นิยายรักแฟนตาซีดรามา ที่เล่าเรื่องของชายหนุ่มที่ทำหน้าที่ผู้ส่งสารระหว่างคนเป็นและคนตาย แต่ต้องเข้ามาพัวพันกับหญิงสาวสองคนโดยที่ไม่เคยรู้เบื้องลึกมาว่าแท้จริงแล้วทั้งสามคนนั้นเกี่ยวข้องกันมาก่อน
แฟนตาซี,ลึกลับ,ระทึกขวัญ,เกาหลี,รัก,อาคม,รักสามเศร้า,รักข้ามภพ,ลึกลับ,ดราม่า,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
The Promised พรากสัญญานิยายรักแฟนตาซีดรามา ที่เล่าเรื่องของชายหนุ่มที่ทำหน้าที่ผู้ส่งสารระหว่างคนเป็นและคนตาย แต่ต้องเข้ามาพัวพันกับหญิงสาวสองคนโดยที่ไม่เคยรู้เบื้องลึกมาว่าแท้จริงแล้วทั้งสามคนนั้นเกี่ยวข้องกันมาก่อน
The Promised พรากสัญญา
หลายวันผ่านไป
คังยูรีเดินทางมาโรงเรียนตั้งแต่เช้ามืดเหมือนเช่นทุกวัน เด็กสาวเดินทางมาถึงโรงเรียนก็ตรงไปยังห้องสมุดเพื่อไปหาคังเยนาในทันที ดูเหมือนว่าการมาหาคังเยนาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเธอไปแล้ว
“เยนาฉันมีเรื่องสงสัยน่ะ เธอเคยรู้สึกหิวบ้างมั้ย” คังยูรีเอ่ยถามเพราะความอยากรู้ เธอเองก็สงสัยเรื่องนี้มานานแล้วเหมือนกัน
“ก็มีนะ บางทีรู้สึกหิวมากเหมือนวันทั้งวันไม่ได้กินอะไรเลย แต่บางทีก็รู้สึกอิ่มไปเฉยๆ อย่างงั้น”
“พวกวิญญาณนี่มีเรื่องแปลกๆ ทั้งนั้นเลยเนาะ ไม่ต้องกินอะไรก็ยังอิ่มได้”
“นี่!คังยูรี ถ้าจะพูดให้ถูกฉันก็แค่ดวงจิตที่ออกจากร่าง ส่วนที่เรียกว่าวิญญาณมักจะใช้กับคนที่ตายไปแล้วไม่ใช่เหรอ ฉันยังไม่ตายสักหน่อย”
“มันก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ แล้วนอกจากชื่อตัวเองเธอจำอะไรได้อีกมั้ย แบบว่าทำไมเธอต้องมาติดอยู่ที่นี่ออกไปไหนไม่ได้อะไรอย่างนี้”
“นั่นสิ ฉันก็สงสัยเหมือนกันว่าทำไมฉันต้องมาติดอยู่ที่นี่ แล้วทำไมชาฮีจูถึงหาร่างฉันไม่พบ ตอนแรกฉันก็คิดว่าตัวเองอาจจะเกิดอุบัติเหตุแล้วกำลังนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลไหนสักที่ แต่ชาฮีจูก็ไปหาดูทั่วโรงพยาบาลแล้วก็บอกไม่มี ปกติถ้าฉันหายตัวไปอย่างน้อยพ่อกับแม่ฉันต้องตามหาแล้วใช่มั้ย แต่นี่แม้แต่ใบประกาศคนหายสักใบก็ไม่มี”
“ชาฮีจูช่วยเธอมาตลอดเลยเหรอ”
“ใช่ เขาก็ช่วยเท่าที่จะช่วยได้นั่นแหละ แต่จริงๆ มันมีอีกวิธีนะที่จะรู้ว่าร่างฉันอยู่ที่ไหน”
“วิธีไหนเหรอ งั้น…ใช้วิธีนั้นได้มั้ย” คังยูรีเอ่ยถามด้วยความตื่นเต้น
“วิธีนั้นก็คือ…ฉันต้องตายจริงๆ ไงล่ะ เพราะเมื่อไหร่ที่ฉันตายชาฮีจูก็จะรู้ได้ทันทีว่าร่างฉันอยู่ที่ไหน”
“งั้น…ก็บอกลาวิธีนี้ไปเลย คนทั้งคนจะให้ตายได้ยังไง” คังยูรีเม้มปากส่ายหน้าไปมา เป็นอันรู้ว่าเธอไม่เห็นด้วยกับวิธีนี้
คังเยนาหลุดขำออกมาเมื่อเห็นท่าทีของเด็กสาว ท่าทางและคำพูดของคังยูรีน่าเอ็นดูเป็นอย่างมาก เธอรับรู้ได้ว่าคังยูรีก็เป็นกังวลเรื่องของเธอมากเช่นกัน ถ้าในชีวิตจริงมีคังยูรีเป็นเพื่อนก็คงจะดีไม่น้อย
เวลาผ่านพ้นไปสักพัก คังยูรีขอตัวกลับไปยังห้องเรียนเพื่อเตรียมเข้าเรียนในคาบแรกของวัน คังเยนาเองก็เดินมาส่งเด็กสาวที่หน้าประตูห้องสมุด
“เดี๋ยวตอนเที่ยงแวะมาใหม่นะ”
“อืม แล้วเจอกัน” คังเยนาพยักหน้ายิ้มรับพร้อมกับโบกมือลาเด็กสาวที่เพิ่งเดินออกไป
ระหว่างที่คังเยนาหมุนตัวกลับเข้ามาในห้องสมุดนั้นก็ได้ยินเสียงดังเอะอะโวยวายอยู่ด้านนอกห้องสมุด หญิงสาวรีบหันไปดูที่มาของเสียงนั้นในทันที และภาพที่เห็นนั้นคือคังยูรีกำลังโดนกลุ่มนักเรียนหญิงรุมล้อมอยู่
“ยูรี โอ๊ย! บ้าจริงออกไปก็ไม่ได้อีก”
คังเยนาเห็นกลุ่มนักเรียนหญิงเหล่านั้นกำลังหาเรื่องคังยูรีจึงเดินออกจากห้องสมุดไปด้วยความลืมตัวเลยถูกแรงดึงดูดจนร่างของเธอต้องกลับมาอยู่ที่ตำแหน่งเดิม หญิงสาวเองก็พยายามที่จะพาตัวเองออกไปข้างนอกห้องสมุดแต่ก็ทำไม่ได้ คังเยนารู้สึกกังวลและเป็นห่วงคังยูรีมากนัก
“ฉันถามไม่ได้ยินเหรอ เป็นใบ้หรือไง เดินชนฉันแล้วคิดจะหนีไปง่ายๆ งั้นเหรอ” นักเรียนหญิงคนหนึ่งตะคอกใส่หน้าคังยูรีด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“ฉันขอโทษเธอไปแล้วไง” คังยูรีตอบกลับ เธอเองก็ไม่อยากมีปัญหาเช่นกัน
ระหว่างที่ทั้งคู่เถียงกันอยู่นั้น ชินซูฮวาและเหล่าพ้องเพื่อนของเธอเดินผ่านเข้ามาพอดี เพื่อนคนหนึ่งของชินซูฮวาเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ได้สะกิดชินซูฮวาที่เดินมาด้วยกันให้รับรู้
“ซูฮวา นั่นญาติผู้น้องของเธอนี่เหมือนกำลังโดนยัยหน้าขาวนั่นเล่นงานอยู่นะ”
ชินซูฮวาหันมองตามเพื่อนสาวที่สะกิด และก็เป็นอย่างที่เพื่อนสาวเธอกล่าวไว้ เพราะดูจากสถานการณ์แล้วคังยูรีน่าจะกำลังโดนนักเรียนหญิงพวกนั้นรุมรังแกอยู่ ท่าทางของเด็กสาวกลุ่มนั้นที่เอาเรื่องคังยูรีดูจะไม่พอใจเอามากๆ
“ยัยนั่นคงไปแหย่รังแตนเข้าละมั้ง อย่าไปสนใจเลยขึ้นห้องเรียนดีกว่า”
“ซูฮวา เธอจะไม่ไปช่วยน้องสาวเธอหน่อยเหรอ ฉันได้ยินมาว่ายัยหน้าขาวนั่นชอบทำกร่างรังแกคนไปทั่วเลยนะ”
“ไม่อ่ะ ใครทำอะไรไว้ก็รับผิดชอบเองแล้วกัน ถ้าเธออยากช่วยก็เข้าไปช่วยสิ ทำไมฉันต้องเอาตัวเองเข้าไปยุ่งกับเรื่องไร้สาระแบบนั้นด้วย”
ชินซูฮวาไม่สนคำพูดของเพื่อนสาว เธอเดินออกไปโดยไม่แยแสเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้าสักนิด คังยูรีเองก็เห็นว่าชินซูฮวายืนมองเธออยู่แต่ก็ไม่ได้รู้สึกโกรธที่ชินซูฮวาไม่เดินเข้ามาช่วยเหลือ เพราะเธอรู้ดีว่าญาติผู้พี่ของเธอไม่ค่อยชอบเธอเท่าไหร่นัก
คังยูรีมัวแต่มองตามชินซูฮวาเลยโดนเด็กสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าเล่นงานโดยการผลักเธออย่างเต็มแรงจนเธอเกือบล้มลงไป คังเยานาเองก็มีท่าทีกระวนกระวายใจเป็นอย่างมากที่ทำได้แค่ยืนมองโดยที่ช่วยเหลืออะไรไม่ได้ ขืนเป็นแบบนี้คังยูรีต้องโดนพวกนักเรียนหญิงนั้นรุมรังแกเป็นแน่
คังเยนาหลับตาลง หญิงสาวตัดสินใจรวบรวมพลังจิตของตัวเองขึ้นมา ถ้าพลังจิตแกร่งกล้าขึ้นเธอก็อาจจะออกไปจากห้องสมุดและช่วยเหลือคังยูรีได้ ยังไงเธอก็อยากจะลองทำสมาธิตั้งจิตดูสักครั้ง
คังเยนาลืมตาขึ้นมา หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะก้าวเท้าออกจากห้องสมุดไป แต่ความตั้งใจก็ไม่ถึงฝั่งเพราะถูกชาฮีจูคว้าคอเสื้อของเธอเอาไว้ได้เสียก่อน
“จะทำอะไร ก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าเธอออกจากที่นี่ไม่ได้”
“ก็ไม่แน่ ตอนนี้ฉันรู้สึกว่าฉันมีพลังมากกว่าเดิมแล้ว บางทีฉันอาจจะไปช่วยยูรีได้”
“คิดไปเองทั้งนั้น เข้ามานี่เลยและอย่าคิดที่จะทำแบบนี้อีก พลังวิญญาณเธอแค่น้อยนิดแค่เดินผ่านประตูยังทำไม่ได้เลย ถ้าวิญญาณดับสลายไปจะทำยังไง”
ชายหนุ่มกระชากคอเสื้อหญิงสาวเบาๆ ให้ถอยเข้ามายังพื้นที่ในห้องสมุดตามเดิม ชายหนุ่มดุให้คังเยนาอยู่ไม่น้อยที่ทำอะไรโดยไม่คิดถึงตัวเอง
“งั้น คุณก็ไปช่วยยูรีสิ ยัยนั่นจะโดนรังแกอยู่แล้วคุณไม่เห็นเหรอ ฮีจู…คุณมีพลังมากไม่ใช่เหรอรีบไปช่วยยูรีได้มั้ย”
ชาฮีจูมองหญิงสาวตรงหน้าที่กำลังอ้อนวอนให้เขาเข้าช่วยเหลือคังยูรี ชายหนุ่มรับรู้ได้ว่าคังเยนาเป็นห่วงคังยูรีมากจริงๆ และก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะปล่อยให้คังยูรีต้องถูกรังแกด้วย
ชาฮีจูใช้พลังจิตเพ่งเล็งไปที่นักเรียนสาวที่กำลังรังแกคังยูรี เขาจ้องไปทางนั้นด้วยพลังจิตที่แน่วแน่จนทำให้นักเรียนสาวคนดังกล่าวรับรู้และสัมผัสได้
นักเรียนสาวคนดังกล่าวสัมผัสได้ถึงความพิศวงที่เกิดขึ้น ดูเหมือนว่ารอบๆ ตัวเธอจะดูเคว้งคว้างไปหมด ลมหนาวที่พัดผ่านมากระทบร่างของเธอนั้นทำให้ขนลุกซู่อย่างบอกไม่ถูก แววตาของเธอเริ่มหวาดระแวง และความรู้สึกทั้งหมดนี้เหมือนจะมีแค่เธอที่สัมผัสได้แค่คนเดียว
“ไปกันเถอะ” นักเรียนสาวยอมจำนนต่อความพิศวงนี้ เธอรีบเดินออกจากที่ตรงนี้ไปโดยไม่สนใจคังยูรีที่ยืนอยู่ตรงหน้าแล้ว เพราะถ้าเธออยู่ต่อก็ไม่รู้ว่าจะมีเรื่องขนลุกอะไรเกิดขึ้นมาอีกบ้าง
เพื่อนนักเรียนที่มาด้วยกันต่างก็สับสนกับท่าทีเพื่อนสาวของเธอ แม้แต่คังยูรีเองก็เช่นกัน เธอเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ หญิงสาวคนดังกล่าวถึงได้มีท่าทีดูหวาดกลัวมากขนาดนั้น
“เป็นอะไรของเธอนี่” คังยูรีพึมพำออกมามองตามหลังนักเรียนสาวด้วยความสงสัย ก่อนจะละสายตานั้นออกแล้วสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อหันกลับมาเจอชาฮีจูที่ยืนอยู่
คังยูรีมองชายในชุดขาวกับร่มสีแดงสุดโปรดของเขาด้วยความคิดถึง นานแล้วที่เธอไม่ได้เจอชาฮีจู พอเห็นเขาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าแบบนี้ก็รู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก
“คุณกลับมาแล้วเหรอ”
“อืม มายืนทำอะไรตรงนี้ล่ะได้เวลาเข้าเรียนแล้วไม่ใช่เหรอ”
“ก็กำลังจะไปนี่แหละ อ้อ…คุณมาก็ดีแล้ว ฉันอยากรู้ว่าทำไมคุณต้องโกหกฉันเรื่องคังเยนาด้วย เธอบอกความจริงฉันหมดแล้ว ที่คุณพูดกับฉันแบบนั้นเพราะไม่อยากให้ฉันไปอังกฤษกับพี่จีโฮใช่มั้ย”
“ใช่ ฉันยอมรับผิดก็ได้ว่าฉันโกหกเรื่องนั้นจริงๆ แต่เธอจะไปหรือไม่ไปอันนั้นเธอเป็นคนตัดสินใจเองนี่ไม่เห็นเกี่ยวกับฉันเลย”
“แต่คุณก็โกหกฉันอยู่ดี คุณรู้มั้ยว่าฉันคิดมากแค่ไหน ฉันก็กลัวว่าตัวเองจะช่วยเยนาไม่ได้เหมือนกันในเวลาที่กระชั้นชิดแบบนั้น”
“ตามจริงก็ไม่ถือว่าโกหกหรอกนะ”
“หมายความว่าไง”
“เธอก็รู้ว่าตอนนี้เยนาเป็นแค่ดวงจิตที่ออกจากร่าง ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับร่างเยนาหรือพูดง่ายๆ คือเยนา..ตาย นั่นก็เท่ากับหมดเวลาของเยนาเหมือนกัน และเรื่องนี้มันก็สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา สิ่งเดียวที่ทำได้คือเราต้องหาร่างเยนาให้เจอโดยเร็วที่สุดก่อนที่ร่างเธอจะเป็นอะไรไปก่อน หรือไม่ก็ก่อนที่เยนาจะอายุครบ18ปีบริบูรณ์ ไม่งั้นเยนาก็จะไม่สามารถกลับเข้าร่างได้อีก ตอนนั้นก็เท่ากับว่าเธอได้ตายไปจริงๆ แล้ว”
“อันนี้คือเรื่องจริงใช่มั้ย แล้วเหลือเวลาเท่าไหร่ที่เยนาจะมีอายุครบ18ปี”
“ก็…ประมาณอีก6เดือนน่ะ”
“ครั้งนี้คุณไม่ได้โกหกฉันใช่มั้ย”
“เรื่องความเป็นความตาย เธอคิดว่าฉันจะเอามาพูดเล่นเหรอ เรื่องนี้เยนาเองก็ยังไม่รู้เหมือนกัน เธออย่าพึ่งไปบอกเยนาล่ะ ฉันไม่อยากให้เยนาต้องคิดมาก” ชายหนุ่มจ้องไปที่เด็กสาวด้วยสีหน้าจริงจัง เป็นการบอกให้เธอรู้ว่าที่เขาพูดมาทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องจริง
พอมารับรู้แบบนี้ก็ยิ่งทำให้คังยูรีเป็นกังวลมากกว่าเดิม เธอเองก็คงยอมรับไม่ได้กับการต้องเห็นดวงวิญญาณของคังเยนาดับสลายไปต่อหน้าต่อตา เพราะตอนนี้เธอก็รู้สึกผูกพันกับคังเยนาแล้วเหมือนกัน ไม่ว่ายังไงเธอก็จะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยเหลือคังเยนาให้กลับคืนเข้าร่างให้จนได้
_____________________________
ช่วงค่ำของวัน
คังยูรีหลังจากทำกิจธุระส่วนตัวเรียบร้อยก็หยิบหนังสือขึ้นมาทบทวนบทเรียนที่ได้เรียนไปในวันนี้ เด็กสาวนั่งอ่านไปได้ไม่ถึงไหนก็ได้ยินเสียงเปิดประตูห้องดังขึ้น พอเห็นว่าเป็นชินซูวาก็รู้สึกกังวลขึ้นมาทันทีเพราะมันทำให้เธอนึกถึงเหตุการณ์เมื่อช่วงเช้าที่หญิงสาวทำเมินเฉยต่อเธอในขณะที่เธอกำลังถูกคนอื่นรังแกอยู่
“พี่ซูฮวามีอะไรเหรอคะ”
“นี่อะไร!”
ชินซูฮวายื่นมือถือของตัวเองให้กับคังยูรีที่นั่งอยู่ ในมือถือกำลังเล่นคลิปที่ถูกแอบถ่ายตอนคังยูรีใช้เวลาอยู่ในห้องสมุด ถ้าดูจากคลิปจะเห็นว่าคังยูรีกำลังยืนพูดอยู่คนเดียว
“คังยูรี เธอบอกฉันมาเลยนะ เธอปกติดีใช่มั้ย เธอไม่ได้เป็นบ้าใช่มั้ย”
“ทำไมพี่ถามฉันแบบนั้นล่ะ ฉันไม่ได้บ้าสักหน่อย”
“แล้วทำไมเธอถึงคุยอยู่คนเดียว ท่าทางก็ดูจริงจังด้วย เพื่อนฉันมันถ่ายมาให้ดูและตอนนี้พวกนั้นก็ล้อฉันกันหมดแล้วว่ามีน้องสาวเป็นบ้า”
“ฉัน…ฉันพูดไปพี่ก็ไม่เชื่อหรอก”
“งั้นก็ลองพูดมาก่อนสิ ฉันจะได้ตัดสินใจว่าจะเชื่อเธอได้มั้ย”
คังยูรียืดตัวตรงเดินเข้าหาชินซูฮวา เด็กสาวจ้องไปที่ชินซูฮวาด้วยแววตาที่จริงจัง เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาเพื่อรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่จะบอกความจริงให้ญาติผู้พี่ได้รับรู้
“ฉันเห็นวิญญาณค่ะ”
คำตอบของคังยูรีทำให้ชินซูฮวาดูช็อกไปในทันที หญิงสาวยืนนิ่งจ้องมาที่คังยูรีอย่างไม่ละสายตาก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะดังออกมา
“ฮ่า ฮ่า เธอบ้าจริงๆ ด้วย ใช่เธอต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ"
ชินซูฮวาเอามือกุมหน้าผากพร้อมกับเดินออกจากห้องนอนของคังยูรีไป หญิงสาวเองก็ไม่คิดว่าคังยูรีจะเอามุกตลกแบบนี้มาเล่น ยัยเด็กคนนี้ดูท่าจะกวนประสาทเธอไม่เบาเสียแล้ว
“เห็นมั้ย พอพูดเรื่องจริงพี่ก็ไม่เชื่อ”
คังยูรีหน้ามุ่ยพึมพำออกมา เธอเองก็เข้าใจดีว่าเรื่องแบบนี้ยากที่จะเชื่อได้จึงไม่แปลกใจอะไรถ้าชินซูฮวาจะมองว่าเรื่องดังกล่าวเป็นแค่เรื่องเหลวไหล
“มีอะไรเหรอลูกดูเหม่อเชียว” คังอึนจูเอ่ยทักลูกสาวเมื่อเห็นว่าเธอกำลังเดินลงมาจากบันไดด้วยท่าทีเหม่อลอย
“แม่ หลานสาวคนโปรดของแม่ปกติดีใช่มั้ย”
“ทำไมลูกถามแบบนั้นล่ะ”
“ก็ยัยเด็กนั่นบอกว่าตัวเองคุยกับวิญญาณได้ แม่ว่าปกติมั้ยล่ะ”
“ลูกหมายถึงอะไร วิญญาณที่ไหนกัน” ผู้เป็นแม่หลุดขำ
“หนูไม่ได้โกหกนะ พอดีเพื่อนหนูถ่ายคลิปยัยนั่นตอนที่พูดคนเดียวมาให้หนูดู หนูเลยไปถามว่าทำไมถึงคุยคนเดียวยัยนั่นก็บอกว่าคุยกับวิญญาณ”
“ซูฮวา แม่รู้ว่าลูกยังปรับตัวไม่ได้ที่ยูรีมาอยู่กับเรา แต่ลูกช่วยใจดีกับน้องหน่อยได้มั้ย น้องทั้งโดดเดี่ยวและอ้างว้าง เด็กอายุแค่16ต้องมาเจอเรื่องร้ายมากมายขนาดนี้ ลองคิดดูถ้าแม่ไปรับยูรีช้ากว่านี้จะเกิดอะไรขึ้นกับยูรีบ้าง ตอนนี้ยูรีไม่เหลือใครแล้ว พวกเราเป็นญาติคนเดียวของเธอที่เหลืออยู่ งั้นลูกช่วยเอ็นดูน้องหน่อยไม่ได้เหรอ”
“แม่พูดอย่างกับว่าหนูใจร้ายกับเธออย่างนั้นแหละ”
“แม่ไม่ได้หมายความแบบนั้นสักหน่อย ลูกสาวแม่ทั้งสวยทั้งใจดีทำไมแม่จะไม่รู้ แม่แค่อยากให้ลูกสาวแม่ใจดีขึ้นอีกสักนิดหนึ่งเพื่อน้องสาวแค่นั้นเอง”
“แต่แม่คะ เรื่องที่แม่พูดไม่ได้เกี่ยวกันเลยนะคะ ยัยนั่นบอกว่าคุยกับวิญญาณ ง่ายๆ คือคุยกับผี แม่เข้าใจคำว่าผีมั้ย ผีคือคนที่ตายไปแล้ว ….”
“เอาล่ะๆ แม่เข้าใจแล้ว แค่พูดคนเดียวเองคิดอะไรมากลูก ทุกคนก็เคยพูดคนเดียวกันทั้งนั้น” หญิงวัยกลางคนตบบ่าลูกสาวเล็กน้อยด้วยความเอ็นดู ก่อนจะเดินกลับไปทำกิจธุระของเธอต่อ
“หนูแหละหนึ่งที่ไม่เคยคุยคนเดียว” ชินซูฮวาตะโกนตามหลังผู้เป็นแม่
______________________
เช้าวันต่อมา
คังยูรีรีบออกจากบ้านแต่เช้าตรู่เพื่อมุ่งหน้าไปยังโรงเรียนเหมือนเช่นทุกครั้ง เด็กสาวออกมาจากบ้านก็เห็นชินซูฮวายืนอยู่และเหมือนว่าหญิงสาวกำลังจ้องมาที่เธออยู่ด้วย
“นี่ ทำไมต้องรีบไปโรงเรียนแต่เช้าขนาดนี้ด้วย กลัวโรงเรียนหายหรือไง” ชินซูฮวาตะเบ็งเสียงใส่ การตื่นเช้าสำหรับเธอไม่คุ้นชินเอาเสียเลย
“คงเป็นนิสัยส่วนตัวของฉันมั้งคะ ที่โรงเรียนเก่าฉันก็เป็นแบบนี้ แล้วพี่ล่ะมายืนทำอะไรตรงนี้คะ”
“ไม่ต้องถามหรอกจะไปโรงเรียนไม่ใช่เหรอ มาสิเดินไปด้วยกัน”
ชินซูฮวากวักมือเรียกคังยูรีให้เดินมาหาเธอ พอเห็นแบบนั้นเด็กสาวก็รีบเดินเข้าไปหาผู้เป็นพี่สาวในทันที ทั้งคู่เดินทางไปโรงเรียนด้วยกัน ระหว่างทางก็พูดคุยกันในเรื่องทั่วๆ ไป
ชินซูฮวาแค่อยากทำความรู้จักคังยูรีให้มากขึ้น อยากรู้ตัวตนของเด็กสาวให้มากกว่านี้เพราะยังไงพวกเธอทั้งสองคนก็ต้องอยู่ด้วยกันอีกนาน
“นี่ เวลามีใครมารังแกเธอก็อย่าไปยอมสิ มีมือมีเท้าเหมือนกันจะกลัวทำไม”
“พี่พูดถึงเรื่องเมื่อวานใช่มั้ย ที่ฉันยอมเพราะฉันไม่อยากมีปัญหาตามมาที่หลังมากกว่า อีกอย่างฉันพึ่งย้ายมาเรียนที่นี่ถ้าสร้างศัตรูไว้คงไม่ดีแน่”
“ถ้าการปกป้องตัวเองแล้วเรียกว่าการสร้างศัตรู ป่านนี้ฉันคงมีศัตรูเป็นร้อยแล้วมั้ง”
“เอ่อ..พี่ซูฮวา เรื่องเมื่อวานที่ฉันบอกพี่ คือ…”
“เธอไม่ต้องพูดแล้ว และก็อย่าพูดเรื่องนี้กับฉันอีก ฉันไม่ได้กลัวผีหรอกนะแค่ไม่ชอบ เอาเป็นว่าเธอจะทำอะไรก็แล้วแต่เลย แต่อย่าทำให้ฉันกับแม่เดือดร้อนก็พอ เข้าใจมั้ย”
“ฉันเข้าใจค่ะ” คังยูรียิ้มกว้างตอบรับ ดูเหมือนว่าชินซูฮวาไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เธอเคยคิดเอาไว้ วันนี้ท่าทีของหญิงสาวที่มีต่อเธอดูเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนมากนัก
ระหว่างนั้นซองนาอึนก็เดินเข้ามาทักคังยูรีเข้าพอดี ชินซูฮวาเห็นว่าคังยูรีมีเพื่อนเดินด้วยแล้วจึงเดินเลี่ยงออกไปหากลุ่มเพื่อนสาวของเธอที่เดินนำหน้าอยู่ไม่ไกลนัก
ชินซูฮวาหันหลังกลับมามองผู้เป็นน้องสาวอีกครั้ง เธอกำลังนึกถึงคำพูดของผู้เป็นแม่ที่เล่าเรื่องของคังยูรีให้ฟัง ดูเหมือนว่าชีวิตของเด็กสาวนั้นช่างน่าเห็นใจนัก ชินซูฮวาเองก็เริ่มจะโอนอ่อนให้คังยูรีบ้างแล้วเช่นกัน
“มองอะไรอยู่เหรอ” เพื่อนสาวที่ยืนอยู่ข้างๆ เอ่ยถามเมื่อเห็นชินซูฮวาเอาแต่จ้องอะไรบางอย่างอยู่
“เปล่า…ไม่มีอะไร ว่าแต่ยัยหน้าขาวที่แกล้งยูรีเมื่อวานเธอรู้จักใช่มั้ย”
“รู้สิ บ้านยัยนั่นอยู่ใกล้ๆ บ้านฉันเลย ยัยนั่นชื่อเฮราอยู่ชั้นม.5 แต่น่าจะอยู่คนละห้องกับน้องสาวเธอมั้ง ว่าแต่ถามทำไมเหรอ”
“เปล่า ก็แค่อยากรู้จักน่ะ คนอะไรหน้าขาววอกขนาดนั้นเธอว่ามั้ย”
ชินซูฮวาตอบกลับอย่างอารมณ์ดี จนเพื่อนสาวของเธอต้องหลุดขำกับคำพูดและท่าทางของเธอเช่นกัน ทั้งคู่เดินเข้าโรงเรียนไปด้วยกันและหยอกล้อกันอย่างสนุกสนานเหมือนทุกครั้งที่เคยทำ
_____________________________
คังเยนากำลังเพลิดเพลินกับหนังสือต่างๆ ที่จัดเรียงไว้บนชั้น หญิงสาวมีท่าทีร่าเริงและสดใสเป็นอย่างมากตั้งแต่มีคังยูรีก้าวเข้ามาในชีวิต
แต่จู่ๆ เรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น คังเยนารู้สึกว่าเหมือนมีใครกำลังบีบรัดคอเธออยู่ หญิงสาวรีบเอามือจับที่ต้นคอด้วยความรู้สึกเจ็บและหายใจไม่ค่อยออก คังเยนาเองก็ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่ และตอนนี้เธอเองก็ไม่สามารถต้านความเจ็บปวดได้อีกต่อไป มือบางของหญิงสาวที่จับต้นคอไว้ก็ค่อยๆ คลายลงและร่างของเธอก็ค่อยๆ ล้มลงเช่นกัน จังหวะนั้นชาฮีจูก็เข้ามาประคองร่างของเธอเอาไว้ได้พอดี
“เยนา! เยนาได้ยินฉันมั้ย คังเยนา!”
เสียงตะโกนของชาฮีจูดังกึกก้องไปทั่วห้องสมุดแต่ทว่ากลับไม่มีใครได้ยินแม้แต่คนเดียว ชาฮีจูเป็นกังวลอย่างมากเพราะเขาเองก็ไม่เคยเห็นคังเยนาเป็นแบบนี้มาก่อน
คังยูรีที่กำลังนั่งเรียนหนังสืออยู่จู่ๆ ก็รู้สึกวูบโดยไม่ทราบสาเหตุ เด็กสาวรีบเอามือทาบไว้ที่หน้าอกเพื่อสัมผัสถึงหัวใจที่เต้นแรงไม่เป็นจังหวะ เธอเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมอยู่ๆ ถึงได้รู้สึกใจสั่นและเป็นกังวลขึ้นมา