นิยายรักแฟนตาซีดรามา ที่เล่าเรื่องของชายหนุ่มที่ทำหน้าที่ผู้ส่งสารระหว่างคนเป็นและคนตาย แต่ต้องเข้ามาพัวพันกับหญิงสาวสองคนโดยที่ไม่เคยรู้เบื้องลึกมาว่าแท้จริงแล้วทั้งสามคนนั้นเกี่ยวข้องกันมาก่อน
แฟนตาซี,ลึกลับ,ระทึกขวัญ,เกาหลี,รัก,อาคม,รักสามเศร้า,รักข้ามภพ,ลึกลับ,ดราม่า,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
The Promised พรากสัญญานิยายรักแฟนตาซีดรามา ที่เล่าเรื่องของชายหนุ่มที่ทำหน้าที่ผู้ส่งสารระหว่างคนเป็นและคนตาย แต่ต้องเข้ามาพัวพันกับหญิงสาวสองคนโดยที่ไม่เคยรู้เบื้องลึกมาว่าแท้จริงแล้วทั้งสามคนนั้นเกี่ยวข้องกันมาก่อน
The Promised พรากสัญญา
หลายวันผ่านไป
จองวานที่อยู่ในนามจินยองคอยแวะเวียนมาอยู่เป็นเพื่อนคังเยนาตลอด ช่วงไหนที่เขาเงียบหายไปคือกลับไปเยี่ยมเยียนผู้เป็นแม่
ชายหนุ่มยินดีที่ได้อยู่ข้างกายผู้เป็นเพื่อนรักอีกครั้งถึงแม้จะเป็นแค่ดวงวิญญาณก็ตาม เขาตั้งใจให้เรื่องของคังเยนาคลี่คลายให้ได้ก่อนถึงจะยอมจากไปด้วยความหมดห่วง
คังเยนาจ้องใบหน้าชายหนุ่มที่กำลังยิ้มให้เธอด้วยความพอใจ เธอเองก็อยากรู้เรื่องราวของชายหนุ่มเช่นกัน ช่วงก่อนที่เขาจะหมดลมหายใจเขาเคยใช้ชีวิตเช่นไรบ้าง
“นี่! จินยอง นายมีแฟนมั้ย ฉันหมายถึงก่อนที่นายจะตายนายเคยมีแฟนหรือเปล่า”
“ฉันเหรอ คนอย่างฉันจะมีใครมาชอบ”
“ทำไมล่ะ นายก็หล่อดีนี่ แถมนิสัยก็ดีด้วย”
“ฉันคงไม่เปิดใจให้ใครมั้ง คือฉันมีคนที่ฉันชอบอยู่แล้ว แต่เป็นการชอบข้างเดียว เพราะกลัวว่าถ้าบอกไปจะทำให้ความเป็นเพื่อนของเราจบลงน่ะ ฉันไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้น ฉันอยากอยู่ข้างๆ คนที่ฉันชอบไม่ว่าจะอยู่ในสถานะไหนก็ตาม”
คังเยนามองไปที่ชายหนุ่มด้วยความสงสาร ตอนมีชีวิตอยู่ไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้สารภาพความในใจ จะมีเรื่องอะไรจะน่าเศร้าใจได้ขนาดนี้อีก
“แล้วแม่ของนายล่ะ ตอนนี้แม่นายเป็นยังไงบ้าง ท่านคงทุกข์ใจมากที่ต้องมาเสียลูกชายเพียงคนเดียวไป ไม่แปลกที่จะทำใจยอมรับไม่ได้”
“ทำไมเธอรู้เรื่องฉันกับแม่ด้วยล่ะ”
“ยูรีเล่าให้ฟังน่ะ เธอบอกว่าแม่นายไม่อาจทำใจยอมรับการจากไปของนายได้”
“ยูรีเล่าให้ฟังนี่เอง เธอไม่ต้องกังวลเรื่องฉันหรอก ยังไงฉันก็ตายไปแล้ว สักวันแม่ฉันก็คงจะทำใจได้ กังวลเรื่องเธอดีกว่า จนป่านนี้แล้วเธอยังจำอะไรไม่ได้เลยเหรอ”
“ยังเลย ทำไมฉันถึงจำอะไรไม่ได้สักที แย่จังเลยเนาะ”
คังเยนาเดินตรงไปยังหน้าต่างบานใหญ่ แววตาจับจ้องไปที่วิวที่อยู่ด้านนอกห้องสมุด ก่อนจะเหลือบมองมาที่จองวานเป็นพักๆ
_________________________
ช่วงเย็นของวัน
ชินซูฮวาและเหล่าเพื่อนสนิทของเธอออกมาเดินเที่ยวเล่นหลังเลิกเรียน หญิงสาวมักจะใช้ช่วงเวลานี้ออกมาสังสรรค์เล็กน้อยก่อนที่จะกลับบ้าน
“ซูฮวา นั่นมันยัยอารินใช่มั้ย ไหนบอกว่าย้ายไปอยู่ต่างประเทศแล้วไงทำไมเธอถึงอยู่ที่นี่ล่ะ”
เพื่อนสาวในกลุ่มคนหนึ่งชี้ไปที่หญิงสาวผมทองที่นั่งอยู่อีกโต๊ะไม่ไกลนักในคาเฟ่เดียวกันกับที่พวกเธอนั่งอยู่ ชินซูฮวากวาดสายตามองไปที่หญิงสาวคนดังกล่าวตามที่เพื่อนชี้นำ พอเห็นว่าเป็นใครก็รู้สึกตกใจขึ้นมา
ระหว่างซูฮวาและกลุ่มเพื่อนจ้องหญิงสาวดังกล่าวอยู่นั้น เหมือนว่าคนที่ถูกจ้องจะรู้ตัวเสียแล้ว เธอมองมายังกลุ่มของชินซูฮวาก่อนจะลุกจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ แล้วเดินตรงมาหากลุ่มของชินซูฮวาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“สบายดีนะซูฮวา” หญิงสาวดังกล่าวยิ้มทักทายชินซูฮวาทันทีที่เดินมาถึงตัวเธอ
“สบายดีถึงได้ใส่ชุดนักเรียนอยู่นี่ไง แล้วเธอล่ะเป็นยังไงบ้าง ออกจากโรงเรียนแล้วย้ายไปอยู่ต่างประเทศคงสบายมากกว่าฉันเลยสินะ”
“นิสัยเสียเหมือนเดิมเลยนะ ไม่เจอกันเกือบปีนึกว่าจะเปลี่ยนนิสัยแล้วซะอีก”
“เลิกพูดไร้สาระสักที เธอกลับมาทำไม” ชินซูฮวาเบื่อหน่ายที่จะต่อล้อต่อเถียง เธอรู้ดีว่าหญิงสาวตรงหน้าไม่ได้มาอย่างเป็นมิตร
“บอกเธอตอนนี้ก็ไม่สนุกสิ” หญิงสาวคนดังกล่าวหัวเราะร่าอย่างพอใจ เธอแสยะยิ้มให้ชินซูฮวาอีกครั้งก่อนจะผิวปากแล้วเดินออกจากคาเฟ่ไปในที่สุด
“ยัยนั่นน่ากลัวชะมัด เธอระวังตัวไว้หน่อยก็ดีนะซูฮวา” เพื่อนสาวในกลุ่มคนหนึ่งเอ่ยเตือนขึ้นมาเมื่อเห็นท่าทีมั่นใจของหญิงสาวคนดังกล่าว
อาริน เด็กสาววัย18ปีที่ย้ายไปอยู่ต่างประเทศระหว่างเรียนอยู่ชั้นม.5 เธอกับชินซูฮวามีเรื่องบาดหมางกันอย่างรุนแรงเมื่อครั้งเรียนอยู่ด้วยกัน โดยผู้ที่พ่ายแพ้ย่อยยับเป็นเธอในเวลานั้น
เมื่อก่อนอารินเป็นเด็กสาวที่น่ารักสดใสแต่มีนิสัยไม่ชอบสุงสิงกับใคร เธอเลยไม่ได้เป็นจุดสนใจของเหล่านักเรียนด้วยกันเท่าไหร่ และเธอก็พอใจมากที่ทุกคนทำเหมือนว่าเธอไม่มีตัวตนอยู่ในโรงเรียน เพราะนั่นมันทำให้เธอมีความสุขกับการได้อยู่กับตัวเองโดยไม่ต้องสนใจใคร
แต่แล้วความสดใสของเธอก็ถูกพรากไปเมื่อเธอกลายมาเป็นเรื่องสนุกของชินซูฮวา ผู้หญิงที่ตัวคนเดียวและอ่อนต่อโลกอย่างเธอจะสู้เด็กสาวที่มั่นใจในตัวเองมีผู้คนรักใคร่อย่างชินซูฮวาได้ยังไง การกลับมาของเธอก็แค่อยากเอาคืนชินซูฮวาเท่านั้น เธออยากให้ชินซูฮวาได้ลิ้มรสความอับอายและความเจ็บปวดที่เธอเคยได้รับ
___________________
ช่วงค่ำของวัน
คังเยนายืนอยู่ที่ริมหน้าต่างของห้องสมุดกำลังทอดสายตาไปยังนอกหน้าต่างด้วยใจที่จดจ่อ เธอไม่ได้สนใจวิวที่อยู่นอกหน้าต่างนั้นสักนิด เธอแค่กำลังใช้ความคิดเรื่องบางอย่างอยู่
“คิดอะไรอยู่เหรอ”
ชาฮีจูเดินมายืนข้างหญิงสาวเอ่ยถามด้วยความอยากรู้ เขาสังเกตเห็นว่าช่วงหลายวันที่ผ่านมาคังเยนาไม่ค่อยสดใสและร่าเริงเท่าไหร่ พอเห็นแบบนี้เลยทำให้ชายหนุ่มอดกังวลไม่ได้
“ชาฮีจู คุณว่า…ถ้าฉันฟื้นขึ้นมามีชีวิตอีกครั้งมันจะทำให้ฉันมีความสุขมั้ย ฉันมีค่าพอที่จะได้ใช้ชีวิตต่อไปจริงๆ เหรอ”
“ทำไมคิดอะไรแย่ๆ แบบนี้อีกแล้ว คนที่ทำเพื่อเธอเขาจะหมดกำลังใจเอาได้นะ”
“ฉันไม่รู้ว่าฉันมีค่าพอให้คนอื่นช่วยมั้ย มันจะคุ้มค่ากับที่เสียไปหรือเปล่า”
“ฉันว่าเธอคงเหงามากสินะถึงพูดอะไรเรื่อยเปื่อยแบบนี้ ทำไม เดี๋ยวนี้ยูรีไม่ค่อยมาหาเธอเหรอ หรือเพราะหนุ่มนักเรียนเพื่อนใหม่ของเธอไม่อยู่ถึงเพ้อเจ้อแบบนี้”
“ฉันไม่ได้เหงาสักหน่อย คุณไม่เห็นเหรอฉันมีเพื่อนตั้งเยอะแยะถึงพวกเขาจะมองไม่เห็นฉันก็ตามเถอะ ว่าแต่…คุณไม่เป็นห่วงยูรีบ้างเหรอ เดี๋ยวนี้ยัยนั่นไปไหนมาไหนกับคนชื่อแทอีตลอดเลยนะ”
“ก็เธอพึ่งบอกไปว่ายัยนั่นมีคนอยู่ด้วยตลอดแล้วฉันจะเป็นห่วงทำไม ยูรีเองก็ควรมีเวลาเป็นของตัวเองบ้าง ให้มาติดอยู่กับพวกเราแบบนี้ตลอดมันก็ไม่ได้หรอกนะ”
"แล้วทำไมต้องทำหน้าเศร้าด้วย ปากบอกไม่ห่วงโกหกกันชัดๆ แล้วนี่โกรธอะไรกันหรือเปล่า เวลาที่ฉันพูดถึงคุณทีไรยูรีก็บ่ายเบี่ยงไปเรื่องอื่นทุกที”
“เปล่านี่ ฉันกับยูรีมีเรื่องอะไรต้องโกรธกันด้วย”
“ไม่ได้ทะเลาะกันก็ดี”
ชาฮีจูรู้ดีว่าคังยูรีไม่พอใจเรื่องของจองวาน เธอกลัวว่าถ้าคังเยนารู้ว่าจองวานเสียชีวิตแล้วจะทำให้เธอเสียใจมาก และอีกเรื่องที่ทำให้เด็กสาวขุ่นเคืองก็คงจะเป็นเรื่องที่เขาปรากฏตัวให้ชินซูฮวาเห็น เพราะเธอไม่อยากให้ชินซูฮวาต้องมาเกี่ยวข้องเรื่องพวกนี้ด้วย
ระหว่างทั้งสองคุยกันอยู่นั้น สักครู่คังเยนาก็รู้สึกวูบขึ้นมา หญิงสาวรีบใช่มือกดไปที่อกข้างซ้ายทันที เธอรู้สึกเจ็บไปที่หัวใจอย่างบอกไม่ถูก
“เยนาเป็นอะไร?” ชาฮีจูรีบเข้าไปประคองหญิงสาวไว้เมื่อเห็นว่าเธอกำลังล้มลงกับพื้น
“รู้สึกแบบนี้อีกแล้ว ทำไมเดี๋ยวนี้ถึงเป็นบ่อยจังเลย”
ระหว่างที่คังเยนาอยู่ในอ้อมแขนของชาฮีจูนั้น เธอก็สัมผัสได้ถึงพลังบางอย่าง หญิงสาวรีบหันไปทางประตูห้องสมุดซึ่งกำลังมีนักเรียนมากมายทยอยเดินออกจากห้องสมุดดังกล่าว
“ชาฮีจู! เขา เขาอยู่นั่น” คังเยนาตะโกนพร้อมกับชี้ไปทางประตูทางเข้า เธอรู้สึกได้ว่าในกลุ่มคนนั้นมีบางคนที่เกี่ยวข้องกับเธอ เธอถึงได้รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา
“เธอรออยู่นี่นะเดี๋ยวฉันมา”
ชาฮีจูพาคังเยนามานั่งพิงตรงกำแพงห้องก่อนที่เขาจะหายตัวออกไปอยู่บริเวณหน้าห้องสมุด ชายหนุ่มหลับตาเพื่อใช้พลังวิญญาณสัมผัสถึงใครบางคนที่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับคังเยนา ชาฮีจูขมวดคิ้วส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนจะลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง
“นี่มันอะไร! พลังวิญญาณอาฆาตพวกนั้นมาจากไหนกันมากมายขนาดนี้”
ชาฮีจูสัมผัสได้ถึงแรงอาฆาตที่ปกคลุมอยู่รอบๆ ห้องสมุด ซึ่งก่อนหน้านี้เขาไม่เคยสัมผัสถึงมาก่อน ทั่วอาคารห้องสมุดมีแต่หมอกควันสีดำลอยคละคลุ้งอยู่เต็มทุกพื้นที่ จึงทำให้ชายหนุ่มคิดย้อนกลับไปวันที่คังยูรีเล่าเรื่องที่เห็นชายร่างสูงใหญ่ตัวดำปรี่เข้าไปหาเธอ ดูว่าเรื่องนี้จะไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เสียแล้ว
“เธอเป็นยังไงบ้าง” ชาฮีจูปรากฏตัวต่อหน้าคังเยนาอีกครั้ง ตอนนี้สีหน้าของเธอกลับมาเป็นปกติแล้ว เหมือนไม่ได้เจ็บปวดอะไรเลยด้วยซ้ำ ยิ่งเป็นแบบนี้ก็ยิ่งทำให้ชายหนุ่มสับสนมากขึ้นกว่าเดิม
“หาตัวเขาได้มั้ย” คังเยนารีบถามอย่างร้อนใจ
“ไม่ได้ แล้วเธอล่ะหายดีแล้วเหรอ”
“ไม่เป็นไรแล้ว จู่ๆ ก็รู้สึกดีขึ้นมา ชาฮีจู…ฉันว่าคนคนนั้นต้องเกี่ยวข้องกับฉันแน่ ไม่อย่างนั้นฉันคงไม่รู้สึกเจ็บปวดแบบนี้หรอก เราจะหาเขาเจอได้ยังไง”
ชายหนุ่มเองก็คิดหนัก เพราะพลังวิญญาณที่เขามีอยู่ก็ไม่สามารถมองทะลุเห็นคนดังกล่าวได้ เหมือนว่ามีใครบางคนใช้อาคมปกปิดตัวตนเอาไว้ และเป็นอาคมที่ชั่วร้ายอีกต่างหาก
ชาฮีจูไม่ได้เป็นห่วงแค่เรื่องของคังเยนา ตอนนี้ชายหนุ่มยังเป็นห่วงคังยูรีอีกด้วย ตอนนี้สิ่งที่ควรทำที่สุดคือหาเครื่องรางที่จองวานพูดถึงเพื่อป้องกันอันตรายจากพวกวิญญาณอาฆาตที่จะทำร้ายคังยูรีได้
_____________________________
ชินซูฮวาหลังแยกตัวออกจากกลุ่มเพื่อนก็มุ่งหน้ากลับบ้านในทันที หญิงสาวรู้สึกได้ว่าเหมือนมีใครสะกดรอยตามเธออยู่ ด้วยความหวาดกลัวเลยก้าวเท้าวิ่งให้เร็วที่สุด ระหว่างวิ่งอยู่ก็เหลียวมองหลังอยู่เป็นระยะ เพราะถ้ามีใครตามเธอมาจริงๆ เธอจะได้ตั้งตัวทันได้
“กรี๊ดๆๆๆๆๆ”
ชินซูฮวาตะโกนร้องสุดเสียงเมื่อเธอรู้สึกถึงบางอย่างสัมผัสมาที่หลังของเธอ หญิงสาวนั่งยองใช้มือทั้งสองข้างปิดตาตัวเองเอาไว้ เธอไม่มีแรงที่จะก้าวเท้าเดินหรือวิ่งต่อ ที่ทำได้ตอนนี้ก็คงเป็นการอ้อนวอนร้องขอความเมตตาเท่านั้น
“ปล่อยฉันไปเถอะนะ อีกไม่กี่เดือนฉันก็จะเรียนจบแล้ว ฉันยังไม่ได้ใช้ชีวิตในมหาลัยเลย อย่าทำอะไรฉันเลยนะ”
ชินซูฮวาหลับตาอ้อนวอนร้องขอชีวิตด้วยความกลัว ยิ่งเธอรู้สึกได้ว่าคนผู้นั้นเดินมาดักหน้าเธออยู่ตอนนี้ เธอก็ยิ่งตัวสั่นหวาดกลัวเป็นอย่างมาก
“แล้วฉันจะเอาชีวิตเธอไปทำไม” เสียงชายหนุ่มเอ่ยขึ้น แววตาเขาจับจ้องไปที่ชินซูฮวาด้วยความเอ็นดู
ชินซูฮวาค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาแหงนมองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้า แววตาขวัญผวานั้นค่อยๆ จางหายไป ใบหน้าชายหนุ่มนี้เธอจำได้ขึ้นใจว่าเคยเจอที่ไหน หญิงสาวค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ใช้มือจัดระเบียบเสื้อผ้าหน้าผมให้กลับมาอยู่ในแบบเดิม
“นาย นายเป็นแฟนของยูรีใช่มั้ย”
“ห๊ะ!” ชายหนุ่มอุทานออกมาด้วยความตกใจ อะไรที่ทำให้หญิงสาวคิดไปไกลขนาดนั้น
“ก็นายไม่ใช่เหรอที่มาส่งยูรี และกอดยูรีหลังห้องสมุดวันนั้นน่ะ ฉันเห็นทุกอย่างไม่ต้องมาปฏิเสธเลย ทำไม…หรือนายไม่ได้คิดจริงจังกับยัยนั่น”
“นิสัยขี้โวยวายเหมือนกันเป๊ะ” ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาเมื่อนึกถึงคังยูรี ไม่แปลกใจเลยที่ทั้งคู่เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน
“ฉันกับน้องสาวเธอไม่ได้เป็นอะไรกัน วันนั้นที่เธอเห็นว่าเรากอดกันมันก็เป็นแค่อุบัติเหตุ ส่วนเรื่องอะไรฉันไม่ขออธิบายแล้วกัน”
“แล้วนายตามฉันมาทำไม”
“ดึกขนาดนี้แล้วทำไมพึ่งกลับบ้าน เธอก็รู้นี่ว่าโลกใบนี้น่ากลัวแค่ไหน ไม่กลัวคนที่บ้านจะเป็นห่วงบ้างเหรอ”
“อะไรของนายนี่ ฉันไปเป็นญาติฝ่ายไหนของนายทำไมต้องมาดุเรื่องที่ฉันกลับบ้านช้าด้วย” หญิงสาวเริ่มไม่สบอารมณ์
“เอ่อ..ฉัน ฉันก็แค่ไม่อยากให้ยูรีเป็นห่วงเธอน่ะ แค่นี้ยูรีก็มีเรื่องให้คิดมากอยู่แล้ว”
“บอกว่าไม่ได้เป็นแฟนกันแต่แสดงออกชัดเจนว่าเป็นห่วงขนาดนี้ หรือว่านายรักยัยนั่นข้างเดียว คงใช่แหละเพราะยัยนั่นเหมือนจะชอบอีกคนอยู่นี่ เดี๋ยวนี้ตัวติดกันตลอดเลย”
“ไม่ได้รักข้างเดียวอะไรทั้งนั้น เรื่องฉันกับน้องสาวของเธอยังไงมันก็ไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้ว”
“จะเชื่อก็ได้ แต่นายยังไม่บอกฉันเลยนะว่านายตามฉันมาทำไม”
“ช่วงนี้ฉันอยากให้เธอช่วยใส่ใจยูรีให้มากหน่อย ถ้าเป็นไปได้ก็อย่าปล่อยเธอให้อยู่คนเดียวในที่ลับตาคน”
“มีอะไรเหรอ มีใครจะทำร้ายยูรีเหรอ” ชินซูฮวาเอ่ยถามด้วยความกังวล เมื่อได้ยินแบบนี้เธอก็อดเป็นห่วงคังยูรีไม่ได้
“ก็แค่พูดเผื่อไว้ ฉันรู้ว่าเธอสามารถปกป้องน้องสาวเธอได้ ถึงเธอจะดูเย็นชาไปหน่อยก็ตาม”
“ได้ ฉันจะทำเท่าที่ทำได้แล้วกัน ว่าแต่นายชื่ออะไร อย่างน้อยเราก็ควรรู้จักกันไว้ไม่ใช่เหรอ”
“ไม่ต้องรู้จักกันหรอก ต่อไปคงไม่ได้เจอกันอีก หรือต่อให้ฉันบอกชื่อเธอไปยังไงเธอก็จำไม่ได้อยู่ดี”
“ฉันนักเรียนดีเด่นเรียนเก่งอันดับ1ของโรงเรียนนะ นายคิดว่ามันสมองอย่างฉันแค่ชื่อของนายฉันจะจำไม่ได้เลยเหรอ”
“ก็ได้ อยากรู้ฉันก็จะบอก ฉันชื่อชาฮีจู”
“ว้าว…ชาฮีจู ชื่อเพราะซะด้วย ดูจากหน้าแล้วนายน่าจะอายุมากกว่าฉันนะ นายเรียนมหาลัยแล้วใช่มั้ย เรียนที่ไหนอ่ะ เผื่อมหาลัยของนายเป็นทางเลือกให้ฉันได้”
“ฉันดูเหมือนคนมีอายุเหรอ เธอเรียนอยู่ม.6 ใช่มั้ย ถ้าใช่ก็แปลว่าเราอยู่เท่ากัน ฉันไปล่ะ”
“อายุเท่ากันเหรอ นี่ฉันหน้าแก่หรือว่าเขาหน้าเด็กกันแน่”
ชินซูฮวาพึมพำเล็กน้อย แต่พอหันกลับไปหาชายหนุ่มก็ไม่เห็นแล้ว หญิงสาวค่อนข้างประหลาดใจทั้งที่ตัวเธอเองพึ่งคุยอยู่กับเขา แต่ทำไมเขาถึงได้เดินหายไปได้เร็วขนาดนี้มันเลยทำให้หญิงสาวข้องใจนัก
ชินซูฮวามาถึงบ้านก็เห็นคังยูรีนั่งอยู่ที่โซฟากำลังอ่านหนังสือทบทวนบทเรียนของเธออยู่ วันนี้เธอกับคังยูรีอยู่บ้านกันแค่สองคนเพราะผู้เป็นแม่ของเธอออกไปสัมมนาที่ต่างเมือง
“ทำไมยังไม่ขึ้นห้องอีก อย่าบอกนะว่ารอฉัน”
“ค่ะ ฉันเห็นว่ามันดึกมากแล้วเลยเป็นห่วง งั้นพี่กลับมาแล้วฉันขึ้นห้องก่อนนะคะ”
“เดี๋ยวสิ ช่วงนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเธอใช่มั้ย” ชินซูฮวาเอ่ยถามหยั่งเชิง เธออดเป็นห่วงไม่ได้เพราะคำพูดของชาฮีจู
“ก็ไม่นี่คะ พี่มีอะไรหรือเปล่า พี่ซูฮวา…ถ้าเป็นไปได้ฉันไม่อยากให้พี่กลับบ้านดึกเหมือนวันนี้อีก ยังไงพี่ก็เป็นผู้หญิง ระวังตัวไว้หน่อยก็ดีนะ” เด็กสาวเปลี่ยนมาคุยเรื่องของชินซูฮวาบ้าง พอเห็นหญิงสาวกลับบ้านดึกดื่นก็รู้สึกเป็นห่วง
“ไม่ต้องห่วงฉันหรอกน่า ฉันคุ้นเคยกับที่นี่ดี เธอพูดเหมือนเขาเปี๊ยบเลยนะ”
“เหมือนใครเหรอคะ”
“ก็เหมือน….. เหมือน…”
ชินซูฮวาจำชื่อของชาฮีจูไม่ได้เสียแล้ว ไม่ว่าเธอพยายามนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกว่าชายหนุ่มในชุดขาวนั้นชื่ออะไรทั้งที่เขาบอกชื่อเธอแล้วแท้ๆ เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไง
“พี่เป็นอะไรคะ” คังยูรีเดินมาหาผู้เป็นพี่สาวเมื่อเห็นท่าทีแปลกไปของเธอ
“เดี๋ยวนะ เมื่อกี๊ฉันพูดอะไรไปเหรอ”
ไม่ใช่แค่ชื่อของชาฮีจูที่ชินซูฮวาจำไม่ได้ ตอนนี้หญิงสาวยังลืมเลือนเรื่องที่เธอพบชาฮีจูอีกด้วย ความทรงจำของเธอได้ถูกลบหายออกไป ตอนนี้เธอจำได้เแค่เพียงว่าต้องคอยปกป้องคังยูรีก็เท่านั้น
“พี่กำลังทำให้ฉันกลัวนะ”
“ไม่มีอะไรหรอก เธอขึ้นข้างบนไปเถอะ อ้อ…เดี๋ยวก่อน นี่ของเธอใช่มั้ย" ชินซูฮวาล้วงเอาสร้อยผลึกจากกระเป๋านักเรียนให้กับคังยูรี หญิงสาวจำได้ว่าเคยเห็นเด็กสาวใส่สร้อยเส้นดังกล่าวอยู่
“ใช่ค่ะ พี่เจอที่ไหนคะ ฉันหาอยู่ตั้งนาน"
“เจอมันตกในห้องน้ำเมื่อหลายวันก่อน ถ้ามันสำคัญกับเธอก็ต้องรักษาไว้ดีๆ หน่อยสิ”
“จริงๆ ฉันใส่สร้อยนี้ไว้ตลอดไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าทำหายไปตอนไหน ยังไงก็ขอบคุณพี่มากนะคะ”
“อืม ต่อไปถ้าหายอีกฉันเอาไปขายแน่”
“ไม่หายแล้วค่ะ” คังยูรีรีบตอบรับ ดูเหมือนว่าสร้อยดังกล่าวจะหลุดขาดตอนที่เธอทำกิจธุระส่วนตัว ไว้มีเวลาค่อยเอาสร้อยไปซ่อมอีกทีก็แล้วกัน
คังยูรีขึ้นมายังห้องนอนของตัวเอง เด็กสาวนั่งลงที่เตียงนอนมองสร้อยผลึกที่ถืออยู่ในมือเลยทำให้เธอคิดถึงนัมจีโฮขึ้นมา เด็กสาวยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ก่อนจะนำสร้อยผลึกเส้นดังกล่าวไปเก็บไว้ที่ลิ้นชักตรงหัวเตียง
คังยูรีมองไปรอบๆ ห้องนอนของเธอ หญิงสาวครุ่นคิดในใจท่าเธอเอ่ยชื่อชาฮีจูออกมา เขาจะปรากฏตัวต่อหน้าเธอตอนนี้ได้หรือเปล่า แต่ยังไงเธอก็อยากลองดู ตอนนี้เธอเองก็อยากพบชายหนุ่มอยู่เหมือนกัน
“ชาฮีจู คุณอยู่ที่นี่มั้ย คุณออกมาหาฉันหน่อยสิ ฉันมีเรื่องจะคุยกับคุณ”
คังยูรีเดินไปทั่วห้องเพื่อมองหาชาฮีจู เผื่อว่าเขาจะปรากฏตัวให้เธอเห็น แต่ทุกอย่างในห้องเธอดูเงียบสงัดไปหมด แม้แต่ลมนอกหน้าต่างก็ยังไม่พัดผ่านเข้ามา
คังยูรีกำลังเดินกลับไปนั่งที่เตียงตามเดิมแต่ก็สัมผัสได้ถึงบางคนที่อยู่นอกหน้าต่างตรงข้ามห้องนอนของเธอ เด็กสาวรีบเดินไปยังหน้าต่างบานที่เปิดเอาไว้ทันที เมื่อเห็นชาฮีจูยืนอยู่นอกตัวบ้านก็ยิ้มกว้างด้วยความดีใจ และรีบหันกลับเพื่อจะลงไปหาชายหนุ่ม
แต่พอหันกลับมาอีกทีก็เห็นชาฮีจูปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว เด็กสาวไม่ทันได้ตั้งตัวเลยทำให้ใบหน้าเธอชนซบไปที่แผงอกของชายหนุ่มโดยไม่ทันระวัง
คังยูรีสัมผัสได้ถึงไออุ่นจากมือของเธอที่สัมผัสตัวชายหนุ่ม เด็กสาวค่อยๆ เงยขึ้นมองหน้าชายที่แนบชิดเธออยู่ ดวงตาของเธอดูเปล่งประกายนักเมื่อเห็นว่าชาฮีจูก็กำลังจ้องมองมาที่เธอเช่นกัน