รวมเรื่องสั้นสยองขวัญ ถวิลหาอดีต คิดถึงปัจจุบัน หลอนไปในอนาคต เพราะความตายมิใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มต้นแห่งความสยองขวัญ
ลึกลับ,เรื่องสั้น,ระทึกขวัญ,ดราม่า,ย้อนยุค,ผึ,สยองขวัญ,ผี,ดราม่า,ลึกลับ,ย้อนยุค,ชนบท,วัด,เรื่องเล่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
สโมสรหลังเมรุ (The Cemetery Club)รวมเรื่องสั้นสยองขวัญ ถวิลหาอดีต คิดถึงปัจจุบัน หลอนไปในอนาคต เพราะความตายมิใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มต้นแห่งความสยองขวัญ
ผีมีจริงหรือไม่?
คนเราตายแล้วไปไหน?
สโมสรหลังเมรุ(Cemetery Club) มีจุดกำเนิดจากการได้รับแรงบันดาลใจจากได้ฟังเรื่องผี เรื่องวิญญาณ ทว่าจุดเริ่มต้นที่แท้จริงเกิดจากพระภิกษุกลุ่มหนึ่งสนทนาแลกเปลี่ยนประสบการณ์เรื่องเร้นลับทั้งประสบพบเจอเอง ได้ยินได้ฟังมาในระหว่างรอสวดมาติกาบังสุกุลศพในช่วงบ่ายและระหว่างรอสวดพระอภิธรรม 7 คัมภีร์ในงานพิธีศพ บางคนอาจจะมองว่าการฟัง การอ่าน การชมเรื่องผีเป็นเพียงแค่ความบันเทิงเท่านั้น สำหรับผมเรื่องผีเป็นเรื่องที่มีเสน่ห์ชวนน่าหลงใหล มีคุณค่าอยู่ในตัวของมันเอง เราอยากจะรู้ว่าประเทศนั้นประเทศนี้มีความเชื่อค่านิยม วัฒนธรรมที่สะท้อนอัตลักษณ์ตัวตนของประเทศนั้นๆ ผ่านการศึกษาเรื่องผี ผ่านคติความเชื่อในโลกหลังความตายได้ เรื่องผีบางเรื่องมีคติสอนใจซ่อนอยู่ มนุษย์ที่ตายไปแล้วไปสู่ภพภูมิที่ตนเองควรไป ยังวนเวียนอยู่กับมนุษย์เพราะความต้องการของเขา เธอทั้งหลายยังไม่บรรลุ ไม่ว่าจะเป็นการทวงความยุติธรรมให้แก่ตน การสั่งเสียอำลาคนที่เรารัก การใช้ตนเองเป็นธรรมทาน หรือแม้กระทั่งเป็นประจักษ์พยานในการแสดงผลของการทำความดีและผลของการทำชั่ว เรื่องผีบางเรื่องสะท้อนสภาพสังคมในแต่ละยุคอย่างเรื่อง นางนวล สะท้อนให้เห็นสภาพสังคมไทยในสมัยรัชกาลที่ 7 ที่มีความเหลื่อมล้ำระหว่างชนชั้นปกครองกับชนชั้นสามัญชนคนธรรมดา แม้จะมีการเลิกทาสมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 แต่ผู้คนมากมายก็ยังคงตกเป็นทาสของอำนาจเงิน อย่าง ซ่องเจ๊เนาและซุ้มยาดองยายนี สะท้อนสภาพบ้านเมืองของอำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานีในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
คำเตือน: เรื่องสั้นชุดนี้แต่งขึ้นมาโดยใช้จิตนาการของผู้แต่ง ตัวละครในเรื่องล้วนแต่สมมติขึ้นมาเพื่ออรรถรสในการอ่านและรับฟัง หากไปพาดพิงหรือพ้องกับชื่อบุคคลใดๆ ก็ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
“ยายนีขายเหล้า ยายเนาขาย...จ้า”
ผวา! ไก่ตายเรียบ คาดเป็นฝีมือของปอบ
ที่บ้านหลวง... ชาวบ้านกว่า300 ชีวิตร่วมพิธีทำบุญหมู่บ้าน โดยนิมนต์พระสงฆ์มาสวดมนต์เพื่อปัดรังควานนำสิ่งไม่ดีออกจากชุมชนหลังชาวบ้านต่างหวาดกลัว เมื่อพบว่ามีคนในชุมชนเสียชีวิตติดต่อกันเรื่อยมา ทั้งที่ยังเห็นสุขภาพแข็งแรงดี แต่ก็มาเสียชีวิตแบบใหลตายและเป็นปริศนาถึง 8 ศพ จึงทำให้คนในชุมชนได้ปรึกษาหารือกันและไปดูกับหมอดูร่างทรงว่า ขณะนี้มีคนในละแวกผู้ที่ได้เรียนทางไสยศาสตร์มาแล้วรักษาสิ่งของเล่านั้นไว้ไม่ได้ จึงกลายเป็นผีปอบออกทำร้ายผู้คนจนเสียชีวิต และหลังจากที่มีการเสียชีวิตก็มักจะมีเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้กับบ้านผู้ที่เสียชีวิตฝันเห็นภูตผีปีศาจมาหลอกหลอนตลอดในยามค่ำคืนเรื่อยมา หลังจากชาวบ้านได้ไปดูดวงของหมู่บ้านมาแล้ว ก็ได้ปรึกษาหารือกันจนลงตัวก็ได้ติดต่อนิมนต์พระเกจิดัง ผู้ที่เชี่ยวชาญเรื่องไสยเวทจากต่างพื้นที่ขอสงวนนามพระภิกษุจำนวน 2 รูปมาประกอบพิธีสวดบทถอดสวดบทถอนและสวดญัตติร่วมกับพระสงฆ์ในพื้นที่ จำนวน 9 รูป ร่วมสวดเพื่อปัดเป่าให้สิ่งชั่วร้ายออกจากหมู่บ้านซึ่งการทำพิธีในครั้งนี้ก็จะมีการสวดเจริญพระพุทธมนต์ที่ศาลากลางหมู่บ้าน พระสงฆ์ก็จะนำชาวบ้านไปปักหลักมุดลงยันต์ทั้งสี่ทิศภายในหมู่บ้าน พร้อมกับนำลูกกรวดหว่านไปรอบหมู่พร้อมกับนำกระทงที่ใส่ข้าวดำข้าวแดง หมากพลู เหล้า บุหรี่ เมี่ยงคำ ธูปเทียนและอื่นๆ อีกมากมายที่เตรียมไว้ในกระทงไปวางไว้บริเวณทางแยกทิศตะวันตก ซึ่งพิธีในครั้งนี้ก็ได้เลือกเอาเวลาตะวันคล้อยหรือบ่ายโมงเป็นต้นไป ซึ่งเป็นเวลาที่สงบของภูตผีปีศาจตามความเชื่อที่ทำสืบทอดกันมาอย่างยาวนาน
นางละมุนชาวบ้านรายหนึ่งกล่าวว่า “ที่ผ่านมาคนในหมู่บ้านได้เสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุทั้งหมด 8 คน มีผู้ชาย 5 ศพ ผู้หญิง 3 ศพ และใน 8 ศพ มีญาติตนเอง 4 ศพ เป็นผู้ชาย 3 ศพ ผู้หญิง 1 ศพ ซึ่งจึงทำให้ตนเองเชื่อสนิทว่า มีผีปอบมาเอาญาติตนไปอยู่ด้วยตามที่หมอดูร่างทรงทำนายไว้เพราะที่ผ่านมาในชุมชนไม่มีเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อนเลย โดยคาดว่าน่าจะเป็นผีปอบเร่ร่อนจากที่อื่นมาอาศัยอยู่ในชุมชน ซึ่งหลังจากทำพิธีแล้วคิดว่าน่าจะทำให้คนในหมู่บ้านมีขวัญและกำลังใจดีขึ้น”
นายชาติอ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์ให้ชาวสมาคมร่ำเมรัยที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับผีปอบฟังจนจบ
“ผีปอบจะมีจริงเหรอ?” ตาเทืองพูดหลังจากฟังข่าวจบลง
“ข้าก็ไม่เคยไปอีสาน ข้าก็ไม่รู้หรอกนะว่าจะมีจริงหรือไม่จริง แต่เคยได้ยินคนแก่ๆ พูดกันว่ามันคล้ายกับผีหลังกลวง ผีกรวงโบ๋ของภาคใต้” ยายนีพูดแสดงความคิดเห็น
“กระผมมีเรื่องราวเกี่ยวกับปอบ อยากจะฟังไหมครับ” นายอำนาจชายวันค่อน 50 สมาชิกใหม่ของสมาคมร่ำเมรัยแห่งซุ้มยาดองยายนีสถานพูดขึ้น
“ก็เล่ามาสิ ทุกคนที่นี่ชอบฟังเรื่องผีทั้งนั้น อยากรู้เรื่องผีต่างถิ่นเหมือนกัน ถือเป็นการเปิดกะลา อยู่ที่นี่ตั้งแต่เกิดจนแก่จะตายวันจะตายพรุ่งเพิ่มพูนความรู้” มหาฉ่ำพูด
“กระผมต้องขอบอกว่าเรื่องราวหลายๆ เรื่องที่ผมจะเล่าให้ฟังนี้ให้ฟังเป็นนิทานเสียเถิดครับ เพราะมันเป็นเรื่องราวที่ยืดยาวและมีความจริงที่โหดร้ายซ่อนอยู่ครับ เรื่องมันเริ่มจาก...”
ปอบงามล่มเมือง
เนิ่นนานมาแล้ว... นานเสียจนไม่อาจคาดเดาได้ว่าเป็นยุคสมัยใดแต่มันโบราณนานนมมากๆ ณ เมืองแห่งหนึ่ง ผู้คนในเมืองนี้ยังคงนุ่งห่มผ้าแบบโบราณนิยมคือ ผู้ชายนุ่งยักรั้งไม่สวมเสื้อ ผู้หญิงนุ่งลอยชายไม่สวมเสื้อแต่ใช้ผ้าแถบรัดอก บ้านเรือนชาวบ้านทั่วไปเป็นเรือนเครื่องสับหลังคามุงหญ้าแฝก ส่วนบ้านเรือนชนชั้นเจ้านายผู้ปกครองเป็นเรือนไม้เนื้อเรียกว่าคุ้ม ท่านเจ้าเมืองชื่อ ทอง ภริยาท่านตายจากไปนานแล้ว มีเพียงลูกชายหนึ่งคนชื่อ นายฉิม นายฉิมมีภรรยาเอกเป็นธิดาเจ้าเมืองอีกเมืองหนึ่งชื่อ นางคำหยาด สองพ่อลูกช่วยเหลือปกครองบ้านเมืองจนเจริญรุ่งเรืองชาวบ้านอยู่อย่างเป็นสุขมาด้วยดี
กล่าวถึงหญิงคนหนึ่งเป็นแม่ค้านั่งตลาดขายผักหญ้าเท่าที่หามาได้ชื่อ พิณ ชีวิตของพิณเป็นชีวิตที่แสนจะอาภัพ เธอรู้สึกน้อยใจในชะตาของตน ใช้ชีวิตอยู่เพียงคนเดียวพ่อแม่ตายไปหมดเพราะโรคระบาดเมื่อหลายปีดีดัก ครั้นจะมีชายใดในแผ่นดินจะมาสนใจรับนางเอาไปเป็นเมียเพราะนางมีใบหน้าขี้ริ้วขี้เหร่ ตรงแก้มด้านซ้ายปรากฏปานดำปื้นใหญ่ เป็นมาตั้งแต่เกิดพอยิ่งโตปานดำก็ใหญ่ขึ้น แต่เล็กจนโตถูกล้อเหยียดหยามว่าเป็นคนหน้าผี เป็นตัวกาลกิณีทำให้พ่อแม่ตายจากไป จะออกจากเรือนไปไหนมาไหนหรือแม้กระทั่งมาค้าขายผักหญ้าที่ตลาดต้องใช้ผ้าโพกศีรษะผูกรัดมัดเหน็บปกปิดส่วนที่น่าเกลียดของใบหน้าไว้ ว่ากันว่ามีเสียก็ย่อมมีได้ แม้ว่าพิณมีหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่แต่มีน้ำเสียงไพเราะดุจเสียงน้ำเซาะทรายฟังแล้วระรื่นหู
ในวันหนึ่ง พิณออกไปขายผักหญ้าที่ตลาดตามปกติ วันนี้มีผู้คนมากมายออกมาจับจ่ายซื้อของในตลาด นายฉิมก็ออกมาจากคุ้มชมตลาดดูทุกข์สุขของไพร่ฟ้าข้าไทยในเมือง
“ผักจ้าผัก ผักสดใหม่ๆ” พิณร้องเรียกเชื้อเชิญให้ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาเลือกจับจ่ายซื้อของ มาซื้อผักของตน
“แม่ค้ามีผักอะไรบ้างรึ?” นายฉิมทักทายแล้วส่งยิ้มให้พิณ
“มะเขือ ชะอม แตง น้ำเต้าเจ้าค่ะ” พิณตอบอย่างเอียงอาย
“เสียงแม่ช่างเพราะเหลือเกิน ข้าเหมาผักทั้งหมดเลย” นายฉิมเอ่ยชม จากนั้นข้ารับใช้ผู้ติดตามส่งถุงเงินถุงเล็กๆ ให้นางพิณ
และมันก็เป็นเช่นนี้ทุกวัน นายฉิมเหมาผักแผงแม่ค้าชื่อพิณทุกเมื่อเชื่อวันเพราะติดใจในเสียงไพเราะของแม่ค้าสาว และเทียวไล้เทียวขื่อด้วยหวังจะใบหน้าของสาวโดยจินตนาการว่าต้องสวยงามเหมือนกับน้ำเสียงแน่ๆ วาดหวังจะรับนางพิณเข้าไปอยู่ในคุ้มเป็นภรรยาอีกคน
ณ คุ้มเจ้าเมือง นางคำหยาดกำลังปักสะดึงกรึงไหมลงบนผ้าฝ้ายผืนงามอยู่กลางเรือนในมีบ่าวไพร่รายล้อมปรนนิบัติ นางบัวเขียวผู้เป็นภรรยาอีกคนหนึ่งของนายฉิมเดินขึ้นกระแทกเท้าเสียงปึงปัง บ่าวไพร่ของนางคำหยาดมองหน้าแล้วเบือนหน้าหนีเหมือนอิดหนาระอาใจกับพฤติกรรมหยาบคายของนางบัวเขียวที่หยาบช้าผิดกับนายหญิงของตนที่สงบเสงี่ยมเรียบร้อยสมกับเป็นกุลสตรีที่ผ่านการอบรมบ่มนิสัยเป็นธิดาเจ้าเมืองโดยแท้
“เป็นอะไรมารึแม่บัวเขียว ใครไปทำอะไรให้แม่เจ็บท้องข้องใจกัน ถึงเดินเหยียบย่างจนไม้กระดานเรือนแทบย่อยยับเยี่ยงนี้” นางคำหยาดใคร่ถามแต่สายตายังจับจ้องที่งานฝีมือ
“พวกชาวบ้านชาวเมืองนินทากันจนเลื่องลือว่าท่านพี่ติดพันอยู่กับแม่ค้าขายผักในตลาดเจ้าค่ะ” บัวเขียวฟ้อง
“ท่านพี่จักรักใคร่ชอบพอใครก็ย่อมเป็นความประสงค์ของท่านพี่ ฉันมิอาจห้ามได้ดอกหนา แม่บัวเขียวทำใจให้ชุ่มชื่นเสียเถิด เรือนนี้จะมีคนมากหรือน้อยก็หาใช่สาระสำคัญไม่ แม่บัวเขียวจะหึงหวงไปใบกันจะเป็นการขัดใจท่านพี่เสียเปล่าๆ” นางคำหยาดพูดแนะนำ
“ท่านพี่นะท่านพี่ จะมีเมียใหม่ทั้งทีกลับจะไปเอาแม่ค้านั่งตลาดขายผักหญ้ามาทำเมีย อีนั่นคงจะสวยมากสินะ ทำไมกันนะท่านพี่” บัวเขียวบ่น
“น้องอยากรู้ก็สืบเอาสิ” คำหยาดแนะนำ “พี่เข้าเรือนนอนก่อนนะ ไปเอนหลังเสียหน่อย”
เมื่อคำหยาดและข้ารับใช้คนสนิทชื่ออีเอิบเดินเข้าเรือนนอนเพื่อเข้าพักผ่อนเอนกายา บัวเขียวนั่งลงบนฟูกหน้านิ่วคิ้วขมวด คิดหาวิธีการที่จะกำจัดแม่ค้าขายผักคนนี้เพราะตนเองคิดการณ์ไกล บัวเขียวเป็นเพียงแค่ภรรยาน้อยที่มีปากมีเสียงในเรือนนายฉิมเพราะบิดาของตนเป็นเศรษฐี ท่านเจ้าเมืองยอมรับนางในฐานะลูกสะใภ้อีกคน นางคำหยาดภรรยาเอกของนายฉิมีเมตตารักใคร่นางบัวเขียวเหมือนน้องสาวถึงกับมอบสร้อยคอล้ำค่าที่มีกลิ่นหอมให้นางและกำชับให้ใส่อยู่เสมอ นางบัวเขียวอยู่ในเรือนนายฉิมและคอยกำจัดภรรยาน้อยคนอื่นๆ ทั้งในทางแจ้งและในทางลับ นางไม่อยากทำเช่นนี้แต่สถานภาพของนางในเรือนยังไม่มั่นคงตราบใดที่นางไม่อาจตั้งครรภ์ให้กำเนิดทายาทสืบต่อไปได้ นางจึงระแวงว่าจะมีภรรยาคนอื่นตั้งครรภ์และมีอิทธิพลในเรือนมากกว่าตน นางจึงต้องลงมือลงแรงกำจัดเสี้ยนหนามอยู่เนืองๆ
“อีอ่าง อีอ่าง” นางบัวเขียวตะโกนเรียกบ่าวรับใช้คนสนิทของตน
อีอ่างรีบวิ่งแจ้นขึ้นเรือนมา นั่งหมอบอยู่พื้นเรือนใกล้ๆ นางบัวเขียว “เจ้าค่ะ แม่นาย”
“ชักช้าพี้รี้พี้ไรนะมึง ให้กูเรียกอยู่นาน” นางบัวเขียวบ่น
“ขอประทานโทษเจ้าค่ะ อิฉันเห็นว่าแม่นายอยู่กับแม่นายคำหยาดเลยลงครัวไปหาอะไรกินเสียเจ้าค่ะ” นางอ่างพูดจารีบแก้ตัวพัลวัน
“เห็นแก่กินนะมึง กูว่ากูจะไปแนมอีแม่ค้านั่นที่ตลาดในวันพรุ่ง” บัวเขียวสั่งการ
“แม่นายจะทำร้ายผู้คนอีกรึเจ้าคะ อย่าหาทำเลยเจ้าค่ะ” นางอ่างเตือน
“สาระแนนักนะมึง กูสั่งอะไรต้องทำตาม มึงเป็นแม่กูรึ พ่อกูก็ไม่เคยเอามึงทำเมีย มึงก็อย่าสะเออะมาสั่งสอนกู” นางบัวเขียวเกรี้ยวกราดเปล่งวาจาผรุสวาท ไม่เพียงแค่พูดจาร้ายกาจใส่นางอ่างแต่ใช้บาทาถีบเข้าอกนางอ่างอย่างเต็มรักจนข้าวปลาที่เพิ่งกินไปสำรอกออกมา
“แม่นายเจ้าขา อิฉันขอโทษเจ้าข้า” นางอ่างพนมมือไหว้ประหลกๆ ตัวสั่นสะเทิ้มเพราะกลัวอิทธิฤทธิ์ของนายสาว
“เอ็งเรียกอีสากับอีขาบไปด้วย นังสองคนนั่นมันหน่วยก้านดี มีงานตบข้าก็ใช้พวกมัน” นางบัวเขียวสั่ง
“เจ้าค่ะ” นางอ่างรับคำ ทั้งนายบ่าวอยู่ที่ตรงนี้รับลมให้สบายกายอยู่นานหลายเพลา
ในเรือนนอนของนางคำหยาด...
“แม่นายบัวเขียวนี่กิริยาหยาบช้าหนักหนานะเจ้าคะ” นางบุญบ่าวคนสนิทพูดกับนายของตนด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาเพราะเกรงว่าคนนอกเรือนจะแอบได้ยินแล้วนำไปพูด จะกลายเป็นเรื่องเป็นราวได้เพราะนางบัวเขียวชอบลงไม้ลงมือกับบ่าวไพร่คนรับใช้โดยไม่สนใจว่าเป็นบ่าวใครนายใคร ตบเป็นตบ ถีบเป็นถีบ
“บุญดูเอาเถิด นางบัวเขียวเข้ามาอยู่ในเรือนในคุ้มได้ด้วยอิทธิพลของเศรษฐีชู ท่านพี่จำต้องรับนางเข้ามาทั้งๆ ที่ไม่พอใจนิสัยของนาง ข้าเองก้ไม่เต็มใจที่จะต้องเห็นผัวของตัวข้าเองมีนางเล็กๆ นางน้อยๆ เพราะกรรมของข้าเองที่มีร่างกายไม่แข็งแรง ตบแต่งกับท่านพี่แต่ก็ไม่มีลูกสืบทอดทายาท คนเป็นผัวเลยยกเมียไว้บนหิ้งจนหยากไย่เกาะ ผัวบูชาแต่ไม่เคยปัดกวาดทำความสะอาด รู้ไหมว่าข้าต้องอดทนกล้ำกลืนแค่ไหน” นางคำหยาดระบายความในใจที่อัดอั้นมาเนิ่นนานให้บ่าวรับใช้ฟัง
“แม่นายเจ้าขา ข้าใคร่ขอถามอะไรบางอย่างจากแม่นายได้หรือไม่เจ้าคะ” นางบุญถามหยั่งเชิง
“ถามมาสิ” นางคำหยาดอนุญาต
“แม่นายเจ้าขา ทำไมแม่นายบัวเขียวถึงไม่ตั้งครรภ์สักทีล่ะเจ้าคะ ทั้งๆ ที่อยู่เรือนนี้มานานมากแล้ว” นางบุญถาม
“ข้าไม่ไว้ใจนังบัวเขียวหรอก หากมันตั้งท้องมีลูกให้ท่านพี่ มันคงจะมองไม่เห็นหัวข้าหรอก เมื่อแรกที่นางบัวเขียวเข้ามาอยู่ในคุ้ม ข้าขอกลับไปบ้านเมืองข้า ข้านำความไปปรึกษากับแม่ข้า แม่ท่านให้สร้อยคอเส้นหนึ่งมา สร้อยคอเส้นนั้นบรรจุชะมดเชียงราคาแพงไว้ภายในหิน สรรพคุณของชะมดเชียงมีดีและมีร้าย ส่วนที่ดีก็ใช้รักษาโรคต่างๆ และใช้ทำเครื่องหอม ส่วนร้ายคือทำให้คนที่ตั้งท้องแท้งลูก หรือใช้ชะมดเชียงไปนานๆ จะส่งผลให้ตั้งท้องไม่ได้ ข้ากลับมาก็แสร้งทำดีกับนางบัวเขียวแล้วมอบสร้อยคอเส้นนั้นให้นาง นางบัวเขียวผู้โง่เง่าดีใจมาก ตั้งแต่นั้นมานางสวมสร้อยเส้นนั้นไว้ตลอดและนับถือข้า ข้าแนะข้าสั่งอะไรนางเชื่อไปหมด นางก็คิดเหมือนกับข้า หากมีเมียคนอื่นๆ ตั้งท้อง นางก็กำจัดเมียคนนั้นไป” นางคำหยาดตอบ
ตกเย็นวันนั้น นายฉิม นางคำหยาดและนางบัวเขียวรับประทานอาหารเย็นด้วยกันโดยมีบ่าวไพร่ชายหญิงแวดล้อมคอยรับใช้เฝ้าแหงนอยู่ ทั้งสามเปิบข้าวรับประทานไปเรื่อยๆ พูดจาสัพเพเหระ จนกระทั่ง...
“คุณพี่ชอบกินผักรึเจ้าคะ เห็นต้องออกไปตลาดทุกวันแล้วกลับมากับกระจาดผัก” นางบัวเขียวถามนายฉิม
“ก็ซื้อมาเพราะเห็นว่าคนขายน่าสงสารดี ผักก็อร่อยดี สดหวานกรอบ” นายฉิมตอบไปแกนๆ
“มิใช่ว่าท่านพี่ติดใจสาวแม่ค้าขายผักดอกนะเจ้าคะ” นางบัวเขียวต่อความยาวสาวความยืด
“อุ๊วะ! มันใช่โกงการอะไรของมึงรึวะอีบัวเขียว กูจะชอบพอใครมันก็ใช่เรื่อง ในเมื่อมึงทำหน้าที่เมียไม่ได้ กูก็ต้องหาคนอื่นมาทำหน้าที่เมีย” นายฉิมเขวี้ยงจานข้าวทิ้งแตกกระจายเพราะลุแก่โทสะแล้วหนีเข้าเรือนนอนไป เดือดร้อนบ่าวไพร่ต้องเก็บกวาด
“พี่นางเจ้าขา ข้าพูดไม่กี่คำเอง ท่านพี่โมโหโกรธาถึงเพียงนี้แล้ว เห็นทีข้าต้องอดทนกล้ำกลืนอยู่ร่วมชายคาอีแม่ค้าหน้าขาวนั่งตลาดนั่น” นางบัวเขียวหน้าเสียบ่นกับนางคำหยาด
“ใจเย็นๆ เถิดน้องนาง ถ้าลองเป็นถึงขั้นนี้แล้ว คงต้องโอนอ่อนผ่อนตามท่านพี่ นางผู้นั้นเข้ามาอยู่ในเรือน ก็ย่อมควบคุมได้ง่ายกว่าเหมือนอย่างที่เจ้าเคยทำไง” คำหยาดปลอบ
นางบัวเขียวยิ้มแหยๆ แล้วมองไปเลื่อนลอย คิดถึงเหตุการณ์ต่อไปในเบื้องหน้า ทั้งคำหยาดและบัวเขียวเลิกรับประทานอาหารแยกย้ายเข้าเรือนนอนให้บ่าวไพร่เก็บกวาดอาหาร ทำความสะอาดพื้นที่เสร็จเรียบร้อย
เช้ามืด... นางบัวเขียว นางอ่าง นางสาและนางขาบลอบออกจากคุ้มเจ้าเมืองโดยปลอมตัวใส่เสื้อผ้าที่กลมกลืนกับชาวบ้าน บรรยากาศของตลาดยามเช้าคลาคล่ำไปด้วยผู้คนทุกชนชั้นวรรณะที่ออมาจากเรือนของตนจับจ่ายซื้อของค้าขาย สินค้าในตลาดนอกเหนือจากอาหารสด อาหารแห้ง ยังมีของใช้ เสื้อผ้า เครื่องประดับ จานชามราคาแพงจากดินแดนไกลโพ้น แม้สินค้ามากมายถูกอกถูกใจนางบัวเขียวแต่ก็ใช่ทีที่จะมาชมมาซื้อ นางและบ่าวรับใช้อีกสามคนซุ่มดักรอแม่ค้าขายผักอย่างใจเย็น
นางพิณเข็นรถเข็นบรรทุกผักมาตามปกติโดยลืมปิดบังอำพรางใบหน้าไว้ เมื่อถึงแผงผักที่เป็นเรือนไม้ไผ่สี่เสาขนาดย่อมๆ พอคนนั่ง พิณจัดผักหญ้าวางเรียงให้เป็นระเบียบเป็นการฆ่าเวลาระหว่างรอคอยลูกค้าคนสำคัญ
“แม่นายเจ้าขา คงจะเป็นนังนี่แหละเจ้าค่ะ นังแม่ค้าขายผักที่คนเขาลือกันว่านายท่านมาติดพันชอบพออยู่เจ้าค่ะ เพราะแม่ค้าขายผักคนอื่นๆ แก่เฒ่าเข้าวัยชราไปหมดแล้ว” นางอ่างบอก
“นี่นะรึ มันต้องเป็นคนไม่ดีแน่เลย ต้องปิดหน้าปิดตาแบบนั้น” นาบัวเขียวพูดแต่ไม่ละสายตาจากนางพิณเลยแม้สักนิด
“จะไปตบเลยไหมเจ้าคะแม่นาย?” นางสาถาม เลือดในร่างกายสูบฉีดพร้อมจะปะทะได้เสมอ
“ยังก่อนอีสา ข้ารอท่านพี่มาก่อน จักได้เห็นแจ่มแจ้งว่าสิ่งที่ข้าคิด สิ่งที่อ้ายอีในเมืองลือกันจักเป็นความจริงหรือไม่?” นางบัวเขียวพูด
นายฉิมออกมาจากคุ้มเจ้าเมืองพร้อมด้วยบริวารชายอีกสองนาย เขาทำทีเป็นเยี่ยมเยียนแม่ค้าพ่อขายทั้งหลายตามแผงขายของต่างๆ แล้วหยุดอยู่ที่แผงผักนางพิณ พูดคุยกับนางพิณอยู่นาน
“เมื่อไหร่แม่พิณจะยอมอ่อนใจ ไปอยู่กับข้าในจวนสักทีเล่า ใจข้าแทบจะขาดรอนๆ แล้ว หากไม่ได้เจ้ามาอยู่ในใจ” นายฉิมออดอ้อน
“ตัวอิฉันเป็นแค่คนกำพร้าพ่อแม่ไร้ญาติขาดมิตร อาศัยอาชีพค้าขายเลี้ยงตัวไปวันๆ ไม่คิดไม่ฝันหรอกเจ้าค่ะว่าจะได้ไปอยู่ในคุ้มเจ้าเมือง นั่งหน้าขาวมีบ่าวไพร่คอยรับใช้เยี่ยงนั้น” พิณสงวนท่าทีไว้ ทำขวนเขินเอียงอาย แต่นายฉิมรู้สึกขัดใจเป็นกำลังกับผ้าโพกศีรษะปิดบังอำพรางใบหน้าของพิณ
“ข้าเทียวหา พบพานเจ้าทุกเมื่อเชื่อวัน ไยเจ้าไม่เปิดเผยใบหน้าอันงดงามของเจ้าให้ข้าเห็นเสียทีเล่า รึว่าเจ้าเป็นนางเทพธิดาจำแลงแปลงมา จักให้ใครเห็นใบหน้าอันงดงามมีรัศมีงดงามพร้อมจะแผดเผาผู้คนที่ได้ยลโฉม” นายฉิมป้อยอนางพิณ จนสาวเคลิบเคลิ้ม
“นางอัปรีย์ สาระแนะมายั่วยวนผัวกู” นางบัวเขียวปรี่เข้ามากระโดดถีบนางพิณจนตกแผงขายผักก้นจ้ำเบ้า ผักสดๆ สวยๆ แหลกสลายจนขายไม่ได้แล้ว นายฉิมกระโดดออกมาจากแผงผัก
“บัวเขียวจะมาหาเรื่องพิณไม่ได้นะ” นายฉิมห้าม
“ท่านจะเอาอีแม่ค้านี่มาเป็นเมียอย่างที่ใครๆ ว่าจริงๆ ด้วย ท่านพี่ไม่อับอายชาวบ้านชาวเมืองรึเจ้าคะ” นางบัวเขียวบริภาษ
“กูจะเอาใครเป็นเมียก็ไม่ใช่ธุระโกงการอะไรของมึง คนที่น่าอับอายมากกว่าควรจะเป็นมึงอีบัวเขียว เมียใดที่ไม่สนองความต้องการที่จะลูกให้ผัวได้ เมียคนนั้นควรจะอับอายคนทั้งโลก” นายฉิมตอกหน้านางบัวเขียวเสียหงายเงิบ แล้วไปประคับประคองนางพิณ “เจ็บมากไหม?”
“เจ้าค่ะ” นางพิณตอบด้วยน้ำเสียงอ้อแอ้เพราะเจ็บปวดเคล็ดขัดยอก
“ไปนั่งพักเสียเถิด ผักหญ้าทั้งหลายเสียหายหมดแล้ว บัดเดี๋ยวให้คนนำเบี้ยอัฐมาชดใช้ค่าเสียหาย” นายฉิมพูด
“หมั่นไส้ ทำสะดีดสะดิ้งออดอ้อนผัวกู” นางบัวเขียวกระชากผ้าโพกศีรษะของพิณออก ทำเอาทุกคนตกใจที่ได้เห็นส่วนของใบหน้าที่พิณปกปิดเอาไว้
“ว้าย! ผีๆ” ชาวบ้านคนหนึ่งร้องขึ้นมา
“โอ๊ะ! ไม่เอาแล้วโว้ย” นายฉิมผู้อยู่ใกล้ชิดนางพิณที่สุดเห็นใบหน้าที่ปานดำลามเลียใบทั่วพวงแก้มดูน่าเกลียดน่ากลัว รีบถอยห่างหนีไป ไม่ทันที่พิณจะอับอาย นางบัวเขียวจิกผมนางพิณลาก
“หน้าตาเป็นผีแบบนี้ ยังมายั่วผัวกูอีก อีหน้าผี มึงต้องโดนตบล้างน้ำสั่งสอน แต่ข้าเหนื่อยแล้ว อีสาอีอ่างจับตัวมันไว้แล้วให้อีขาบไปตบมันจนเลือดละเลงแผ่นดิน” นางบัวเขียวสั่ง
“อย่าทำอะไรข้าเลยเจ้าค่ะแม่นาย ข้ากลัวแล้ว” นางพิณคุกเข่ายกมือไหว้ร้องขอกับนางบัวเขียว
“พวกคางคกขึ้นวอต้องสั่งสอนเสียให้หลาบจำ พวกมึงตบมันจนกว่าข้าจักพอใจ” นางบัวเขียวสั่ง
เสียงตบดังสนั่นจากฝ่ามืออรหันต์ปะทะแก้มสลับกับเสียงร้องโอดโอยของพิณ ท่ามกลางผู้คนมากมายล้อมวงมุงดูด้วยหลากหลายอารมณ์ บ้างก็มองดูพิณถูกทำร้ายอารมณ์เวทนาสงสารแต่ช่วยอะไรไม่ได้เพราะนางบัวเขียวผู้ควบคุมสั่งการมีอำนาจบารมี บ้างก็มองดูพิณด้วยอารมณ์สาแก่ใจเพราะเข้าข้างนางบัวเขียว พิณไม่น่าจะยุ่งกับสามีคนอื่นๆ เลยและยิ่งมีหน้าตาอัปลักษณ์หน้าผีแบบนี้ใครจะกล้ามารักใคร่ชอบพอ
“พอๆ ได้แล้ว จำไว้นะอ้ายอีตัวไหนที่มายุ่งกับผัวข้าจักต้องโดนดีเหมือนอีนังหน้าผีนี่ กลับคุ้มกันเถอะ” ผ่านไปนานพอควรนางบัวเขียวเล็งเห็นแล้วพิณเจ็บปวดบอบช้ำน่าจะเข็ดหลาบแล้ว จึงสั่งให้สามบ่าวไพร่ยุติการลงโทษพิณแล้วกลับเข้าคุ้มเจ้าเมือง
พิณเดินกะโผลกกะเผลกไปเรื่อยๆ พิณกลับเรือนไปอย่างบอบช้ำสะบักสะบอม ต้องหยูกหนาสมุนไพรมาทาแผลต้มยาแก้ปวดเองเพราะไม่มีใครแยแสกับคนต่ำต้อยเช่นนาง เจ็บเองรักษาเองเป็นธรรมดา เจ็บปวดทั้งกายและใจ พิณร้องไห้เสียใจอับอายและผิดหวังน้อยเนื้อต่ำใจในชะตาชีวิตของตน พิณตรองดูชีวิตของนางในเบื้องหน้า เล็งเห็นแต่ความอัปยศอดสู จะอยู่ต่อไปได้เยี่ยงไรกัน ใครจะคบหาสมาคม จะซื้อผักหญ้าที่ตนขายกันเล่า อีกทั้งนางบัวเขียวจะยังคงตามระรานอยู่ต่อไปหรือไม่ พิณจึงนำสารร่างที่บอบช้ำเดินไปอย่างช้าๆ หายเข้าไปในป่าขึ้นสู่ภูเขาใกล้เมือง บุกป่ารกชัฏปีนป่ายโขดหินสูงชันจนไปถึงยอดเขา พิณยืนมองดูฟ้ามองดูเมืองเบื้องล่าง ลมพัดชายเขาพัดปะทะร่างกายทำให้แสบเสียวปวดบาดแผล พิณกอดไหล่ตนเองแล้วร้องไห้
“ข้าเกิดมาชาตินี้อาภัพยิ่งนัก หน้าตาก็ไม่สวยงาม ใครๆ ก็รังเกียจดูหมิ่นดูแคลน ถูกให้รักแล้วโดนทำร้าย ขอตายจากไปเสียดีกว่า หากชาติหน้ามีจริง ข้าจักล้างแค้นเอาคืนพวกมันทั้งหลายให้สาสม” พิณพูดจบกระโดดลงสู่เหวลึกเบื้องล่าง นางหลับตาไม่รับรู้อะไรแล้ว