นิยายรักแฟนตาซีดรามา ที่เล่าเรื่องของชายหนุ่มที่ทำหน้าที่ผู้ส่งสารระหว่างคนเป็นและคนตาย แต่ต้องเข้ามาพัวพันกับหญิงสาวสองคนโดยที่ไม่เคยรู้เบื้องลึกมาว่าแท้จริงแล้วทั้งสามคนนั้นเกี่ยวข้องกันมาก่อน
แฟนตาซี,ลึกลับ,ระทึกขวัญ,เกาหลี,รัก,อาคม,รักสามเศร้า,รักข้ามภพ,ลึกลับ,ดราม่า,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
The Promised พรากสัญญานิยายรักแฟนตาซีดรามา ที่เล่าเรื่องของชายหนุ่มที่ทำหน้าที่ผู้ส่งสารระหว่างคนเป็นและคนตาย แต่ต้องเข้ามาพัวพันกับหญิงสาวสองคนโดยที่ไม่เคยรู้เบื้องลึกมาว่าแท้จริงแล้วทั้งสามคนนั้นเกี่ยวข้องกันมาก่อน
The Promised พรากสัญญา
“คุณอย่าพึ่งไปไหนนะ อยู่แบบนี้อีกสักพักได้มั้ย ถ้าคุณไปฉันกลัวว่าเขากลับมาอีก”
คังยูรีกอดชาฮีจูไว้แน่น ตราบใดที่เธอยังรู้สึกกลัวอยู่ เธอก็ไม่สามารถปล่อยให้ชาฮีจูออกไปจากเธอได้ ภาพของชายตัวดำร่างสูงใหญ่ยังคงติดตาเธออยู่
“แล้วเธอไม่กลัวว่าคนอื่นจะมองว่าเธอบ้าเหรอ ดูสิ มีคนกำลังมองเธออยู่นะ”
“ฉันไม่สนใจแล้ว ฉันกลัวเขามากกว่า ตอนนี้ฉันต้องการคุณจริงๆ นะชาฮีจู”
คำพูดของคังยูรีทำให้ชาฮีจูสะอึกเล็กน้อย คำพูดสองแง่สองง่ามของเธอดูจะเกินไปสักหน่อย ชายหนุ่มรู้ดีว่าเด็กสาวแค่รู้สึกปลอดภัยเวลาที่อยู่ใกล้เขาเลยพูดออกมาเช่นนี้
“นี่ มีฉันอยู่ไม่มีใครกล้าทำอะไรเธอทั้งนั้น เชื่อฉันสิ”
“จริงๆ นะ”
คังยูรีค่อยๆ คลายอ้อมกอดนั้นออก เด็กสาวลืมตาขึ้นมามองไปรอบๆ ตัวเพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีชายตัวดำอยู่ที่นี่แล้ว สองมือของเธอยังคงจับเสื้อคลุมชาฮีจูเอาไว้แน่น เด็กสาวเม้มปากมองไปที่ชาฮีจูก่อนจะรีบคลายมือทั้งสองที่จับเสื้อคลุมชายหนุ่มอยู่
“เธอเห็นอะไรเหรอ”
“ผู้ชายคนนั้นไง คนที่ตัวใหญ่ๆ ตัวดำๆ รอบตัวเขามีแต่หมอกดำทึบดูน่ากลัวมาก ตอนคุณมาถึงคุณไม่เห็นเหรอ” คังยูรีรีบอธิบายลักษณะชายดังกล่าวที่ปรากฏตัวต่อหน้าเธอเมื่อสักครู่ พอนึกถึงก็ทำให้เธอรู้สึกกลัวขึ้นมาอีกครั้ง
“ไม่เห็น พอมาถึงก็เห็นเธอยืนหลับอยู่”
“ยืนหลับที่ไหนเล่า ฉันแค่หลับตาเพราะไม่อยากเห็นเขาต่างหาก ตอนนั้นฉันก็ขยับตัวไม่ได้ ขนาดจะกรีดร้องยังทำไม่ได้เลย”
“แต่เธอเป็นคนตะโกนเรียกฉันนี่”
“คุณได้ยินด้วยเหรอ”
“ได้ยินสิ ฉันถึงมาหาเธอที่นี่ไง เสียงเธอออกจะดังขนาดนั้น”
“ก็แปลว่าที่เขาหายไปก็เพราะคุณ แค่ฉันนึกถึงคุณ คุณก็มา ทั้งๆ ที่มันเป็นแค่ความคิดในใจ ชาฮีจู…ตกลงคุณเป็นใครกันแน่ ทำไมคุณถึงมีอิทธิพลกับฉันได้ขนาดนี้”
คังยูรีจ้องไปที่ชายหนุ่มอย่างจริงจัง เธอเริ่มจะมั่นใจมากขึ้นว่าตัวเธอกับชาฮีจูต้องมีเรื่องเกี่ยวข้องกันมาก่อนแน่นอน ไม่งั้นเธอคงไม่รู้สึกผูกพันกับชายหนุ่มได้มากถึงเพียงนี้ แถมยังมีจิตใจที่เชื่อมโยงกับชายหนุ่มได้อีกด้วย
“เอาเป็นว่าต่อไปเธอก็ระวังตัวหน่อย บางทีอาจจะเป็นพวกอักมา ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าอยู่คนเดียว มีอะไรเกิดขึ้นรีบบอกฉันทันที เธอรู้แล้วใช่มั้ยว่าจะเรียกหาฉันได้ยังไง”
“อักมาคือใครเหรอ”
“เป็นพวกวิญญาณอาฆาตที่ซองชิลตามกำจัดอยู่น่ะ”
“แล้วพวกซองชิลคือใครอีกล่ะ”
“ไม่ต้องสนใจหรอกบอกไปเธอก็ไม่รู้จัก”
ชาฮีจูบ่ายเบี่ยงที่จะตอบคำถามของคังยูรี เพราะตัวเขาเองก็ยังหาคำตอบไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมถึงได้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับคังยูรีหรือแม้แต่คังเยนาด้วย แต่ชายหนุ่มก็เชื่อมั่นเป็นอย่างมากว่าเขาและเธอทั้งสองต้องมีเรื่องที่เชื่อมโยงกันอย่างแน่นอน
คังยูรีไม่อยากจะรบเร้าชายหนุ่มให้มาก เธอคิดว่าชาฮีจูก็คงมีเหตุผลส่วนตัวไม่อยากบอกเธอ ไว้เขาพร้อมเมื่อไหร่เดี๋ยวเขาคงบอกเธอเอง
“อืม งั้นฉันไปก่อนนะ ว่าจะแวะไปหาเยนาสักหน่อย”
“ไม่ต้องไปหรอก ฉันว่าเธอไปหาข้าวเที่ยงกินก่อนมั้ย ป่านนี้ที่โรงอาหารไม่เหลือข้าวไว้ให้เธอแล้วมั้ง ก่อนจะนึกถึงใครเธอควรนึกถึงตัวเองก่อนสิ”
“คุณไม่ต้องห่วงหรอก ใต้โต๊ะนาอึนมีของกินเยอะแยะ ฉันไม่อดหรอกน่า”
“แล้ว…ก่อนหน้านี้ เธอจะไปไหน ฉันหมายถึงก่อนที่พี่สาวเธอจะมาหาน่ะ”
“คุณก็รู้ว่าฉันจะไปไหน เป็นเพราะคุณไม่ใช่เหรอที่ขวางไม่ให้ฉันไปน่ะ รู้ทันหรอกน่า” เด็กสาวย้อนกลับ ก่อนจะเดินออกจากชายหนุ่มไป
“แต่ฉันเป็นห่วงเธอนะ” คำพูดของชาฮีจูทำให้คังยูรีหันกลับมามองที่ชายหนุ่มอีกครั้ง
“ห่วงอะไร ฉันแค่ไปหารุ่นพี่แทอี”
“ฉันห่วงเรื่องที่เธอจะตามสืบมากกว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะยูรี”
“ฉันรู้ แต่มันก็เป็นหนทางที่จะช่วยเยนาได้ไม่ใช่เหรอ ต่อให้ครูจางเป็นคนที่คิดไว้จริงๆ เขาก็คงไม่ทำอะไรฉันอย่างโจ่งแจ้งมั้ง”
“แต่มันก็ไม่ถูกต้องอยู่ดีถ้าเธอจะหลอกใช้นายคนนั้นเพื่อไปสืบเรื่องของครูจาง ถ้านายคนนั้นคิดว่าเธอมีใจด้วยจะทำยังไง”
“ก็ไม่เห็นต้องทำไง ฉันทำอะไรด้วยความบริสุทธิ์ใจ แค่ให้รุ่นพี่ช่วยเหลือนิดๆ หน่อยๆ ไม่ได้จะหลอกใช้นี่ พอมาคิดๆ ดู ฉันว่ารุ่นพี่แทอีก็ไม่เลวนะ ดูสุขุมและจริงใจดี และก็….”
“เธอชอบเขาเหรอ แค่เขาพูดดีด้วยนิดๆ หน่อยๆ ก็ชอบเขาแล้วเหรอ” ชาฮีจูสวนกลับด้วยน้ำเสียงจริงจัง แววตาไม่ค่อยพอใจกับคำพูดของคังยูรีเท่าไหร่นัก
“ทำไมล่ะ ฉันจะชอบเขาไม่ได้หรือไง” เด็กสาวน้ำเสียงตะกุกตะกัก เธอไม่คิดว่าชาฮีจูจะไม่ค่อยพอใจเอาขนาดนี้
“ช่างเถอะ” ชาฮีจะตอกกลับ ก่อนจะเดินหนีออกจากคังยูรีไปด้วยท่าทีบึ้งตึง
“อะไรของเขาเนี่ย” เด็กสาวพึมพำออกมามองไปยังชายหนุ่มด้วยความไม่เข้าใจ
ช่วงเย็นของวัน
หลังจากเลิกเรียน คังยูรีก็ตรงมาหาคังเยนาที่ห้องสมุดทันที พอมาถึงก็เห็นคังเยนากำลังยืนคุยกับใครบางคนอยู่ คนที่คังเยนาคุยด้วยนั้นสวมยูนิฟอร์มของโรงเรียนมัธยมปลายยองคัง นี่คงจะเป็นเพื่อนใหม่ที่ชาฮีจูบอกเธอไว้เมื่อตอนเที่ยง แต่ที่ทำให้คังยูรีแปลกใจคือทำไมคังเยนาถึงคุยกับคนปกติทั่วไปได้ และนักเรียนชายคนนั้นรู้หรือเปล่าว่าคังเยนาเป็นแค่ดวงวิญญาณถึงไม่กลัวเธอ
“ยูรีมาแล้วเหรอ”
คังเยนาโบกมือทักทายเมื่อเห็นคังยูรียืนอยู่ และชายหนุ่มที่คุยกับคังเยนาก็ค่อยๆ หันหน้ามาหาเธอเช่นกัน ทันทีที่ใบหน้าชายดังกล่าวปรากฏออกมาก็ยิ่งทำให้คังยูรีสับสนมากขึ้นกว่าเดิม เพราะชายคนนั้นก็คือจองวานนั่นเอง
“นี่พี่….”
“ยูรี เจอกันอีกแล้วนะเรา”
จองวานรีบตัดบทก่อนที่คังยูรีจะหลุดพูดความจริงออกมา ตอนนี้เขาอยู่ในฐานะจินยองไม่ใช่จองวานอย่างที่เธอเข้าใจ และยังมีอีกหลายเรื่องที่ชายหนุ่มต้องทำความเข้าใจกับคังยูรีก่อน จองวานสนทนากับเด็กสาวผ่านความนึกคิดภายในใจเพื่อไม่ให้คังเยนารับรู้ได้
“เรียกพี่ว่าจินยองนะ เราสองคนรู้จักกันมาก่อนหน้านี้แล้ว”
“ทำไมฉันได้ยินเสียงพี่ด้วย พี่พูดกับฉันอยู่เหรอ”
“ใช่ พี่กำลังพูดกับเธอนั่นแหละ เธอก็ตามน้ำไปกับพี่ก่อน เดี๋ยวพี่จะอธิบายให้เธอฟังอีกที”
“ได้ๆ แล้วเยนาไม่ได้ยินพวกเราคุยกันเหรอคะ”
“ทำไมเธอถามมากจัง”
“เป็นอะไรกันเหรอ”
คังเยนาเอ่ยทักขึ้นเมื่อเห็นทั้งคู่จ้องกันอย่างไม่ลดละ และท่าทีของคังยูรีและจินยองในนามที่เธอรู้จักก็ดูแปลกไปทันทีที่ทั้งสองได้เจอหน้ากัน
“ไม่มีอะไร ฉันแค่ตกใจนิดหน่อยที่เห็นพี่จอง…เอ่อ..พี่จินยองอยู่กับเธอที่นี่” คังยูรีตอบอย่างเก้ๆ กังๆ
“ยูรี ทำไมเธอไม่บอกฉันให้เร็วกว่านี้ล่ะว่ารู้จักจินยองด้วย ตอนเจอจินยองครั้งแรกเธอคงตกใจมากสินะ”
“ทำไมฉันต้องตกใจด้วย” เด็กสาวขมวดคิ้ว
“จินยองเล่าให้ฟังว่าเธอตกใจมากตอนที่วิญญาณจินยองโผล่มาให้เห็น เธอกลัวจนต้องหลบอยู่หลังชาฮีจูไม่ใช่เหรอ”
“อ๋อ…ใช่ๆ ตามนั้นแหละ”
เด็กสาวตามน้ำไปก่อน เพราะตอนนี้มีหลายเรื่องราวที่เธอต้องทำความเข้าใจ ส่วนเรื่องที่จองวานมาเป็นจินยองได้ยังไงค่อยมีโอกาสถามเขาอีกทีก็แล้วกัน
“ยูรี ต่อไปเธอไม่ต้องแวะมาหาฉันบ่อยก็ได้นะ ฉันมีจินยองอยู่เป็นเพื่อนก็ไม่เหงาแล้วล่ะ แต่ที่นี่ก็แปลกนะ นอกจากฉันก็ไม่มีวิญญาณดวงอื่นให้เห็นเลย พึ่งมามีจินยองนี่แหละ”
“อย่างน้อยมีพี่จินยองอยู่กับเธอฉันก็หายห่วงไปได้บ้าง” เด็กสาวยิ้มรับ
คังยูรีจ้องไปที่ชายหนุ่มด้วยความยินดี ก่อนสายตาจะเหลือบไปเห็นครูจางกำลังเดินออกจากห้องสมุด คังยูรีรีบขอตัวคนทั้งคู่เพื่อตามครูจางออกไปในทันที
คังยูรีสะกดรอยตามครูจางมาถึงอาคารเรียนเก่าที่ไม่ได้ถูกใช้งานและค่อนข้างอยู่ห่างไกลจากอาคารเรียนอื่นๆ มากนัก เด็กสาวแอบอยู่ตรงกำแพงเพื่อมองดูว่าครูหนุ่มจะทำอะไรบ้าง ไม่แน่เธออาจจะเห็นอะไรบางอย่างภายใต้ผ้าสีขาวที่พันข้อมือขวาเอาไว้ก็ได้
คังยูรีค่อยๆ แง้มหน้าดูผู้เป็นครูว่ากำลังทำอะไรอยู่ แต่น่าแปลกใจนักที่ครูจางไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว จังหวะที่เธอหันกลับมานั้นก็เห็นครูจางยืนเกือบแนบชิดเธออยู่ เด็กสาวตกใจเป็นอย่างมาก รีบเดินถอยหลังสะดุดขาตัวเองจนล้มลงในที่สุด
“ลุกขึ้นสิ” ครูจางก้มลงเล็กน้อยยื่นมือให้เด็กสาวจับ
คังยูรีค่อยๆ ยื่นมือไปจับมือของครูจางเอาไว้เพื่อพยุงให้ตัวเองลุกขึ้นได้ เด็กสาวข้อเท้าแพลงเล็กน้อยจากที่สะดุดขาตัวเองล้มลงเมื่อสักครู่
“ไม่เป็นไรใช่มั้ย”
“ไม่เป็นไรค่ะ” เด็กสาวเอ่ยตอบอย่างกล้าๆ กลัวๆ รอยยิ้มของครูจางนั้นทำให้เธอหวาดหวั่นอยู่ไม่น้อย
“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ว่าแต่เธอตามครูมาทำไม ถ้าจำไม่ผิดเธอคือเด็กนักเรียนที่อยู่กับแทอีเมื่อช่วงสายใช่มั้ย”
“อ๋อ…ใช่ค่ะ หนูชื่อคังยูรี เรียนอยู่ชั้นม.5ค่ะ”
“ครูไม่ได้สอนชั้นม.5นี่ แล้วเธอมีอะไรกับครู ถึงสะกดรอยตามครูมา”
ครูหนุ่มเอ่ยถามคังยูรีอย่างตรงไปตรงมา ระหว่างนั้นก็เดินเข้ามาใกล้เด็กสาวมากขึ้นจนเธอเองต้องถอยหลังออกเช่นกัน คังยูรีจ้องไปที่ผ้าสีขาวที่พันข้อมือขวาของครูจางเอาไว้ เธออยากรู้มากว่าใต้ร่มผ้านั้นมีอะไรซ่อนอยู่กันแน่ บางทีเธอควรใช้จังหวะนี้ดึงผ้าพันข้อมือนั้นออกให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย
เมื่อคิดได้แบบนั้นเด็กสาวก็ยื่นมือออกไปเพื่อจะดึงผ้าพันข้อมือของครูจางออก แต่ไม่ทันได้ดึงก็มีชายหนุ่มบางคนเข้ามาขวางไว้เสียก่อน ชายผู้นั้นเดินเข้ามาจับที่ไหล่ครูจางและรั้งเอาไว้ เพื่อไม่ให้ครูจางเดินเข้าไปใกล้เด็กสาวให้มากกว่านี้
“ครูจะทำอะไรครับ” แทอีเอ่ยถามผู้เป็นครูด้วยน้ำเสียงราบเรียบ สายตาจับจ้องไปที่ผู้เป็นครูมีแต่ความดุดัน
“ครูไม่ได้จะทำอะไรสักหน่อย” ครูจางหันมายิ้มตอบให้กับชายหนุ่ม ก่อนจะเดินถอยหลังกลับเล็กน้อย
“ยูรี แล้วเธอมาทำอะไรที่นี่” แทอีหันไปถามเด็กสาวบ้าง เมื่อเห็นว่าเธอมีอาการบาดเจ็บที่ข้อเท้าก็รีบเข้าไปประคองในทันที
“ฉันแค่เดินมาเรื่อยๆ ค่ะ เดินไปเดินมาเกิดหลงซะงั้น เห็นครูจางเลยว่าจะถามหาทางออกจากที่นี่”
“ที่แท้ก็หลงทางเองเหรอ” ครูจางพยักหน้าเหมือนจะได้คำตอบที่ต้องการแล้ว
“ใช่ค่ะครู พอดีหนูพึ่งย้ายมาเทอมนี้เลยไม่ค่อยคุ้นกับที่นี่เท่าไหร่ แล้วครูละคะมาทำอะไรที่นี่ ครูเองก็พึ่งย้ายมาเทอมนี้เหมือนกันไม่ใช่เหรอคะ หรือว่าเดินหลงทางเหมือนกับหนู” เด็กสาวถามหยั่งเชิง เธอเองก็อยากจะรู้คำตอบเหมือนกัน ในเมื่อตอนนี้มีแทอีอยู่ด้วยครูจางก็ไม่น่าจะกล้าทำอะไรเธอ
“ครูเหรอ ครูก็มาดูเรือนไม้ของครูไง อยู่ทางโน้นน่ะ เธอจะไปดูมั้ย”
“เรือนไม้เหรอคะ”
“ใช่ ครูจางมีเรือนไม้อยู่ตรงโน้นน่ะ ไว้ปลูกพวกดอกไม้ต้นไม้ พี่เองก็เคยมาช่วยงานครูหลายครั้งแล้ว” แทอียืนยันว่าเรื่องที่ครูจางพูดออกมาเป็นเรื่องจริง และเขาก็เคยมาช่วยงานครูจางที่เรือนไม้นี้หลายครั้งอย่างที่พูดเอาไว้
“อย่างนี้เองเหรอคะ งั้น…หนูขอโทษครูด้วยนะคะที่ถือวิสาสะมาที่นี่” คังยูรีโค้งเล็กน้อยเพื่อขอโทษต่อผู้เป็นครูที่เข้ามาล่วงล้ำในที่ที่ของเขาด้วยความไม่ตั้งใจ
“ไม่เป็นไรหรอกก็เธอบอกว่าหลงทางไม่ใช่เหรอ อีกอย่างเรือนไม้ของครูก็ไม่ได้มีความลับอะไร ใครจะไปจะมาก็ได้ทั้งนั้น นี่ก็เย็นมากแล้วครูว่าพวกเธอกลับบ้านกันดีกว่า อีกเดี๋ยวครูก็ว่าจะกลับเหมือนกัน”
คังยูรีไม่ติดใจเรื่องที่ครูจางมีเรือนไม้อยู่ในที่ค่อนข้างเปล่าเปลี่ยวแบบนี้ สิ่งที่ติดค้างในใจเธอคือผ้าที่พันข้อมือขวาของครูจางมากกว่า มาถึงขนาดนี้แล้วเธอเองก็ต้องรู้ให้ได้ว่าภายใต้ผ้าพันข้อมือนั้นมีอะไรซ่อนอยู่หรือเปล่า
“เอ่อ…ครูคะ ข้อมือครูไปโดนอะไรมาเหรอคะเห็นมีผ้าพันไว้”
“นี่เหรอ โดนกระถางบาดมาน่ะ พอดีครูไม่ทันได้ระวังเลยโดนบาดตอนเก็บพวกเศษกระถาง”
ครูจางเอ่ยตอบเด็กสาวก่อนจะค่อยๆ แกะผ้าที่พันข้อมือขวานั่นออกเพื่อให้เด็กสาวได้ดู และก็เป็นอย่างที่ครูกล่าวไว้ ข้อมือขวามีรอยแผลที่ถูกบาดอยู่จริงๆ และรอบๆ แผลก็ไม่มีรอยสักรูปผีเสื้ออะไรสักนิด อย่างน้อยก็ทำให้คังยูรีโล่งใจขึ้นมาหน่อยว่าครูจางไม่ใช่คนที่เธอตามหาอยู่
“งั้นหนูกลับก่อนนะคะ และขอโทษที่รบกวนเวลาครูด้วย”
“งั้นพี่ไปส่งนะ”
แทอีเอ่ยแจ้งต่อเด็กสาวก่อนจะช่วยประคองเธอเดินออกไป ครูจางมองไปยังคังยูรีด้วยความแปลกใจ เพราะท่าทีและคำพูดของเด็กสาวไม่ปกติเท่าไหร่ และเขาเองก็รู้ว่าเธอไม่ได้เดินหลงทางอย่างที่บอกเอาไว้ แต่เป็นการจงใจสะกดรอยตามเขามามากกว่า
“พี่ไม่ต้องช่วยหรอกค่ะ ฉันเดินเองได้”
คังยูรีเอ่ยต่อชายหนุ่มที่ประคองเธออยู่ เพราะเธอเองก็รู้สึกอึดอัดที่ชายหนุ่มถึงเนื้อถึงตัวเธอแบบนี้ แทอีเองก็เข้าใจจึงรีบคลายมือนั้นออก
“เรานี่เป็นพวกต่อต้านความรู้สึกหรือเปล่า แบบว่าสร้างกำแพงขึ้นมาเพราะไม่อยากให้ใครเข้ามาใกล้”
“ทำไมคะ ฉันดูเป็นคนเย็นชาขนาดนั้นเลยเหรอ”
“เปล่า เธอเป็นคนสดใสมากต่างหาก เพราะความสดใสของเธอเลยทำให้พี่อยากรู้จักกับเธอให้มากขึ้นไง แต่บางทีพี่ก็ไม่ค่อยเข้าใจเธอเท่าไหร่ อย่างเรื่องเมื่อกี๊ พี่ไม่เชื่อหรอกนะว่าเธอจะหลงทางจริงๆ”
“แล้วมีเหตุผลอะไรที่ฉันต้องโกหกด้วย ถึงบ้านฉันแล้วค่ะ พี่ส่งฉันแค่นี้พอ ขอบคุณมากนะคะ”
“เปลี่ยนจากคำขอบคุณเป็นเลี้ยงข้าวพี่สักมื้อได้มั้ย ส่วนเป็นวันไหนเดี๋ยวพี่บอกอีกทีนะ พี่ขอเบอร์เธอหน่อยสิ” ชายหนุ่มยื่นมือถือไปให้เด็กสาวที่ยืนนิ่งอยู่
ในสถานการณ์แบบนี้เธอเองจะปฏิเสธก็ดูจะเกินไป อีกอย่างเป็นเขาที่ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยจากครูจาง และก็เป็นเขาที่เดินมาส่งเธอถึงที่บ้านอีก แถมยังแบกกระเป๋านักเรียนให้เธอด้วย
คังยูรีตัดสินใจที่จะให้เบอร์มือถือของเธอกับชายหนุ่มไป การได้รู้จักเขาเพิ่มมาอีกคนก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องเสียหายอะไร อย่างน้อยเขาก็ดีกับเธอ ช่วยเหลือเธอด้วยความเต็มใจ
หลังจากที่แทอีกลับออกไป เด็กสาวก็เหลือบเห็นชาฮีจูยืนพิงประตูบ้านเธออยู่ สายตาที่ชายหนุ่มมองเธอนั้นดูหงุดหงิดและบึ้งตึงอยู่ไม่น้อย
“คุณมาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“เธอคงชอบเขาแล้วจริงๆ สินะ ถึงยอมให้เขาเดินประคองมาส่งถึงหน้าบ้าน”
“พูดอะไรไปเรื่อย ว่าแต่เรื่องพี่จองวาน ฉันรู้แล้วนะว่าคุณเป็นคนบอกให้พี่จองวานทำแบบนั้น คุณไม่คิดบ้างเหรอถ้าเยนารู้ว่าพี่จองวานตายไปแล้วเธอจะเสียใจมากแค่ไหน อีกอย่าง….”
“ฉันมีงานต้องไปทำต่อ เรื่องจองวานไว้ค่อยคุยก็แล้วกัน ส่วนเธอจะคบใครฉันก็ไม่อยากสนใจหรอกนะ ฉันแค่สงสารใครบางคนที่ยังลืมเธอไม่ได้แค่นั้นแหละ”
เอ่ยจบ ชายหนุ่มก็เดินออกจากเด็กสาวไป เขาไม่อยากคุยเรื่องของจองวานกับเธอในเวลานี้ ไม่ใช่เพราะมีหน้าที่ต้องจัดการ แต่มีเรื่องว้าวุ่นใจมากกว่า ซึ่งเขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงดูไม่ค่อยพอใจคังยูรีเหมือนกัน
“หายตัวได้ไม่ใช่เหรอก็หายตัวไปสิ จะเดินให้เมื่อยทำไม”
เด็กสาวตะโกนแขวะตามหลัง เธอไม่เข้าใจอารมณ์ของชายหนุ่มเอาซะเลย เมื่อสักครู่ชายหนุ่มพูดถึงใครกันแน่ ใครคือคนที่ยังลืมเธอไม่ได้ ดูเหมือนว่าคำพูดนั้นยิ่งทำให้เด็กสาวสับสนมากกว่าเดิม
“ใครมาส่งเหรอ ไม่เห็นคุ้นหน้าเลย” เสียงทักของชินซูฮวาทำให้คังยูรีละความคิดนั้นออกทันที
“อ๋อ..รุ่นพี่ที่โรงเรียนค่ะ พี่น่าจะรู้จัก” เด็กสาวยิ้มตอบ ชายหนุ่มที่ชินซูฮวาหมายถึงคงเป็นแทอี ไม่น่าจะใช่ชาฮีจูอย่างแน่นอน
“เหรอ ฉันคงเห็นไม่ชัดมั้งเลยนึกไม่ออก ไม่ยักรู้ว่าโรงเรียนเรามีคนใส่ชุดขาวทั้งตัวไปเรียนด้วย”
“พี่ว่าอะไรนะ ชุดขาวเหรอ พี่พูดถึงใครกันแน่” คังยูรีเริ่มสับสน
“ก็พูดถึงผู้ชายที่มาส่งเธอเมื่อกี๊ไง และก็น่าจะเป็นผู้ชายคนเดียวกันกับตอนที่เธอกอดเมื่อตอนเที่ยงด้วย”
“อะไรนะ พี่เห็นด้วยเหรอ”
คังยูรีตกใจกับคำตอบของชินซูฮวาเป็นอย่างมาก ทำไมเธอถึงมองเห็นชาฮีจูได้ ไม่ใช่แค่พึ่งเห็นเมื่อกี๊ แต่ยังเห็นตอนที่เธอกอดเขาไว้เมื่อตอนเที่ยงอีก หรือจะเป็นชาฮีจูที่จงใจให้ชินซูฮวาเห็นเอง ถ้าเป็นแบบนั้นก็เท่ากับเรื่องทุกอย่างยุ่งยากเพิ่มขึ้นไปอีก ไหนจะเรื่องของจองวานที่ปรากฏตัวในนามจินยอง ดูเหมือนว่าชาฮีจูจะเพิ่มความยุ่งยากให้เธออีกเสียแล้ว