให้เบื้องบนเป็นคนตัดสินเถิด ยิ่งเราฝืนเราก็ยิ่งแต่จะทุกข์และก็จะออกจากวังวนความเคียดแค้นนี้ไม่จบไม่สิ้น”
ชายสูงวัยในชุดขาวเอ่ยต่อควอนบิินที่ยืนจ้องชาฮีจูอยู่ เขารู้ว่าพลังแรงแค้นของควอนบินตอนนี้ไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนดังเมื่อก่อน ในใจลึกๆ ของชายหนุ่มก็รู้สึกอยากปล่อยวางอยู่เช่นกัน
“ทำไมลุงต้องคอยวนเวียนอยู่ข้างชาฮีจูตลอด” ควอนบินละสายตาออกจากชาฮีจู ชายหนุ่มหันมาถามชายสูงวัยที่ยืนอยู่ตรงหน้าแทน
“ฉันกับเด็กคนนั้นมีชะตาต้องกัน วันข้างหน้าเขาจะเป็นกำลังสำคัญให้ฉันและภพวิญญาณ เขาจะเป็นคนที่ช่วยเหลือเห่าดวงวิญญาณอีกมากมาย”
“คนอย่างชาฮีจูนะเหรอจะช่วยเหลือคนอื่น ผมว่าลุงคิดผิดแล้วล่ะ คนอย่างชาฮีจูคิดถึงแต่ตัวเอง ก็เหมือนพ่อแม่ของมันนั่นแหละ ชอบกดขี่คนที่ไม่มีทางสู้”
“งั้นที่ชาฮีจูทำตอนนี้คืออะไรล่ะ เธอกำลังบอกว่าเขากดขี่ข่มเหงแม่ของเธออยู่ใช่มั้ย”
“เขาแค่อยากรับผิดชอบสิ่งที่ตัวเองทำแค่นั้น ไม่ได้รู้สึกผิดจากใจจริงสักหน่อย”
“ที่เธอพูดมาก็ถูก เขาพยายามชดใช้ในสิ่งที่ตัวเองทำผิดไปจริงๆ ถึงมันจะแลกไม่ได้กับชีวิตของเธอแต่อย่างน้อยเขาก็รู้สึกผิดและเลือกที่จะทำโดยไม่รู้ว่าจะได้รับการอภัยจากเธอหรือเปล่า ถ้าเนื้อในเขาไม่ใช่คนดีจริงๆ ป่านนี้คงฝืนใจทำดีขนาดนี้ไม่ได้หรอก”
“นี่ลุงกำลังบอกว่าชาฮีจูรู้สึกผิดและเสียใจจริงๆ งั้นเหรอ”
ควอนบินหลั่งน้ำตาโดยไม่รู้ตัว ชายหนุ่มหันไปมองชาฮีจูอีกครั้ง ชาฮีจูในตอนนี้ดูซูบผอมลงไปมาก เขาจะเชื่อได้อย่างไรว่าชาฮีจูนั้นรู้สึกผิดจริงๆ ควอนบินไม่สามารถลืมวันวานความเจ็บปวดที่ชาฮีจูเคยทำไว้กับเขาได้เลย
“ควอนบิน…ฉันถามเธอหน่อยสิ ชาฮีจูทำอะไรลงไปถึงทำให้เธอคิดจบชีวิตตัวเอง”
ควอนบินหันมาจ้องชายสูงวัยด้วยความสั่นไหว ชายหนุ่มคิดย้อนกลับไปถึงช่วงเวลาดังกล่าวที่ทำให้ตัวเขาตัดสินใจจบชีวิตตัวเองลง
1 วัน ก่อนที่ควอนบินคิดจบชีวิตตัวเอง
เสียงหัวเราะเจี๊ยวจ๊าวชอบใจดังกึกก้องไปทั่วห้องเรียน นักเรียนชายหญิงในห้องต่างจับกลุ่มกันพูดคุยถึงคลิปวิดีโอที่ดูอยู่อย่างสนุกสนาน
ควอนบินเดินมาถึงห้องเรียนก็ถูกสายตาทุกคู่ที่อยู่ในห้องมองด้วยความเหยียดหยาม บ้างก็เย้ยหยันดูถูกชายหนุ่มสารพัดอย่างชอบใจ
“ตอนนี้ควอนบินของเราดังใหญ่แล้วนะ ไม่คิดว่านายจะรับจ๊อบงานนี้ด้วย” อีซางมิน หนึ่งในนักเรียนชายเอ่ยขึ้น
“พวกนายพูดอะไร”
ควอนบินตอบกลับด้วยความสงสัย พอเห็นสายตาทุกคู่มองมาก็เริ่มเป็นกังวล ควอนบินปรี่เข้าไปแย่งมือถือจากนักเรียนชายคนหนึ่งมา ในนั้นกำลังฉายคลิปของเขาที่นอนเปลือยท่อนบนไม่ได้สติอยู่ รอบตัวเขามีผู้หญิงหลายคนรายล้อมกำลังแสดงท่าทีว่าเล้าโลมตัวเขาอยู่ แต่ทุกอย่างก็เป็นสิ่งที่จัดฉากขึ้นมาทั้งนั้น
ควอนบินจำได้ว่าตอนนั้นเขาถูกวางยาสลบหลังจากที่ถูกหลอกให้ไปส่งอาหารอยู่ที่ผับแห่งหนึ่ง พอรู้สึกตัวอีกทีก็นอนอยู่หน้าผับแล้ว วันนั้นเขาต้องโกหกผู้เป็นแม่ว่าไปนอนค้างที่บ้านเพื่อนเพราะไม่อยากให้ผู้เป็นแม่ต้องคิดมาก แต่ควอนบินไม่รู้ว่าเหตุการณ์วันนั้นจะถูกจัดฉากเพื่อโจมตีเขาแบบนี้
“ฝีมือพวกนายเองเหรอ” ควอนบินตวาดด้วยความโมโหพร้อมกับเขวี้ยงมือถือที่อยู่ในมือใส่นักเรียนชายที่อยู่ตรงหน้าจนหน้าผากแตกเลือดซึมออกมา
“ไอ้บ้านี่!” อีซางมินที่ถูกมือถือขว้างใส่ปรี่เข้าไปกระชากคอเสื้อควอนบินด้วยความไม่พอใจ เขาง้างมือจะทำร้ายควอนบินแต่ก็ถูกชาฮีจูที่พึ่งเดินเข้าห้องมาห้ามเอาไว้ได้ก่อน
“นี่มันอะไรกัน ซางมิน…หน้าผากนายไปโดนอะไรมา” ชาฮีจูเอ่ยถามเพื่อนหนุ่มด้วยความสงสัย
“ก็ไอ้บ้านี่สิมันทำร้ายฉัน”
“พวกแกต่างหากที่ทำร้ายฉัน ทำไมต้องรังแกกันขนาดนี้ด้วย” ควอนบินตะโกนด้วยความเกรี้ยวกราด
“แค่หยอกเล่นนิดหน่อยเอง อีกอย่างเรื่องทั้งหมดฮีจูก็เป็นคนทำด้วย”
“ที่แท้ก็เป็นนายสินะที่ทำเรื่องต่ำทรามได้ขนาดนี้ ชาฮีจู…ฉันจะไม่มีวันให้อภัยนาย”
ควอนบินจ้องไปที่ชาฮีจูอย่างไม่ลดละ แววตาของชายหนุ่มโกรธแค้นเป็นอย่างมาก และเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นชาฮีจูต้องเป็นคนรับผิดชอบทั้งหมด
ชาฮีจูเองก็ได้แต่มองตามหลังควอนบินที่เดินออกไปด้วยความสับสน ก่อนจะละสายตานั้นออกหันมาถามเพื่อนชายที่ยืนอยู่ข้างๆ
“มันเรื่องอะไรเหรอซางมิน แล้วทำไมถึงมีฉันเข้าไปเกี่ยวด้วย”
“ไม่มีอะไรหรอกก็แค่หยอกเล่นขำๆ อย่างน้อยถ้าบอกว่าเป็นนายทำไอ้บ้าควอนบินก็จะไม่กล้าเอาเรื่องไง”
ชาฮีจูยิ่งฟังเพื่อนชายพูดก็ยิ่งสับสน ชายหนุ่มรีบคว้ามือถือจากเพื่อนนักเรียนอีกคนขึ้นมาดู พอเห็นเหตุการณ์ที่อยู่ในคลิปก็ตกใจเป็นอย่างมาก
“ซางมินแกล้งแรงเกินไปหรือเปล่า” ชาฮีจูดุให้เพื่อนชายที่ทำหน้าทำตาไม่รู้สึกผิด
“นิดหน่อยเอง ก็แค่ถ่ายเก็บไว้ดูเล่นในห้องพวกเราไง ไม่ลงให้คนอื่นดูหรอกน่า”
“ลบคลิปออกเลยนะ ห้ามทุกคนส่งคลิปนี้ต่อเด็ดขาด ถ้ารู้ถึงครูเป็นเรื่องใหญ่แน่ นายก็เหมือนกันซางมิน พอมีเรื่องแย่ๆ ทำไมต้องเอาชื่อฉันไปอ้างตลอด”
“ทำไมซีเรียสจังเลยว่ะฮีจู ทุกครั้งก็อ้างชื่อนายไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย อีกอย่างพวกเราก็แกล้งควอนบินแบบนี้กันอยู่แล้ว”
“แต่ครั้งนี้มันแรงไป ฉันว่าพวกเราเลิกแกล้งควอนบินเถอะ ใช้ชีวิตเทอมสุดท้ายของม.6แบบนักเรียนปกติทั่วไปกันดีกว่า”
“อยู่ๆ ก็อยากเป็นเด็กดีว่างั้น ทำไม…รู้สึกผิดขึ้นมาเหรอ”
“ใช่ ยิ่งมาเจอเหตุการณ์นี้ก็ยิ่งรู้สึกผิด” ชาฮีจูตอบกลับอย่างตรงไปตรงมา ดูเหมือนว่าการแกล้งกันในกลุ่มของเขาจะไม่ใช่เรื่องปกติเสียแล้ว
ควอนบินรู้สึกอับอายเป็นอย่างมากที่คลิปของเขาถูกส่งต่อแก่นักเรียนคนอื่นจนเป็นที่นินทาทั่วโรงเรียน ถึงแม้ว่าชาฮีจูจะบอกให้ทุกคนในห้องลบคลิปไปแล้วแต่ก็ยังมีบางคนแอบส่งต่ออยู่ดี
ควอนบินรับไม่ได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สภาพจิตใจของชายหนุ่มย่ำแย่เป็นอย่างมาก เขาไร้เรี่ยวแรงและกำลังที่จะเผชิญหน้าต่อผู้เป็นแม่ และรู้สึกผิดเสียใจมากเพราะคิดว่าตัวเองไม่สามารถเป็นลูกที่ดีให้แม่ได้
ในเช้าวันต่อมา ควอนบินสวมยูนิฟอร์มนักเรียนออกจากบ้านตามปกติ แต่เส้นทางที่ชายหนุ่มไปกลับเป็นสระน้ำลึกไม่ใช่โรงเรียนตามที่ผู้เป็นแม่เข้าใจ ชายหนุ่มยืนแน่นิ่งอยู่ขอบสระด้วยความรู้สึกล่องลอยค่อยๆ เดินลงสระน้ำอย่างช้าๆ และจมหายไปในที่สุด ก่อนจะมีคนมาพบและช่วยเหลือเอาไว้
เหตุการณ์วันนั้นควอนบินยังจำได้ไม่เคยลืม และนี่คือเหตุผลที่เขาไม่สามารถให้อภัยชาฮีจูได้ ถึงแม้ว่าชายหนุ่มจะทำดีชดเชยแค่ไหนก็ไม่สามารถลบล้างความผิดนี้ได้
“เธอมั่นใจได้ยังไงว่าชาฮีจูเป็นคนทำเรื่องนั้นจริงๆ” ชายสูงวัยเอ่ยถามชายหนุ่มอีกครั้ง เขารับรู้ได้ถึงความรู้สึกนึกคิดของควอนบินทุกอย่าง
“ถ้าไม่ใช่เขาแล้วจะเป็นใคร ตอนนั้นเขาก็ไม่ได้ปฏิเสธด้วย”
“งั้นเธอก็ควรถามชาฮีจูให้แน่ใจว่าเขาได้ทำจริงๆ มั้ย”
“แล้วเขาจะบอกว่าทำเหรอ ยังไงเขาก็ต้องโยนความผิดให้คนอื่นอยู่แล้ว” ควอนบินขึ้นเสียงด้วยความไม่พอใจ เขาจ้องไปที่ชายสูงวัยอย่างไม่สบอารมณ์
ช่วงเย็นของวัน
ชาฮีจูออกมานั่งเล่นอยู่ด้านนอกตัวบ้าน ชายหนุ่มนั่งเหม่อมองไปยังท้องฟ้า สภาพในตอนนี้ดูอิดโรยนัก นับตั้งแต่รู้เรื่องควอนบินก็ไม่เคยได้นอนหลับสนิทอีกเลย เขามักจะสะดุ้งตื่นกลางดึกเสมอ ชายหนุ่มนั่งอยู่สักครู่ก็รีบลุกขึ้นเมื่อเห็นแม่ของควอนบินกำลังเดินมา
“คุณน้ามีอะไรให้ผมช่วยอีกมั้ยครับ” ชาฮีจูฉีกยิ้มเล็กน้อย พอเห็นหญิงวัยกลางคนเอาแต่หน้าบึ้งก็รีบหุบยิ้มนั้นลงทันที เขาเองก็ช่างไม่รู้ความเอาเสียเลย ในสถานการณ์แบบนี้จะมายิ้มได้ยังไงกัน
“ฉันมีเรื่องจะถามเธอ เธอเป็นคนทำเรื่องนั้นจริงๆ ใช่มั้ย เป็นเพราะคลิปบ้าๆ นั่นเลยทำให้ควอนบินต้องคิดสั้น เด็กที่โรงเรียนต่างก็บอกว่าเป็นฝีมือเธอ ฉันเลยอยากรู้ว่าเธอเป็นคนทำมันจริงๆ ใช่มั้ย”
“ผมไม่รู้ว่าถ้าพูดตอนนี้มันเหมือนเป็นการแก้ตัวมั้ย เรื่องคลิปนั่นผมไม่ได้เป็นคนทำ ผมรู้ว่าผมไม่ใช่คนดีแต่ผมก็ไม่ได้เลวพอจะทำร้ายควอนบินแบบนั้นได้ แต่ที่ควอนบินต้องมาเป็นแบบนี้ผมก็มีส่วนผิดเหมือนกัน”
หญิงวัยกลางคนถอนหายใจออกมา เธอไม่รู้ว่าที่ชาฮีจูพูดมานั้นเป็นเรื่องจริงหรือแค่แก้ตัวให้พ้นผิด แต่จากที่เห็นชายหนุ่มในหลายวันที่ผ่านมาดูเหมือนว่าไม่ใช่คนที่จะทำเรื่องเลวร้ายได้เลย เธอเองก็รู้สึกสับสนเป็นอย่างมากจึงอยากลองถามเพื่อไตร่ตรองดู แต่ไม่ว่ายังไงชายหนุ่มก็ยังมีส่วนผิดอยู่ดี เพราะที่ผ่านมาก็ได้แกล้งลูกชายของเธอจริงๆ
“เธอกลับบ้านไปเถอะและไม่ต้องมาที่นี่อีก ยิ่งฉันเห็นเธอมันก็ยิ่งทำให้ฉันคิดถึงควอนบิน ขอร้องนะ เลิกยุ่งกับพวกเราสองแม่ลูกเถอะ ฉันถือซะว่ามันเป็นเวรเป็นกรรมของฉันและควอนบินที่ต้องมาเจอเรื่องพวกนี้ ไม่ว่าเธอจะพยายามชดใช้มากแค่ไหน มันก็ไม่คุ้มกับที่ฉันต้องเสียควอนบินไปหรอก”
“คุณน้า….”
“เพราะฉะนั้นเธอเองก็ควรพอได้แล้ว การไม่เห็นหน้าเธอน่าจะเป็นสิ่งดีที่สุด” หญิงวัยกลางคนกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือก่อนจะเดินกลับเข้าบ้านไป
ชาฮีจูทำอะไรไม่ได้ แม้แต่จะก้าวขาเพื่อเดินตามแม่ของควอนบินไปก็ยังทำไม่ได้ ไม่ว่าเขาจะพยายามแค่ไหนก็ไม่เป็นผล ชายหนุ่มเองก็เข้าใจดีและจะไม่เรียกร้องอะไรทั้งสิ้น ท้ายที่สุดก็ทำได้แค่จมอยู่กับความรู้สึกผิดของตัวเองไปตลอดชีวิต
ควอนบินยืนมองคนทั้งคู่อยู่ไม่ห่างนัก ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกสับสนขึ้นมาว่าเรื่องทุกอย่างมันเกิดจากชาฮีจูจริงมั้ย ถ้าสิ่งที่ชาฮีจูพูดมาคือเรื่องจริงก็เท่ากับว่าเขาเข้าใจชาฮีจูผิดมาตลอด จู่ๆ ชายหนุ่มก็รู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“นายไม่ได้ทำจริงๆ เหรอ” ควอนบินพึมพำออกมา ความรู้สึกในตอนนี้ช่างสับสนนัก
หญิงวัยกลางคนเดินข้ามานั่งที่เตียงนอนข้างๆ ร่างลูกชายที่นอนแน่นิ่งอยู่ เธอหลั่งน้ำตาออกมาพร้อมกับใช้มือลูบไปที่ใบหน้าของควอนบินด้วยความห่วงหาอาวรณ์
“ลูกชายของแม่เหนื่อยหรือยัง แม่ขอโทษนะลูกที่แม่ไม่โกรธคนที่ทำร้ายลูกของแม่แล้ว แม่อภัยให้เขา แม่ไม่อยากให้ลูกของแม่ต้องยึดติดอยู่กับความเจ็บปวดอีก ควอนบิน…ลูกได้ยินแม่มั้ย แม่ยอมปล่อยลูกไปก็ได้ถ้าการมีชีวิตอยู่ต่อทำให้ลูกต้องเจ็บปวด งั้นลูกก็ไปเถอะ ไปในที่ที่ลูกอยากจะไป แต่ถ้าลูกยังอยากมีชีวิตอยู่ แม่ก็อยากให้ลูกลืมตาขึ้นมา เราจะสู้ไปด้วยกันอีกครั้ง ได้โปรดนะลูก”
หญิงวัยกลางคนร่ำไห้อย่างสุดเศร้าและถวิลหา ถ้าการรั้งไว้แล้วทำให้ผู้เป็นลูกชายต้องเป็นทุกข์และตัวเธอไม่ยอมปล่อยวาง ชีวิตก็ไม่สามารถเดินต่อไปได้ ส่วนลึกภายในใจของเธอได้ให้อภัยชาฮีจูแล้ว แต่ที่เธอไม่บอกชาฮีจูเพราะแค่อยากให้ชาฮีจูได้มีส่วนรับผิดชอบและรู้สึกผิดที่เขาเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ควอนบินต้องเป็นแบบนี้
ควอนบินยืนมองผู้เป็นแม่ด้วยความอาวรณ์ เห็นผู้เป็นแม่ทุกข์ใจขนาดนี้ก็เริ่มรู้สึกผิดมากขึ้น ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาเอาแต่เรียกร้องหาความตายจนลืมนึกถึงผู้เป็นแม่ว่าจะเสียใจและเจ็บปวดแค่ไหน เขาช่างเป็นลูกชายที่ไม่ได้เรื่องเสียจริงๆ
สำหรับควอนบินแล้วตั้งแต่เด็กจนโตก็มีแม่คอยประคบประหงมอยู่ตลอด เขาเป็นคนขี้อายไม่ค่อยพูดเลยเป็นเป้าหมายให้คนที่แข็งแรงกว่ารังแกเป็นประจำ ทุกครั้งที่มีเรื่องที่โรงเรียนชายหนุ่มก็แค่ปิดปากเงียบเพราะไม่อยากให้ผู้เป็นแม่ต้องทุกข์ใจ ผู้เป็นแม่เลยไม่เคยรับรู้ว่าลูกชายของเธอต้องเจออะไรมาบ้าง จนวันที่ชายหนุ่มตัดสินใจจบชีวิตตัวเองลงผู้เป็นแม่ถึงได้รู้ความจริงทุกอย่าง
ควอนบินคิดทบทวนตัวเอง ถ้าเขาเปิดใจบอกเรื่องที่เกิดขึ้นกับผู้เป็นแม่ให้รับรู้ บางทีเรื่องพวกนี้อาจจะไม่เลยเถิดมาถึงขนาดนี้ ชายหนุ่มเดินเข้าไปโอบกอดผู้เป็นแม่เอาไว้ร่ำไห้ไม่ขาดสาย เขารู้ตัวแล้วว่าคนที่เขาต้องให้ความสำคัญที่สุดนั้นคือผู้เป็นแม่ของเขานั่นเอง
“แม่ ผมขอโทษ เรามาเริ่มต้นใหม่ด้วยกันนะ”
เสียงร้องไห้ของสองแม่ลูกดังกังวานไปทั่วห้อง ต่างฝ่ายต่างโอบกอดกันและกันด้วยความอาวรณ์ ถึงแม้ว่าแม่ของควอนบินจะไม่ได้เห็นลูกชายแต่เธอก็สัมผัสได้ถึงไออุ่นที่โอบกอดเธอเอาไว้ และเธอก็เชื่อว่านั่นคือควอนบินลูกชายของเธอ
“พร้อมหรือยัง”
ชายสูงวัยปรากฏตัวขึ้นมาเอ่ยถามต่อควอนบิน บัดนี้เขารับรู้และสัมผัสได้ถึงพลังงานความบริสุทธิ์ที่ปกคลุมอยู่รอบๆ ตัวของชายหนุ่ม ไฟแรงแค้นในตัวของควอนบินได้มลายจางหายไปแล้ว เขาไม่ได้รู้สึกเคืองโกรธต่อชาฮีจูอีกต่อไป และต้องการยุติเรื่องทุกอย่างลง ต่อจากนี้ต่างคนก็ต่างใช้ชีวิตและใช้กรรมของตัวเองไป
“ผมพร้อมแล้ว” ชายหนุ่มที่อยู่ในอ้อมกอดผู้เป็นแม่ตอบรับ
“มีเรื่องหนึ่งที่ฉันต้องบอกให้เธอรู้ ถ้าเธอยอมปล่อยวางนั่นหมายถึงเธอจะละทิ้งความทรงจำทุกอย่างในโลกแห่งวิญญาณ เมื่อไหร่ที่เธอฟื้นขึ้นมา เธอจะจำเรื่องราวในโลกวิญญาณไม่ได้ ก่อนที่เธอจะก้าวข้ามไปเธอต้องยอมรับเงื่อนไขตรงนี้ก่อนนั่นคือความพร้อมที่แท้จริง”
“ผมยอมรับ” ชายหนุ่มตอบรับอย่างแน่วแน่ การได้เจอแม่และกลับไปมีชีวิตอีกครั้งคือเรื่องที่เขาปรารถนาที่สุดในตอนนี้ ส่วนอย่างอื่นก็ไม่สำคัญอีกต่อไป
ชายสูงวัยพยักหน้าเพื่อรับรู้ เขาแบมือขวาขึ้นมาหยุดอยู่ตรงหน้าควอนบินพร้อมจ้องไปที่นัยน์ตาของชายหนุ่มอย่างไม่ลดละ สักครู่ก็มีกลุ่มควันสีขาวฟุ้งค่อยๆ หลุดลอยออกมาจากร่างของควอนบินที่นอนแน่นิ่งอยู่ ก่อนจะรวมตัวกันแล้วลอยไปอยู่เหนือฝ่ามือของชายสูงวัย ทุกอย่างดูเงียบสงบไปหมด ไม่นานนักก็ปรากฏแสงสีขาวจ้าออกมา สักครู่แสงขาวจ้านั้นจะค่อยๆ จางหายไปแล้วทุกอย่างกลับมาอยู่ในภาวะปกติเช่นเดิม ชายสูงวัยที่ยืนอยู่ก่อนหน้านี้ก็หายไปเช่นกัน
ควอนบินที่นอนหลับอยู่บนเตียงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ ก่อนจะเผยรอยยิ้มออกมาเมื่อเห็นหน้าผู้เป็นแม่กำลังจ้องมาที่เขาด้วยความดีใจ สองแม่ลูกต่างหลั่งน้ำตาและยินดีที่ได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง ไม่มีอะไรจะมีความสุขและน่ายินดีไปมากกว่านี้อีกแล้ว
“แม่”
คำแรกที่ออกมาจากปากควอนบินทำให้ผู้เป็นแม่ยิ้มกว้างออกมาทันที การอดทนรอเพื่อให้ลูกชายของเธอกลับมาไม่สูญเปล่าจริงๆ เธอเองก็นึกขอบคุณผู้เป็นลูกชายที่สู้จนได้กลับมาใช้ชีวิตได้อีกครั้ง
________________________________
ชาฮีจูกลับมาถึงบ้านก็เห็นพ่อกับแม่นั่งอยู่ที่โซฟา สายที่ที่มองมาที่เขามีแต่ความเคลือบแคลงและเย็นชา ไม่บอกก็รู้ว่าทั้งสองกำลังไม่พอใจเขาอยู่
“แกไปไหนมา”
“ก็ไปโรงเรียนไงครับ"
ผู้เป็นแม่หมดความอดทนต่อคำโกหกของลูก เธอลุกจากเก้าอี้แล้วเดินเข้าไปตบหน้าชาฮีจูอย่างเต็มแรง ลูกชายของเธอได้สร้างเรื่องให้เธอต้องปวดหัวอีกแล้ว
“เมื่อไหร่แกจะเลิกสร้างปัญหาให้ฉันสักที แกไปไหนมาถึงไม่เข้าเรียนเป็นอาทิตย์จนครูที่โรงเรียนต้องโทรมาหาฉัน แกบอกฉันมาสิชาฮีจู แกไปทำเรื่องระยำอะไรอีก"
“ก็ผมบอกคุณแล้วไงว่าให้ส่งฮีจูไปเรียนต่างประเทศ อย่างน้อยเราก็ไม่ต้องมานั่งเสียหน้าคิดมากถ้าเจ้าเด็กนี่ก่อปัญหาขึ้น” ผู้เป็นพ่อเอ่ยแทรกขึ้นมา
“เพราะคุณนั่นแหละ เป็นถึงพ่อแต่กลับสอนลูกไม่ได้”
“คุณก็เหมือนกัน คุณเป็นแม่มันไม่ใช่เหรอแล้วทำไมเอาแต่โทษผมคนเดียว”
ชาฮีจูไม่อยากอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอึดอัดนี้อีกต่อไป ชายหนุ่มปลีกตัวเดินขึ้นไปยังห้องนอนของตัวเองปล่อยให้ผู้เป็นพ่อกับแม่ทะเลาะกันต่อ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเจอเหตุการณ์แบบนี้ ทุกครั้งเขาก็แค่เลือกที่จะปล่อยผ่านมันไป คิดแค่ว่านอนหลับตื่นขึ้นมาอีกทีทุกอย่างก็จะไม่เป็นไรแล้ว
แต่วันนี้กลับเป็นวันที่ชายหนุ่มไม่อยากทนอีกต่อไป เขาพอแล้วกับชีวิตที่ดูไร้ค่าในครอบครัวนี้ การออกจากบ้านหลังนี้ไปคงสิ่งที่เขาควรจะทำที่สุด
ชาฮีจูเก็บเสื้อผ้าไม่กี่ชุดยัดใส่เป้ส่วนตัวรวมถึงเงินสดจำนวนหนึ่งที่เก็บออมไว้ ชายหนุ่มมองสำรวจรอบห้อง สายตาก็เหลือบไปเห็นกล่องแก้วที่มีร่มคันสีแดงอยู่ข้างในจึงเดินไปหยิบกล่องนั้นขึ้นมาดู ก่อนจะวางกลับไว้ที่เดิมเพราะเอาไปด้วยก็คงไม่เกิดประโยชน์อะไร
ชาฮีจูสะพายเป้ไว้ที่ข้างหลัง ชายหนุ่มเดินลงบันไดอย่างเร่งรีบ ไม่ทันได้เดินผ่านพ้นประตูก็ถูกผู้เป็นพ่อตะคอกใส่แต่ก็ไม่ได้หวั่นใจเลยสักนิด ใช่ว่าน้ำเสียงเกรี้ยวกราดนี้จะไม่เคยได้ยินซะที่ไหน
“แกจะไปไหน แค่นี้ยังสร้างเรื่องไม่พอเหรอ”
“แล้วพ่อจะสนใจทำไม”
“นี่แกพูดกับฉันแบบนี้ได้ยังไง ฉันพ่อแกนะ”
“ผมก็ลูกพ่อลูกแม่เหมือนกัน แล้วพ่อกับแม่ทำแบบนี้กับผมได้ยังไง”
“แกพูดบ้าอะไรฮีจู ไม่ว่าแกอยากได้อะไรพวกฉันก็หามาให้แกทุกอย่าง มีสักครั้งมั้ยที่แกจะดูด้อยไปกว่าคนอื่น พวกฉันเลี้ยงแกไม่ดีตรงไหน” ผู้เป็นแม่เอ่ยแทรกขึ้นมาบ้าง เธอไม่พอใจมากที่ชายหนุ่มพูดออกมาแบบนั้น
“แล้วพ่อกับแม่เคยรู้มั้ยว่าผมไม่ได้อยากได้ของพวกนั้นเลยสักนิด ผมอยากได้แค่เวลา เวลาที่พ่อกับแม่จะมีให้ผมบ้างเหมือนที่พ่อกับแม่มีเวลาให้คนอื่นไง”
“แล้วเวลามันกินได้มั้ย บ้านที่แกอยู่ เสื้อผ้าที่แกใส่ มันก็ต้องใช้เงินทั้งนั้น ฉันทำงานหนักเพื่อให้แกอยู่สุขสบายแกยังไม่พอใจอีกเหรอ”
“ได้ งั้น…เชิญพ่อกับแม่อยู่สุขสบายกันเองแล้วกัน ผมไม่ต้องการ”
“งั้นแกก็ไปเลย ถ้าแกคิดว่าโลกข้างนอกนั่นมันสวยงามแกก็เดินออกจากบ้านนี้ไปเลย ถ้าแกโง่และยังอวดฉลาดแบบนี้ฉันก็ไม่อยากมีแกอยู่ในชีวิตฉันเหมือนกัน"
ชาฮีจูกำมือไว้แน่น ชายหนุ่มขบฟันด้วยความขุ่นเคือง นี่หรือคือคำพูดของคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นแม่ ทำไมถึงได้พูดโหดร้ายกับเขาแบบนี้ คำพูดของผู้เป็นแม่ยิ่งตอกย้ำว่าการหนีออกจากบ้านเป็นเรื่องที่สมควรยิ่ง ชาฮีจูหันกลับไปหาผู้เป็นแม่อีกครั้ง นัยน์ตาจ้องไปที่แม่อย่างดุดันก่อนจะละสายตาหันไปหาผู้เป็นพ่อที่ยืนอยู่ข้างๆ บ้าง
“ผมก็ไม่อยากมีพ่อกับแม่อยู่ในชีวิตเหมือนกัน เมื่อไหร่จะหายออกไปจากชีวิตผมสักที”
ชายหนุ่มตะคอกใส่ผู้เป็นพ่อและแม่อย่างสุดเสียงก่อนจะเดินออกจากบ้านไป เหมือนตอนนี้ชาฮีจูจะระงับอารมณ์โทสะไว้ไม่ได้อีกแล้ว คำพูดที่ออกมาจากปากเขานั้นไม่ได้ดูดีเลยสักนิด
ผู้เป็นพ่อและแม่ได้แต่มองตามหลังลูกชายด้วยความสั่นไหว ทั้งคู่ก็ไม่คิดว่าชาฮีจูเกรี้ยวกราดและพูดตัดความสัมพันธ์ได้ถึงเพียงนี้เช่นกัน
“เจ้าเด็กคนนี้มันคิดอย่างที่พูดจริงๆ เหรอ เราเป็นพ่อแม่ไม่ได้เรื่องขนาดนั้นเลยเหรอ” ผู้เป็นพ่อเอ่ยตัดพ้อ
“ปล่อยไปก่อน ยังไงเจ้าเด็กนั่นก็ต้องกลับมา อีกอย่าง…ฉันก็ทำหน้าที่แม่คนหนึ่งเท่าที่จะทำได้แล้ว”
สองสามีภรรยานั่งปรับทุกข์กัน ต่างคนต่างรู้สึกเจ็บปวดกับคำพูดของชาฮีจู ตั้งแต่เลี้ยงชายหนุ่มมาไม่เคยเลยสักครั้งที่เขาจะโต้กลับด้วยความเกรี้ยวกราดขนาดนี้ อย่างมากก็แค่ถลึงตาใส่ หรือเงียบใส่ หรือไม่ก็ไปหาที่หลบเลี่ยงเพื่อจะได้ไม่ต้องเผชิญหน้ากับผู้เป็นพ่อเป็นแม่แค่นั้น แต่ดูเหมือนว่าครั้งนี้จะต่างออกไป
___________________________
ปัจจุบัน
ชาฮีจูค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา ดูเหมือนการนั่งบำเพ็ญพลังวิญญาณของเขาจะไม่ราบรื่นเท่าไหร่นัก ทุกครั้งที่หลับตาก็มักเห็นภาพวันวานในอดีตซ้อนขึ้นมา
“ความทรงจำนั้นกลับมาอีกแล้วเหรอฮีจู” ผู้เป็นอาจารย์เอ่ยถามลูกศิษย์ที่เอาแต่นั่งเหม่อ
“ชินแล้วล่ะครับ หลับตาลงทีไรก็มักจะเห็นภาพในอดีตทุกที พอนึกถึงทีไรความเจ็บปวดก็มาหา” ชายหนุ่มยิ้มรับ
ระหว่างที่ลูกศิษย์กับอาจารย์คุยกันอยู่นั้นก็มีเสียงของเด็กสาวบางคนแว่วเข้ามาในห้วงนิมิต เป็นเสียงเรียกชื่อชาฮีจูซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่แบบนั้น
“เสียงใครน่ะ” ผู้เป็นอาจารย์เอ่ยถามด้วยความสงสัย
“คงจะเป็นคังยูรีครับ เธอน่าจะจับได้แล้วว่าผมโกหกเธอ”
“คังยูรีเด็กกำพร้าคนนั้นเหรอ ทำหน้าที่ผู้ส่งสารเรียบร้อยแล้วไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมยังติดต่อกับเธออยู่อีกล่ะ”
“ผมอยากให้เธอช่วยคังเยนาครับ เพราะเธอเป็นคนเดียวที่มองเห็นผมและคังเยนาได้”
“จะทำอะไรก็ทำ แค่อย่าทำเกินหน้าที่ก็พอ จงจำไว้นะฮีจู สรรพสิ่งบนโลกนี้ล้วนแต่ดับสูญได้ทั้งนั้น ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน แม้แต่ผู้ที่อยู่ในโลกวิญญาณก็เช่นกัน อย่าทำอะไรเกินกำลังตัวเอง ไม่งั้นแม้แต่ดวงจิตสุดท้ายก็ไม่หลงเหลือ เข้าใจที่อาจารย์พูดใช่มั้ย”
“เข้าใจครับ ศิษย์ตระหนักถึงคำสอนของอาจารย์เสมอ” ชายหนุ่มพยักหน้ายิ้มรับ เขารับรู้ได้ถึงความห่วงใยที่ผู้เป็นอาจารย์มีให้ตลอดมา