นิยายรักแฟนตาซีดรามา ที่เล่าเรื่องของชายหนุ่มที่ทำหน้าที่ผู้ส่งสารระหว่างคนเป็นและคนตาย แต่ต้องเข้ามาพัวพันกับหญิงสาวสองคนโดยที่ไม่เคยรู้เบื้องลึกมาว่าแท้จริงแล้วทั้งสามคนนั้นเกี่ยวข้องกันมาก่อน
แฟนตาซี,ลึกลับ,ระทึกขวัญ,เกาหลี,รัก,อาคม,รักสามเศร้า,รักข้ามภพ,ลึกลับ,ดราม่า,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
The Promised พรากสัญญานิยายรักแฟนตาซีดรามา ที่เล่าเรื่องของชายหนุ่มที่ทำหน้าที่ผู้ส่งสารระหว่างคนเป็นและคนตาย แต่ต้องเข้ามาพัวพันกับหญิงสาวสองคนโดยที่ไม่เคยรู้เบื้องลึกมาว่าแท้จริงแล้วทั้งสามคนนั้นเกี่ยวข้องกันมาก่อน
The Promised พรากสัญญา
ณ ห้วงนิมิต
ชาฮีจูกลับมายังที่พำนักของตัวเองครุ่นคิดถึงเรื่องของคังยูรี เขาเองก็รู้สึกได้เหมือนกับจองวานว่าในตัวของเด็กสาวมีบางอย่างที่คอยปกป้องอยู่ หากรู้ว่าเป็นอะไรคงจะดี
ชาฮีจูไปหาผู้เป็นอาจารย์ยังที่พำนักส่วนตัวของเขา ชายหนุ่มมีเรื่องที่อยากจะถามเพื่อไขข้อข้องใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเขาเอง เรื่องของคังยูรีหรือแม้แต่เรื่องของคังเยนาก็ตาม บางทีอาจารย์ของเขาน่าจะให้คำตอบได้
“ศิษย์ขอโทษที่มารบกวนเวลาพักผ่อนของอาจารย์ ศิษย์มีบางเรื่องที่ครุ่นคิดไม่ตก”
“พูดมาเถอะ”
“ทำไมคังยูรีถึงมองเห็นศิษย์ได้ทั้งๆ ที่ศิษย์ไม่ได้ตั้งใจปรากฏตัวให้เธอเห็น และทำไมศิษย์ถึงสัมผัสไม่ได้ว่าร่างของคังเยนาอยู่ที่ไหนทั้งที่ดวงวิญญาณเธอก็ปรากฏให้เห็น ไหนจะความทรงจำของเธอที่หายไปอีก ศิษย์กลัวว่าถ้าขืนช้าไปจะช่วยเธอไม่ทัน”
“ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นล้วนแต่มีความเชื่อมโยงกัน ไม่ได้คือไม่ได้ เราไม่สามารถฝืนลิขิตนั้น ถ้าทำเต็มที่แล้วก็อย่าเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น”
“ศิษย์ คังยูรีและคังเยนามีความเกี่ยวข้องกันใช่มั้ยครับ เพราะแบบนี้เราสามคนถึงได้มาเจอกันและมีชะตาต้องกัน จึงทำให้ศิษย์กังวลเรื่องของพวกเธออยู่ตลอด”
“อาจารย์ถึงบอกไง ว่าทุกเรื่องมันมีที่มาที่ไปเสมอ เดี๋ยวทุกอย่างก็จะค่อยๆ เปิดเผยออกมาเมื่อถึงเวลาของมัน”
ชายหนุ่มเข้าใจที่ผู้เป็นอาจารย์จะสื่อ บางเรื่องก็ยากที่จะอธิบายออกมาได้โดยตรง ถึงอยากจะถามเรื่องเครื่องรางที่ปกป้องคังยูรีก็คงไม่ได้คำตอบเช่นกัน ชาฮีจูกลับเข้ามายังที่พำนักของตัวเองอีกครั้ง เขาครุ่นคิดถึงอดีตที่เป็นไปได้ว่าเขา คังยูรี และคังเยนาอาจจะเคยรู้จักกันมาก่อน เพราะมีบางความทรงจำของเขาที่หายไปเช่นกัน
__________________________
หลายวันผ่านไป
คังเยนารู้สึกเหมือนมีใครคอยจ้องเธออยู่ตลอดหลายวันที่ผ่านมา หญิงสาวเหลือบไปเห็นคังยูรีที่กำลังเดินเข้าห้องสมุดมาก็รีบวิ่งเข้าไปหาในทันที เธอกระซิบบอกต่อคังยูรีว่าเหมือนมีใครบางคนแอบมองเธออยู่
“เธอคิดไปเองหรือเปล่า ฉันไม่เห็นจะมีใครสักคน” คังยูรีรีบตอบกลับ เธอรู้ดีว่าคนที่คอยตามคังเยนาอยู่คือจองวาน เพราะในตอนนี้เธอก็ยังเห็นชายหนุ่มยืนอยู่ข้างๆ คังเยนาอีกด้วย
“แต่ฉันไม่ได้รู้สึกไปเองนะ”
“เธอจะกลัวทำไม เธอลืมไปแล้วเหรอว่าเธอก็เป็นแค่วิญญาณเหมือนกัน”
“แต่ฉันก็ยังไม่ตาย ความรู้สึก ความนึกคิดฉันก็ยังเป็นคนเหมือนกับเธอนั่นแหละ”
คังยูรีหลุดขำด้วยความเอ็นดูในท่าทีของหญิงสาว แต่เธอก็รู้สึกแปลกใจอยู่มาก ทั้งๆ ที่คังเยนาก็เป็นดวงวิญญาณเหมือนกับจองวาน เหตุใดคังเยนาถึงมองไม่เห็นชายหนุ่ม
ระหว่างที่คังยูรียืนนึกอยู่นั้นก็มีชายหนุ่มบางคนเดินตรงเข้ามาหาเธอ ก่อนจะยิ้มหวานให้และกล่าวทักทายเธออย่างเป็นมิตร
“ยูรีใช่มั้ย”
“ค่ะ มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“พี่เห็นเธอมาห้องสมุดบ่อยๆ คงจะชอบอ่านหนังสือสินะ”
“ก็…คงแบบนั้นมั้งคะ รุ่นพี่มีอะไรกับฉันหรือเปล่า”
“เปล่า พี่แค่อยากรู้จักเธอน่ะ พี่ชื่อแทอีนะ”
กล่าวจบชายหนุ่มก็เดินจากเด็กสาวไป คังยูรีมองตามชายหนุ่มดังกล่าวด้วยความสงสัย อยู่ๆ ก็เข้ามาแนะนำตัวเองกับเธอ แถมยังพูดอะไรแปลกๆ กับเธออีก ท่าทางพิลึกคนนัก
“เขาชอบเธอไง” คังเยนาเอ่ยขึ้น การแสดงออกของชายดังกล่าวค่อนข้างชัดเจนขนาดนั้น
“ชอบฉันเหรอ เธอดูสิ คนอย่างฉันจะมีอะไรให้เขาชอบ” คังยูรีหลุดขำ ถ้าบอกว่าชอบพี่สาวของเธออย่างชินซูฮวาค่อยน่าเชื่อหน่อย
“ทำไมล่ะ เธอก็สวยนะ ถึงสวยน้อยกว่าฉันหน่อยแต่ก็ถือว่าสวย เธอลองคุยกับเขาดูก็ไม่ได้เสียหายนี่ เป็นฉันหล่อขนาดนี้ฉันไม่ปล่อยไปหรอก”
“งั้นเธอก็ชอบเองสิ”
“รอฉันกลับเข้าร่างก่อน รับรองฉันจะตามจีบเขาแน่ถ้าเธอไม่เอา เออ..ฉันก็ไม่เคยถามเธอเลย ว่าแต่เธอมีแฟนหรือยังอ่ะ เพราะวันๆ ฉันเห็นแต่เธอขลุกอยู่ในห้องสมุดกับฉัน หรือไม่วันหยุดก็ออกไปเที่ยวกับเพื่อนซี้ของเธอ”
คำถามของคังเยนาทำให้เด็กสาวคิดถึงนัมจีโฮขึ้นมาทันที ความทรงจำที่มีร่วมกับชายหนุ่มก็ผุดขึ้นมา คังยูรีเลื่อนมือขึ้นมาลูบไล้ที่ต้นคอตัวเองเพื่อสัมผัสสร้อยคอที่ชายหนุ่มเคยให้ และนั่นจึงทำให้เธอรู้ตัวว่าไม่ได้สวมสร้อยดังกล่าวไว้
“เราไม่ได้ใส่สร้อยไว้หรอกเหรอ”
“เธอว่าไงนะ”
“อ่อ…เปล่าไม่มีอะไร เธอถามว่าฉันมีแฟนหรือเปล่าใช่มั้ย ก็วันๆ ฉันอยู่แต่กับเธอไงถึงไม่มีใครมาจีบ ผู้ชายพวกนั้นคงเห็นฉันคุยคนเดียวเลยกลัวกันหมดแล้วมั้ง”
“อย่างน้อยตอนนี้ก็มีแล้วหนึ่งคนไง เอาเลยยูรี งานดีแบบนี้ไม่เอาน่าเสียดายแย่”
“เลิกพูดถึงเรื่องนี้เถอะ ขืนเธอพูดมากฉันจะไม่มาที่นี่แล้วนะ ปล่อยให้เธอเหงาอยู่ที่นี่คนเดียวไปเลย”
“ก็ได้ๆ ไม่พูดแล้ว”
ทั้งคู่พูดคุยหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน แต่ดูเหมือนจะมีผู้ชายสองคนที่ยืนมองทั้งคู่ด้วยสีหน้าเรียบตึง ก่อนจะละสายตานั้นออกจากหญิงสาวทั้งสองแล้วหันมาจ้องกันเอง
“ทำไมนายถึงไม่อยากให้เยนาเห็นล่ะ นี่อาจจะเป็นโอกาสเดียวที่ทำให้เธอได้เจอนายก็ได้นะ นายเองก็รู้ถ้าวันหนึ่งเยนาฟื้นขึ้นมาเธอจะจำอะไรในโลกวิญญาณไม่ได้”
“แล้วจะให้ผมเจอเธอในฐานะอะไร ฐานะคนหรือฐานะผีล่ะ”
“สำคัญด้วยเหรอ ยังไงเยนาก็จำนายไม่ได้อยู่ดี บางทีถ้านายปรากฏตัวให้เธอเห็นมันอาจจะช่วยฟื้นความทรงจำเธอได้บ้าง มันน่าจะเป็นเรื่องดีต่อเธอไม่ใช่เหรอ”
“แต่เมื่อไหร่ที่เธอจำผมได้ เธอก็จะรู้ว่าผมตายไปจากเธอแล้ว ผมไม่อยากเห็นเธอเสียใจ”
“นายลองเก็บไปคิดดู เสียบางอย่างเพื่อให้ได้บางอย่างที่คุ้มค่ากว่า นายจะเลือกแบบไหน” ชาฮีจูตบไปที่บ่าของชายหนุ่มเล็กน้อยเพื่อตอกย้ำให้ชายหนุ่มไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน เพราะถ้ามันเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยคังเยนาได้ เขาก็อยากให้จองวานได้ลองดู
ในช่วงเปลี่ยนคาบเรียน คังยูรีออกมานอกอาคารเรียนตรงไปยังตู้กดเครื่องดื่ม เด็กสาวยืนเหม่อจิตใจล่องลอยกว่าจะรู้สึกตัวก็มีกระป๋องเย็นๆ มาสัมผัสที่แก้มของเธอ เด็กสาวสะดุ้งเล็กน้อยกับความเย็นที่ได้สัมผัสผ่านแก้มนั้น
“ใจเลยคิดอะไรอยู่เหรอ”
“รุ่นพี่” คังยูรียิ้มกระอักกระอ่วนทักทายชายหนุ่มผู้เป็นรุ่นพี่ เธอจำได้แม่นว่าชายดังกล่าวคือแทอี คนที่ทักเธอตอนอยู่ในห้องสมุดนั่นเอง
“จำพี่ได้แบบนี้ แปลว่าพี่มีความหวังใช่มั้ย”
“ความหวังอะไรคะ” คังยูรีเลิกคิ้วสงสัย พร้อมกระดกน้ำผลไม้จากกระป๋อง
“ความหวังที่จะจีบเธอนะสิ”
ไม่ทันได้กลืนน้ำก็สำลักออกมาเสียแล้ว คังยูรีรีบใช้มือเช็ดปากเพื่อลบคราบน้ำผลไม้ที่สำลักออกเมื่อสักครู่ จนทำให้ชายที่ยืนอยู่หลุดหัวเราะออกมาด้วยความเอ็นดู ท่าทางเงอะงะของคังยูรีทำให้แทอีชอบใจอยู่ไม่น้อย
“ฉันว่าฉันขึ้นไปเรียนดีกว่า” คังยูรีรีบเปลี่ยนเรื่อง เธอเริ่มอึดอัดกับการอยู่สองต่อสองกับแทอีเสียแล้ว
ระหว่างนั้นก็มีครูผู้ชายเดินมายังคนทั้งคู่พอดี ทั้งสองโดนครูดุเล็กน้อยเพราะออกมานอกห้องเรียนในช่วงเวลาแบบนี้ และนี่ก็ได้เวลาของคาบเรียนวิชาต่อไปแล้วด้วย
คังยูรีและแทอีกล่าวขอโทษผู้เป็นครูก่อนจะเดินกลับออกไป ระหว่างนั้นเองคังยูรีก็เหลือบเห็นข้อมือขวาของครูผู้ชายถูกพันด้วยผ้าสีขาวเอาไว้ ทำให้เธอฉุกคิดถึงคำพูดของจองวานขึ้นมา บางทีการที่พันผ้าไว้ตรงข้อมือขวาอาจจะต้องการปกปิดอะไรบางอย่างไว้ก็ได้
“รุ่นพี่คะ นั่นครูจางที่สอนพละห้องรุ่นพี่ใช่มั้ย” เด็กสาวเอ่ยถามชายหนุ่มขณะเดินเคียงเพื่อกลับยังห้องเรียน
“ใช่ พึ่งย้ายมาสอนเทอมนี้เอง เห็นว่าถูกย้ายเพราะใช้ความรุนแรงที่โรงเรียนเก่าน่ะ พวกนักเรียนผู้หญิงเลยกลัวครูจางกันทั้งนั้น แต่พี่ว่าครูจางไม่ได้น่ากลัวอะไรเลยสักนิด”
สักครู่แทอีก็เดินมาส่งคังยูรีถึงหน้าห้องเรียนของเธอ พอเด็กสาวเดินมาถึงโต๊ะเรียนก็ถูกซองนาอึนเอ่ยเย้าหยอกในทันทีเมื่อเห็นรุ่นพี่สุดหล่อเดินมาส่งถึงประตูหน้าห้องเรียน
“เธอไปรู้จักพี่แทอีตอนไหน”
“ก็พึ่งรู้จักน่ะ ทำไม มันแปลกมากเหรอ”
“แปลกสิ ส่วนมากมีแต่พวกผู้หญิงเป็นฝ่ายเข้าหาพี่เขา แต่พี่เขากลับสนใจเธอและเดินมาส่งเธอถึงห้องเรียนแบบนี้ ระวังตัวไว้นะยูรี เธอกำลังมีศัตรูกับพวกผู้หญิงอีกหลายคนเลย หนึ่งในนั้นก็ยัยโซราไง ยัยนั่นจ้องจะหาเรื่องเธออยู่แล้วด้วย”
“ฉันว่ายัยนั่นไม่กล้าหรอก ขืนทำอะไรเธอคงได้โดนพี่สาวเธอแหกอกเอาแน่” โดแดอุนเอ่ยเสริมขึ้นบ้าง
“นี่ฉันต้องมาพัวพันเรื่องแบบนี้อีกแล้วเหรอ” คังยูรีหน้าหงิกงอ เมื่อนึกย้อนกลับไปช่วงเหตุการณ์สมัยที่เรียนอยู่โรงเรียนเก่า
“ทำไม เธอกลัวเหรอ ไม่ต้องกลัวหรอกน่า ถ้ามีคนกล้าทำร้ายเธอเดี๋ยวฉันรีบวิ่งแจ้นไปบอกพี่ซูฮวาให้เอง”
“เปล่า ฉันไม่ได้กลัว ว่าแต่…พวกเธอรู้จักครูจางที่สอนคาบพละพวกม.6มั้ย” คังยูรีหันไปถามเพื่อนทั้งสองด้วยความอยากรู้ แววตาของเธอดูจริงจังเป็นอย่างมาก
“ก็พอรู้จัก มีข่าวลือว่าครูจางเป็นพวกชอบทารุณเด็กนักเรียนด้วยนะ ไม่ค่อยมีใครอยากสุงสิงด้วยหรอก เธอถามทำไมอ่ะ หรือครูจางทำอะไรเธอ” ซองนาอึนรีบถามกลับด้วยความเป็นห่วง
“ครูไม่ได้ทำอะไรฉัน ฉันแค่มีบางเรื่องอยากจะถามครูจางแค่นั้นเอง แต่ถ้าสุ่มสี่สุ่มห้าไปถามมันก็ดูยังไงไม่รู้”
“พี่สาวเธอก็เรียนกับครูจางนะ ลองให้พี่สาวเธอช่วยสิ”
“ช่างเถอะ ฉันพูดไปงั้นๆ แหละ”
คังยูรีเอ่ยตัดบท เธอไม่อยากจะเอาชินซูฮวามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เพราะในอนาคตเธอไม่รู้ว่าจะมีเรื่องอันตรายอะไรเกิดขึ้นกับเธอบ้าง ถ้าให้ชินซูฮวามาเกี่ยวข้องก็กลัวจะไม่ปลอดภัย เรื่องนี้มันไม่ใช่แค่เรื่องของคนปกติทั่วไป มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณที่ชินซูฮวาเองก็คงทำใจเชื่อเรื่องเหนือจินตนาการนี้ไม่ได้เช่นกัน
ระหว่างฉุกคิดอยู่นั้นเด็กสาวก็นึกถึงแทอีขึ้นมา เธอเองก็ลืมไปซะสนิทว่าชายหนุ่มก็เรียนกับครูจางเหมือนกัน บางทีเธออาจเข้าหาครูจางผ่านแทอีก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไร
หลังหมดคาบเรียนสุดท้ายในช่วงเช้า คังยูรีก็รีบวิ่งออกจากห้องเรียนเพื่อมุ่งหน้าไปยังห้องเรียนของแทอีทันทีเพื่อสอบถามข้อมูลจากชายหนุ่มเรื่องของครูจาง
ไม่ทันได้วิ่งไปถึงไหนก็ถูกชาฮีจูยืนดักเอาไว้ได้ก่อน ชายหนุ่มยืนกอดอกจ้องหน้าคังยูรีด้วยท่าทีเคร่งขรึม เพราะรู้ว่าเด็กสาวกำลังจะทำอะไรอยู่
“ปกติพักเที่ยงเธอก็รีบวิ่งแจ้นไปหาเยนาไม่ใช่เหรอ แต่ทำไมทิศทางมันเปลี่ยนไปล่ะ ดูเหมือนว่าทางที่เธอไปมันไม่ใช่ห้องสมุดนะ”
“ฉันจะไปโรงอาหาร เที่ยงแล้วฉันต้องไปกินข้าวสิ คุณก็ถามแปลกๆ” เด็กสาวสวนกลับ
“แล้วหนุ่มแว่นกับเพื่อนสาวจอมจุ้นของเธอล่ะ ไม่ไปกินข้าวกับเธอด้วยเหรอ” ชายหนุ่มยักคิ้วอย่างรู้ทัน
“ก็…ฉันมีบางอย่างต้องไปทำน่ะ ค่อยคุยกันได้มั้ย”
คังยูรีบ่ายเบี่ยงที่จะตอบ เธอไม่อยากเสียเวลากับชาฮีจูมากกว่านี้ แต่ไม่ทันจะได้ก้าวเท้าออกก็ถูกชายหนุ่มเอ่ยดักขึ้นมาอีกครั้ง
“เธอไม่อยากรู้จักเพื่อนใหม่ของเยนาเหรอ”
“เพื่อนใหม่ของเยนา? เยนาจะมีเพื่อนได้ยังไง”
“ถ้าอยากรู้ เธอก็ตามไปดูที่ห้องสมุดสิ”
“อย่าบอกนะว่าเพื่อนใหม่ของเยนาไม่ใช่คน” แค่คิดว่าไม่ใช่คนก็ทำให้คังยูรีเบิกตาโต เพราะคนที่เป็นเพื่อนคังเยนาได้คงไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปอย่างแน่นอน
“เธอมาทำอะไรอยู่ตรงนี้ แล้วนี่คุยกับใคร” ชินซูฮวาที่เดินผ่านมาพอดีเห็นคังยูรียืนอยู่คนเดียวแถมยังมีท่าทีแปลกๆ ก็อดเข้ามาทักไม่ได้
“ฉันแค่ยืนคิดอะไรเรื่อยเปื่อยค่ะ แล้วนี่พี่จะไปโรงอาหารเหรอคะ”
“ฉันมาหาเธอนั่นแหละ เดี๋ยวนี้ได้ข่าวมีหนุ่มมาจีบเหรอ”
“ใครบอกพี่คะ เปล่าสักหน่อย”
“มีอยู่คนหนึ่งน่ะ” เสียงชาฮีจู่เอ่ยแทรกขึ้น
“หยุดพูดเลยนะ!” คังยูรีตวาดใส่ชาฮีจูที่ยืนอยู่ข้างๆ ชินซูฮวา
“นี่ ฉันถามดีๆ ทำไมเธอต้องตะคอกใส่ด้วย”
“ฉันไม่ได้ว่าพี่สักหน่อย” คังยูรีรีบแก้ตัว
“ก็ตรงนี้มีแค่ฉันกับเธอ ถ้าเธอไม่ตะคอกใส่ฉันแล้วตะคอกใส่ผีหรือไง”
ชินซูฮวาชะงักกับคำพูดของตัวเอง เธอก็เกือบลืมไปว่าคังยูรีเคยบอกกับเธอเอาไว้ว่าสามารถคุยกับวิญญาณได้ ถ้าคังยูรียืนกรานว่าไม่ได้ตะคอกใส่เธอ หรือว่าจะสื่อสารกับวิญญาณอย่างที่เคยบอกไว้ ชินซูฮวากลอกตาไปมามองรอบๆ ตัว ทำไมจู่ๆบรรยากาศในตอนนี้ดูวังเวงอย่างบอกไม่ถูก
ชาฮีจูจ้องไปที่ชินซูฮวาอย่างพอใจ ท่าทางหวาดกลัวของหญิงสาวดูน่ารักน่าเอ็นดูอยู่ไม่น้อย คังยูรีเองเมื่อเห็นว่าผู้เป็นพี่สาวเกิดอาการหวาดกลัวก็รีบเดินเข้าไปหาด้วยความกังวล
“พี่ซูฮวา พี่เป็นอะไรมั้ย”
“ไม่เป็นไร งั้นฉันไปกินข้าวก่อนแล้วกัน” ชินซูฮวารีบตอบกลับก่อนจะจ้ำอ้าวเดินจากเด็กสาวไป
คังยูรีหันมาทำตาดุใส่ชายหนุ่มที่ยืนยิ้มอยู่ เธอไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่ที่ชาฮีจูดูพอใจกับเรื่องนี้ ไหนจะเรื่องที่เขาพูดแทรกตอนที่เธอกับชินซูฮวาคุยกันอีก เป็นเพราะเขาเลยทำให้ผู้เป็นพี่สาวของเธอดูหวาดกลัวขนาดนั้น
“สนุกมากเหรอได้แกล้งฉัน คุณกำลังทำให้พี่สาวฉันกลัวนะ เธอยิ่งมองว่าฉันแปลกอยู่ด้วย เพราะคุณเลยทำให้ฉันดูแปลกมากกว่าเดิมไปอีก”
คังยูรีค้อนใส่ชายหนุ่ม เธอไม่พอใจจริงๆ ที่ชาฮีจูทำให้เธอดูแปลกประหลาดในสายตาชินซูฮวา การที่เขาทำแบบนี้อาจจะทำให้ชินซูฮวาเกิดความรู้สึกกลัวเวลาอยู่กับเธอก็เป็นได้ เด็กสาวจ้องไปที่ชายหนุ่มด้วยความน้อยใจ ก่อนจะสะบัดหน้าเดินหนีออกไปใสที่สุด และดูเหมือนชาฮีจูจะรู้สึกผิดขึ้นมาเสียแล้วเมื่อเห็นท่าทีบึ้งตึงของคังยูรีที่แสดงออกมา
คังยูรีเดินไปแอบอยู่หลังอาคารห้องสมุด เด็กสาวนั่งยองก้มหน้าพิงผนังอาคาร บางทีเธอก็รู้สึกเหนื่อยกับแต่ละวันที่ต้องพบเจอ ไม่ใช่มีแค่สายตาชินซูฮวาเท่านั้นที่มองเธอว่าแปลก แต่ยังมีอีกหลายคนที่คิดแบบนั้น ไม่ว่าจะตอนที่เธอคุยกับคังเยนา หรือจะเป็นตอนที่คุยกับชาฮีจูก็ตาม
บางครั้งคังยูรีก็ไม่ได้อยากจะสนใจอะไรมาก ใครจะคิดแบบไหนเธอก็ไม่ได้รู้สึกอะไร แต่พอมาเป็นชินซูฮวาที่เป็นคนในครอบครัวของเธอเองมันเลยทำให้เธอเริ่มรู้สึกคิดมากขึ้นมา แล้วถ้าวันหนึ่งซองนาอึนและโดแดมุนเพื่อนสนิทของเธอรู้เรื่องนี้ด้วย แล้วพวกเขาจะตีตัวออกห่างจากเธอมั้ย ถึงปากจะบอกว่าไม่แคร์แต่เอาเข้าจริงเธอก็แคร์ความรู้สึกของคนเหล่านั้นอยู่ดี
“ออกไปเลยนะ ฉันไม่อยากคุยกับคุณตอนนี้”
คังยูรีตะคอกใส่คนที่กำลังเดินตรงมาหาเธอ เพราะเธอเข้าใจว่านั่นเป็นชาฮีจู เวลานี้เด็กสาวไม่อยากคุยอะไรกับชายหนุ่มทั้งนั้น หนำซ้ำตอนนี้เธอรู้สึกได้ว่าคนผู้นั้นกำลังเดินใกล้เธอเข้ามาเรื่อยๆ พอเด็กสาวเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นเงาดำขมึงทึงกำลังจ้องเขม็งมาที่เธออย่างเกรี้ยวกราด
“คุณเป็นใคร!”
คังยูรีอุทานออกมาด้วยความหวาดกลัว ชายผิวดำร่างสูงใหญ่อยู่ตรงหน้าเธอช่างน่ากลัวยิ่งนัก นัยน์ตาดำกลมโตนั้นดูสยดสยองอยู่ไม่น้อย แถมยังมีกลุ่มหมอกดำรายล้อมอยู่รอบๆ ตัวอีก ยิ่งจ้องก็ยิ่งขนลุก
คังยูรีค่อยๆ เดินก้าวถอยหลัง แต่ชายร่างขมึงทึงนั้นก็เดินเข้าหาเธอเช่นกัน เด็กสาวไม่มีทางที่หลบหลีกเพราะข้างหลังเป็นผนังอาคาร ในที่สุดเธอถูกต้อนให้เดินเข้าไปชิดติดผนังอาคารอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
คังยูรีข่มตาปิดด้วยความหวาดกลัว แม้แต่จะตะโกนร้องเรียกให้คนมาช่วยเธอก็ยังทำไม่ได้ ราวกับว่าถูกมนต์สะกดไม่ให้เคลื่อนไหวทุกส่วนของร่างกาย สิ่งที่เธอทำได้ในตอนนี้แค่ตะโกนเรียกชาฮีจูในใจ ชายหนุ่มที่เธอคิดถึงมากที่สุดตอนนี้
“ชาฮีจู!”
สิ้นเสียงความในใจนั้น ดูเหมือนว่าทุกอย่างก็กลับมาอยู่ในสถานการณ์ปกติ คังยูรีรู้สึกได้ว่าเป็นเช่นนั้น เด็กสาวค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา เมื่อเห็นชาฮีจูยืนอยู่ตรงหน้าก็รีบปรี่เข้าไปกอดชายหนุ่มเอาไว้แนบแน่น แค่มีชาฮีจูอยู่ด้วยก็รู้สึกได้ถึงความปลอดภัย
ชาฮีจูได้แต่ยืนอึ้งและนิ่งเงียบให้คังยูรีกอดเอาไว้แบบนั้น ชายหนุ่มไม่รู้ว่าเด็กสาวเป็นอะไร เขาแค่ได้ยินเสียงตะโกนเรียกจากเธอเลยรีบมาหาเธอเท่านั้น พอมาถึงก็เห็นว่าเธอยืนหลับตาพิงผนังอาคารไว้อยู่แล้ว นอกจากนั้นก็ไม่มีเรื่องผิดปกติอะไรเกิดขึ้น ถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่ชาฮีจูก็สัมผัสได้ถึงความตื่นตระหนกของคังยูรี เนื้อตัวของเธอในตอนนี้สั่นไปหมด